ว่ากันตรงๆ ผมว่าเกิน 50% ของคนที่เกิดในยุคปี 70-80 หรือที่หลายๆ คนมักจะเรียกว่าวัยรุ่นยุค 90 น่ะ น่าจะเคยได้ยินหรือดูละครที่ชื่อ “อุ้มรัก" แน่ๆ เพราะละครเรื่องนี้โด่งดังมากมายในตอนนั้น และส่งผลให้สถานที่ถ่ายทำในเรื่องอย่างโฮมพุเตย รีสอร์ท จ.กาญจนบุรี เป็นหนึ่งในจุดหมายปลายทางทางที่หลายๆ คนพยายามจะหาโอกาสไปสัมผัสซักครั้งให้ได้

.

.

.

.

และนั่นก็เป็นความทรงจำครั้งแรกของผมกับที่พักที่ชื่อว่าโฮมพุเตย รีสอร์ท และในที่สุดหลังจากที่เวลาผ่านไปราวๆ 10 ปี ผมก็ได้มีโอกาสมาเยือนในสถานที่แห่งนี้ และไม่น่าเชื่อจริงๆ ที่สถานที่แห่งนี้มันจะมีทุกอย่างครบรสอย่างที่ผมไม่คาดคิดมาก่อน ทั้งวิวที่สวยงาม, ธรรมชาติที่สดชื่น, ความสงบที่ห่างจากเมือง, ความมันส์จากกิจกรรมโลดโผนบนต้นไม้ และก็สาระจากพิพิธภัณฑ์สมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 พร้อมกับโบกี้รถไฟจริงๆ ที่อยู่ในเหตุการณ์นั้น ถ้าใครไม่เชื่อว่ามันจะมีครบทุกรสชาติขนาดนี้ ตามไปดูพร้อมๆ กันกับผมเลยครับ



โฮมพุเตย รีสอร์ทเป็นโรงแรมที่อยู่ในเขตอำเภอไทรโยค ใช้เวลาเดินทางมาจาก กทม. ประมาณ 2 ขั่วโมงครึ่ง โดยสามารถขับมาตาม GPS ได้เลย สำหรับคนที่เอารถส่วนตัวมาก็จะสามารถขับรถได้จนถึงบริเวณหน้า Lobby เลย แต่สำหรับคนที่เดินทางไปด้วยรถขนาดใหญ่ เช่น รถทัวร์ปรับอากาศจะต้องลงที่บริเวณด้านหน้ารีสอร์ทตรงติดถนนใหญ่ก่อน จากนั้นจะมีรถรับส่งภายของรีสอร์ทพาเราไปที่หน้า Lobby อีกครั้ง โดยใช้เวลานั่งรถไปอีกราวๆ 10 นาที ซึ่งสาเหตุที่ต้องเปลี่ยนรถก็เพราะเส้นทางในช่วงนี้เป็นเส้นทางลาดลงเขาต่อเนื่อง ไม่เหมาะกับรถโดยสารขนาดใหญ่นั่นเอง



เมื่อเรามาถึงหน้า Lobby ซึ่งเป็นแบบ Open Air แล้ว ก็จะมีพนักงานเอา Welcome Drink มาให้ โดยวันที่ผมไปนั้นเป็นน้ำใบเตยครับ หอมอร่อยดี จากนั้นผมก็ทำการ Check in และก็รับกุญแจเพื่อไปเก็บของที่ห้อง โดยที่พักของโฮมพุเตยนั้นจะมีทั้งหมด 3 ประเภท ได้แก่ Superior, Deluxe แล้วก็ River Deluxe ครับ เริ่มแรกเราไปดูหน้าตาของห้อง Superior กันก่อนดีกว่า ตัวห้อง Superior นั้นจะอยู่ในอาคารที่มีหน้าตาประมาณนี้ เป็นอาคารยาวๆ แล้วแบ่งเป็นหลายห้อง วิวหน้าห้องเป็นบ่อน้ำขนาดใหญ่ที่ในช่วงเวลาเช้าๆ และเย็นๆ จะดูแล้วสดชื่น สวยสบายตาดีครับ



เปิดไปดูตัวห้องพบว่าห้องใหญ่ใช้ได้เลย วาง 2 เตียงแล้วยังเหลือที่อีกตั้งเยอะ ส่วนสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ เช่น TV, ตู้เย็นมีให้ครบครันตามมาตรฐานที่พักระดับนี้ แต่สิ่งที่ผมแปลกและขัดใจกับห้องนี้ที่สุดก็คือห้องน้ำครับ ผมว่า Lay out มันวางแปลกไปหน่อย แล้วก็อ่างอาบน้ำนี่ทำมาเตี้ยจนน่าแปลกใจเลย



ถัดจากห้อง Superior ก็เป็นห้อง Deluxe ซึ่งเป็นห้องที่ผมนอน ดังนั้นห้องนี้จะมีรูปเยอะหน่อยนะครับ บริเวณหน้าบ้านของห้อง Deluxe นั้นจะเป็นต้นไม้ใบหญ้าธรรมดา สวยไม่สู้ห้อง Superior แต่มีข้อดีคือเดินไป Lobby และที่กินข้าวใกล้กว่าครับ



ตัวห้องมีขนาดใหญ่เช่นเดียวกัน วาง 2 เตียงแล้วยังเหลือที่อีกเยอะ ที่สำคัญคือเตียงไม่ใช่เตียงเล็กด้วยครับ อุปกรณ์ต่างๆ ในห้องมีให้ครบเช่นเดียวกัน ชา, กาแฟ, เครื่องต้มน้ำ, TV, ตู้เย็น, ตู้เสื้อผ้ามีพร้อม ส่วนการตกแต่งภายในห้องผมว่าสวยและเก๋ดี เพราะเป็นการเอาไม้ตามธรรมชาติมาทำโซฟา เฟอร์นิเจอร์และโคมไฟ



ตัวห้องน้ำ กว้าง สวยงามและลงตัวมาก เปิดเข้าไปเราจะเจออ่างล่างหน้าก่อน ส่วนฝั่งซ้ายมือจะเป็นห้องอาบน้ำ และขวามือจะเป็นสุขา เรียกว่าแยกส่วนเปียกแห้งได้อย่างชัดเจน อุปกรณ์ในห้องน้ำมีให้ครบเช่นกัน ยกเว้นแปรงสีฟันกับยาสีฟัน ชักโครกเองก็มีสายฉีดชำระให้ใช้งานได้สบายๆ



โดยรวมๆ ผมประทับใจในห้อง Deluxe นี้มาก และคิดว่าน่าจะนอนสบายแน่นอน เอาล่ะ......ต่อไปไปดูห้อง River Deluxe กันดีกว่าครับ ห้องนี้จะเป็น Stand Alone ออกมาเดี่ยวๆ ไม่เกี่ยวกับใคร และจะมีแค่ไม่กี่ห้องเท่านั้น เพราะมันเป็นห้องที่เห็นวิวแม่น้ำแควน้อยสุดสวย



ถามว่าสวยแค่ไหนเหรอครับ คือวิวสวยแบบนี้เลย สวยแบบตอนผมเปิดเข้าไปดูตอนแรกถึงกับร้องงอแงอยากจะเปลี่ยนมานอนห้องนี้เลยทีเดียว ><



ส่วนภายในห้องก็สวยงาม กว้างขวางสมกับเป็นห้อง Type สูงสุดของที่นี่ คือบอกเลยว่าใครพอจะมีงบแล้วก็อยากได้ที่พักบรรยากาศดีๆ ฟินๆ กับคนรู้ใจ จัดห้องนี้เลยครับ คุ้ม!



อ้อ ลักษณะการตกแต่งของที่นี่นั้น เค้าจะเน้นตกแต่งด้วยไม้ และโทนสีส้มขาวนะครับ ซึ่งอย่างที่ผมเคยบอกไปในรีวิวก่อนๆ หน้านี้ว่าผมเป็นคนชอบสีส้มมาก ดังนั้นพอเจอที่พักที่ตกแต่งแบบนี้ผมนี่ชอบเลย ส่วนเรื่องที่ผมคิดว่าแปลกที่สุดสำหรับห้องของที่นี่ก็คือทุกห้องไม่มีโทรศัพท์ภายในห้องเลย ซึ่งโดยปกติแล้วเราก็ไม่ได้ใช้อะไรบ่อยมากหรอกครับ แต่บางทีมันก็อยากจะติดต่อหรือคุยอะไรกับ Lobby บ้าง ซึ่งพอเป็นแบบนี้ก็อาจจะต้องใช้โทรศัพท์มือถือหรือการเดินไปถามเอาเองแทน @_@



ดูห้องพักกันไปเสร็จแล้ว ทีนี้ไปสำรวจกันดีกว่าว่าไอ้ที่ผมพูดมาข้างต้นว่ารีสอร์ทแห่งนี้มันสวย สงบ สนุก สาระ มันส์ ครบครันในที่เดียว เนี่ยมันจะจริงมั้ย แต่ก่อนอื่นเลยเราก็ต้องเริ่มจากดูแผนที่ของรีสอร์ทก่อนว่ามันมีอะไรให้เราทำบ้าง ซึ่งเท่าที่ดูมันก็มีตั้งแต่


• สระว่ายน้ำ

• ทะเลสาบ

• บ่อน้ำร้อน

• Tree Top Adventure Park

• พิพิธภัณฑ์ Sir Edward Weary Dunlop

• River Kwai Bridge Mini Light and Sound Show

• น้ำตก



ซึ่งพอดูแผนที่แล้วก็จะพบว่ามันมีกิจกรรมอะไรให้ทำเยอะเหลือเกิน แต่โชคดีที่ผมได้เข้ามาพักที่นี่สองคืน ผมก็เลยสามารถแบ่งกิจกรรมเป็นสองวันได้ และก็ทำให้ไม่ต้องเร่งรีบกับการทำแต่ละกิจกรรมมากนัก และจากการสอบถามพบว่ากิจกรรม River Kawi Bridge Mini Light and Sound Show นั้น เป็นกิจกรรมพิเศษที่นานๆ จะมีซักครั้ง และในช่วงที่ผมไปนั้นน้ำตกภายในรีสอร์ทไม่มีน้ำ มันจะมีน้ำสวยๆ ในช่วงฤดูฝนเท่านั้น ดังนั้นผมก็เลยสามารถตัดออกไปได้สองรายการครับ



กิจกรรมที่ผมเลือกทำในลำดับแรกก็คือ สระว่ายน้ำ, ทะเลสาบ แล้วก็บ่อน้ำร้อน เพราะมันอยู่ใกล้ๆ กัน โดยตัวสระว่ายน้ำของที่นี่นั้นเก๋มาก เพราะขอบด้านนึงของมันแทบจะแนบชิดกับทะเลสาบเลย เรียกได้ว่าว่ายน้ำไปฟินกับวิวสวยๆ ไป ยิ่งถ้าเป็นช่วงเช้าๆ ของฤดูหนาวหรือฤดูฝนนะ ผมคิดว่ามันต้องมีหมอกไหลแบบสวยๆ แน่เลย



ในรูปสระว่ายน้ำข้างบนนั้น ถ้าใครสังเกตดีๆ จะเห็นว่ามันแบ่งเป็นสองสระ สระใหญ่ๆ ที่อยู่ใกล้ตัวเรานั้นจะเป็นสระว่ายน้ำธรรมดา ส่วนสระเล็กๆ ที่อยู่ติดกับทะเลสาบจะเป็นสระที่เป็นน้ำแร่ร้อนจากธรรมชาติ และนี่แหละที่ถือเป็นจุดเด่นมากๆ อย่างนึงของโฮมพุเตย รีสอร์ท



การที่มีน้ำแร่ร้อนจากธรรมชาติแบบนี้ ทำให้คนที่ได้มาพักผ่อนที่นี่ได้มีกิจกรรมอะไรทำหลายอย่างมากขึ้น ซึ่งนอกจากสระว่ายน้ำแล้ว ยังมีบ่อน้ำแร่ร้อนที่สามารถเอาเท้าลงไปแช่ได้อีก 3 บ่อครับ บ่อ 3 บ่อนี้จะอยู่ข้างๆ กับสระว่ายน้ำเลย ใครอยากจะแช่เท้าสบายๆ ผ่อนคลายกล้ามเนื้อ กระตุ้นการไหลเวียนของเลือดก็มาแช่ได้เลยครับ แต่ผมขอบอกไว้ก่อนนะครับว่าความร้อนของ 3 บ่อนี้เหมือนจะไม่เท่ากัน ดังนั้นก่อนที่จะเอาเท้าเราลงไปแช่เต็มๆ อยากจะให้ลองเอามือสัมผัสเบาๆ ที่ผิวน้ำก่อนนะว่าเราจะไหวมั้ย



ส่วนตัวทะเลสาบนั้น เค้าก็มีบริการคายัคให้เราพายแล้วก็เรือเป็ดให้เราถีบฟรีๆ ด้วยนะครับ และก็ไม่ต้องเป็นกังวลเรื่องความปลอดภัยไป เพราะที่ใกล้ๆ กับเรือเหล่านี้เค้าจะมีเสื้อชูชีพวางไว้ให้เราเอาไปสวมใส่เพื่อความปลอดภัย ซึ่งแนะนำเลยว่าควรจะต้องใส่ทุกครั้งและทุกคน



จบจากกิจกรรมที่ทะเลสาบแล้ว กิจกรรมที่ผมเลือกจะทำอันถัดไปก็คือ Tree Top Adventure หรือ กิจกรรมสุดสนุกบนต้นไม้ขนาดยักษ์นั่นเอง โดย Tree Top Adventure Park ของโฮมพุเตย รีสอร์ทนั้น มีมากถึง 40 ฐานด้วยกัน ซึ่งถือเป็น Tree Top ที่มีความสมบูรณ์ที่สุดในประเทศไทยแห่งหนึ่งเลยครับ ซึ่งข้อกำหนดและระเบียบที่สำคัญของคนที่จะเล่นกิจกรรมนี้ก็คือจะต้องแต่งชุด Safety ต่างๆ ให้เรียบร้อยตามมาตรฐาน รวมทั้งทำการอบรมวิธีการเล่นและฝึกใช้งานอุปกรณ์ที่ด้านล่างให้เรียบร้อยก่อนขึ้นเล่น



สำหรับคนที่ไม่รู้จัก Tree Top นั้น ผมก็ขอเกริ่นสั้นๆ ให้ฟังก่อนนะครับว่า Tree Top มันก็คือการทำกิจกรรมโลดโผนบนต้นไม้ขนาดใหญ่ไปเรื่อยๆ เช่น โหนเชือก, เดินสะพานเชือก, เดินบนตาข่ายหรือทางเดินไม้ขนาดเล็กๆ ที่แยกจากกันเป็นช่วงๆ หรือแม้กระทั่งการโหนซิปไลน์ ซึ่ง Tree Top ที่โฮมพุเตยนั้นมีมากถึง 40 ฐานด้วยกัน และซิปไลน์ที่ยาวที่สุดจะยาว 185 เมตร โดยเป็นการซิปไลน์ข้ามบึงเอื้ออารีย์หรือทะเลสาบตรงสระว่ายน้ำนั่นแหละครับ บอกเลยว่ามันยาวมากกกกกจริงๆ



หากใครที่ต้องการจะเล่น Tree Top แบบ Full Course ครบ 40 ฐานนั้นก็ควรจะเผื่อเวลาในการเล่นรวมทั้งเวลาในอบรมความปลอดภัยราวๆ 1.30 ชั่วโมงครับ โดยในเรื่องของความปลอดภัยนั้น ทาง Tree Top ได้ผ่านมาตรฐานความปลอดภัยของฝรั่งเศสรวมทั้งยังมีเจ้าหน้าที่คอยดูแลเราตลอดเส้นทางด้วย ดังนั้นสบายใจในเรื่องนี้ได้เลยครับ โดยหลักการง่ายๆ ของความปลอดภัยคือ มันจะมีเชือกและห่วงที่คอย safe เราอยู่ 2 ห่วง ห่วงนึงในนั้นจะเรียกว่าห่วงตัว C ซึ่งห่วงนี้มันจะมีจุดที่เราสามารถใส่ห่วงและปลดห่วงได้เพียงแค่จุดเริ่มต้นและจุดสุดท้ายของการเล่นเท่านั้น มันจะไม่สามารถปลดระหว่างทางได้เองเลย ดังนั้นห่วงตัวนี้แหละครับที่จะคอยดูแลความปลอดภัยเราตลอดเส้นทาง



สำหรับราคาในการเล่นแบบ Full course (40 ฐาน) จะอยู่ที่ 1,600 บาทต่อคน ส่วนแบบ Half course (20 ฐาน) จะอยู่ที่ 1,000 บาทต่อคน ซึ่งบอกเลยว่าเล่นแค่ครึ่งเดียวก็สนุกมากๆ แล้ว โดยเฉพาะฐานที่ชื่อว่าทาร์ซาน มันสนุกมากกกกครับ ตัวผมเองในวันนั้นก็เล่นไป 20 ฐานด้วยกัน แต่จะบอกว่า 20 ฐานที่ผมเล่นนั้น มันไม่ใช่ 20 ฐานธรรมดานะครับ เพราะเป็น 20 ฐานที่จะต้องเล่นในช่วงตอนกลางคืนที่พระอาทิตย์ตกไปแล้วหรือที่เรียกว่า Night Tree Top นั่นเอง โดย Night Tree Top ถือเป็นกิจกรรมใหม่ของทางโฮมพุเตยและยังไม่ได้มีการเปิดตัวอย่างเป็นทางการเลย ซึ่งผมอยากจะบอกว่ามันเป็นอะไรที่สนุกและแปลกใหม่มากกกก เพราะมันจะมืดจนเรามองอะไรไกลๆ ไม่เห็นเลย เอาเป็นว่าท่านใดที่เล่น Tree Top ตอนกลางวันจนเบื่อ และรู้สึกว่ามันหมดสนุกแล้ว อยากหาอะไรแปลกใหม่เล่นเพิ่มเติม หรือไม่ก็อยากเอาเวลาตอนกลางวันไปทำอย่างอื่นแทน ผมแนะนำว่าให้มาลองเล่น Night Tree Top ที่นี่ได้เลยครับ บอกเลยว่ามันดีมาก!



อ้อ เพื่อความปลอดภัย ผมเอาคำเตือนที่น่าสนใจของการเล่นกิจกรรมนี้ฝากกันด้วยนะครับ แล้วก็สิ่งสำคัญสุดๆ สำหรับการเล่นกิจกรรมแบบนี้ก็คือ เราต้องมีสติอยู่เสมอและปฏิบัติตามคำแนะนำของ Staff ผู้ที่ดูแลอย่างใกล้ชิดนะครับ



ทั้งนี้ระหว่างช่วงเวลาที่ผมกับเพื่อนๆ อบรมพื้นฐานเกี่ยวกับการเล่น Tree Top และรอพระอาทิตย์ตกเพื่อจะขึ้นไปโลดโผนบนนั้นในช่วงเวลากลางคืน มันจะมีเวลาว่างอยู่ช่วงหนึ่ง พวกผมก็เอาเวลานั้นแหละไปกินข้าวเย็นกัน และนี่เป็นบรรยากาศในที่กินข้าวเย็นของผมในวันนั้น เป็นวิวแม่น้ำแควน้อยในช่วงที่พระอาทิตย์กำลังลาลับขอบฟ้า สวยงามมากๆ เลยครับ



หลังจากการกินข้าวและทำกิจกรรมอะไรอีกเล็กน้อยเพื่อให้อาหารย่อยซักพัก ผมก็กลับไปเล่น Night Tree Top ตามที่ได้บอกไว้ก่อนหน้านี้ โดยวันนั้นผมเล่นจบราวๆ 3 ทุ่มครึ่ง และแน่นอนว่าในคืนนั้นผมกลับห้องไปอาบน้ำแล้วก็หลับสนิทแบบไม่รู้เรื่อง ตื่นมาอีกทีก็ 8 โมงเช้าเลยครับ เรียกว่าอดไปดูบรรยากาศเช้าๆ ตอนพระอาทิตย์พึ่งขึ้นเลย T_T



พอตื่นมาได้ซักพัก ผมก็อาบน้ำอาบท่า แล้วก็ไปทานอาหารเช้า เพราะมีนัดหมายว่าช่วงประมาณ 10 โมง จะต้องไปดูพิพิธภัณฑ์ Sir Edward Weary Dunlop กับเพื่อนๆ สำหรับไลน์อาหารเช้าของโฮมพุเตยนั้น ไม่ได้มีอะไรมากนัก จะมีไส้กรอก, แฮม, ไข่. ข้าวต้ม. ขนมปัง, สลัด, ซีเรียล, ข้าว+อาหาร 1-2 อย่าง แล้วก็ผลไม้ครับ โดยจากที่ผมได้มีโอกาสกินอาหารเช้าที่นี่ 2 วันก็พบว่าเมนูไม่ค่อยต่างกันมาก ต่างกันแค่ตรงอาหาร 1-2 อย่าง กับมีปาท่องโก๋ในบางวันเท่านั้นเอง



ทานข้าวเสร็จ นั่งพักย่อยไม่นานก็ถึงเวลาที่ผมต้องไปเดินชมพิพิธภัณฑ์ Sir Edward Weary Dunlop แล้วครับ โดยพิพิธภัณฑ์นี้เป็นพิพิธภัณฑ์ที่คุณตาเจ้าของโฮมพุเตย รีสอร์ทคนแรก สร้างขึ้นมา เพราะตัวคุณตาได้มีความสัมพันธ์ที่ดีมากๆ กับ Sir Edward Weary Dunlop แพทย์ศัลยกรรมเชลยสงคราม หนึ่งในบุคคลสำคัญในเหตุการณ์ทางรถไฟสายมรณะในสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 โดยหลังจากที่จบสงครามโลกครั้งที่ 2 นั้นไปซักพักนั้น Sir Edward Weary Dunlop และทหารผ่านศึกบางคนได้เดินทางกลับมาที่ไทย และล่องเรือผ่านแม่น้ำแควน้อยจนมาพบกับคุณตาและเกิดสายสัมพันธ์ต่างเชื้อชาติที่แน่นแฟ้นขึ้น และเมื่อ Sir Edward Weary Dunlop ได้เสียชีวิตลง คุณตาก็ได้ทำพิพิธภัณฑ์แห่งนี้ขึ้นมาเพื่อเป็นการเตือนใจหลายอย่าง รวมทั้งสะท้อนถึงเรื่องราวความยากลำบาก ความทารุณโหดร้ายที่เกิดขึ้นในสงครามครั้งนั้น



ว่ากันตามตรง ตัวพิพิธภัณฑ์ไม่ได้สวยงามมาก แต่มีถ้อยคำ, ภาพ และเนื้อหาที่มีคุณค่าทางประวัติศาสตร์อยู่มากมายเลย หลายๆ อย่างไม่คิดไม่ฝันว่าจะเจอที่นี่ หรือนึกไม่ถึงเลยว่าสมัยนั้นมันจะโหดร้ายเช่นนี้ ทั้งภาพถ่ายสมัยนั้น, ภาพวาดที่เชลยสงครามเสี่ยงวาดในค่าย. ภาพการทารุณอันโหดร้ายต่างๆ นานา. อุปกรณ์การแพทย์แบบ DIY ที่ต้องใช้ของที่มีมาทำเป็นยาฆ่าเชื้อ ขวดน้ำเกลือ หูฟังหมอ ขาเทียม เครื่องกายภาพบำบัด เป็นต้น



มันเป็นอะไรที่ดูแล้วทำให้รู้สึกเศร้า หดหู่ สงสาร และก็ทำให้รู้เลยว่าสงครามมันโหดร้ายเพียงใด และดีแค่ไหนที่มันได้จบลง



เห็นหน้าตาพิพิธภัณฑ์แบบนี้ อยู่ไกลขนาดนี้ ผมอยากจะบอกเลยว่าในแต่ละปีโดยเฉพาะช่วงที่คุณตายังมีชีวิตอยู่ มีผู้ที่เกี่ยวข้องกับสงครามโลกครั้งนั้น, ผู้นำและลูกเสือบางประเทศ โดยเฉพาะออสเตรเลียกับนิวซีแลนด์ ต่างก็แวะเวียนกลับมาเยี่ยมและเรียนรู้เกี่ยวกับเรื่องราวต่างๆ ที่นี่เป็นประจำทุกปีเลย โดยเฉพาะในช่วงวันที่ 25 เมษายน ซึ่งเป็นวัน Anzac Day (Australian and New Zealand Army Corps) วันที่ชาวออสเตรเลียและนิวซีแลนด์ทุกคนร่วมรำลึกถึงวีรชนทหารกล้าที่สละชีวิตในสงครามและเหตุการณ์สู้รบต่างๆ โดยสถานที่แห่งนี้ก็ได้เป็นอีก 1 สถานที่ในการจัดงานที่รำลึกถึงเหตุการณ์ในครั้งนั้น นอกจากสถานที่จัดงานที่เราคุ้นหูอย่างช่องเขาขาดครับ



และนี่ก็เป็นภาพของเครื่องมือการแพทย์ต่างๆ ที่ทางโฮมพุเตยเค้าจำลองขึ้นมาเพื่อให้เห็นว่าในสมัยนั้นมีการรักษาพยาบาลกันแบบใด และสุดท้ายก็คือจุดที่สำคัญที่สุดในพิพิธภัณฑ์แห่งนี้ซึ่งก็คือโบกี้รถไฟที่อยู่ในเหตุการณ์นั้นจริงๆ จำนวน 2 ตู้ด้วยกัน โดยคุณตาได้เป็นคนไปประมูลมาครับ (เฉพาะ 2 ตู้หลังสุดนะครับ ส่วนหัวรถไฟช่วงแรกๆ นั้นไม่ได้อยู่ในเหตุการณ์ครั้งนั้น) บอกเลยว่าตอนที่เข้าไปยืนดูใกล้ๆ นี่ผมรู้สึกขนลุกมากๆ เลย



ผมกับเพื่อนๆ ใช้เวลาอยู่ที่พิพิธภัณฑ์แห่งนี้ราวๆ 2 ชั่วโมง จากนั้นก็ไปกินข้าวเที่ยงกัน พร้อมกับเตรียมตัวเพื่อไปร่วมอีกกิจกรรมนึง ซึ่งน่าสนใจไม่แพ้กิจกรรมที่ผ่านมา นั่นก็คือการเดินป่าไปยังหมู่บ้านมอญแล้วก็ไปจบที่ เรือนแพริเวอร์แคว จังเกิ้ล ราฟท์ รีสอร์ท (River Kwai Jungle Raft Resort) ซึ่งเป็นริสอร์ทที่อยู่ในเครือเดียวกันกับโฮมพุเตย



การเดินทางในครั้งนี้จะต้องใช้การเดินเท้าประมาณ 2 ชั่วโมงครึ่ง โดยจะมีไกด์ท้องถิ่นเป็นคนนำทางไป ซึ่งจริงๆ แล้วจากระยะทางนี้จะใช้เวลาในการเดินจริงๆ ก็ไม่เกินครึ่งชั่วโมง แต่ด้วยความที่ว่ามันต้องผ่านหมู่บ้านมอญแล้วก็จุดที่น่าสนใจอีกหลายจุดทำให้เราใช้เวลามากกว่าที่ควรจะเป็นเยอะเลย โดยจุดแรกที่เราแวะก็คือวัดมอญ ซึ่งจุดเด่นของวัดมอญก็คือรูปปั้นสิงห์นี่แหละครับ เห็นเด่นเป็นสง่ามากๆ



จบจากวัดมอญเราก็เดินเข้าไปยังหมู่บ้าน ซึ่งจะผ่านพระธาตุอินทร์แขวนจำลองด้วย โดยชาวมอญที่นี่จะยังแต่งตัวตามวิถีชีวิตดั้งเดิมของเค้าอยู่ รวมทั้งยังมีของต่างๆ เช่น เสื้อผ้า, ทานาคา, ขนม จำหน่ายด้วย ตัวผมวันนั้นก็อุดหนุนซื้อทานาคามาแล้วก็ให้แม่ค้าที่ร้านทำการแต่งหล่อให้เสร็จสรรพเลย ><



ลักษณะบ้านของชาวมอญเดิมๆ นั้น จะเป็นไม้เป็นหลัก แต่ต่อมาโครงสร้างบางส่วนโดยเฉพาะฐานรากโดนปลวกทำลายบ่อยมาก ดังนั้นจึงเริ่มมีการปรับเปลี่ยนวัสดุตรงเสาด้านล่างใหม่ให้กลายเป็นปูนแทน



สิ่งนึงที่เป็นเอกลักษณ์ของบ้านมอญก็คือ เค้าจะมีหิ้งพระตั้งอยู่ แต่หิ้งพระนี้ชาวมอญจะถือว่าเป็นคนละส่วนกับบ้าน จะไม่นำมาปนกันดังนั้นเค้าก็จะทำการตีเป็นกล่องยื่นออกมาจากตัวบ้านแทน สังเกตดูที่รูปที่สามจะเห็นว่ามีกล่องสี่เหลี่ยมที่ยื่นออกมาจากตัวบ้านอยู่ครับ นั่นก็คือหิ้งพระนั่นเอง



ส่วนภาพนี้เป็นภาพที่ผมเห็นแล้วรู้สึกหลายอย่างมากๆ เพราะไม่ว่าจะเป็นชนชาติใด หากอาศัยอยู่ในไทย ล้วนแล้วแต่รักและเทิดทูนพระองค์ท่านจริงๆ



นอกจากบ้านเรือนต่างๆ ของชาวมอญแล้ว สิ่งที่น่าสนใจของที่นี่อีกก็คือ โรงช้าง แล้วก็โรงเรียนชาวมอญ โดยเดิมโรงช้างที่นี่มีช้างหลายเชือกมากแต่พอเวลาผ่านไปก็เหลือแค่เชือกนี้เชือกเดียวเท่านั้นซึ่งตอนนี้อายุคุณเธอก็สี่สิบกว่าปีเข้าไปแล้ว



ส่วนโรงเรียนชาวมอญนั้น จะเป็นโรงเรียนที่เปิดสอนเฉพาะในวันเสาร์-อาทิตย์ เท่านั้น โดยจุดประสงค์หลักของโรงเรียนนี้ก็คือ เป็นโรงเรียนวัฒนธรรมที่สอนภาษามอญ และวัฒนธรรมมอญ เพราะไม่ต้องการให้เด็กๆ ลืมความเป็นมอญของตัวเอง โดยลักษณะของโรงเรียนจะเป็นอาคารชั้นเดียวเล็กๆ จุคนได้ประมาณ 20-30 คน ซึ่งก็พอดีกับจำนวนเด็กในหมู่บ้าน ส่วนคุณครูก็มีเพียงท่านเดียวเท่านั้น ส่วนในวันธรรมดาจันทร์-ศุกร์นั้น เด็กในหมู่บ้านจะไปเรียนที่โรงเรียนไทยตามปกติครับ



หลังจากชมหมู่บ้านมอญเสร็จเราก็เดินไปที่หมายรองสุดท้ายนั่นก็คือถ้ำพระและก็จุดชมวิว ตรงจุดชมวิวนี่สวยดีครับ เห็นวิวธรรมชาติที่ไม่ได้เห็นมานานมากๆ คิดถึงวิวแบบนี้จริงๆ



และสุดท้ายหลังจากที่เราเดินทางกันมายาวนานในที่สุดเราก็มาถึงเรือนแพริเวอร์แคว จังเกิ้ล ราฟท์ รีสอร์ท (River Kwai Jungle Raft Resot) ซักที ตัวจังเกิ้ล ราฟท์ นั้นจะเป็นที่พักแบบแพบนน้ำ มีทั้งหมด 2 หลังยาวๆ เค้าเรียกแพต้นกับแพปลาย โดยแต่ละแพจะมีที่พักทั้งหมด 60 ห้อง แล้วก็มีห้องอาหาร, บาร์ แล้วก็มีบริการนวดแผนไทย เอาไว้นวดแก้ปวดเมื่อยครับ



ที่พักที่นี่นั้นเก๋มากๆ เพราะว่าเค้าจะไม่ใช้ไฟฟ้ากัน โดยจะใช้การจุดตะเกียง ทำให้เวลาเข้าห้องน้ำห้องท่าตอนมืดๆ นี่คลาสสิคย้อนยุคดี ส่วนสัญญาณ Internet นั้นไม่ต้องพูดถึงริบหรี่มากจนเรียกว่าไม่มีจะดีกว่า และทางจังเกิ้ล ราฟท์ เองก็ไม่ได้มีบริการ Wifi ด้วย ดังนั้นเรียกว่าถ้าเรามาอยู่ตรงนี้ก็เหมือนเราตัดขาดจากโลกภายนอกและมานั่งอยู่กับตัวเอง กับคนรอบข้างให้มากขึ้นครับ



ตัวจังเกิ้ล ราฟท์ นั้นเคยได้รับการยกย่องให้เป็น 1 ใน 4 โรงแรมลอยน้ำที่ดีที่สุดในโลกจากหนังสือพิมพ์ Daily Telegraph ที่ประเทศอังกฤษด้วยนะครับ รวมทั้งยังได้รางวัลอีกหลายอย่างจากต่างประเทศด้วย ดังนั้นจึงไม่น่าแปลกใจที่จะมีชาวต่างชาติมาที่นี่เยอะมาก โดยการเดินทางมาที่นี่นั้น หากไม่เดินเท้าจากโฮมพุเตยมาแบบกลุ่มผม ก็จะสามารถมาโดยทางเรือได้อีกทาง แต่เราจะไม่สามารถขับรถมาถึงที่นี่ได้เองนะครับ บอกแล้วว่ามันเก๋และตัดขาดจากโลกภายนอกจริงๆ



ตัวห้องพักของที่นี่นั้นขนาดไม่กว้างมาก แต่สามารถนอนได้อย่างพอเพียง ไม่มีแอร์เพราะตอนกลางคืนอากาศจะเย็นสบาย มีมุ้งไว้กันยุง แล้วก็มีเปลเก๋ๆ เอาไว้นอนเล่นทั้งหน้าห้องและหลังห้อง นอนชิวๆ ดูสายน้ำไหลผ่านโดยมีกระแสลมเบาๆ กระทบหน้ามันฟินมากครับ



ห้องพักของที่นี่มีห้องน้ำในตัว ขนาดไม่ใหญ่มาก ไม่ได้แยกส่วนเปียกส่วนแห้ง ส่วนชักโครกมีสายฉีดชำระให้เรียบร้อยครับ



ส่วนกิจกรรมหลักๆ ที่ทำที่นี่นอกจากการกิน นอนชิวๆ แล้วก็จะมีการดูช้างลงมาเล่นน้ำ ซึ่งก็คือช้างเชือกเดียวกับที่เห็นที่หมู่บ้านมอญนั่นแหละครับ ในช่วงเช้ากับเย็นๆ เค้าจะลงมาเล่นน้ำที่แม่น้ำแควน้อยแถวๆ ที่เราพัก



กิจกรรมถัดมาซี่งเป็นกิจกรรมที่ผมชอบมากๆ ก็คือการกระโดดลงแม่น้ำแควน้อยน้ำแล้วปล่อยให้ตัวไหลไปกับกระแสน้ำ มันสนุกและเย็นสบายมากกกกก แต่แนะนำว่าต้องเล่นช่วงที่แดดไม่แรงเท่านั้นนะครับไม่งั้นจะเพลียและดำได้ และก็ที่สำคัญไม่ว่าจะว่ายน้ำเก่งเพียงใด ต้องใส่เสื้อชูชีพทุกครั้งเพราะอะไรก็เกิดขึ้นได้ และกระแสน้ำไหลค่อนข้างแรงเลย



สำหรับวิธีการเล่นก็ง่ายๆ ครับ เริ่มจากให้เราไปเอาเสื้อชูชีพ ใส่ให้เรียบร้อยแล้วก็เดินไปแพห้องแรกสุดที่อยู่ทางต้นน้ำ จากนั้นเราก็กระโดดลงน้ำ และเดี๋ยวกระแสน้ำจะพาเราไหลไปเรื่อยๆ ที่ปลายแพเอง สิ่งที่เราต้องทำคือประคองตัวเองอย่าให้ไปห่างจากแพมาก และก็สังเกตดูว่าใกล้จะถึงธงแดงซึ่งเป็นสัญลักษณ์บอกจุดสิ้นสุดของแพจังเกิ้ล ราฟท์หรือยัง เมื่อเห็นว่าใกล้จะถึงแล้วก็ให้เกาะบันไดที่อยู่หน้าห้องใครก็ได้แล้วก็ขึ้นมาจากน้ำ จากนั้นก็เล่นแบบนี้วนไปเรื่อยๆ ครับ สนุกดีครับ



หลังจากที่เล่นน้ำเสร็จราวๆ 6 โมงเย็นผมก็อาบน้ำแล้วก็นั่งทานข้าวใต้แสงตะเกียง จนถึงเวลาประมาณ 2 ทุ่มซึ่งเป็นเวลาที่มีกิจกรรมการแสดงระบำชาวมอญ ผมกับเพื่อนๆ ก็เดินไปที่แพท้ายสุดของจังเกิ้ล ราฟท์ซึ่งเป็นสถานที่ในการแสดง โดยดูจากที่นั่งแล้วผมว่าน่าจะจุได้เกิน 100 คนได้ และหากไม่พอก็ยังสามารถยืนดูข้างๆ ได้อีก



การแสดงของชาวมอญนั้นสนุกดีครับ เป็นการเต้นและรำประกอบจังหวะดนตรี มีหลายชุด หลายอารมณ์เลย โดยใช้เวลาในการแสดงทั้งหมดประมาณ 30 นาที หลังจากที่ผมดูการแสดงชุดนี้จบผมกับเพื่อนๆ ก็เดินทางกลับโฮมพุเตย รีสอร์ท ซึ่งเป็นที่พักหลัก โดยการเดินทางกลับนั้นจะใช้การนั่งเรือกลับไป ใช้เวลาแค่ 10 นาทีก็ถึงครับ



และนี่ก็คือประสบการณ์ 3 วัน 2 คืน ที่ผมได้มีโอกาสเข้าไปพักและร่วมกิจกรรมที่โฮมพุเตย รีสอร์ท มา และตอนนี้ก็มาถึงบทสรุปของการรีวิวกันแล้ว ผมขอสรุปเป็นเรื่องๆ ตามเดิมนะครับ



การออกแบบ : ผมชอบนะ โดยเฉพาะห้อง Deluxe และ River Deluxe ไม่ได้ตกแต่งหรูหรามาก แต่เรียบง่าย ลงตัวและเป็นธรรมชาติดี ที่สำคัญคือตกแต่งด้วยโทนสีส้มที่ผมชอบด้วย



ความสะอาด : ไม่มีปัญหาอะไรในข้อนี้ครับ แต่อาจจะมีเรื่องของมดและแมลงบ้างนิดๆ หน่อย ซึ่งไม่ได้เป็นประเด็นอะไรมาก เพราะเป็นเรื่องปกติของการที่เราไปอาศัยอยู่ในเขตธรรมชาติที่มีต้นไม้เยอะๆ อยู่แล้ว



สิ่งอำนวยความสะดวก : สิ่งอำนวยความสะดวกพื้นฐานมีให้เกือบครบครับ ที่น่าเสียดายก็คือน่าจะมีโทรศัพท์ภายในติดไว้ในห้องให้ด้วย ส่วนสัญญาณ Wifi ของที่นี่ไม่ค่อยดีนัก จะมีมากๆ ตรงแถวๆ Lobby, ห้องอาหาร แล้วก็ห้องพักที่อยู่บริเวณนี้เท่านั้น ถ้าโซนไกลๆ หน่อยจะสัญญาณอ่อนและขาดหายเป็นระยะๆ



การเดินทาง : เป็นโรงแรมที่อยู่ค่อนข้างไกลจากตัวเมืองหน่อย แต่ก็ไม่น่าเป็นปัญหาเพราะส่วนใหญ่แล้วคนที่ไปพักที่นี่คงจะขับรถไปทั้งนั้น



การนอนหลับพักผ่อน : หลับสบาย เตียง หมอน ผ้าห่ม นุ่มดี และแอร์เย็นสบาย ไม่มีปัญหาอะไร



การบริการของพนักงาน : บริการดี เอาใจใส่ดีมากครับ สำหรับห้องพักที่อยู่ไกลๆ ก็มีรถมอเตอร์ไซด์ติดพ่วงด้านข้างไปขนของมา Lobby ให้ สอบถามอะไรก็มีการตอบสนองรวดเร็วดี



อาหารเช้า : ไม่ค่อยเด่นเท่าไหร่ อาหารรสชาติกลางๆ แล้วก็มีเมนูน้อยไปนิด โดยส่วนตัวคิดว่าเพิ่มเบคอนแล้วก็อาหารอีกซักอย่างน่าจะโอเคขึ้นครับ




สรุป : โฮมพุเตย รีสอร์ท กลายเป็นหนึ่งในที่พักเมืองกาญจนบุรีที่ทำให้ผมหลงใหลไปแล้ว จากเดิมที่ผมเคยคิดว่ามันเป็นรีสอร์ทที่สวย สงบเหมาะแก่การถ่ายทำภาพยนตร์ ถ่ายละครเฉยๆ แต่ตอนนี้มันกลายเป็นรีสอร์ทที่พักที่มีความครบรสมากตั้งแต่ สวย สงบน่าพักผ่อน, สนุกสุดมันส์ สำหรับคนชอบ Adventure แล้วก็สาระมาเต็มสำหรับคนชอบประวัติศาสตร์ ตัวรีสอร์ทอาจจะมีจุดขัดใจเล็กๆ น้อยๆ บ้าง อย่างเช่น สัญญาณ Wifi, ไลน์อาหารเช้า แต่ถ้าไม่ซีเรียสเรื่องพวกนี้มาก ผมแนะนำเลยว่าอยากให้มาลองครับ มานอนเล่นชิวๆ กับวิวสวยๆ, แช่น้ำร้อน, ว่ายน้ำ, พายคายัค, เล่น Tree Top, เที่ยวหมู่บ้านมอญ แค่นี้ก็เป็นวันหยุดพักผ่อนที่คุ้มค่ามากๆ แล้วครับ




ก็จบลงแล้วสำหรับรีวิวนี้ หากขาดตกบกพร่องประการใดผมก็ต้องขออภัยด้วยนะครับ และการรีวิวนี้เป็นเพียงความเห็นส่วนตัวของผมจากวันที่ไปใช้บริการเท่านั้น แต่ละท่านที่ได้มีโอกาสไปใช้บริการอาจจะได้รับการบริการที่แตกต่างจากนี้ออกไปครับ และหากใครชอบการรีวิวของผม สามารถไปติดตามหรือแนะนำเพิ่มเติมได้ที่นี่เลยครับ https://www.facebook.com/amazingcouples



ขอบคุณทุกท่านที่ติดตามอ่านจนจบ แล้วพบกันใหม่ในรีวิวหน้า สวัสดีครับ



หมายเหตุ : วันที่ผมเข้าใช้บริการคือ 10-12 มีนาคม 2560 ครับ



ความคิดเห็น