"กระซิบรัก ณ เมืองน่าน"

วลีนี้เพิ่งมาฮิตกันเมื่อปีสองปีที่ผ่านมานี่เอง หลังจากที่จังหวัดน่านทำการเปิดตัว เปิดกว้างมากขึ้นสำหรับการท่องเที่ยว

ทำให้คนหลั่งไหลเข้าไปเยือนเมืองน่าน เมืองที่เรียกได้ว่าใช้ชีวิตแบบเนิบ-เนิบ ให้เวลาผ่านไปช้าๆ ได้อย่างเต็มปากเต็มคำ เราไปเยือนเมืองน่านมาช่วงครึ่งหลังปีที่แล้ว และอัพวัดพระธาตุแช่แห้งไป นั่นคือไปเที่ยวตามใบสั่งจริงๆค่ะ แต่พอเที่ยวตามใบสั่งหมดปุ๊ป เราก็หาที่เที่ยวที่อื่นต่อนอกเหนือจากนั้น

ก็มาเน้นๆ เอาวัดวาอารามในเมืองน่านกันต่อ จึงถือว่าการเที่ยวนอกเหนือจากใบสั่งนั้น

คือกำไรอย่างหนึ่งของการท่องเที่ยวเพื่อมาเขียนรีวิวของเรา และเราก็มักจะทำเป็นประจำด้วยเวลาเดินทาง ...




แผนการเดินทางของเราไม่มีกำหนดไว้ตายตัวแต่อย่างใด รู้แค่ว่า เราไปจอดรถที่ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ น่าน ค่ะ ไปดูซุ้มต้นลีลาวดี แล้วเดินออกไปถนนใหญ่ เจอวัดหนึ่งด้วย นั่นคือวัดภูมินทร์

จำได่ว่าวัดนี้เป็นวัดที่มีชื่อเสียงมากอีกแห่งหนึ่งในเมืองน่าน

ช่วงนั้นเวลาสายๆ ยังไร้ผู้คนและนักท่องเที่ยว

จริงๆ จะบอกว่าเป็นวันธรรมดาด้วยค่ะ ซึ่งน่าน วันธรรมดา และวันหยุด และวันหยุดยาว

จะมีบรรยากาศแตกต่างกันลิบลับมากในตอนนี้

เพราะเป็นจังหวัดที่เปิดบูมกับนักท่องเที่ยวใหม่ ทำให้คนเข้ามาเที่ยวกันเยอะมากมากขึ้น

ยิ่งเป็นวันหยุดยาวนี่เผลอๆ เจอปรากฏการณ์รถติดในเมืองน่านด้วยนะคะ 555

วันนี้จึงเป็นวันของเรา ได้มาเดินเที่ยวัดภูมินทร์แบบไร้ผู้คน มันดีงามแบบนี้แหละเนอะ

"วัดภูมินทร์" เดิมชื่อ "วัดพรหมมินทร์" ค่ะ เป็นวัดที่แปลก กว่าวัดอื่น ๆ คือ โบสถ์และวิหารสร้างเป็นอาคารหลังเดียวกัน

ฝาผนังภายในโบสถ์จะวาดภาพ แสดงถึงวิถีชีวิตและวัฒนธรรมของยุคสมัยที่ผ่านมาของชาวเมืองน่าน วัดภูมินทร์สร้างขึ้นเมื่อประมาณ พ.ศ. 2139 โดยพระเจ้าเจตบุตรพรหมมินทร์ เจ้าผู้ครองเมืองน่านได้สร้างขึ้นหลังจากที่ครองนครน่านได้ 6 ปี

เดิมชื่อ "วัดพรหมมินทร์" ตอนหลังชื่อวัดได้เพี้ยนไปจากเดิมเป็นวัดภูมินทร์ มาจนถึงปัจจุบัน




ข้างๆ ตัวโบสถ์หลังนี้คือ สถูปเจดีย์พระมาลัยโปรดโลก

ซึ่งเราได้ดูแต่ตาไม่ได้เข้าไปข้างในว่ามีอะไรบ้าง พอกลับมาหาข้อมูล ปรากฏว่าภายในเป็นรูปปั้นจำลองนรกสำหรับคนที่ทำบาป

ว่าจะได้รับผลกรรมเช่นไร เพื่อเป็นการย้ำเตือนใจให้เกรงกลัว ดีนะเราไม่เข้าไปดู 555

ก้าวเดินเข้ามาภายในตัวโบสถ์ดีกว่าค่ะ บอกได้เลยว่า ภายในโบสท์วัดภูมินทร์ อลังการงานสร้างอย่างยิ่ง


ภายในพระอุโบสถวัดภูมินทร์ สวยงามมากไม่มีใครเหมือน และเป็นหนึ่งเดียวในไทย กรมศิลปกรได้สันนิษฐานว่า เป็นพระอุโบสถจตุรมุขหลังแรกของประเทศไทย พระอุโบสถตรงใจกลาง

ประดิษฐานพระพุทธรูปขนาดใหญ่ 4 องค์ หันพระพักตร์ออก ด้านประตูทั้งสี่ทิศ เป็นพระพุทธรูปปางมารวิชัย ผู้ที่ไปชมพระอุโบสถนี้ไม่ว่าจะเดินขึ้นบันไดทิศไหนก็จะพบพระพักตร์ของพระพุทธรูปทุกด้าน


รูปปั้นพระองค์นี้เราหาข้อมูลในเน็ตไม่ได้ค่ะว่าเป็นรูปเหมือนหลวงพ่ออะไร ติดไว้ก่อนนะคะ หรือใครรู้มาบอกให้เราเพิ่มที อิอิ


แต่จุดขายของวัดภูมินทร์อีกประเด็นหนึ่งที่นักท่องเที่ยวพากันมาชมวัดแห่งนี้คือ ภาพเขียนจินตกรรมบันลือโลก กระซิบรัก นั่นเองค่ะ ภายในผนังวัดไม่ได้มีแค่ภาพเขียนกระซิบรักฯ อย่างเดียวนะคะ แต่มีภาพวาดตามจุดต่างๆ ของผนังโบสถ์

เป็นภาพวิถีชีวิตชาวเมืองน่านสมัยก่อน เห็นได้ชัด เรื่องการแต่งตัว การดำเนินชีวิตต่างๆ

โดยมีข้อห้ามคือ เวลาถ่ายภาพห้ามใช้แฟลซเด็ดขาด


และภาพหนุ่มสาวกระซิบสนทนาต่อกันภาพนี้ ได้รับการ ยกย่องว่าเป็นภาพที่งามเป็นเยี่ยมของวัดภูมินทร์ค่ะ

จิตรกรรมฝาผนังในวิหารหลวงก็เขียนขึ้นในช่วงบูรณะวัดในสมัยรัชกาลที่ 4 มีภาพที่น่าสนใจอยู่หลายภาพ เช่น ภาพเด่น ของ ภาพปู่ม่าน ย่าม่าน

ซึ่งเป็นคำเรียกผู้ชายผู้หญิงชาวไทลื้อในสมัยโบราณกระซิบสนทนากัน ผู้ชายสักหมึก ผู้หญิง แต่งกายไตลื้ออย่างเต็มยศ ภาพวาดของ หนุ่มสาวคู่นี้มีความประณีตมาก

ใครๆ ก็พากันมาถ่ายรูปคู่กับภาพนี้ ทางวัดจึงกั้นเขตไว้ไม่ให้เข้าใกล้ผนังมากเกินไป เพราะเกรงว่ามือจะไปโดนภาพเขียนได้ จึงมีระยะเวลาที่พอเหมาะสำหรับภารถ่ายภาพจิตรกรรมในวัดด้วยนะคะ

หลังจากที่เราเคยเห็นภาพวาดกระซิบรักแพร่กระจายไปยังสถานที่ต่างๆ ไม่ว่าเชียงใหม่หรือกรมศิลปากร

จึงถือได้ว่า ภาพวาดที่วัดภูมินทร์แห่งนี้เป็นภาพต้นฉบับของแท้แน่นอนค่ะ


ขากลับก่อนออกจากวัดแวะซื้อเสื้อเป็นของฝากด้วยนะคะ ตัวละ 100 บาท มีเสื้อผ้าหม้อฮ้อมอีกด้วย

เสื้อผ้าพื้นเมืองของชาวน่านขายราคาไม่แพงจ่ายสบายกระเป๋าจริงๆค่ะ

และอีกวัดที่เราได้มาเยือน จริงๆ ไม่ได้ตั้งใจมาเยือนหรอกนะคะ แต่่ตามหาของหวานร้านป้านิ่ม ชื่อดังค่ะ เจอแล้วหาที่จอดรถไม่ได้

ก็เลยเข้าไปหาที่จอดข้างๆ ร้านทำให้ต้องขับรถเข้ามาจอดภายในวัดนี้โดยปริยาย

พอเข้ามาแล้ว บอกเลยว่า วัดสีทองแห่งนี้ไม่ธรรมดาจริงๆ


วัดศรีพันต้น อุโบสถ์สีทอง หลังจากที่เคยเห็นโบสท์สีทองจากวัดปากน้ำโจ้โล้ ฉะเชิงเทรามาแล้ว

ก็มาเห็นสีทองทั้งหลังจากวัดศรีพันต้น จังหวัดน่านนี้ด้วย

ผู้สร้าง คือพญาพันต้น ในอดีตมีต้นโพธิ์ใหญ่อยู่ด้านทิศเหนือและทิศใต้ของวัด ปัจจุบันถูกโค่นเพื่อตัดเป็นถนน วัดศรีพันต้นได้รับพระราชทานวิสุงคามสีมาเมื่อ พ.ศ. 2505 ภายในวัดมีวิหารที่สวยงาม ตั้งเด่นเป็นสง่ามีสีทองระยิบระยับ

เป็นอีกวัดหนึ่งในจังหวัดน่านที่มีจิตรกรรมปูนปั้นที่สวยงามโดยเฉพาะพญานาคเจ็ดเศียร เฝ้าบันได หน้าวิหารวัด ไหนๆ ก็เข้ามาแล้วเข้าไปภายในวิหารกราบพระพุทธรูปกันหน่อยค่ะ ภาพล่างนี้ใช้ Gopro ถ่าย


เราเอารถมาจอดหลบแดดอยู่ตรงนี้ อิอิ คือมาวันธรรมดาดีอย่างนี้แหละค่ะ ตรงที่คนไม่เยอะ จอดรถที่ไหนก็สะดวกไปหมด ภายในวัดศรีพันต้นมีโรงเก็บเรือหางยาวด้วย แบบว่าเรือลำนี้ยาวมากจริงๆ ถือว่าเป็นเรือโบราณ ตัวเรือจะมีลักษณะหางทรงกาบหมากไม้ มี 3 ช่วงคือ ช่วงต้นจะมีลักษณะโค้งงอเรียว

เห็นมีตู้รับบริจาคด้วยนะคะ ค่าบำรุงดูแลรักษาเรือ ??


มาแล้วร้านนี้แหละที่เราตามหา ลือกันให้แซ่ดในโซเซี่ยล ว่าอร่อยนักแล

คืออร่อยจริงไรจริงคะ แต่ราคาก็แพงตามไปด้วย

และเราก็เลือกสั่งเมนูแนะนำ จากการบอกกันมาปากต่อปากนะคะว่า มาที่ร้านของหวานป้านิ่มต้องสั่งเลยๆ เมนูนี้่ บัวลอยมะพร้าวอ่อนใส่ไอติม มีให้เลือกใส่ไข่ด้วยนะแต่เราไม่เอาค่ะ

ถ้วยนี้ 45 บาทถ่ามว่า แพงไหมสำหรับเราเราว่าก็แพงอยู่นะ เทียบความอร่อยแล้วเราก็ยอมจ่ายค่ะ อิอิ

นานๆ ทีได้มาที่นี่สักที ก็ขอมาจัดกับเมนูแนะนำนี้ซะหน่อย


กับการเดินทางนอกเป้าหมาย นอกเหนือจากการเที่ยวตามใบสั่ง ทำให้เราได้เจออะไรใหม่ๆ เพิ่มขึ้นเยอะจริงๆค่ะ ถ้ามีเวลาอีกหน่อยนะ มาน่านเราคงเลือกที่จะขับรถขึ้นดอย ไม่วาจะเป็นดอยเสมอดาว

ขุนสถาน น่าน นาน้อย บ่อเกลือ ล้วนแต่เป็นสถานที่ทางธรรมชาติสวยๆ ที่น่าไปเยือนทั้งสิ้น

รอก่อนนะน่าน รอบหน้า คงได้มาเยือนอีกครา

กับทริปเที่ยวนาน นาน-นานหน่อย ^^


ขอบคุณที่ติดตามชมค่าาา

RinSa YoyoLive

 วันจันทร์ที่ 19 มิถุนายน พ.ศ. 2560 เวลา 21.38 น.

ความคิดเห็น