สวัสดีค่า ช่วงนี้เป็นช่วงมหาลัยกำลังปิดเทอม เราและเพื่อนๆเลยวางแผนว่าจะไปเที่ยวกัน

ทริปนี้เป็นปริปที่สองของพวกเรา โดยขาไปจะนั่งรถไฟขบวนนำเที่ยว นอนค้างสักหนึ่งคืน ส่วนขากลับก็นั่งรถตู้กลับ แผนคร่าวๆจะเป็นประมาณนี้

จะอ่านเรื่องให้สนุก มาทำความรู้จักผู้ร่วมเดินทางกันสักเล็กน้อยกันก่อนดีกว่า ทริปนี้เราไปกัน 4 คน เราชื่อ ส้ม หรือ เพื่อนๆเรียกว่า “ซ้อ”เราชื่นชอบการถ่ายภาพมาก เธอเราก็ชอบนะ แต่เราชอบเขามากกว่าอ่ะ (หมายถึงภูเขาไง แฮร่!!) เพราะฉะนั้นรูปส่วนใหญก็จะมาจากกล้องเรา ฝากติดตามด้วย ขายของแปป อิอิ เราจะเป็นคนจัดการเกือบทุกอย่างในปริปนี้ ทั้งหาที่พัก กิจกรรมต่างๆ วางแผนว่าเราจะไปเที่ยวที่ไหนกันบ้าง เดินทางอย่างไร แต่ก็จะปรึกษากันกับแนนอีกที,อุ้ย และ แก้ม จริงๆกลุ่มเรามี 5 คนแต่ ก็อก ติดธุระเลยไม่ได้มาด้วยกัน

รถไฟขบวนนำเที่ยว หรือ รถไฟขบวนพิเศษ คือ อะไรหรอ โอ้ยสงสัยจัง??

คือ รถไฟที่เปิดให้บริการนักท่องเที่ยว จะมีเฉพาะ วันเสาร์ อาทิตย์ และ ช่วงวันหยุดนักขัตฤกษ์ เท่านั้น ขบวนพิเศษกาญจนบุรี(น้ำตก) เป็นขบวนที่ 909 โดย เริ่มออกเดินทางจากสถานีรถไฟหัวลำโพง ปลายทาง คือ สถานีน้ำตก(ไทรโยคน้อย) ออกเดินทาง 6:30 am. และ ถึง สถานีน้ำตก เวลาประมาณ 11:30 am.ตามที่เจ้าหน้าที่ได้แจ้งตอนโทรไปจองตั๋ว แต่วันจริงเราถึงสถานีน้ำตกเวลา 12:20 pm. เพราะฉะนั้นควรเผื่อเวลาการเดินทางกันด้วยนะ


ขั้นตอนการสำรองที่นั่ง

สามารถโทรไปสอบถามและสำรองที่นั่งได้ที่เบอร์ Call center 1690 การรถไฟแห่งประเทศไทยซึ่งเปิดให้บริการตลอด 24ชม. พนักงานให้คำแนะนำอย่างดี สงสัยอะไรสอบถามได้เลย อย่าใจร้อนกันเน้ออ… เพราะบางครั้งสายไม่ว่าง อาจต้องรอนิดนึง อดทนรอ ฮึบๆ

การจองตั๋วรถไฟมีอีกหนึงช่องทาง คือ เดี๋ยวนี้การรถไฟไทยเปิดให้บริการ จองตั๋วรถไฟผ่านเว็บไซต์ https://www.thairailwayticket.com/eTSRT/ สะดวกไปอีกกกก... แต่แต่!! สำหรับ ขวบพิเศษต่างๆโทรจองผ่าน 1690 นะจ๊ะ และสามารถจองตั๋วล่วงหน้าก่อนวันเดินทางได้นานถึง 60 วัน

พูดถึงขั้นตอนการสำรองที่นั่งกัน พนักงานก็จะถามว่า ต้นสายขึ้นที่ไหน ปลายสายคือที่ไหน เดินทางวันที่เท่าไหร่ จำนวนกี่คน เช็คสักแปปนึงก็แจ้งว่าเหลือที่นั่งว่างเท่าไหร่ และบอกประเภทรถไฟ ว่าเป็นชั้น 3 รถพัดลม ต่อมาถามหา เลขบัตรประชาชน ชื่อ-นามสกุล ผู้ร่วมเดินทางทุกคน เพราะฉะนั้นแล้ว ก่อนโทรไปจองควรเตรียมข้อมูลที่ต้องใช้ไว้ให้พร้อม จะได้ไม่เสียเวลาโทรไปใหม่ เพราะเราอาจพลาดโอกาส เช่นของเราตอนแรกที่โทรไปสอบถาม ยังไม่มีขอข้อมูลต่างๆของเพื่อนที่จะไปด้วยกัน เลยบอกกับพนักงานว่าเดี๋ยวโทรกลับไปใหม่ซึ่งตอนนั้นที่นั่งว่าง 45 ที่ พอตอนเย็นๆรวบรวมข้อมูลเสร็จโทรไปใหม่ตอนนี้เหลือ 38 ที่เห็นมั้ยว่าผ่านไปไม่กี่ชั่วโมงเอง ก่อนวางสายพนักงานก็ทวนรายละเอียดต่างๆว่าถูกต้องมั้ย พร้อมแจ้งรายละเอียดการเดินทาง รถไฟคันที่เท่าไหร่ ขบวนอะไร เลขที่นั่งบนรถไฟ และรหัสเพื่อใช้รับตั๋วตามสถานีที่ ที่กำหนดไว้

1. กรุงเทพฯ, สามเสน, ชุมทางบางซื่อ 1, ชุมทางบางซื่อ 2, บางเขน, หลักสี่, ดอนเมือง และรังสิต

2. มักกะสัน, แม่น้ำ, คลองตัน, หัวหมาก, บ้านทับช้าง, ลาดกระบัง และหัวตะเข้

3. ธนบุรี, บางบำหรุ, ชุมทางตลิ่งชัน, ศาลาธรรมสพน์ และศาลายา

4. วงเวียนใหญ่และตลาดพลู

Reference from: http://www.railway.co.th/home/viewcontent.aspx?id=CONT-00154&lang=TH

ขั้นตอนการรับตั๋ว

เราจะต้องไปรับตั๋วในวันรุ่งขึ้น หลังจากโทรไปจอง เวลาไม่เกิน 22:00น. สามารถรับได้ตามสถานีที่กำหนด และ เตรียมบัตรประชาชนของผู้ร่วมเดินทางทุกคนไปด้วยแต่ ของเรากับเพื่อนอยู่กันคนละที่ สามารถใช้เป็น สำเนาบัตรประชาชนก็ได้ใช้แบบถ่ายเอกสารไป หรือ ยิ่งไปกว่านั้น สามารถถ่ายรูปบัตรแล้วส่งให้เพื่อนไปปริ้นเป็นเอกสารก็ทำได้เด้อออ!! ดีงามมม ราคาตั๋ว คนละ 120 บาท เป็นแบบตั๋วไป-กลับ เป็นรถประเภทชั้น 3 พัดลม


วันเสาร์ 15 กรกฎาคม 2560

พวกเราออกจากม.รังสิต 4.30am. ใช้บริการGrab Taxi ถึงสถานีรถไฟหัวลำโพง เวลาประมาณเกือบๆตีห้า ก่อนอื่นเราก็เข้าไปสำรวจ ว่าอะไรมันอยู่ตรงไหน แล้วก็ออกมาหาข้าวกิน


เรากินข้าวร้านอยู่ข้าง 7-11 ตรงข้ามสถานี เป็นร้านขายอาหารตามสั่ง รวมๆแล้วก็ถือว่า ดี พอกินได้ น้ำจิ้มสุกี้อร่อยดี แต่ผักมันเหียวไปหน่อย น้ำซุปข้าวมันไก่อร่อยดี

เอาละเวลาเกือบๆ 6 โมงเช้าแล้ว เข้าไปรอในสถานีกัน

พนักงานประกาศพอดีว่าผู้โดยสารรถไฟขบวนที่ 909 ขบวนน้ำตก ให้นำกระเป๋าขึ้นไปเก็บได้ ด้วยความที่เราโทรจองตั๋วช้า แต่นี่คิดว่าเร็วแล้วนะ 555 แต่ก็ยังช้ากว่าคนอื่น พวกเราเลยไม่ได้ที่นั่งแบบหันหน้าเข้าหากัน ได้ที่นั่งแบบแนวนอน นั่งได้ 3 คน แถมที่นั่งติดกับพนักงงานรถไฟเลย ขึ้นไปช่วงแรกก็แอบกังวลว่ามันจะโอเคมั้ย อดเม้ากันไรงี้ แต่เอาเข้าจริงๆ นั่นไม่ใช้ปัญหาเลย เพราะเราเดินไปเม้าได้ อะไรก็ห้ามพวกเราไม่อยู่ ณ จุดๆนี้ จะเรียกว่าโชคดีมั้ยก็อาจใช่ คนที่จองตั๋วข้างเราวันจริงเขาไม่มา เราเลยได้นั่งกันแค่สองคน สบายไปเลย เรานั่งกับแนน ส่วนแก้มนั่งกับอุ้ย คนที่จองตั๋วข้างสองคนนั้นก็ไม่มาเหมือนกัน เลยได้นั่งแค่สองคนเหมือนกัน

บนรถไฟก็จะมีคนขับ ตำรวจ เจ้าหน้าที่อีกคน แล้วก็ช่างซ่อม ที่เดินทางไปด้วย พอรถไฟออกไปได้สักพักเจ้าหน้าที่กับตำรวจก็เดินมาตรวจตั๋ว และถามว่า มีใครไม่กลับพร้อมกันมั้ย แบบนอนค้างคืน เขาจะได้เช็คจำนวนถูก พนักงานทุกคนยิ้มแย้มแจ่มใส พูดจาดี แถมตลกด้วย โดยฉะเพราะคุณลุงตำรวจ มีมุขมาหยอดผู้โดยสารตลอด

สถานีแรกที่เราลง คือ สถานีนครปฐม เวลาประมาณ 8 โมงเช้า เราตกลงกันว่าเข้าไปไหว้พระคงไม่ทัน เลยไหว้ที่หน้าประตู แล้วเดินออกมาหาของกินกัน และ แน่นอนจังหวัดนครปฐมขึ้นชื่อเรื่องของอร่อยอยู่แล้ว ในตลาดเช้ามีของกินเยอะมากเลือกไม่ถูก ทั้ง อาหารคาวหวาน ผักผลไม้ ชา หรือ กาแฟก็มีให้เลือก มีพระเดินบิณฑบาตด้วย ใครอยากใส่บาตรก็ซื้อของในตลาดใส่ได้เลย สะดวก


รู้สึกเวลาช่างผ่านไปอย่างรวดเร็ว พวกเราก็เดินกลับมาขึ้นรถไฟเพื่อเดินทางต่อ หลังจากสถานีนครปฐมเป็นต้นไปเปลี่ยนคนขับรถไฟเป็นอีกคน บางคนก็วิ่งมขึ้นรถไฟ เจ้าหน้าที่บอกว่ามีคนตกรถไฟ 4 คน เพราะฉะนั้นต้องทำเวลากันสักนิดนึงเน้อออ เพราะเขาไม่รอน้าาา ต้องตรงเวลา!!

พอออกเดินทางไปสักพัก ลุงตำรวจก็มาประกาศแนะนำของกินของฝาก ที่จะฝากเจ้าหน้าที่ซื้อ นึกว่า ดูรายการครัวคุณต๋อยอยู่เ555 แต่ละเมนูพูดสะอยากกิน แต่เราไม่ได้เดินทางกลับเลยอด เท่าที่จำได้ ก็จะมีก๋วยเตี๋ยวแห้ง ลูกชิ้นปลาลวก ห่อหมก น้ำตาลสด ขนมหม้อแกง จริงๆ เมนูมีเยอะกว่านี้แต่จำไม่ได้แหล่ววว


เวลา 10:10 am. เราก็ถึงสถานีสะพานแควใหญ่ ลงไปถ่ายรูปกับสะพานข้ามแม่น้ำแคว คนค่อนข้างเยอะเพราะเป็นช่วงวันหยุด

ระหว่างรถไฟขับข้ามสะพาน คนขับจะเปิดประตูด้านหน้าแล้วขับช้าๆ เพื่อให้ทุกคนถ่ายรูปกัน ส่วนเราพี่คนขับเขาเห็นว่าเราชอบถ่ายรูปเขาเลยเรียกเราไปด้านหน้า เราเลยได้ที่ VIP หน้าสุดไม่ติดใคร อิอิ ต้องขอบคุณมากจริงๆ แต่เราก็นั่งลงด้านล่างแบ่งคนอื่นถ่ายด้วย

11:20 am. ก็มาถึงสถานีท่ากิเลน ระหว่างทางบรรยากาศก็จะเต็มไปด้วยต้นไม้เขียวขจี บวกกับช่วงนี้เป็นช่วงหน้าฝน อากาศไม่ร้อน ไม่ค่อยมีแดด ทำให้มองดูแล้วสดชื่น สบายตาสุด ๆ ก่อนจะขับเข้าเส้นทางรถไฟสายประวัติศาสตร์ คนขับจะขับช้าๆเพื่อให้ทุกคนได้ถ่ายรูป ทางด้านซ้ายมือ เราจะมองเห็นวิว แม่น้ำแคว ส่วนทางด้านขวามือ จะติดกับหน้าผา คุณตำรวจแนะนำว่าให้เอามือไปสัมผัสกับหน้าผาแล้วขอพร แล้วเอามือมาแตะที่หน้าผากตัวเอง (เป็นความเชื่อส่วนบุลคล)

12:20 pm. เราก็เดินทางมาถึงสถานีน้ำตกกันแล้วววว เย้!!

ก่อนจะลงจากรถไฟเราได้มีโอกาสเข้าไปขอบคุณ คุณน้าคนขับรถไฟ แกแนะนำที่เที่ยวและการเดินทางต่อให้พวกเราด้วย น่ารักมากกก ขอบคุณมากค่าาาา : ) เลยขอถ่ายรูปมา

เรานัดกับทาง The River Life Resort ให้มารับ 13:30 pm. พวกเราเลยมีเวลาไปเดินถ่ายรูปเล่น

เที่ยงแล้ว หาข้าวทานกัน ระหว่างเดินหาข้าวทาน ก็จะผ่านร้านขายของกินของฝาก ส่วนมากที่เราเห็นก็จะขายของเหมือนๆกันแทบทุกร้าน ขายพวกกล้วยฉาบ มันทอด เผือกทอด ก็จะมีทั้งรส เค็ม หวาน และ บาร์บีคิว พวกเราชิมแล้วติดใจ เลยอุดหนุนมา 4 ถุง ราคา100 บาท เดินมาอีกนิดเห็นร้านส้มโอ เห็นแล้วน่ากินเลยอุดหนุนมาหนึ่งลูก 50 บาท แบบพร้อมทาน ที่ร้านป้าปลอกส้มโอได้น่ากินมาก รสชาติก็ดี ชื่นจายย...

ร้านที่เราเลือกฝากท้องไว้ จะอยู่ใกล้ๆกับ 7-11 จำชื่อร้านไม่ได้แล้ว ในร้านจะมีกรอบรูปแยอะๆ จะเป็นรูปพระมหากษัติย์ ไทยและ รูปของคนในครอบครัว สังเกตุได้จากตรงนี้แทนแล้วกันเน้ออ อาหารรอไม่นาน รสชาติดี อร่อย เราชอบไก่ย่าง แบบไม่แห้งเกินไป มีน้ำไก่ชุ่มกำลังพอดี


เวลาประมาณ 13:20 ทางรีสอร์ทโทรมาบอกว่าเค้าจะออกมารับแล้วนะ จะจอดรออยู่แถวๆหน้า 7-11 พวกเราทำธุระกันเสร็จ คนที่มารับก็โทรมาอีกครั้งบอกว่าจอดเลยหน้า 7-11 มาหน่อยรถยี่ห้อ Ford สีขาว สี่ประตู นะ ตอนแรกเราถามว่าทะเบียนอะไร เหมือนพี่เค้าจะจำไม่ได้555 แต่ก็คงหาไม่ยากละมั้ง เดินออกมาหน่อยก็เจอรถต้องสงสัย น่าจะใช่แหละ สักแปปพี่เค้าก็เดินลงมารับ โอเคได้เวลาเดินทางไปที่พักกันแล้ว ระหว่างทางเราก็คุยกันตามประสาเพื่อนนานๆเจอกันที555 แต่ของพวกเราให้คูณสองเข้าไป ก็เล่นมุขขำๆกันตลอดทางเจออะไรก็เล่น เล่นทุกอย่างที่เจอก็ว่าได้ วิวข้างทาง สวยมากเป็นแนวถูเขาทอดยาวสูงต่ำบ้างสลับกัน แต่ภูเขาจะอยู่แค่ฝั่งเดียว

ระหว่างทางเราผ่านไร่มัน ไร่ข้าวโพด สวนส้มโอ เราหันไปมองพี่คนขับเป็นระยะๆ555 กลัวเค้าจะรำคาญพวกเรา แต่พี่เค้าดูใจดี ก็ยิ้มๆ ช่วงใกล้ถึงที่พัก เพื่อนที่นั่งข้างหลังมันเถียงกันเรื่องต้นไม้ที่ปลูกอยู่ข้างทางมันคือ ต้นอะไร พี่คนขับเลยพูดขึ้นมาว่า ต้นข้าวโพดครับ เออนี่แหละเป็นประโยคแรกที่เราได้คุยกันบนรถ55555 เราไม่ได้ถามชื่อเค้ามาว่าชื่ออะไร แล้วก็ไม่แน่ใจด้วยว่าเค้าเป็นใคร แต่ที่แน่ๆคือ เค้าบริการพวกเราดี พูดจาน่าฟังเสียงเค้าหล่อดีนะพวกแกรรร พี่เค้าดูมีเสน่ห์ดีวรั๊ยยยยตั่ยล้าววว555

รีสอร์ทที่เราเลือกพักในทริปนี้มีชื่อว่า The River Life Resort เห็นจากรูปของทางเพจแล้วก็ชอบเลย เพื่อนๆก็โอเค เลยตัดสินใจจอง นี่คือทางเข้า


รีสอร์ทห่างจากสถานีน้ำตก 13.6 km.ใช้เวลาไม่ถึง 30นาที จากสถานีน้ำตก

ที่พักของทางรีสอร์ทจะแบ่งตามนี้

  • Loft zone : 1,900 บาท พร้อมอาหาร 2 มื้อ (เช้า+เย็น) สำหรับ 2 คน
  • Raft zone : 3,500 บาท พร้อมอาหาร 2 มื้อ (เช้า+เย็น) สำหรับ 2 คน
  • Building zone : 2,800/2,500 บาท พร้อมอาหาร 2 มื้อ(เช้า+เย็น) สำหรับ 2 คน
  • กิจกรรมล่องแพเปียก : 150 / คน
  • extra person : 800 บาท (ห้องละ 1 คน) พร้อมที่นอนเสริมและอาหาร 2 มื้อ (เช้า+เย็น)

More information contact : https://www.facebook.com/theriverliferesort.kancha...

Tel. 081-8305630, 089-2515111 or Email : [email protected]

Reference from : https://www.facebook.com/theriverliferesort.kancha...

-----------------ไม่ได้ค่ารีวิวแต่อย่างใดนะค่ะ แต่ประทับใจที่นี่เลยอยากแบ่งปัน-----------------

พวกเราเลือกแบบ Raft zone หรือ นอนบนแพลอยน้ำนั่นเอง หลักจาก Check in เสร็จก็จ่ายเงินค่าล่องแพ ราคาคนละ 150 บาทจ่ายค่ามัดจำห้อง ห้องละ 500 บาท ได้คืนตอน Check out เอากุญแจมาคืน ตอนเรากำลัง Check in ในห้องมีน้องผู้ชายคนนึงหน้าตาน่ารักเชียวอายุน่าจะเท่าๆกับน้องเราเอง น้องเค้าอุ้มลูกหมาสีขาวอยู่ น่ารักมาก แล้วแม่หมาก็เดินเขาห้องมา น้องบอกว่าเป็นพันธุ์ Spitz ชื่อ ไวท์ แล้วยังเล่าว่ามีอีกตัวแต่ไม่รู้อยู่ไหนเลยอดเห็น


เอาของไปเก็บกัน มีคนช่วยถือของด้วยนะ เขาถามว่ามีอะไรให้ผมช่วยมั้ยครับ เจ้อุ้ย ตอบทันที”มีค่ะ” เอาละคนนี้เสร็จอุ้ยไป ส่วนเพื่อนคนอื่นก็แบกเองเด้อออ ทึกและบึกบึนอยู่แล้วหนิ5555 การตกแต่งภายในห้องก็จะเป็นสไตล์ modern วัสดุจะเน้นไม้เป็นหลัก ในห้องพักจะเป็นเตียงใหญ่ นอนได้สองคน มีโซฟา แล้วก็หมอนอีกหลายใบ เราสะใจมากเพราะเราติดหมอนต้องใช้มากกว่า2ใบ ถือว่าตอบโจทย์555 สิ่งอำนวยความสะดวกก็จะมี ผ้าเช็ดตัว ผ้าเช็ดหน้า ผ้าห่ม หมอน ตู้เย็น ในตู้มีน้ำสองขวด ยี่ห้อของทางรีสอร์ท packaging ออกแบบได้สวยงามดี ปริมาณน้ำกำลังดีไม่ใหญ่ไม่เล็กเกินไป มีไดร์เป่าผม ซึ่งอันนี้ชอบมากเพราะเราผมยาว ใครที่มาพักที่นี่ไม่ต้องขนมาเน้อออ มี ทีวี โต๊ะสำหรับวางของ ราวตากผ้าในห้องเป็นแบบติดกับผนังห้อง ไม้แขวนเสื้อ ไปดูในห้องน้ำกันบ้างดีกว่า มีชักโครกมาพร้อมสายฉีด เครื่องทำน้ำอุ่น อ่างล้างหน้า ฟักบัว เราลองเปิดน้ำดูแล้ว สะใจดี น้ำไหลแรงแถมเป็นฟักบัวที่ใหญ่ เวลาอาบน้ำสะอาดสะใจแน่นวลลล!! มีแชมพูกับเจลอาบน้ำให้อย่างละขวด มีก๊อกน้ำด้วยอยู่ด้านล่างฟักบัว

ออกไปสำรวจข้างนอกกันดีกว่า เปิดประตูบานเลื่อนใบใหญ่ออกไป เราจะเจอกับระเบียงไม้ต่างระดับ มีเก้าอี้ไม้แบบเอนตัวนอนได้ วางอยู่หน้าห้อง 2 ตัว แล้วก็มีแพที่ทำจากไม้ไผ่ยืนออกไปอีก เราสามารถลงไปนั่งเล่น มองดูคนนั่งเรือผ่านไปมา หรือ เอาเท้าจุ่มน้ำได้จากหน้าห้องของเราได้เลย

ห้องนอนเราแบ่งเป็นสองห้องติดกัน เรานอนกับแก้ม ส่วน แนนกับอุ้ยนอนด้วยกัน เราแจ้งกับทางรีสอร์ทไว้ตั้งแต่แรกแล้วว่าเราขอห้องที่ติดกัน แล้วก็ได้จริงๆ พวกเราเลยเดินข้ามไปเล่นห้องเพื่อนได้สบายๆ

นอนพักกันสักพักเก็บแรงไว้ไปล่องแพกันดีกว่า พอได้เวลา 4 โมงเย็นแพเริ่มจอดเทียบที่ท่า แขกที่มาพักด้วยกันก็ทยอยกันออกมาเพื่อรอขึ้นแพ เป็นแพไม้ไผ่ที่ด้านข้างซ้ายขวาจะติดกับทุ่นเหล็กที่สามารถลอยน้ำ เท่าที่เราสังเกตุห้องที่เรานอนด้านล่างก็ใช้ทุ่นเหล็กแบบเดียวกัน เพราะฉะนั้นแข็งแรง ปลอดภัยแน่นวลลลล!! มีเสื้อชูชีพเตรียมไว้ให้ มีเยอะพอสำหรับทุกคนที่จะไปล่องแพไม่ต้องห่วง

รอสักพักก็ถึงตาพวกเราแล้ว เย้!! บนแพของพวกเรามีพวกเรา 4 คน พี่ผู้ชายที่อยู่ห้องใกล้ๆเรา มากับ แฟน รวมเป็น 2 คน แล้วก็มีพี่ผู้ชายที่มากับครอบครัวอีก 2 คนที่เค้าต้องมาอยู่แพพวกเราเพราะแพที่เค้ามาด้วยคนเยอะแล้ว เลยแบ่งๆมาทางนี้ สรุปแล้วแพพวกเรามีทั้งหมด 8 คนกำลังดี แพจะผูกต่อกันเป็นสามตอน เราอยู่ตอนกลาง แพเริ่มล่องออกไป แต่ตอนไปล่องแพพวกเราไม่ได้พกมือถือ กับกล้องถ่ายรูปไปเพราะเราจะเล่นน้ำกัน แอบเสียดายอยู่ เพราะหลังจากที่แพลอยออกไปไม่เท่าไหร่ หันกลับมาทางรีสอร์ทคือ วิวสวยมาก สามารถมองเห็นแนวภูเขาที่ทอดยาวออกไป บวกกับ มีฝนตกปอยๆ เมฆลอยต่ำ สีขาวของก้อนเมฆตัดกับสีเขียวของภูเขามันตัดกันได้อย่างลงตัว คือ ฟินมากกกกก...

Reference from : https://www.facebook.com/theriverliferesort.kancha...

เอาเท้าจุ่มน้ำระหว่างที่แพกำลังล่องไปอย่างช้าๆ คือ มันผ่อนคลายมากจริงๆนะ มองดูต้นไม้ ป่าไม้ มันทำให้ได้คิดทบทวนอะไรหลายๆอย่าง แล้วก็ได้คุยกันกับเพื่อนๆทำความรู้จักกับพี่ๆที่เรามาด้วยกัน มันก็สนุกดีล่องแพออกมาสักพัก เราก็แยกออกจากแพอื่น ถึงตอนนี้เราก็ล่องแพเดียวเดี่ยวๆ โดยแต่ละแพจะมีไม้พายสองอัน กับคนพายอีกหนึ่งคน ตอนนี้มีคนอยู่บนแพทั้งหมด 9คน เราสามารถกระโดดลงไปว่ายน้ำเล่นได้ แพของที่รีสอร์ทด้านหลังมีบันไดสามารถเลื่อนขึ้นลงได้ ทำให้สะดวกเวลาจะขึ้นหรือจะลง

พี่ผู้ชายไม่รอช้าพวกเค้าลงไปเล่นน้ำทันที แก้มก็ไม่รอช้าลงไปทันที ตอนแรกเราเห็นพี่ๆกับเพื่อนลง ก็อยากลงบ้าง แต่อีกใจก็แอบกลัวเพราะเราไม่เคยว่ายน้ำในแม่น้ำใหญ่ๆแบบนี้มาก่อน เคยว่ายแต่ในสระว่ายน้ำ แต่พวกทั้ง4คนว่ายน้ำเป็นนะ ทำใจอยู่สักแปป เลยตกลงกันว่าให้เพื่อนขึ้นมาแล้วเรากระโดนไปพร้อมๆกัน โอเคเรา 3 คน ยกเว้นอุ้ยไม่ลงเพราะอุ้ยเป็นผู้หญิงพอดีเลยอด ผู้ชายอ่านละไม่เข้าใจหันไปถามแฟนนะ เราจำได้ว่าเรากริ๊ดดดดลั่นเลย เพราะเราตื่นเต้น ขอเรียกกำลังใจแปปนึง 555 บวกกับเราลีลาแนนเลยพลักเรากับแก้มลงไป ตู้มมมมม!! เออเห้ยยสนุกดีอะ พอลองได้กระโดดแล้วมันก็ไม่มีอะไรยากแล้ว ทีนี้ก็สนุกเลย พอใกล้ถึงรีสอร์ทก็ขึ้นมานั่งพักเหนื่อยบนแพ ขึ้นไปอาบน้ำเตรียมออกไปทานข้าวเย็นกัน ลืมเล่าให้ฟังพี่นินที่เค้ามาแพเดียวกับเราเค้าว่ายน้ำตามแพไม่ทันเลยถูกเท ให้ขึ้นแพที่ตามหลังมาแอบสงสาร แต่พี่นินบอกว่าแกโอเค555 ดูแกชิวดีเนอะ 555 เจอพี่นินอีกทีตอนทานข้าวเย็น เรานั่งหันหลังให้กัน แกเล่าว่าสรุปแล้วแกว่ายน้ำมาถึงรีสอร์ทแกบอกว่าพี่เหนื่อยมากกกก... ก็สมควรอยู่เน้อออพี่5555

หลังจากเสียพลังงานไปกับการเล่นน้ำมาเติมพลังกันดีกว่าไปทานมื้อเย็นกัน แต่พวกเราขึ้นมาทานข้าวกันช้า จนคนที่รีสอร์ทลงไปตามมาทานข้าว ที่เราช้าเพราะเรามัวถ่ายรูปเล่นกันอยู่เด้อออ555 เพลินไปหน่อย ตอนนี้ฝนตกปอยๆเลยทำให้นั่งทานข้าวข้างนอกไม่ได้เลยนั่งด้านบน บรรยากาศดีมาก ลมพัดเย็น ด้านหน้าเปิดโล่งมีชิงช้าตัวใหญ่อยู่สองอันซ้ายขวาส่วนด้านข้างเป็นประตูกระจกเปิดรับลม อากาศเย็นกำลังดี ไฟที่ใช้ตกแต่งจะไปโทนสีอบอุ่น โทนส้มๆ ทำให้รู้สึกอบอุ่นและเป็นกันเองอย่างมาก

พวกเรา enjoy eating กันอย่างเมามัน555 มีเพลงให้ฟังเพลินๆตลอดมื้อค่ำ เป็นเพลงสากลเพราะทุกเพลงที่เปิด เราชอบอ่าาาาาา อาหารมื้อเย็นจะมีทั้งหมด 5 เมนู ปลาทอดสามรส ยำวุ้นเส้นรวมมิตร ผัดผักผัดฉ่าปลาคัง และ แกงป่าไก่ ทุกเมนูยกเว้นปลาทอดเราสามารถเติมได้เรื่อยๆ เครื่องดื่มมีให้คือ น้ำแข็งเติมให้ตลอด น้ำเปล่าขวดใหญ่เป็นขวดแก้วสวยดี แต่ก็กลัวทำของเค้าแตกอีกละ555

หลังจากทานมื้อค่ำกันเสร็จ โต๊ะอื่นเริ่มทยอยกลับห้องพักไป เหลือ 3โต๊ะที่นั่งดื่มกันต่อ แน่นอนหนึ่งในนั้นคือโต๊ะพวกเรา เครื่องดื่มนอกจากน้ำเปล่า ก็มีให้เลือกอยู่หลากหลายยี่ห้อเท่าที่มองผ่านๆก็จะมี Hoegaarden rosee , Hoegaarden wit blanche, Heineken, Leo, Spy, Breezer พวก soft drink ก็มี

เราเริ่มเล่นเกมส์ในวงเหล้ากัน เริ่มจากเกมส์ใบ้คำ โหลด app Chayen มาเล่นใครได้แต้มน้อยสุดก็ดื่ม เริ่มได้ที่ ก็เปลี่ยนเกมส์ เกมส์นี้ต้องใช่สติกันสักนิด กติกาคือ ให้นับเลขไปเรื่อยๆแต่จะตั้งกติกาก่อนว่าถ้าลงท้ายด้วยตัวเลข 3,7,หรือ เลขอะไรก็ได้ แล้วแต่จะตั้ง จะตั้งกี่ตัวก็ได้ ถ้าใครถึงเลขที่กำหนดไว้ ห้ามพูดแต่ให้ปรบมือแทน ใครผิดหรือช้า ก็ดื่ม เราดวลกันมาจน แก้มกับอุ้ยหมดแก้วไปก่อน เหลือ เรากับแนน สองคน เพื่อนเพิ่มเลขเรื่อยๆ ช่วงเล่นใหม่ๆเราสติดีมาก555 พอเพื่อนเปลี่ยนเลขบ่อย เราเลยจำไม่ได้ รู้สึกเหมือนคอมที่ใช้งานมาทั้งวันแล้วยังไม่ได้พักเครื่อง ถ้าเด็ก IT ก็จะพูดขำๆว่า ติด bug นั่นแหละเราเป็นแบบนั้นเลย555 เรากับแนนเล่นกันได้แค่แปปเดียวก็ผิดบ่อยขึ้น ถี่ขึ้น ตั้งเป้าไว้ว่ายังไม่ต้องดื่ม แต่ให้นับให้เลยเป็นช่วงๆไปจึงจะถือว่าเอาจริง แบ่งเป็น 20 30 แล้วก็เพิ่มเลขไปเรื่อยๆ สนุกและฮามากกก กว่าจะจบเกมส์ก็น่าจะสี่ทุ่มกว่าได้ เกมส์นี้แนนเป็นผู้ชนะ ยกธงขาวจ้า555

สี่ทุ่มกว่าแล้วออกไปนั่งเล่นริมน้ำกัน เราเห็นห้องข้างๆทำไมเขาออกมานั่งมืดๆนะ ตอนแรกเราก็เปิดไฟ แต่พอนอนเล่นแล้วมองไปบนท้องฟ้าเห็นดาว เราเลยปิดไฟกันแล้วเอาหมอนมานอนข้างนอก นอนดูดาวเปิดเพลงฟังชิวๆ โอ้ยยยคือเลิศ มีความสุข ท้องฟ้าตอนกลางคืน สวยดีนะอยู่ในกรุงเทพฯ ไม่ค่อยเห็นดาว เห็นแต่สีไฟ ท้องฟ้าที่มืดสนิทสามารถมองเห็นดาวได้ เราก็นอนเล่นกันสักพักใหญ่ๆ เข้านอนกันประมาณ เที่ยงคืนกว่า เก็บของเตรียมเดินทางกลับพรุ่งนี้

เช้าวันที่ 16 ก.ค. เพื่อนๆตื่นกันตั้งแต่ตีห้าเกือบๆหกโมงเช้า แต่เมื่อคืนเรานอนดึกเราเลยตื่น 6:30 am. เข้าห้องน้ำล้างหน้าแปรงฟัน แล้วออกไปนั่งเล่นกันอยู่หน้าห้อง แล้วออกไปเก็บบรรยากาศรอบๆต่อ

เวลาประมาณ 7:30 am. พวกเราเลยขึ้นไปรอทานข้าวเช้ากัน อาหารจะเสริฟตอน 8 โมงเช้า พวกเราเลยนั่งดื่มโอวัลติลกับขนมปังรองท้องไปก่อน สักพักอาหารก็มา ในส่วนของมื้อเช้า จะมีขนมปัง เนย แยมผลไม้ พร้อมเตาปิ้งขนมปัง โอวัลติน กาแฟ ข้าวต้มหมู ข้าวผัดที่ด้านบนโรยด้วยไข่เจียว ไม่ดาวรูปหัวใจ และไส้กรอก

เติมพลังกันเสร็จเรียบร้อย เราเลยนัดกับที่รีสอร์ทไว้ตอน 10โมงเช้า ให้ไปส่งที่ท่ารถ เพื่อต่อรถเข้าเมืองกาญจนบุรี

พวกเรากลับมาเก็บของ สำรวจดูว่าลืมของอะไรอีกมั้ย จากนั้นก็มา Check out ออกจากที่พักรับเงินมัดจำคืน ส่วนขากลับจะเป็นพนักงานอีกคนมาส่งพวกเรา เราถามเค้าว่าชื่ออะไร เค้าบอกว่าชื่อขวัญ เป็นผู้ชายนะ อายุน่าจะรุ่นๆเดียวกันกับพวกเรา หรือ ไม่ก็เด็กกว่า(เราปีนี้อายุ22) เราถามเค้าเรื่องการเดินทางเข้าเมือง เค้าบอกว่าเดี๋ยวจะไปส่งที่ท่ารถ จะอยู่เลยสถานีน้ำตกมาหน่อย อยู่หน้าสถานีตำรวจเลย

รถเมย์มีทั้งเป็นแบบรถแอร์ และ รถพัดลม แล้วแต่ดวงว่าจะได้ขึ้นแบบไหน รถมีเยอะมาบ่อย แต่ละรอบห่างกันประมาณ 20นาที เราถามต่อว่าจะต่อรถไปเที่ยวยังไงถ้าเริ่มจากในตัวเมือง ขวัญแนะนำว่า มีสองแถวแบบเหมา พาเที่ยวได้ทั้งวัน เดี๋ยวคนขับรถสองแถวเค้าจะแนะนำสถานที่เที่ยวให้เอง แต่ที่เราตั้งใจไปต่อกันคือ วัดถ้ำเสือ ระหว่างทางที่ขวัญขับรถมาส่ง พวกเราก็เล่นทายปัญหากันเหมือนตอนขามา ขวัญก็ร่วมทายด้วย ตอนนั้นขับรถอยู่บนทางที่มีภูเขาแค่ฝั่งเดียว ขวัญทายพวกเราว่า “รู้มั้ยถนนเส้นนี้เรียกว่าอะไร “ เราจำไม่ได้แล้ว่ามีคนตอบถูกมั้ย คำตอบคือ ถนนรักเขาข้างเดียว เพราะวิวข้างทาง จะมีภูเขาอยู่แค่ฝั่งเดียว เราเลยถามว่ารู้ได้ไง ขวัญบอกว่าได้ยินมา เราเลยงงว่ารู้ได้ไงเพราะวันแรกขวัญไม่ได้มารับพวกเรา ถามไปถามมา ก็อ๋ออออ ขวัญเล่าให้ฟังว่ามุขนี้ได้มาจากพี่คนที่มารับพวกเราวันแรก ซึ่งมันเป็นมุขที่พวกเราเล่นกันบนรถวันแรก แอบเขินนิดนึงเพราะพวกเราเล่นกันไปเยอะอยู่ ฮาบ้างไม่ฮาบ้าง แต่ก็ขำกันไปตลอดทาง 5555555 ขวัญเป็นคนเฟรนลี่นะ ดูเป็นมิตรดีถามพวกเราว่าชอบที่นี่มั้ย แล้วก็แนะนำว่ามาช่วงไหนถึงจะสวย บอกเลยว่าพูดแล้วทำให้เราอยากมากาญจนบุรีอีก ติดจายยยย…

รอรถเมย์ไม่ถึง 20 นาที รถมาพอดี หน้ารถเป็น ป้ายบอกว่า กาญจนบุรี-สังขละบุรี คนที่นั่งรอเริ่มทยอยขึ้นรถกัน ด้วยความแน่ใจเราเลยถามลุงคนขับว่า เข้าไปในเมืองกาญจนบุรีมั้ย ลุงบอกว่าไปครับ พวกเราเลยขึ้นรถกัน ระหว่างทางเข้าเมือง ผ่านเมืองมัลลิกาด้วย เราเห็นแต่ด้านนอก คนเยอะอยู่ ไว้คราวหน้าถ้ามีโอกาสมาเที่ยวอีกคงต้องแวะเข้าไปสักหน่อย ค่าโดยสารจากน้ำตกไทรโยคน้อย-กาญจนบุรี ราคาคนละ 50 บาทลุงขับไม่เร็วมากค่อยๆไป รถที่เรานั่งเป็นรถแอร์ ใช้เวลาประมาณ 2 ชั่วโมงก็ถึงสถานีขนส่งกาญจนบุรีกันแล้ว

ตอนนี้เวลาประมาณ บ่ายโมงกว่าๆ ตอนเราลงจากรถ ก็มีรถตู้ รถสองแถวเข้ามารุมถามว่าจะไปไหนกันต่อ แต่หลังจากนี้ไปพวกเราเดินทางกันแค่ 3 คนแก้มต้องกลับไปทำงานต่อ เลยไปส่งแก้มขึ้นรถกลับ กทม.ไปก่อน เราเจอลุงขับสองแถวอยู่คนนึง แกชื่อลุงอ๊อด ตกลงเรื่องราคาและสถานที่ ที่จะให้พาไป ลุงแกเสนอมา 500บาท พวกเราก็ตกลงเราแฮปปี้ในราคานี้ ไปสองที่ คือ วัดถ้ำเสือ และวัดบ้านถ้ำ ลุงแนะนำที่นี่เพิ่มเพราะ เป็นทางผ่านไปวัดถ้ำเสืออยู่แล้ว

จากขนส่งไปวัดบ้านถ้ำระยะทางประมาณ 17.1 km.ใช้เวลาประมาณไม่ถึง 30นาทีก็ถึงวัดบ้านถ้ำ พวกเรามาวัดนี้ทั้งๆที่ไม่มีข้อมูลมาก่อนเลย แค่มาตามที่ลุงอ๊อดแกแนะนำ ลุงลงมาจากรถแล้วเล่าให้ฟังคร่าวๆว่าที่วัดบ้านถ้ำ เป็นวัดที่มีประวัติมายาวนาน สร้างเมื่อครั้งสมัยสุโขทัย โดยท่านเศรษฐีคนหนึ่งซึ่งร่ำรวยมาก และสร้างพระพุทธรูปไว้องค์หนึ่งในถ้ำลงรักปิดทอง ต่อมาได้สร้างวัดไว้ที่เชิงเขาด้านล่าง แล้วยังมีมีตำนานของขุนแผนกับแม่บัวคลี่อยู่ ตอนที่ขุนแผนล่อลวงแม่บัวคลี่มาแล้วผ่าท้องเอาลูกมาทำเป็นกุมาร ลุงอ๊อดบอกว่าต้องขึ้นบันไดขึ้นไปนะให้ตั้งใจเวลาเดินขึ้นให้นึกถึงเรื่องที่อยากทำให้สำเร็จแล้วจะได้ดั่งใจหมาย(ความเชื่อส่วนบุลคล)


พอพวกเราเดินมาถึงบริเวณด้านล่างตรงบันไดทางขึ้นได้แต่ร้องโอ้โหหหห…อยู่ในใจ ใจนึงก็คิดมันไกลนะเนี่ย แต่อีกใจก็สู้บอกรออะไรขึ้นไปสิ้!! ซื้อพวงมาลัยเพื่อนำไปสักการะพระพุทธรูปที่อยู่ในถ้ำ


เราเดินๆ พักๆ จนขึ้นมาถึงในถ้ำ ไหว้พระ ถวายสังฆทาน พักให้หายเหยื่อยสักนิด แล้วก็ลง ตอนนั้นขามันสั่นไปหมด555 มีโอดโอยกันบ้างแหละ สำหรับใครที่ขึ้นมาไม่ต้องกลัวข้างบนมีตู้น้ำขาย ห้องน้ำก็มีไว้บริการ



ในถ้ำมีหลวงพ่อใหญ่ชินราชประดิษฐานอยู่

ภายในถ้ำมีช่องว่าง ทำให้แสงแดดและลมพัดผ่านเข้ามา อากาศเย็นสบาย

เดินทางต่อไปวัดถ้ำเสือ เราเคยเห็นรูปวัดถ้ำเสือ ที่ถ่ายจากมุมสูงในเพจ Unseen Tour Thailand เลยตั้งเป้าว่ามาเที่ยวครั้งนี้ต้องแวะมาสักหน่อย แล้วก็ไม่ผิดหวัง ในรูปว่าสวยแล้ว ได้มาเห็นของจริงสวยกว่า

ไหว้พระทำบุญเสร็จก็ขึ้นรถกลับขนส่ง เราขึ้นรถตู้กลับกทม. ราคาตั๋วคนละ 120บาท มีให้เลือกหลายวินมาก รอบรถเยอะมีนักท่องเที่ยวทั้งไทยและต่างชาติแวะเวียนมาใช้บริการกันอย่างคึกคัก รอบที่เรากลับมีคนญี่ปุ่นขึ้นมาด้วยสองคน ใช้เวลาเดินทางประมาณ 3 ชั่วโมงก็ถึงสถานีขนส่งหมอชิต2

เราเดินหารถตู้ที่จะไปฟิวเจอร์ต่อ เลยไปเจอป้ายรถไปอ่างทอง แต่แวะจอดที่ฟิวเจอร์ พวกเราเลยขึ้นรถคันนี้ไป เราถามลุงคนขับว่าผ่านเมืองเอกมั้ย เพราะถ้าผ่านก็จะสะดวกกับพวกเรามาก ถามต่ออีกว่าผ่านตรงไหนที่ใกล้ม.รังสิตที่สุด จนลุงแกบอกว่าลงฟิวเจอร์นี่แหละใกล้สุดแล้ว แล้วอีกอย่างลุงจอดให้ลงได้แค่ที่นี่เท่านั้นจอดในวินรถตู้ ที่อื่นจอดให้ไม่ได้จริงๆ โอเคพวกเราก็เข้าใจ ค่ารถตู้คนละ 30บาท ลุงแกพูดขำๆกับผู้โดยสารว่าเนี่ยทั้งรถมีไปอ่างทองแค่คนเดียว ที่เหลือลงฟิวเจอร์หมด พอเราถึงหอเอาของมาเก็บ ออกไปหาข้าวกิน ทริปนี้เราขอจบด้วยชาบูก็แล้วกันหิวมากเรียกได้ว่าแดกแหลกแน่นวลล!!

จบแล้วจ้าการเดินทางของ อาซ้อพาเพื่อนเที่ยวเป็นไงบ้าง สนุกกันมั้ย?? นี่เป็นการเขียนรีวิวแบบจริงๆจังๆครั้งแรกของเรา การเดินทางในครั้งนี้เรียกได้ว่าครบรส เผ็ชชชมัน!! คิดไปคิดมาก็ทำให้นึกถึงเพลงยินดีที่ไม่รู้จักขึ้นมาทันที เราได้พูดคุยทำความรู้จักกับคนที่เราไม่รู้ว่าเขาชื่ออะไร เป็นใครมาจากไหน รู้แค่ว่าเรามีจุดหมายเดียวกัน ซึ่งเราคิดว่านี่แหละคือ เสน่ห์ของการนั่งรถไฟไปเที่ยว หรือ การเที่ยวแบบ back pager ขอบคุณทุกคนที่ผ่านเข้ามาเติมเต็มทำให้การเดินทางในครั้งนี้พบเจอแต่เรื่องดีๆ หวังว่าเราจะได้เจอกันอีก บ้ายบายยยย…




































ความคิดเห็น