“เรา คิด ว่า เรา ค้น พบ แนว ทาง ของ เราแล้ว"
“อา สา เที่ยว แค่ อยาก ให้ คน ไป เที่ยว ได้ อะไร มาก กว่า แค่ ไป เที่ยว"
แต่สิ่งที่ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้น เมื่อแกนนำคนจัดทริปมีงานด่วนกระทันหัน และก็ดูท่าทางจะไปไม่ได้แน่ๆ จึงต้องมีการพูดคุยกันใหม่ ช่วยกันหาทางออกว่าจะยังไงดี ซึ่งจบลงด้วยทริปยังคงดำเนินต่อไป แต่แล้วสิ่งที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้นอีกจนได้ สมาชิกอีก 2 คนติดธุระกระทันหัน ซึ่งเราก็เข้าใจ และคิดอยากจะยกเลิกทริปทันทีเช่นกัน แตไม่รู้ด้วยเพราะอะไร ที่ทำให้ทริปนี้ยังคงไม่ล่มไปตามสมาชิกที่ขาดไป
วันออกเดินทางก็มาถึงทั้งๆ ที่สมาชิกขาดไปตั้ง 3 คน แต่อีก 7 คนก็ยังคงปักหลักและพร้อมใจไปด้วยกัน สมาชิกที่เหลือแม้ว่าจะไม่รู้จักครบทุกคนแต่ส่วนใหญ่เป็นคนคุ้นเคยกันดี และไม่ได้เจอกันนานแล้ว ซึ่งหนึ่งในนั้นมีวันเกิดตรงกับวันออกเดินทางพอดี เซอร์ไพรส์เล็กๆ กับเค้กก้อนน้อย ถูกมอบให้เจ้าของวันเกิดก่อนออกเดินทางไปเจอสมาชิกอีกส่วนที่บิ๊กซีสะพานควาย
เรานัดเจอกันช่วง 3 ทุ่ม แต่ละคนก็เริ่มทยอยมาและขาดอีก 1 คนจากจุดนี้ เราพยายามติดต่อยู่พักใหญ่ แล้วสุดท้ายเราก็เดินไปขึ้นรถตู้ด้วยจำนวนคนที่เท่าเดิมคือ 5 คน เซอร์ไพรส์ครั้งนี้มากระชั้นชิด และกระทันหันมาก คนที่เรารอติดงานด่วน!!! หลังจากที่อ่านข้อความที่ส่งมา และทุกคนก็หันมองหน้ากันหัวเราะเบาๆ จากตรงนี้เราต้องไปรับเพิ่มแถวรังสิตอีก 1 คน ก็เท่ากับว่าเรามีสมาชิกทั้งหมด 6 คน
1 คนนั่งข้างคนขับ อีก 5 คนที่เหลือสามารถตีตั๋วนอนกันได้สบายๆ และหลับกันแบบไม่รู้เรื่องเลย รู้ตัวอีกทีเราก็มาถึงภูเรือ พอสว่างเราก็หาข้าวเช้าที่ตลาดกินรองท้อง ก่อนที่ขึ้นรถมุ่งหน้าไปยังจุดหมายที่ทำการชมรมส่งเสริมการท่องเที่ยวชุมชนปลาบ่า
ภูบักได อยู่อำเภอภูเรือ จังหวัดเลย เป็นการส่งเสริมการท่องเที่ยวโดยชุมชนปลาบ่าเอง เราใช้เวลาในการหาทางจากตลาดไปที่ชุมชนนานพอสมควรเพราะเส้นทางเราก็ไม่คุ้ยเคย สัญญานโทรศัพท์ก็ขาดๆ หายๆ คุยกับลุงกำนันพอจับใจความได้พอสมควร
พี่คนขับก็ขับไปตามทางที่เราบอกตอนที่คุยโทรศัพท์ จนในที่สุดเราก็เห็นป้ายชี้ทางไปชุมชนปลาบ่า อาการลุ้นที่นั่งเกร็งกันมาตลอดทางก็หายไปทันที
เราไปถึงก็สายกว่าที่นัดไว้พอสมควร รถอิแต๊กและคนนำทางมาจอดรอพร้อมอยู่แล้ว เราก็เลยต้องทำเวลาในการจัดของและเตรียมตัวเองให้พร้อมในเวลาอันรวดเร็ว พอเรียบร้อยเราก็โดดขึ้นรถอิแต๊กคันละ 3 คน นั่งหน้า 1 หลัง 2 แบบสบายๆ
เราทุกคนแต่งตัวแบบพร้อมเดินป่า ปิดหน้าปิดตากันอย่างมิดชิด เพื่อป้องกันแดดและฝุ่น รถอิแต๊กค่อยๆ เคลื่อนขับตามกันไปเรื่อยๆ เรานั่งท่าเดียวกันคือยกเท้าเหยียดตรง มืออีกข้างจับกล้อง อีกข้างจับตัวรถที่มั่นใจว่าจะไม่หล่นระหว่างทาง
นี่แค่ทางในหมู่บ้านนะ บางช่วงฝุ่นยังเยอะเลย ยิ่งไกลไปเรื่อยๆ ทางก็เริ่มขรุขระมากขึ้น ทางเป็นดินสีแดงไปตลอด รถค่อยๆ ผ่านสวนต่างๆ ก็ทำให้เพลินไปอีกแบบ
ช่วงนี้เราเริ่มเห็นวิวภูเขาน้อยใหญ่ ไกลๆ สลับกับดอกหญ้าสองข้างทางที่พัดไปตามแรงลมเป็นระยะๆ และท้องก็เริ่มร้องเช่นกัน สงสัยโดนกระแทกมากไปหน่อย
ทางจากนี้ส่วนใหญ่เป็นทางค่อนข้างชัน เรานี่ต้องนั่งแบบยึดเกาะอย่างดี และทางบางช่วงก็แคบ เริ่มมีต้นไม้ใหญ่สองข้างทางมากขึ้น พอรถขับเข้าร่มไม้ก็อยากให้มีต้นไม้ไปเรื่อยๆ พราะมันเย็นมากจริงๆ พอออกมาโดนแดดก็แทบจะกรีดร้องกันเลย ก่อนจะถึงจุดจอดรถ ลุงก็เดินลงไปสำรวจเส้นทางก่อนนิดนึงด้วย ซึ่งถามว่าเรารู้ไหม ตอบเลยว่าไม่ได้สนใจอะไรกันเลย ถ่ายรูปเล่นกันซะอย่างงั้น
และแล้วช่วงเวลาที่ทรหดและโหดพอสมควร แม้ว่าจะนั่งรถก็ตาม แต่ก็ทำให้หลายคนปวดเนื้อปวดตัวกันไปหลายรอบ ก็ได้สิ้นสุดลงใช้เวลาประมาณ 2 ชั่วโมง เรามาถึงคันแรกก็ยืดเส้นยืดสาย เตรียมรออีกคันท่ามกลางแดดที่ร้อนและแรงมาก ลมไม่มี เห็นจุดหมายที่จะต้องเดินอยู่ไกลๆ ซึ่งก็มีคนกำลังเดินลงมาเช่นกัน พอสมาชิกเราครบเราก็เริ่มทยอยเดินตามกันขึ้นไป
แม้ว่าจะมองลงไปเห็นรถจอดอยู่ไกลและเล็กมากแล้วแต่เราก็ยังไม่ถึงจุดหมาย ลุงเดินนำหน้าเราไป 1 คนแล้ว บอกว่าเดี๋ยวกลับลงมาช่วยถือกระเป๋า เพราะหลายคนอาการเริ่มออก หน้าแดงก่ำจากที่โดนแดดเผา หายใจกันดังมากขึ้น และเสียงคุยเงียบลง จนได้ยินเสียงพี่ยุพูดออกมาว่าพี่จะงอแงละนะ ทุกคนถึงกลับหัวเราะออกมา
และแล้วลุงก็เดินกลับมาช่วยถือกระเป๋า แต่เรารู้ว่ายังไหวก็เลยให้ลงไปช่วยคนข้างหลังแทน เรารวบรวมแรงฮึดน่าจะสุดท้ายแข็งใจก้มหน้าเดินขึ้นจนมาถึงข้างบนสำเร็จ พอเจอทางราบก็ถึงกับทิ้งตัวกันเลย แต่ก็ไม่ถึงนาที น้องที่นั่งลงไปก่อนถึงกลับกระโดดลุกขึ้นอย่างไว ทุกคนหันไปมอง แต่พอได้ยินคำว่าทากเท่านั้นแหละ ทุกคนเด้งลุกขึ้นอย่างไว และเดินอย่างเร็ว
ตอนนี้หลายคนที่บอกว่าไม่ไหวๆ เดินแซงหน้าไปกันหมดละ สิงห์ทางเรียบกันจริงๆ เลย ซึ่งพอเดินไปได้อีกสักพัก ก็เริ่มเป็นทางขึ้นเนินแต่ไม่ได้ชันมาก เราก็ค่อยๆ เดินตามกันขึ้นไป
เรามาถึงก็ทิ้งเป้และตัวลงนอนกันทันที หลังจากหายเหนื่อยเราก็กินข้าวเที่ยงที่เลยเวลาเที่ยงมานานมากแล้ว กินไปคุยไปจนอิ่ม ทุกคนเริ่มหามุมนอนเอนหลังกันสักพัก บางคนหลับไปละ ส่วนที่เหลือที่ยังไม่หลับก็ออกไปสำรวจเพื่อหาที่ทำธุระส่วนตัว เราก็พยายามเดินไปในทางที่ไม่มีคนกางเต็นท์ เดินไปไกลพอสมควร พอกลับมาถึงตรงที่พัก ก็ทิ้งตัวลงนอนบนกราวชีททันที อยู่ดีๆ ก็รู้สึกคันขา พอยกขาขึ้น เห็นแวบแรกก็เกือบกรี๊ดละ ก็มันคันๆ เจ็บๆ คิดว่าทากดูดเลือดซะละ แต่พอดูดีๆ มันไม่ใช่นี่นา ไม่แน่ใจว่ามันคือหญ้าเจ้าชู้รึเปล่า เสียเวลาดึงออกจากถุงเท้าจนไม่ได้นอนเลย
เราช่วยกันกางเต็นท์จนเสร็จเรียบร้อยแล้ว ต่างคนต่างก็หิบกล้องของใครของมัน ติดตัวเพื่อมาถ่ายรูปตรงหน้าผาหลอกลวง หรือ ผาห้อยขา ตอนนี้แดดยังคงแรงพอสมควร และที่สำคัญไม่มีคนอื่นเลย
คืนนั้นเราล้อมวงนั่งกินข้าวกันอยู่ข้างๆ เต็นท์ด้วยเมนูที่เรียบและง่ายสำหรับเราที่เน้นไปทางของแห้งอย่างหมูแดดเดียว กุนเชียงและน้ำพริก บทสนทนาเราเริ่มต้นอีกครั้งท่ามกลางอากาศที่เย็นจากน้ำค้างและหนาวจากลมที่พัดตลอด ตอนนี้ดาวเต็มท้องฟ้าระยิบระยับจนนับไม่ไหเราแค่ได้แต่แหงนหน้ามองเพราะไม่มีใครกล้าออกไปยืนดูบนพื้นหญ้า ไม่ได้กลัวเปียกแต่กลัวทากเกาะมากกว่า ขนาดแค่เดินไปทำธุระส่วนตัวเพียงไม่นานและก็ส่องไฟดูดีแล้วเชียวพอกลับเข้าเต็นท์ ก็เกาะติดมาตามง่ามเท้าเพียบ กรี๊ดกันเต็นท์แทบพัง
อากาศยังคงเย็นและหนาวจากลมอยู่พอสมควร ทำให้มีคนงอแงไม่ยอมตื่นหลายคน ส่วนเรา 3 สาวที่ไม่อยากนอนต่อก็ออกมาเดินไปยังริมหน้าผาตั้งแต่แสงยังไม่มา พอพระอาทิตย์เริ่มส่องแสง ผู้คนกลุ่มอื่นก็เริ่มตื่น เราเริ่มมองเห็นวิวและหมอกที่พัดมาเป็นระยะๆ แม้ว่าจะไม่มากแต่ก็พอทำให้รู้สึกว่าคุ้มค่านะที่ตื่นเช้ามาเห็นบรรยากาศแบบนี้
เราสองคนพยายามตะโกนเรียกชื่อสมาชิก คนอื่นๆ เป็นระยะๆ แต่ก็ไร้วี่แวไม่มีเสียงตอบรับใดๆ เลย เราทำได้เพียงเรงสปีดเดินให้เร็วขึ้น จนเราเริ่มมองเห็นคนื่นๆ แล้ว เรากผ็ยังพยายามตะโกนเรียก แต่ก็ยังคงไม่มีใครตอบรึสนใจเราสองคนเลยจนเราเดินมาถึงแล้วและพยายามบอกทุกคนว่าหลงทาง
ทุกคนหันมาแล้วก็บอกว่าคิดว่าเราสองคนนั่งรถอิแต๊กคนอืนไปแล้ว ในขณะที่เรากลังจะเล่ารายละเอียดให้ฟัง ทุกคนกลับวิ่งไปรุมล้อมที่แอมที่ดดนทากกัดและดูดเลือดแบบ 3 ตัวในรูเดียวกันและอีกเท้าก็โโนอีกตัวน่าจะโดนทากกัดเยอะที่สุดในกลุ่มละ แล้วพ่อก็บอกให้ทุกคนเช็คโดยการถอดรองเท้าออกดู แหมบอกเลยว่าไม่เคยเห็นทากเต็มเท้าเยอะขนาดนี้ แต่จีก็ดูท่าจะชิวเกินไปกับการเดินกินขนมแบบไม่ได้ตื่นเต้นอะไรกับใครเลย
แปลงผักแนวกันไฟแห่งนี้เกิดขึ้นจากไอเดียของชาวบ้านว่า ไหนๆ ก็ต้องมาเพื่อเกลี่ยและถอนหญ้าที่แนวกันไฟอยู่แล้ว ทำไมไม่ทำให้เป็นแปลงปลูกผักไปเลยละ แค่นั้นที่นี่ก็เลยมีแปลงผักที่สลับเปลี่ยนหมุนเวียนผักชนิดต่างๆ มาปลูก ซึ่งนักท่องเที่ยวสามารถแวะมาซื้อผักปลอดสารพิษที่นี่ได้ด้วย
เรามาถึงก็ไม่รอช้า ลงมือช่วยทันที ใครถนัดขุดดินก็ไปจับจอบ ใครแรงน้อยก็ช่วยหยอดเมล็ดผักแทน ทุกคนช่วยกันโดยที่ไม่มีใครถามใครว่าต้องทำอะไร ลงแรงกันเต็มที่
แต่มันเป็นความงดงามของธรรมชาติที่เราได้พบเจอ คือมิตรภาพ ความสุขและความสนุกที่เราก็ไม่รู้เหมือนกันว่ามันมากมายขนาดนั้นได้อย่างไร หากคนภายนอกมองเข้ามาก็คงคิดว่าเรา 6 คน ต้องเจอกันบ่อยและสนิทกันมาก เพราะเราคุยกันได้ตลอดเวลา และดูว่าจะทุกเรื่องด้วย คุยกันจริงจัง ว่าไงว่าตามกัน เฮกันไปจนทั่วทุกที่ แม้ว่าจะมีหนึ่งหนุ่มท่ามกลางสาวๆ 5 คน ก็ไม่เป็นอุปสรรคแต่อย่างใด
เป็นทริปที่ไม่รู้เหมือนกันว่าอะไรคัดเลือกให้มาเจอกันจนได้ แม้ว่าเราจะต่างกันในหลายๆ ด้าน และหลายๆ อย่าง แต่ช่วงระยะเวลา 2 วัน 1 คืน สำหรับเราจะยังคงมีเรื่องให้เราได้พูดคุยกันไปอีกนาน
เป็นครั้งแรกกับการเดินทางด้วยรถตู้ที่มีแค่ 6 คน ตีตั๋วนอนยาวตั้งแต่กรุงเทพฯ จนถึงเลย และแอมก็น่าจะเป็นคนเดียวที่ดูจะกลัวกับการถ่ายรูปที่ผาห้อยขามาก จนยอมเป็นตากล้องให้ในหลายๆ รูป ซึ่งพวกเราก็พยายามช่วยเพื่อให้น้องได้มีรูปสวยๆ เจ๋งๆ บ้าง พอเริ่มชินก็ดูท่าจะสนุกกับการโพสท่าเหมือนกันนะ
ระหว่างทางที่นั่งรถกลับแดดร้อนและแรงมาก รถคันเราไม่มีร่มเหมือนอีกคัน ก็เลยต้องหาสิ่งที่มีที่หาได้รอบตัวตอนนั้น และแล้วเราก็มองหน้ากันว่านี่แหละที่จะช่วยเราหลบจากแดดได้ สื่อที่ทำหน้าที่ปูให้นั่งถูเปลี่ยนหน้าที่กลางเป็นหลังคาไปทันที
และในระหว่างที่เราทยอยอาบน้ำอยู่นั้น ส้มตำที่จีบ่นมาตลอดทางว่าอยากกินก็มาวางอยู่ตรงหน้า พร้อมทั้งไข่เจียวและหมูแดดเดียวกับข้าวเหนียวอีกหนึ่งกระติ๊บก็ถูกพวกเราจัดการเรียบร้อยประหนึ่งว่าไม่มีสิ่งใดอยู่บนจานมาก่อน บอกเลยส้มตำเด็ดจริง
เป็น 6 คน ที่อัดแน่นไปด้วยความสุขสนุกตลอดการเดินทางจริงๆ หากมีเวลาตรงกันก็อยากจับกลุ่มนี้มาเจอกันอีกสักทริปนะ
ติดตามกิจกรรมสนุกๆ และเป็นประโยชน์ของพวกเราเพิ่มเติมที่
www.rsatieow.com
May Macro
วันพฤหัสที่ 18 พฤษภาคม พ.ศ. 2560 เวลา 15.25 น.