ทริปนี้อยากแบ่งปันเรื่องราวการเดินทางไปนอนกางเต็นท์ที่เขาพะเนินทุ่ง ไปชมตะวันตกภูเขา ไปชมทะเลหมอกหน้าร้อน

ไปนอนดูดาว ไปหยอกเย้ากับผีเสื้อ ทั้งหมดที่ว่ามานี้ มีที่นี่ครบถ้วนจบกระบวนความที่ อุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน-เขาพะเนินทุ่ง

จริงๆใครๆเค้าก็ไปกัน แต่คือเราไปครั้งแรกงัย แล้วเราก็เชื่อว่าคงมีอีกหลายๆคนที่ยังไม่เคยไปที่นี่มาก่อนเหมือนเรา และไม่มีข้อมูลเพียงพอ เพราะขนาดเราจะไปเที่ยว เรายังต้องหารีวิวประกอบกันประมาณ 3-4 รีวิวเลย

เพราะฉะนั้น ทั้งเนื้อหาและรูปก็จะเยอะๆหน่อยนะ แต่ก็คิดว่ารีวิวนี้น่าจะมีประโยชน์สำหรับมือใหม่ของที่นี่อ่ะนะ

แต่ก่อนจะไปถึงเขาพะเนินทุ่ง เรามาตรวจสอบก่อนเดินทางกันซักนิดนะ ว่าที่นี่เค้ามีช่วงเปิด-ปิดรึปล่าว เพื่อนๆจะได้ไม่ไปเสียเที่ยวนะ

ฤดูกาลท่องเที่ยวสำหรับแคมป์บ้านกร่าง และพะเนินทุ่งแคมป์ มีดังนี้จ้า
...เดือนพฤศจิกายน - กรกฎาคม แคมป์บ้านกร่าง และ พะเนินทุ่งแคมป์ เปิด 9 เดือน
...เดือนสิงหาคม - ตุลาคม แคมป์บ้านกร่าง และ พะเนินทุ่งแคมป์ ปิด 3 เดือน

เมื่อเช็คแล้วว่า ยังอยู่ในช่วงเวลาที่สามารถท่องเที่ยวได้ก็ติดตามเรามาเลยจร้า...

เราเดินทางกันเมื่อวันที่ 30 เม.ย.-1 พ.ค. และครั้งนี้ลากเพื่อนสาวไปด้วย 1 คน รวมสมาชิกทั้งหมด 2 คนถ้วน หญิงล้วน ม่วนแต๊ๆ

พร้อมแล้วออกเดินทางจากกรุงเทพมหานคร เมืองฟ้าอมรที่แสนวุ่นวาย ไปสู่โลกกว้างดินแดนแห่งความอุดมสมบูรณ์ จ.เพชรบุรีกัน

ครั้งนี้ขับรถเก๋งกันไปเอง ออกจากกรุงเทพตั้งแต่ 7.30 น.แวะเรื่อยเปื่อยตลอดทาง งมทิศทางด้วยกูเกิลแมพ เพราะมาที่นี่กันเป็นครั้งแรก ถึงศูนย์บริการนักท่องเที่ยวประมาณเกือบๆเที่ยง แนะนำว่าถ้ามาถึงช่วงใกล้เที่ยง ก่อนขึ้นเขา ควรจะหามื้อเที่ยงทานให้เรียบร้อยก่อนนะคะ

การเดินทางจาก กรุงเทพฯ มาถึงศูนย์บริการนักท่องเที่ยว ณ อุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน มาได้หลายเส้นทาง

จะเข้ามาทางอำเภอหนองหญ้าปล้อง ก็ได้ หรือเข้าทางแยกอำเภอท่ายางก็ได้ มีป้ายบอกตลอดทาง

เมื่อมาถึงศูนย์บริการนักท่องเที่ยวแล้ว ก็ไปติดต่อที่ประชาสัมพันธ์และช่องจำหน่ายบัตรและค่าผ่านทางได้เลยค่ะ

จะมีเจ้าหน้าที่ให้ข้อมูลอยู่ สอบถามได้เลย

จากตรงจุดนี้ จะมีนักท่องเที่ยวที่เดินทางทั้งไป-กลับ และค้างพักแรม

การค้างพักแรมมีที่พักได้หลายจุด ดังนี้

จุดพักค้างแรม จุดที่ 1 - บริเวณที่ทำการอุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน (ตรงนี้มีบ้านพักบริการ) ติดต่อจองได้ผ่านระบบ online ตามลิงค์นี้ http://nps.dnp.go.th/reservation.php?option=home

จุดพักค้างแรม จุดที่ 2 - บริเวณรอบอ่างเก็บน้ำเขื่นแก่งกระจาน (เป็นที่กางเต็นท์)

จุดพักค้างแรม จุดที่ 3 - บริเวณด่านสามยอด (เป็นที่กางเต็นท์)

จุดพักค้างแรม จุดที่ 4 - บริเวณบ้านกร่างแคมป์ (เป็นที่กางเต็นท์)

จุดพักค้างแรม จุดที่ 5 - บริเวณเขาพะเนินทุ่งแคมป์ (เป็นที่กางเต็นท์)

จุดพักค้างแรม จุดที่ 6 - บริเวณโป่งลึก (เป็นที่กางเต็นท์)

และสำหรับทริปนี้ เราตั้งใจจะไปนอนกางเต็นท์กันบนเขาพะเนินทุ่งแคมป์ค่ะ

หลังจากได้เป้าหมายแล้ว แจ้งเจ้าหน้าที่ไปค่ะว่าจะไปค้างคืนที่เขาพะเนินทุ่ง จำนวนกี่คืนก็ว่ากันไป ส่วนเราไปค้าง 1 คืน

จ่ายค่าบริการในการผ่านทางและค่าบริการที่พักในครั้งนี้คนละ 130 บาท และค่าจอดรถอีก 30 บาท

สำหรับการขึ้นไปพักค้างแรมบนเขาพะเนินทุ่ง จะนำรถส่วนตัวขึ้นไปเองก็ได้แต่ต้องเป็นรถกระบะท้องสูง ประเภท Hi-lander,

Prerunner หรือรถขับเคลื่อน 4 ล้อ และควรมีความชำนาญในการขับขึ้นที่สูงชัน

หากไม่มีรถส่วนตัว ที่นี่มีรถเหมารับจ้างไว้บริการ โดยให้แจ้งเจ้าหน้าที่ตอนที่เราจ่ายค่าผ่านทางได้เลยว่าต้องการเหมารถขึ้นไปบนเขาพะเนินทุ่ง เจ้าหน้าที่จะทำการติดต่อรถรับจ้างให้ และนัดหมายเวลาให้เรียบร้อย

ค่าบริการรถรับจ้าง กรณีไป-กลับ (ไม่ค้างคืน) ครั้งละ 1600 บาท /กรณีค้างคืนบนเขา ครั้งละ 2000 บาท

สำหรับคนที่มากันไม่มากและต้องการแชร์ค่ารถรับจ้างกับคนอื่น ให้แจ้งเจ้าหน้าที่ไว้นะคะ เค้าจะให้เราทิ้งเบอร์มือถือไว้ เพื่อรอผู้ร่วมเดินทางคนอื่นๆที่จะมาร่วมแจมรถ ให้เราได้ติดต่อกันและตกลงจำนวนคนที่จะขึ้นไปด้วยกัน

รอบนี้เราโชคดีที่มีเพื่อนร่วมทางมาแชร์ค่ารถด้วยกันทั้งหมด 7 คน ทำให้ประหยัดค่าจ้างรถไปได้หลายบาทเลยล่ะ

คิดดูเล่นๆนะ ถ้าเหมาขึ้นกันไปแค่ 2 คนก็ได้นะ แต่ 2000 บาทหาร 2 คน ก็ตกคนละ 1000 บาท นี่ได้เพื่อนร่วมทางมาแชร์ค่าเหมารถทั้งหมดรวมแล้ว 7 คน เฉลี่ยคนละ 300 บาทเอ๊งง เลิ่ดดดดดอ่ะ

แล้วไม่ต้องรอนานมากด้วย แถมคุณอาจจะได้เจอเพื่อนร่วมทางใหม่ๆในทริปด้วยนะเออ

หลังจากติดต่อรถรับจ้างไว้เป็นที่เรียบร้อย นัดหมายเวลาที่จะขึ้นไปบนเขาไว้แล้ว เราจะขึ้นกันประมาณบ่าย 3 โมง

พอมีเวลาขอไปเก็บภาพบริเวณอุทยานฯไว้เป็นที่ระทึกกันหน่อย

สัมภาระที่นำไปด้วยในครั้งนี้ สำหรับคนที่ไม่มีเต็นท์ของตัวเองไม่ต้องกังวลแจ้ บนแคมป์มีให้เช่าพร้อมเครื่องนอนทั้งชุด ในราคา 150 บาท/ชุด

ไม่ต้องแบกไปให้เมื่อยก็ได้ แต่จะให้ดีหากกลัวว่าอากาศกลางคืนจะเย็นมาก ก็ควรเตรียมผ้าห่มไปด้วยค่ะ และจะให้ดีไปอีก หากกลัวว่าจะเจอฝนหรือน้ำค้างมาก ก็เตรียมผ้าใบคลุมเต็นท์เพื่อกันฝนและน้ำค้างไปก็ดีนะ

รถรับจ้างมาแล้วววววว

เจ้าของรถที่เราได้ร่วมเดินทางไปด้วยครั้งนี้คือคุณลุงประยุทธ์ ใจดีมากๆค่ะ หากสนใจติดต่อลุงประยุทธ์โดยตรงก็ได้นะ (เดี๋ยวจะแจกเบอร์ตอนท้าย) แต่ต้องบอกก่อนว่า หากติดต่อคุณลุงโดยตรง คุณอาจจะไม่มีคนมาแชร์ค่ารถด้วย เพราะไม่ได้ผ่านทางเจ้าหน้าที่ ต้องไปตกลงกับลุงแกเองอ่ะนะ


ได้เวลานัดหมายกับเพื่อนร่วมทางและพร้อมแล้วก็จัดสัมภาระขึ้นรถ แล้วออกเดินทางขึ้นเขากันเถอะ

มีข้อแนะนำอย่างนึงว่าหากเหมารถขึ้นไป จำนวนคนที่ไปกับรถไม่ควรเกิน 10 คน เพราะสัมภาระแต่ละคนมากน้อยไม่เท่ากัน ถ้าสัมภาระมากประมาณ 7 คนกำลังดีเลยล่ะ ถ้ารถเหมาเป็น Cab ก็เลือกนั่งหน้ากับคนขับซัก 2-3 คนสบายๆ


เส้นทางในระยะเริ่มต้น ยังสวยงามร่มรื่นอยู่ เขียวสบายตาที่สุด การขึ้น-ลงเขาพะเนินทุ่ง จะมีเวลาขึ้นและลงตามภาพค่ะ เวลารถขึ้น-ลง ไม่มีการสวนทางกัน เนื่องจากความปลอดภัยของการใช้เส้นทาง เพราะฉะนััน ดูเวลา แล้วมาให้ทันช่วงที่จะขึ้นกันด้วยค่ะ


เส้นทางหลังจากเลยแคมป์บ้านกร่างมาซักพัก เริ่มเป็นหลุมบ่อ ลาดชันและทางแคบเหลือเพียงเลนส์เดียว

จากศูนย์บริการนักท่องเที่ยว-เขาพะเนินทุ่ง มีระยะทางประมาณนี้ค่ะ

- ศูนย์บริการนักท่องเที่ยว - แคมป์บ้านกร่าง ระยะทาง 32 กิโลเมตร ใช้เวลาประมาณ 50 นาที

    - แคมป์บ้านกร่าง - พะเนินทุ่งแคมป์ ระยะทาง 16 กิโลเมตร ใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมง
      เส้นทางตั้งแต่แคมป์บ้านกร่างไปจนถึงพะเนินทุ่งจะค่อนข้างลาดชัน และมีหลุมบ่อมาก ถนนเลนส์เดียว

พวกเรามาถึงพะเนินทุ่งแคมป์ ประมาณเกือบๆ 5 โมงเย็น เมื่อมาถึงลานกางเต็นท์บนเขาพะเนินทุ่ง ก็จับจองเตรียมพื้นที่กางเต็นท์กันได้เลย เราไม่ได้เตรียมเต็นท์มาเอง ก็ไปติดต่อเจ้าหน้าที่แล้วแจ้งว่าต้องการเช่าเต็นท์ เค้าก็จะมีเต็นท์กางรอไว้อยู่แล้ว ไม่ต้องมาลำบากหรือกังวลว่าจะกางไม่เป็นนะ 555

เรียบร้อยจัดที่นอนน้อยๆของเราเสร็จสรรพ ง่ายมวากกก เพราะไม่ต้องกางเต็นท์เอง อิอิ


จัดที่นอนกันเสร็จแล้ว เริ่มหิว เพราะเราไม่ได้ทานมื้อเที่ยงก่อนขึ้นมา แต่ก็ไม่ต้องกังวลนะ บนพะเนินทุ่งแคมป์ เค้าก็มีอาหารจานเดียวแบบง่ายๆไว้บริการ แต่ๆๆ ไม่ได้มีให้เลือกเยอะนักหรอกนะ ก็อาหารแบบง่ายๆเช่น กระเพราไก่/ผัดผักคะน้า / ไข่ดาว /ไข่เจียว /ข้าวผัด และมาม่า ประมาณนี้ค่ะ แต่รสชาติดีนะ ร้านอาหารที่นี่เค้าปิดตอน 6 โมงเย็น ดังนั้นหากไม่ได้เตรียมอาหารมาทำเอง ก็ต้องมาจัดหาของกินให้เสร็จเรียบร้อยก่อน 6 โมงเย็นล่ะ

หลังจากจัดหาอาหารกระแทกปากและท้องแล้ว ก็ไปเดินชมวิวที่ กม.30

ณ จุดนี้ เป็นจุดที่สามารถชมพระอาทิตย์ตกได้ สวยๆ

ระหว่างรอดวงตะวันโผล่ให้เห็น ก็พักผ่อนชิลๆ ไป

เดี๋ยวเดียวก็ได้เจอเพื่อนมาทักทายแล้ว ฮ่าๆๆ น่ารักป่ะล่ะ

ระหว่างรอพระอาทิตย์ตก ก็มีแสงเทพมาให้ได้ชมสวยๆ แบบที่เห็นเลย

เริ่มตกเย็น นักเสพแสงทั้งหลาย ก็มารวมพลกัน ณ จุดนี้

มาแล้วววว ดวงตะวันโผล่มาให้เห็น และกำลังจะลาลับขอบเขาแล้ว รออะไร....กดรัวๆสิครัช

ไม่ผิดหวังเลยจริงๆ หลังจากดวงตะวันลาลับขอบเขา ซักพักแสงทไวไลท์งามๆก็โผล่มา

ดีต่อใจจริมๆ

เป็นที่พอใจสำหรับแสงเย็นแล้ว ก็กลับไปอาบน้ำก่อนที่จะมืดมาก และอากาศที่นี่ก็เย็นๆสบายๆไม่ถึงกับหนาว แต่ตกกลางคืนก็หนาวเหมือนกันแฮะ เพราะหลังจากแสงอาทิตย์หมด ฝนก็ตก และหลังจากฝนตกประมาณ 1 ชั่วโมง ไม่อยากจะเชื่อว่าฟ้าเปิด มีดาวเต็มฟ้า ฟินมากกกกก เห็นช้างเชือกน้อยๆด้วยนะ

แต่เราไม่สามารถถ่ายดาวมาให้ชมได้ พยายามนึกภาพตามเอาละกันนะ ^^ คือมาที่นี่ครั้งแรก แต่ได้ครบจริงๆ

ตื่นเช้ามาด้วยความสดชื่นกับอากาศเย็นๆ เรามีนัดกันไปดูทะเลหมอกที่ กม.36 ตอน 7 โมงเช้า

ระหว่างรอนัดหมายตามเวลา ก็หาอะไรรองท้องตอนเช้า และไปชมวิวที่ กม.30 ฆ่าเวลากันก่อน

จุดเริมต้นไปยังจุดชมวิว กม.30

จุดชมวิว กม.30 กับเช้านี้ที่หมอกยังไม่เป็นที่พอใจเท่าไหร่ แต่ไม่เป็นไร เรายังมีที่ให้แก้ตัวอีกจุดที่ กม.36

ในขณะที่หลายๆคนกำลังจับจองพื้นที่ชมทะเลหมอกอยู่นั้น เมื่อหันหลังกลับมา ก็เจอกับแสงอาทิตย์ที่ส่องทะลุต้นไม้พอดี

สวยไม่ผิดหวังเลย

ดูซิ ดูซิ

ที่นี่ไม่มีแม่คนิ้ง ไม่มีเหมยขาบ แต่มีสิ่งนี้ หยาดน้ำเพชร ต้องเรียกแบบนี้จริงๆอ่ะ

ฟินมั๊ยถามใจเธอดู

และแล้ว ได้เวลานัดหมาย 7.00 น. เราไปชมหมอกที่ จุดชมวิว กม.36 กัน

ห่างจากจุดชมวิว กม.30 ประมาณ 6 กม.

ดูเอาเถอะคุณขา

ชื่นชมกับทะเลหมอก จนหนำใจ ได้เวลาที่เราจะต้องเดินทางลงจากเขาแล้ว

แต่ทริปนี้ก็ยังไม่จบ เพราะเราต้องไปหยอกเย้าผีเสื้อที่แคมป์บ้านกร่างกันก่อน

แคมป์บ้านกร่าง จะเป็นจุดที่มีผีเสื้อเยอะมากๆ โดยในช่วงเดือน มี.ค.-มิ.ย.ของทุกปี เป็นช่วงที่จะได้เจอกับผีเสื้อหลากหลายสายพันธ์ เยอะแยะมากมาย ชนิดที่ว่ามาเกาะนิ่งๆติดตัวเลยก็มี

และสถานีต่อไปที่ต้องห้ามพลาดสำหรับการมาท่องเที่ยวที่นี่ก็คือ อุโมงค์ต้นไม้

ความสวยของอุโมงค์ต้นไม้ที่นี่ มันช่างสะดุดตาและร่มรื่นมากๆ

และสุดท้ายแล้วจริงๆสำหรับทริปนี้

สะพานแขวน ณ อุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน กับฟ้าสวยๆ

ปิด JOB กับทริปนี้แบบ ลุยๆ ชิลๆ ไปเองได้ง่ายๆ


สรุปค่าใช้จ่ายตลอดทริป

1. ค่าน้ำมันรถ(โดยประมาณ) = 400

2. ค่าเหมารถ 2 คนๆละ 300 บาท = 600

3. ค่าเต็นท์ 1 หลังนอน 2 คนๆละ 150 บาท = 300

4. ค่าข้าว+ขนม = 500

รวมค่าเสียหายทั้งสิ้น 1,800 บาท หาร 2 คน เฉลี่ยคนละ 900 บาท

คือดีอ่ะ ค่าใช้จ่ายต่อคนไม่เกินคนละ 1,000 บาท เที่ยวหลักพันแต่ได้ความสุขระดับล้าน แบบนี้จะรออะไรอี๊ก


================= ออกไปเจอโลกกว้าง ออกไปตามหาหัวใจ ออกไปสัมผัสเมืองไทยด้วยกัน ================

** และขอขอบคุณทุกท่านที่หลงเข้ามาอ่าน และติดตามด้วยนะคะ **

แล้วเจอกันใหม่ทริปหน้า


ฝากผลงานรีวิวทริปอื่นๆของเจี๊ยบด้วยนะคะ

1. รีวิวแรก กับรักแรกพบที่กาญนะจ๊ะบุรี

https://th.readme.me/p/5883

2. ONE DAY TRIP เดินตามรอยพ่อ ที่โครงการชั่งหัวมันตามพระราชดำริ

https://th.readme.me/p/6160

3. เขาสก เชี่ยวหลาน การเดินทางที่แสนพิเศษ

https://th.readme.me/p/8688

4. ชุมพร On My Way Serie#1

https://th.readme.me/p/9144



Tiewplearn By Jeab

 วันพุธที่ 17 พฤษภาคม พ.ศ. 2560 เวลา 23.38 น.

ความคิดเห็น