สวัสดีเพื่อนๆพี่ๆน้องๆทุกท่าน วันนี้ขอมาเล่าประสบการณ์ที่ได้รับ จากการได้ไปสัมผัสบรรยากาศที่

บ้านกกกอด (Baankokkod) จ.กาญจนบุรี มาฝากกัน ก่อนหน้านี้เคยได้ยินชื่อ บ้านกกกอด มาจากเว็บไซต์และรีวิวหลายๆที่

โดยได้รับการพูดถึงว่าเป็น "ที่พักหลักร้อย วิวหลักล้าน" ผมด้อมๆมองๆไว้นานแล้ว แต่ยังไม่มีโอกาสเหมาะ

โดยเมื่อเดือนที่ผ่านมาโอกาศเหมาะเจาะ เลยได้ไปสัมผัสซักที

ที่นี่ได้ข่าวมาว่าต้องจองกันล่วงหน้านานเหมือนกัน โดย บ้านกกกอด

พึ่งกลับมาเปิดให้บริการอีกครั้งในเดือน กรกฎาคม ที่ผ่านมา

หลังจากปิดปรับปรุงมา 2 เดือน โดยเมื่อเปิดจองผมก็รีบจองตั้งแต่วันแรกของการเปิดจอง กลัวจะไม่ได้ไปกับเค้า

พูดมาเยอะแล้ว ไปชมบรรยากาศของที่พัก บ้านกกกอด กันเลยดีกว่าครับ เพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลา


การเดินทางในครั้งนี้ เดินทางโดยรถส่วนตัวครับ

- จากกรุงเทพฯ ไปตามถนนเพชรเกษม หรือถนนบรมราชชนนี ผ่านนครปฐม บ้านโป่ง ท่ามะกา ท่าเรือ ท่าม่วง เข้าสู่ อ.เมือง จ.กาญจนบุรี

- จากสี่แยกแก่งเสี้ยน ตัวเมืองกาญฯ วิ่งตรงมาตามทางหลวงหมายเลข 3199 เส้นทางกาญจนบุรี– น้ำตกเอราวัณ ระยะทางประมาณ 36 กม. (หลัก กม. ที่ 25) ถึงสามแยกโป่งปัด (จุดสังเกตคือผ่านอุทยานประวัติศาสตร์สงครามเก้าทัพ มาประมาณ 1 กม.)

- เลี้ยวซ้ายที่สามแยกโป่งปัด (ทางหลวงหมายเลข 3457) วิ่งตรงมาประมาณ 1.4 กม. จะถึงสะพานข้ามแม่น้ำ

- เลี้ยวขวาทันทีเมื่อพ้นสะพานข้ามแม่น้ำ (จุดสังเกตจะเห็นร้านครัวคุณลุงอยู่ทางฝั่งซ้ายมือ] วิ่งเข้ามาตามทาง ประมาณ 2.5 กม.บ้านกกกอดจะอยู่ทางขวามือ

แผนที่และการเดินทางขออนุญาตินำข้อมูลมาจากเว็บไซต์ บ้านกกกอด นะครับใช้เวลาเดินทางจาก กรุงเทพฯ ถึง บ้านกกกอด ประมาณ 2 ชั่วโมงครึ่งครับ โดยระหว่างทางก็ได้แวะเที่ยวบ้างนิดหน่อย


เมื่อมาถึงที่พักก็ขนของเข้าที่พักกัน มาชมบรรยากาศของที่พักกันเลยครับ

โดยเลี้ยวเข้าที่พักก็จะมีที่จอดรถอยู่ทางด้านหน้าของรีสอร์ท

แค่ย่างก้าวเข้าสู่ที่พัก พวกเราก็รับรู้ได้ถึงบรรยากาศ สดชื่น ที่เต็มไปด้วยต้นไม้ และ ธรรมชาติ

เดินเข้ามาตามทางก็จะมีป้ายบอกทางไปยังจุดเช็คอินกัน

บริเวณจุดเช็คอิน และเป็นจุดเดียวกันกับที่ทานอาหารเช้ากันด้วยครับ

บริเวณนี้ยังเป็นจุดนั่งพักผ่อน หรือ นั่งอ่านหนังสือชิวๆ ชมบรรยากาศธรรมชาติ ได้อีกด้วยครับ

เมื่อมาถึงก็ได้เวลาเช็คอิน แจ้งชื่อที่จองไว้กับเจ้าของที่ได้คุยและจองไว้ ก็ได้รับกุญแจห้องมาเรียบร้อยครับ

เป็นการเช็คอินที่เรียบง่ายที่สุดเท่าที่เคยเจอมาเมื่อเช็คอินเสร็จเรียบร้อย

ก็ได้เวลาเก็บของเข้าห้องพักกันแล้วครับ โดยเราได้จองห้องพักแบบ "บ้านวิวเขื่อน"

มาชมบรรยากาศห้องพักของเราในวันนี้ด้วยกันครับ ว่าจะเป็นยังไง

ทางเดินไปยังห้องพัก จะเป็นสะพานไม้ไผ่ครับ ที่นี่เค้าเน้นการตกแต่งที่เป็นมิตรกับธรรมชาติจริงๆ

แต่ข้อเสียของสะพานไม้ไผ่นี้ก็คือ เสียงครับ เวลาเดินจะมีเสียงตลอดทาง

ทำให้เวลามีคนเดินผ่านไปผ่านมา เราจะได้ยินเสียงตลอดเวลา

และนี่คือ บ้านวิวเขื่อน ของเราคืนนี้ครับ

มาชมบรรกาศในห้องกันบ้างครับ ในห้องเรา ไม่มีแอร์ ไม่มีตู้เย็น ไม่มี TV ไม่มี wifi นะครับ

การตกแต่งห้องพัก ดูเก๋ไก๋ น่าพักดีครับ เน้นตกแต่งให้เข้ากับธรรมชาติผุดๆ สีสันสดใส น่านอนไม่น้อย

และนี่คือวิวจากบริเวณหน้าห้องพักของเราครับ มองออกไปจะเห็น ต้นไม้ สายน้ำ และขุนเขา

มาดูในส่วนของห้องน้ำกันบ้างครับ ห้องที่เราพักไม่มีห้องน้ำ จะเป็นห้องน้ำรวมครับ

ตอนแรกก็คิดว่าจะเป็นยังไงบ้างกับห้องน้ำรวมที่นี่ สรุปคือห้องน้ำเค้าสะอาดมากครับ ไม่ต้องกังวลเรื่องความสะอาดเลย

โดยเค้าสร้างด้วยไม้ไผ่กั้นล้อมรั้ว และ ประดับตกแต่งเพิ่มเติมด้วยไม้ชนิดต่างๆ ได้บรรยากาศธรรมชาติผุดๆ

เป็นอีกจุดที่ผมชอบการดีไซต์และการตกแต่งของที่นี่มากๆ

มาดูโถฉี่ท่านชายกันบ้าง เอิ่ม!! คือ จะแนวไปไหนครับ ได้ใจมาก ผมนี่ไม่เคยเจอที่ไหน ตกแต่งได้เข้ากับธรรมชาติเท่านี้มาก่อน

เอ่อ!! พี่ครับ แถวบ้านผมเรียกไอ้นี่ว่าขันนะครับ

แต่พอมาอยู่ที่นี่เท่านั้นแหล่ะ กลายเป็น Shower ขึ้นมาทันที ผมนี่อึ้งเลย

หลังจากสำรวจที่พัก และห้องน้ำกันเป็นที่เรียบร้อยแล้ว คราวนี้เราลองมาเดินดูบรรยากาศของที่นี่กันบ้างดีกว่าครับ

นี่จะเป็นทางเดินไปแพบริเวณจุด Landmark ของที่นี่ครับ

จะมีที่ให้เราได้นั่งพักผ่อนและชมวิวธรรมชาติอันสวยงามขนาดไหนกัน

และนี่เป็นแพที่ผู้เข้าพักสามารถมา นั่งเล่นชมวิว กระโดดน้ำเล่นหรือจะพายเรือเล่นก็ได้ครับ

แต่ช่วงเย็นที่เราไปถึงวันนั้นน้ำลดลงไปมาก เลยไม่ได้เล่นน้ำหรือพายเรือกัน

เสียดายวันที่ไป มีเมฆฝนมาก เลยทำให้ไม่ได้เห็นพระอาทิตย์ตก คาดว่าหากฟ้าเปิด จะเป็นจุดชมวิวที่สวยงามไม่น้อย

ที่นี่จะมีพนักงานต้อนรับอยู่ 2-3 ตัวเห็นจะได้ ชอบเดินมาหาอยู่เรื่อยเลย

คืนที่ไปฟ้าปิดทำให้ไม่เห็นดาวน่าเสียดายมาก ไม่งั้นคงได้นอนดูดาวอยู่หน้าห้องพักชิวทั้งคืนกันแน่ๆ

อากาศของที่นี่ยามค่ำคืนก็เย็นสบายครับ ไม่ร้อน โดยก่อนมาก็กังวลเรื่องไม่มีแอร์เหมือนกัน

แต่เอาเข้าจริง นอนได้สบายมากครับเช้าวันถัดมารีบตื่นแต่เช้า เพื่อหวังมาดูหมอก

เผื่อโชคดีได้เห็นหมอกกับเค้าบ้าง แต่ปรากฏว่าวันที่ไป ไม่มีหมอก โชคไม่ดีเล้ยยย

เลยได้บรรยากาศเหล่านี้มาแทน

เก็บบรรยากาศบริสุทธิ์ยามเช้ากันชื่นใจแล้ว ก็ได้เวลาทานอาหารเช้ากันแล้วครับ

โดยอาหารเช้าของที่นี่จะเป็น Breakfast ครับ มีไข่ดาว เสิร์ฟคู่กับฮอทดอก และขนมปัง

โดยส่วนตัวแล้วผมว่าน้อยไปหน่อย ถ้าจะให้เข้ากับบรรยากาศ ถ้าได้เป็นข้าวต้มร้อนๆซักถ้วย

สองถ้วยน่าจะดีกว่าทานอาหารเช้าเสร็จก็ขอเก็บภาพบรรยากาศและได้อยู่กับธรรมชาติ อย่างเต็มที่อีกซักหน่อย

และแล้วก็ได้เวลาเดินทางกลับกรุงเทพฯกันแล้วครับ เป็นการปิดทริปจากการพักผ่อนสุดสัปดาห์ที่ได้อยู่กับตัวเอง

อยู่กับคนที่รักและอยู่กับธรรมชาติ

ค่าห้องพักของ บ้านวิวเขื่อน ที่ผมพักจะอยู่ที่ราคา 1,200 บาท สำหรับ 2 ท่าน

ผมไปกัน 3 คน บวกเตียงเสริมอีก 300 บาท รวมเป็น 1,500 บาท

สรุปถ้าหารกัน 3 คน ตกจ่ายค่าห้องคนละ 500 บาท ครับ

การเดินทางนั้นสามารถเดินทางได้โดยขนส่งมวลชนทั่วไปก็ได้ครับ ไม่จำเป็นต้องมีรถก็ไปได้


บ้านกกกอด (Baankokkod)
Tel. 085 519 1953 (8.00-20.00)
Email : [email protected]
www.facebook.com/baankokkod
www.facebook.com/baankokkodpage


ขอสรุปเกี่ยวกับที่พัก บ้านกกกอด (Baankokkod) ที่ได้มาสัมผัสด้วยตัวเองดังนี้นะครับ

ข้อดี

- ได้ใกล้ชิดกับธรรมชาติ ท่ามกลาง ต้นไม้ สายน้ำ ขุนเขา

- ที่พักตั้งอยู่ในพื้นที่เงียบสงบและเป็นส่วนตัว

- ราคาไม่แพง

ข้อด้อย

- สะพานไม้ทางเดินผ่านหน้าบ้านวิวเขื่อน มีเสียงตลอดเวลาเมื่อมีผู้เดินผ่าน

- อาหารน้อยไปนิด เปลี่ยนเป็นข้าวต้มร้อนๆน่าจะดี


โดยความคิดเห็นส่วนตัวแล้ว ที่พัก บ้านกกกอด เหมาะสำหรับคนที่ชอบลุยๆ ง่ายๆ ไม่เรื่องมากครับ

เพราะที่นี่ไม่มีเครื่องอำนวยความสะดวกต่างๆ และไม่มีอะไรเลิศหรูเหมือนอย่างโรงแรมหรูทั่วไป ที่นี่จะมีให้ท่านก็แต่

ต้นไม้ สายน้ำ ภูเขา และหมู่ดาว รวมถึงการที่เราได้อยู่กับตัวเองและคนรอบข้างมากขึ้น

ทำให้เราวางมือถือแล้วหยิบหนังสือขึ้นมาอ่าน ได้สัมผัสวิถีชีวิต Slow Life อย่างแท้จริง

ไม่รีบร้อน ปล่อยกาย ปล่อยใจไปกับสายลม แสงแดด ที่โอบล้อมไปด้วยธรรมชาติและอากาศบริสุทธิ์

ผมว่าที่นี่เหมาะที่สุดสำหรับการพักผ่อน และชาร์ทพลังในวันหยุดสุดสัปดาห์


สุดท้ายนี้ต้องขอขอบคุณทุกท่านที่แวะเวียนผ่านมาชมรีวิวนี้ หากผิดพลาดประการใด ต้องขออภัยไว้ ณ ที่นี้ด้วยครับ

หาเวลาว่างให้กับตัวเองและคนรอบข้าง มอบสิ่งดีๆให้แก่กัน หาเวลาพักผ่อน หยุดใช้อุปกรณ์เครื่องมือสื่อสารซักพัก

แล้วลองหยิบหนังสือขึ้นมาอ่านท่ามกลางธรรมชาติ และใช้ชีวิตให้ช้าลง แล้วคุณจะรู้ว่า ความสุขนั้นมีอยู่รอบตัวเรา


หากท่านใดสนใจอยากจะติดตามข้อมูลการท่องเที่ยวแบบชิวๆของผม หรือแลกเปลี่ยนมุมมองการท่องเที่ยว

พูดคุย สอบถามข้อมูล สามารถติดตามได้อีกช่องทางที่ http://www.facebook.com/9aooddy.travel


ขอบคุณและสวัสดี

กินเพลิน เดินเที่ยว

 วันศุกร์ที่ 7 สิงหาคม พ.ศ. 2558 เวลา 09.22 น.

ความคิดเห็น