การเดินทางไปจิ่วเฟิ่นจากตัวเมืองไทเปเท่าที่ทราบมี 2 วิธีค่ะ วีธีแรก คือเดินทางด้วยรถไฟธรรมดา TRA ไปยังสถานี Ruifang แล้วข้ามถนนมาขึ้นรถบัสสาย 1062, 788, 827 และ 866 ไปยังจิ่วเฟิ่น ซึ่งตอนแรกเรากะว่าขาไปจะเดินทางด้วยวิธีนี้และกลับอีกวิธีนึง เพื่อที่จะได้สัมผัสประสบการณ์ที่ต่างออกไปในการเดินทางในไต้หวัน แต่เนื่องจากว่าเราไปถึงไทเปช้าแล้ว เราเลยเลือกไปอีกวิธีนึงซึ่งน่าจะสะดวกกว่าการไปหาว่ารถไฟขบวนใดไปสถานี Ruifang บ้าง โดยอีกวิธีคือการนั่งรถไฟฟ้าไปลงที่สถานี Zhongxiao Fuxing ทางออก 2 (ถ้าใครอ่านรีวิวเก่าๆจะให้ไปที่ทางออก 1 ซึ่งตอนนี้ป้ายสำหรับขึ้นรถบัสย้ายที่แล้วค่ะ) พอเดินตรงออกมา ให้เลี้ยวขวามาเรื่อยๆ มาหน้าห้าง SOGO เลยค่ะ ตรงนั้นจะดูไม่ค่อยเหมือนป้ายรถเมล์เท่าไหร่นะคะ แต่จะมีเสาเล็กๆติดป้ายรถเมล์ที่ผ่าน คือสาย 1062 แต่ไม่ต้องห่วงว่าจะหาไม่เจอนะ เดินๆไปพอไปยืนแถวนั้น เดี๋ยวจะมีคุณลุงแท็กซี่ถือป้ายขนาด A4 เขียนเลข 1062 อยู่ แล้วจะมาบรรยายประมาณว่าไปกับแกถึงจิ่วเฟิ่นเร็วกว่า ใช้เวลาแค่ 40 นาทีเอง ตอนนั้นลุงแกบอกว่าถ้าเราไปก็ไปพร้อมกับคนจีนอีกสองคนที่รออยู่แล้วได้ไปเลย ตอนนั้นก็รีบนะแต่มันแพงไปอ่ะ(งกงก 555 ก็ต้องจ่ายคนละ 300 NT แน่ะ) เรารอรถไม่นานนะไม่น่าจะถึง 5 นาที รถบัสสาย1062 ก็มา(แอบสงสารลุงแท็กซี่เหมือนกัน พอเห็นรถบัสมาแกหน้าจ๋อยเลย) ขึ้นมาบนรถคนไม่เยอะรถโล่งเลยล่ะน่าจะเป็นต้นๆสายนะ เราชอบที่ไต้หวันอีกอย่างนึง คือเขาเห็นความสำคัญกับเด็ก สตรีมีครรภ์ ผู้พิการ และผู้สูงอายุมาก ทุกๆที่จะมีป้าย priority seat ตลอด ถ้าบนรถเมล์หรือรถไฟฟ้านอกจากติดป้ายแล้วยังแยกสีที่นั่งให้เห็นชัดเจนเลย ซึ่งเท่าที่เราสังเกตเขาจะสงวนที่ไว้สำหรับคนกลุ่มนี้ไม่น้อยกว่าหนึ่งในสามหรือเกือบครึ่งหนึ่งเลยทีเดียว นับว่าเหมาะกับสังคมผู้สูงอายุที่กำลังจะมาถึงในหลายๆประเทศ นึกถึงบ้านเราก็น่าเศร้าใจจะมีที่เผื่อไว้อย่างมากก็แค่ 2-3 ที่นั่ง บางทีนั่งกันไปแล้วก็ไม่ลุกให้กันก็มีอีก ที่ไต้หวันแม้แต่ลิฟต์บางที่เค้ายังตีเส้นที่รอลิฟต์เป็นสองแถวเลย แถวนึงเป็นคนทั่วไป อีกแถวนึงเป็นกลุ่มผู้ต้องการการดูแลเป็นพิเศษ และก็เขียนไว้ที่พื้นชัดเจนนะว่าให้คนกลุ่มนี้ขึ้นลิฟต์ก่อน ด้วยความสะดวกของการคมนาคมที่ไต้หวัน เราจึงเห็นผู้สูงอายุที่นี่จำนวนมากเดินทางไปมาด้วยระบบขนส่งสาธารณะกันอย่างคล่องแคล่วเลยทีเดียว
เราเล่าเพลินไปหน่อยตัดกลับมาที่การเดินทางไปจิ่วเฟิ่นกันต่อนะ ระหว่างทางเราเห็นว่ารถสาย 1062 ผ่านสถานีรถไฟฟ้าสายสีเขียวด้วยนะ เราเห็นแล้วจำไม่ได้ว่าสถานีอะไร คือจำได้แต่คำว่า Nanjing อ่ะ ไม่รู้ว่าคือสถานี Nanjing E.road หรือ Nanjing Sanmin แต่เราว่ารถวิ่งมาถนนเส้นนี้ก็น่าจะผ่านทั้งสองสถานี รวมถึงน่าจะผ่านสถานี Taipei Arena(stadium) ด้วยแหล่ะ ถ้าเพื่อนๆคนไหนพักใกล้ๆ 3 สถานีนี้ก็ลองไปแถวป้ายรถเมล์ดูก่อนนะ เผื่อจะได้ไม่ต้องเดินทางอ้อม(ป้ายรถเมล์ที่ไต้หวันจะค่อนข้างบอกละเอียดเลยล่ะ เดี๋ยวเราไว้เล่าต่อในตอนถัดๆไปแล้วกันนะ) จากนั้นเราก็นั่งรถออกนอกเมืองมาเรื่อยๆ แล้วรถก็เริ่มเลี้ยวตามทางขึ้นไปบนเขา บางจุดจะเห็นเหมือนคนขึ้นลงหลายคนเหมือนกันนะ แต่ยังไม่ถึงหรอกจนกว่ารถจะพาเราขึ้นเขาที่สูงชันมากกว่าเดิม และเราก็จะเห็นวิวสวยๆ และรู้สึกได้ว่าเป็นวิวที่เราเข้าใกล้จิ่วเฟิ่นเต็มทีแล้ว ............อ่อ ลืมบอกไปว่าจริงๆในรถเมล์ก็มีป้ายไฟวิ่งบอกว่าป้ายต่อไปคือที่ไหน และก็มีทั้งภาษาจีนและอังกฤษเลย รถเมล์ที่นี่เป็นแบบนี้หมด ดีมากๆเลยสำหรับคนต่างชาติอย่างเรา และก็นึกสงสารคนต่างชาติที่มาบ้านเราด้วย จะเห็นชาวต่างชาติขึ้นรถเมล์น้อยมาก ก็คนไทยอย่างเราไปขึ้นรถบางสายที่ไม่คุ้นเคย บางทีก็รู้นะว่าป้ายที่จะลงอยู่ย่านไหน แต่ก็ลงป้ายไม่ถูก ตอนนี้เห็นรถเมล์ขสมก.ใช้GPSบอกตำแหน่งป้ายก็รู้สึกดี แต่ก็รู้สึกว่าบางสายก็ไม่อัปเดต ตัวอักษรก็เล็กเกิน นั่งข้างหลังก็อย่าหวังว่าจะได้เห็น(ยังดีว่ารถแท็กซี่บ้านเราราคาไม่สูงมากนะเมื่อเทียบกับประเทศอื่นๆ) เรานั่งรถไปประมาณหนึ่งชั่วโมงครึ่งก็ถึงจิ่วเฟิ่นใช้เวลาเท่ากับที่เค้ารีวิวกันไว้เลย พอถึงป้ายจะเห็นว่ามีคนลงเยอะๆเกือบหมดรถ แล้วก็อย่าลืมแตะบัตรตอนลงด้วยล่ะ(สำหรับรถเมล์สายนี้ตอนขึ้นก็ต้องแตะนะ ลืมบอกไป) ส่วนถ้าใครไม่ใช้บัตรก็จ่ายเงินสดได้นะ แต่ก็ต้องเตรียมเงินให้พอดีนะ 98 NT จ้า เพิ่มเติมสักนิดสำหรับรถเมล์ในไต้หวันนะ ถ้ารถเมล์ในไทเปเองจะราคา 15 NT ตลอดสาย แต่ถ้าเป็นรถสายที่มีตัวเลข 4 หลักจะเป็นรถที่วิ่งออกนอกเมือง อันนี้จะวิ่งไกลคิดราคาตามระยะทาง
รถเมล์จะมาจอดที่ป้ายนี้ ตามรูปข้างบน พอลงแล้วให้เดินขึ้นไปทาง 7 eleven ทางเข้า Jiufen old street จะอยู่ข้างๆเลย พอเดินเข้าไปก็จะเจอร้านเหมือนทอดมันกุ้งอยู่ทางซ้ายมือ เดินต่อมาหน่อยจะเจอร้านไอติมถั่วตัดที่เค้าฮิตกัน ลองชิมกับน้องไป 1 อันราคา 40 NT แต่เราไม่ได้ใส่ผักชีนะน้องไม่กิน เราว่ารสชาติมันก็เฉยๆไม่ได้อร่อยอะไรนะสำหรับเรา แป้งมันก็ออกจะแข็งๆหน่อยแป้งโรตีสายไหมบ้านเราอร่อยกว่าอ่ะ ร้านไอติมถั่วตัดนี่เราเจออยู่ 2-3 ร้านนะ
จากนั้นเดินต่อมาจะเจอบัวลอยเจ้าดังอยู่ทางขวามือ ลองเข้าไปกินสักหน่อย มีให้เลือกทั้งแบบร้อนและเย็น มีเครื่องให้ใส่หลายอย่าง สำหรับบัวลอยที่เรากินเป็นบัวลอยแบบเย็นราคา 50 NTและเนื่องจากคนไทยมาเที่ยวที่นี่เยอะ หลายร้านก็จะมีป้ายภาษาไทยติดอยู่ ร้านบัวลอยนี้ก็มีเหมือนกัน เมื่อได้บัวลอยมาแล้วเราถือออกไปกินที่นั่งตรงระเบียงที่ยื่นออกไปของร้าน ขอบอกว่าวิวตรงนี้ฟินมาก เห็นทิวเขากับทะเลสวยงามจริงๆ ส่วนรสชาติบัวลอยของเค้าก็หนึบๆดีนะ แต่จะมาเป็นก้อนสี่เหลี่ยมใหญ่ๆอร่อยดีเหมือนกัน
วิวสวยๆจากระเบียงร้านบัวลอย
พอเดินมาเรื่อยๆเราเห็นว่าหลายร้านนั้นปิดกันแล้ว คืออ่านรีวิวมาว่าควรอยู่ถึงมืดหน่อยจะได้เห็นเค้าเปิดไฟเห็นโคมแดงสวยๆ เราก็เลยคิดว่าร้านต่างๆเค้ายังเปิดอยู่(ตอนเราไปถึงจิ่วเฟิ่นคือเวลาห้าโมงครึ่ง) อาจเพราะเราไปวันพฤหัสด้วย(ครั้งหลังเราไปเป็นวันหยุดไปถึงช้ากว่าเดิมแต่ร้านที่นี่ยังเปิดอยู่หลายร้านเลย) เดินผ่านร้านเห็ดย่างก็อยากกิน เห็นหอยหวานก็อยากกิน แต่ก็คิดว่าข้างหน้าก็มีอีก จริงๆมีเจ้าเดียวเท่านั้นล่ะ ร้านไส้กรอกหมูย่างก็เหมือนกัน แล้วเดี๋ยวนี้ไส้กรอกมันไม่ใช่อันละ 10 NT เหมือนก่อน เค้าขึ้นราคาเป็น 35 NT แล้วทำขนาดให้ใหญ่ขึ้นขาย 3 อัน 100 NT จริงๆอยากให้เค้าทำอันเล็กหน่อยแล้วขายแพงขึ้นก็ได้นะ คือนักท่องเที่ยวอย่างเรารู้สึกว่าอยากจะลองชิมหลายๆอย่าง ไปกันแค่สองคนด้วยเดี๋ยวจะอิ่มซะก่อน ตอนนั้นคิดว่าจะมีเจ้าอื่นอีกจะได้ซื้ออันเล็กแต่เสียใจด้วยไม่มีเจ้าอื่นจ้า เราคิดไปเองล้วนๆ จากที่ดูเกี่ยวกับจิ่วเฟิ่นนั้นเรากะว่ามาสายกินเต็มที่ แต่แล้วก็กลับพบว่าของกินมีหลากหลายก็จริง แต่ก็ไม่ได้เยอะมากมายอะไรขนาดนั้น อาจเพราะครั้งแรกที่ไปหลายร้านปิดแล้วด้วยมั้ง ของขายส่วนใหญ่ดูจะเป็นของฝาก ของที่ระลึกซะมากกว่า พอเดินมาอีกจะพบร้านที่มีหม้อเท่าอ่างใบใหญ่ต้มไข่อยู่ทางซ้ายมือ ไข่ในหม้อนี้คือไข่ต้มใบชานั่นเอง
ไข่ต้มใบชาที่นี่เค้าต้มจนรสชาติเข้าเนื้ออร่อยกว่าไข่ต้มใบชาใน 7 eleven อีก อยากให้ดูลีลาตอนคนขายเค้าหยิบไข่ต้มใบชาขึ้นมานะ คือเปลือกไข่ต้มจะนิ่มมาก แล้วเค้าสามารถคีบขึ้นมามือเดียว แยกเปลือก แยกไข่ใส่ถุงให้เราได้เลย เสียดายที่ไม่ได้ถ่ายวิดีโอไว้อ่ะ สำหรับราคาไข่ต้มใบชาที่นี่กับในเซเว่นเท่ากันนะ คือ 10 NT ในร้านนี้ยังมีขายไข่เหล็กกับไข่เยี่ยวม้าด้วยนะ ซึ่งไข่เยี่ยวม้าถือว่าเป็นของขึ้นชื่อของที่จิ่วเฟิ่นด้วยล่ะ ลองชิมแล้วเนื้อจะนิ่มๆเนียนๆและอร่อยกว่าบ้านเรา ส่วนไข่เหล็กไม่แนะนำให้ซื้อที่นี่นะเพราะว่าแพง 555 ที่นี่จะขายราคา 120 NT ส่วนร้านอื่นๆที่เราเจอในตัวเมืองไทเปจะขาย 100 NT แต่ที่เราซื้อกลับมาเราไปเจอที่ตลาด shilin night market เขาขายแค่ 90 NT เอง ถ้าซื้อเป็นของฝากเยอะๆ คิดแล้วก็ประหยัดได้หลายเหรียญเลยล่ะ ไข่เหล็กเป็นของขึ้นชื่ออีกอย่างนึงของไต้หวัน เป็นไข่ที่เป็นเหมือนไข่พะโล้ที่เคี่ยวนานๆ รู้สึกว่าจะมากกว่า 5 ชม.นะ เวลาเคี้ยวส่วนที่เป็นไข่ขาวจะเด้งๆหนึบ มีให้เลือกหลายรสชาติ เท่าที่จำได้มีรสดั้งเดิม รสเผ็ด และรสกระเทียม แต่ว่าเวลากินรสชาติก็ไม่ได้ต่างกันชัดเจนนะ รสเผ็ดนี่ไม่เผ็ดหรอก กินแล้วเรารู้สึกมีรสออกขมเหมือนเวลาไหม้นิดๆ เมื่อเทียบกับรสดั้งเดิม จริงๆมันคือรสเผ็ดแหละ ซึ่งจะเผ็ดน้อยมากและเรารู้สึกไปเองว่ามันเหมือนไหม้นิดๆ แต่ก็กินได้ปกตินะ ไม่ได้แย่หรือกินไม่ได้(อย่าเชื่อลิ้นเรามาก 55)
เดินมาตามทางเรื่อยๆก่อนถึงจุดชมวิวตรงนี้ขวามือจะมีร้านชาที่คนนิยมเข้าไปชมกันเพราะเค้าทำเป็นพิพิธภัณฑ์ด้วย เดินเข้าไปชมด้านในจะมีทางลงไปข้างล่าง ซ้ายมือจะมีห้องจัดแสดง ซึ่งจะมีตราปั๊มให้เรา stamp เป็นที่ระลึก
พอเดินออกมาจากห้องนั้น เห็นตรงด้านหน้าฝั่งตรงข้ามมีห้องน้ำพอดี และเห็นมีคนเข้าได้ คุณแม่บ้านไม่ได้ว่าอะไรเราก็เลยขอเข้าไปด้วยคน ห้องน้ำของร้านเค้าสะอาด มีทิชชูและน้ำยาล้างมือให้พร้อม ถือว่าดีมากที่เราเจอห้องน้ำที่นี่ เพราะเราไม่เห็นที่อื่นเลยนะ อาจจะมีแต่ไม่เจอ นับว่าเจ้าของเค้าใจดีนะ เอื้อเฟื้อต่อคนที่มาที่นี่ ทำให้เราอยากช่วยซื้อของที่ร้านเค้าเลย แต่พอเดินกลับขึ้นมาด้านบน ดูราคาของแล้วเราไม่สามารถช่วยซื้อได้จริงๆ ขอโทษด้วยนะคะ แต่ก็ขอบคุณที่มีห้องน้ำสะอาดๆบริการให้ ^-^
ถ้าเข้ามาในร้านแล้วเดินลงบันได จากนั้นเดินออกมาอีกหน่อยขวามือจะเป็นห้องน้ำ(รูปขวา) ส่วนซ้ายมือจะเป็นส่วนหนึ่งของพิพิธภัณฑ์ ตราปั๋มจะอยู่ในห้องนี้(รูปซ้ายมือ)
หลังจากนั้นเราเดินย้อนกลับมาทางเดิม ผ่านร้านชามาเล็กน้อยจะมีทางแยกมาทางซ้ายมือ ลงบันไดมาเรื่อยๆ จะเจอบรรยากาศโคมไฟตระการตาสวยๆแบบนี้
พอถ่ายรูปบริเวณนี้เสร็จ อยากจะหาจุดที่เป็นไฮไลท์ของที่นี่(มุมที่เค้าถ่ายๆกัน)แต่หาไม่เจออ่ะ ลองเดินไปทางซ้ายเล็กน้อยแต่ทางนั้นดูมืดและไม่มีคนเดินไป เราเลยก็ไม่กล้าเดินต่อ เลยลงบันไดต่อไปข้างล่างนึกว่าจะเจอจุดไฮไลท์ แต่ไม่มีจ้าเดินลงมาจนสุดทาง ถึงสถานีตำรวจจิ่วเฟิ่น ตอนแรกก็ว่าจะกลับ เพราะเหนื่อยที่จะเดินขึ้นไปอีกรอบ แต่แล้วก็มีอะไรมากระตุ้นว่านั่งรถมาไกลขนาดนี้แล้วก็ต้องไปให้ถึงจุดไฮไลท์สิ แล้วเราอาจจะไม่ได้มาที่นี่อีกแล้วก็ได้ เพราะนั่งรถมาไกลเลยยอมเดินเมื่อยกลับขึ้นไปทางเดิมตรงที่โคมไฟเยอะๆตามรูปก่อนหน้านี้ แต่เราลองเลี้ยวไปอีกทางนึง ที่ไม่มืดเท่าทางเมื่อกี้ แล้วยังมีคนเดินไปบ้าง เราก็เลยถ่ายรูปอีกนิดหน่อย และก็กลับมาทางสถานีตำรวจจิ่วเฟิ่นเหมือนเดิม พอมาไต้หวันหนหลังเจอทั้งฝนและลมพายุยังไงก็ต้องหาให้เจอให้ได้ ขึ้นไปด้านบนสุดอีกครั้งก็ไม่ใช่ ก็มีคนไทยอีกคนมาถามเหมือนกัน ในที่สุดคราวนี้ก็หาจนเจอ ซึ่งจริงๆจุดที่เป็นไฮไลท์ของที่นี่จะมีทางเลี้ยวไปทางซ้ายมือก่อนจะลงมาจุดที่เปิดโคมเยอะๆตามรูปข้างบน พอเลี้ยวไปแล้วมองย้อนกลับมาก็จะเจอมุมสวยๆที่เขาถ่ายรูปกันแต่วันที่เราไปครั้งแรกเหมือนเป็นจังหวะที่เห็นคนเดินไปทางนั้นแค่ 2-3 คนเลยอาจไม่ทันสังเกตเท่าไหร่ ณ จุดๆนั้นถึงฝนและพายุจะโหมมาแรงขนาดไหนแต่ก็ไม่หมดความพยายามในการถ่ายรูป ก็หาจนเจอแล้วนี่ เป็นมุมฮิตสวยๆด้วย สำหรับการมาจิ่วเฟิ่นเราว่าเรื่องอาหารก็ไม่ได้เยอะมากมายอะไรขนาดนั้น โคมไฟก็สวยนะ แต่พอเห็นของจริงก็รู้สึกว่าไม่ถึงขั้นต้องมาดูไกลขนาดนี้ ตอนไปครั้งแรกฝนไม่ตกเขาก็เปิดโคมไฟตามทางเยอะนะ ครั้งที่สองฝนตกไม่รู้ว่ากลัวไฟช็อตรึเปล่า ส่วนใหญ่เปิดโคมไฟแค่แถวๆจุดพีคเอง ทั้งๆที่ร้านค้าส่วนใหญ่เปิดมากกว่าครั้งแรก ส่วนวิวนี่ยอมรับเลยว่าสุดยอดจริง พอมองจากที่สูงลงไปเห็นทิวเขาและทะเล พอมืดหน่อยก็เห็นเป็นแสงไฟสีทองงดงาม
เมื่อเดินลงมาตามทางเดิน ก่อนจะถึงจุดที่เปิดโคมเยอะๆ เจอป้ายนี้ให้เลี้ยวไปทางซ้ายมือ แล้วค่อยหันหลังกลับมาจะเจอมุมสวยๆ ซึ่งเป็นไฮไลท์ของจิ่วเฟิ่น
ภาพดีสุดได้แค่นี้ เพราะต้องหันหน้าต้านกับลมฝนที่พัดแรงมาเป็นช่วงๆ
สถานีตำรวจจิ่วเฟิ่น
การไปจิ่วเฟิ่นครั้งแรกหลังจากที่เราเลยยอมเดินเมื่อยกลับขึ้นไปทางเดิมตรงที่โคมไฟเยอะๆ แต่ไม่เจอมุมที่เค้าชอบถ่ายรูปกัน เราก็เดินกลับมาทางสถานีตำรวจจิ่วเฟิ่นเหมือนเดิม ซึ่งเราอ่านรีวิวมาว่าสามารถขึ้นรถกลับทางนี้ได้ เพราะเส้นทางเดินเที่ยวจิ่วเฟิ่นเป็นลักษณะคล้ายรูปตัว U ตะแคง พอถึงหน้าสถานีตำรวจซึ่งมีรูปแมวอยู่(ตามรูปข้างบน) ให้เราเดินไปขึ้นรถฝั่งตรงข้ามถนน จะเห็นว่ามีคนรอต่อคิวอยู่แล้ว ซึ่งต่อจากนี้เป็นบทเรียนอีกอย่างนึงของเราเลย นอกเหนือจากขึ้นรถไฟฟ้าจากสนามบินมาผิดขบวน ถึงจะเป็นข้อผิดพลาดของเรา แต่เราจะเล่าไว้เพื่อที่จะไม่ให้เหตุการณ์เหล่านี้เกิดกับเพื่อนๆเหมือนกับเราอ่ะ คือตอนแรกเราต่อแถวอยู่ยาวเหมือนกัน แล้วพอรถสาย 1062 มาคันแรกที่ป้ายไฟหน้ารถ ก็เขียนว่า Full เลยจ้า ระหว่างนั้นก็มีสาย 788 มานะ เรารู้ว่าสายนี้ไปถึงสถานีรถไฟ(TRA) Ruifang แต่ก็ลองรอดูอีกสักคันก่อนแล้วกัน พอ 1062 คันที่ 2 มาก็เต็มเหมือนเดิม ที่เต็มแล้วของเค้านี่ไม่ได้แน่นอะไรนะ คันแรกแค่ที่นั่งเต็มไม่มีคนยืนเลย คันมี่สองมีคนยืนบ้างเล็กน้อย (คิดในใจ ตรูยอมยืนดีกว่าไม่มีรถไป) ระหว่างนั้นพี่แท็กซี่ก็พยายามมาเชิญชวน เหอะๆ ถ้าสักคนละ 200 NT ก็พอจะสู้ราคานะ แต่พี่คิด 300 NT นี่ไม่ไหวจริง นั่งรถไปสุวรรณภูมินี่ยังถูกกว่านี้อีก (งกอีกแล้ว 55) ระหว่างรอก็พยายามมองฝั่งตรงข้ามอย่างมีความหวังว่าจะมีรถสายที่จะนั่งกลับสวนขึ้นไปอีก กลัวไม่มีรถกลับ และแล้วจากที่เราต่อจากหางแถวก็กลายมาเป็นหัวแถวได้ไงไม่รู้ น้องก็เปิดมือถือดูรีวิวจิ่วเฟิ่นมีคนบอกว่าจริงๆให้กลับไปรอป้ายเดิมตอนลงนั่นแหละ ก็คงอย่างงั้นคนรอเต็มมาตั้งแต่ข้างบนแล้ว แต่จะเดินย้อนกลับขึ้นไปนี่ไม่ไหวนะเราว่าป้ายที่เรารออยู่เหมาะสำหรับคนที่มาเที่ยวตอนกลางวันนะ คนคงไม่เยอะมาก พอตกค่ำคนเยอะแล้วคงกลัวรถหมด ป้ายที่เรารอจึงไม่มีโอกาสได้ขึ้น ถ้าใครจะขึ้นรถกลับเพื่อไปสถานี Ruifang ก็ได้นะ เพราะระหว่างนั้นก็มีคนมาถามเราเป็นภาษาจีน เหอะๆ อย่างกับเราเป็นเจ้าถิ่น เหมือนคุยไปคุยมาด้วยภาษาอังกฤษแบบงูๆปลาๆของเรา ^-^ เค้าถามว่าสายไหนไปสถานี Ruifang บ้าง เราก็เอาโพย เอ้ยแพลนที่เราพิมพ์ไว้ให้เค้าดู แต่ก็บอกเค้าไปว่า ไม่รู้ว่ารถไฟที่วิ่งไปไทเปหมดกี่โมง พอ 788 มาเค้าก็ขึ้นไป เราถามน้องว่าไปไหม น้องว่าลองดูอีกสักคันแล้วกัน เราเองก็ไม่แน่ใจด้วยถึงเที่ยวรถไฟไปไทเป เรากลัวว่ามืดแล้วไม่รู้ว่าจะยังมีรถไฟต่อไปไทเปอีกไหมเพราะสาย 788 ปลายทางเป็นเมือง Keelung แต่จริงๆมีคนขึ้นบ้างก็คงไปได้แหละ แต่คนคงมั่นใจและสะดวกไปรถต่อเดียวมากกว่า พอสาย 1062 มาคันที่สามกะว่าคนจะน้อยลงแล้วแต่ก็ยังเต็มเหมือนเดิม แอบเซ็งตรงที่เต็มแบบไม่มีคนยืนนี่สิ คงเป็นเรื่องความปลอดภัยของเค้า เพราะรถต้องลงเขา และเป็นรถระยะไกล แถมยังจะมีคนขึ้นป้ายหน้าๆอีก ระหว่างรอน้องที่มากับเราเห็นว่ามีคนขึ้นรถที่ฝั่งตรงข้าม เราเองก็เข้าใจมาตลอดการรอคอยว่าจะรถจะขึ้นไปเลยจิ่วเฟิ่นไปหน่อย แล้ววนกลับลงมา พอมีรถ 1062 ฝั่งตรงข้ามมาอีกคัน เรากับน้องก็เลยรีบวิ่งไปฝั่งตรงข้าม แล้วจะเรียกว่ากระโดดขึ้นรถเลยก็ได้ และแล้วก็เห็นสาย 1062 คันที่ 4 วิ่งสวนลงมาอีกคันเต็มเหมือนกัน และพอรีบขึ้นรถเราก็มีบทเรียนอีกแล้วจ้า ด้วยความที่รีบแล้วถนนตรงที่รถวิ่งนั้นมันลาดชั้นก็เลยต้องรีบหาที่นั่ง พอรีบก็ไม่ทันดูว่าตอนทาบบัตรมันดังติ๊ดหรือยัง ความรู้สึกเหมือนกับว่าเรายังไม่ได้ยินเสียงแต่เราก็ไม่แน่ใจ ตอนนั้นรีบๆลนๆด้วย พอนั่งย้อนขึ้นไปเลยป้ายจิ่วเฟิ่นมาสักพัก รู้สึกว่าทำไมมันย้อนมาพอสมควรแล้วยังไม่วนกลับ แล้วก็มีคุณตาคุณยายสองสามคนลงรถไป และคนก็หมดรถแล้วจ้า เราเลยไปถามคนขับว่ารถจะวนไปไทเปไหม คำตอบคือไม่จ้า เราก็เลยลง แล้วเห็นมันหักเงินในบัตรไปแล้ว 24NT ก็คิดว่าไม่เป็นไร คงจะเรียบร้อยไปแล้ว
วิวจากป้ายรถเมล์ตรงข้ามสถานีตำรวจจิ่วเฟิิ่น
พอลงมาจากรถก็เดินมาฝั่งตรงข้ามมารอรถที่ป้ายรถเมล์ตอนแรกมีคนอยู่คนนึง แป๊บเดียวเขาก็ลุกไป ในใจคืออยู่ต่อเป็นเพื่อนกันได้ไหม ตรงนี้ดูมืดและเปลี่ยว กลัวรถจะหมดด้วยเพราะเหมือนรีวิวบอกว่ารถหมดสองทุ่มครึ่ง ถ้ารอที่เก่ายังไงก็มีแท็กซี่ แล้วนี่เราเอาน้องมาลำบากตั้งแต่วันแรกเลยหรอ ลืมบอกไปว่าเราเริ่มมารอรถตั้งแต่ทุ่มครึ่ง ตอนนั้นน่าจะสองทุ่มครึ่งได้แล้วมั้ง จำได้คร่าวๆว่ารอรถเป็นชั่วโมง กะว่ายังไงก็คงมีไอคันนั้นที่เราลงเมื่อกี้วนกลับมา(ไม่คิดเล้ยว่าเค้าอาจจะไปจอดที่อู่รถ แล้ววิ่งกลับพรุ่งนี้ก็ได้ 555) สักครู่นึงก็มีสาย 788 มาจอดรอ เรากะจะขึ้นแระ เหมือนคนขับเขาทำมือบอกว่าไม่ไป แต่ก็ยังอุ่นใจว่ามีคนอยู่แถวๆนี้ ไม่นานเท่าไหร่ก็มีสาย 1062 โผล่ขึ้นเนินเขามาอย่างรวดเร็ว เราก็วิ่งตามรถเลยจ้า เพราะมุมที่นั่งรอตรงป้ายมันจะไม่เห็นรถล่วงหน้า พอรถจอดแล้วเปิดประตูออกมาเราก็ขอบคุณเขาใหญ่เลย เชี่ยๆ ไปหลายเชี่ยเลย 55 แต่น้องบอกว่าเห็นคนขับรถสาย 788 เค้าช่วยเรียกให้ด้วย เพราะก็มีชายหญิงคู่นึงขึ้นรถมาพร้อมกับเรา พอเราทาบบัตรเงินในบัตรเราเป็นศูนย์เลย คนขับก็พูดเป็นภาษาจีนทำท่าทางที่เราคาดการณ์ได้ว่า คุณไม่ยอมทาบบัตรมาแกก็เลยแก้ไขให้และคิดค่าปรับหักเงินเลย แงๆ ... ไม่ได้ตั้งใจนะ แล้วโดนปรับตอนไหนไม่โดน โดนตอนที่จ่ายค่ารถหลายเหรียญนี่สิ เคยอ่านมาว่าถ้าไม่ได้ทาบบัตร เค้าจะปรับเมื่อขึ้นรถครั้งต่อไป แล้วปรับประมาณ 10 % ของค่าโดยสาร ฮือ...ฮือ.... แต่ตอนนั้นก็คิดว่าช่างเถอะ มีรถกลับก็ดีแล้วโล่งใจ แล้วคนขับคนนี้เค้าก็อัธยาศัยดีนะ ดูร่าเริงทักทายกับผู้โดยสาร รู้สึกอุ่นใจขึ้น ดีกว่าตาคนขับคันที่เรานั่งรถย้อนขึ้นมาดูไม่เป็นมิตรเลย และพอนั่งลงมาถึงป้ายตรงสถานีตำรวจจิ่วเฟิ่น 55 เหมือนที่น้องพูดระหว่างขึ้นรถไว้เลยว่าคนคงหมดแล้วล่ะ ถ้าเรารอที่เดิมคงได้ขึ้นรถคันนี้ รถก็เก็บคนที่รอที่ป้ายจนหมด พอมาจิ่วเฟิ่นครั้งหลังเลยเดินย้อนกลับทางเดิมที่ลงรถ แต่ขากลับให้เดินย้อนขึ้นไปอีกจะมีป้ายรถเมล์ฝั่งตรงข้ามให้รอป้ายนั้น ครั้งหลังนี่ฝนตกรถเลยไม่เต็มแน่นเท่าไหร่ครั้งแรกที่ไปเราก็นั่งรถมาประมาณชั่วโมงนึง ตอนนั้นรถติดไฟแดงอยู่พอมองไปทางขวามือเห็นอะไรสะดุดตาไม่รู้จำไม่ได้เลยชี้ให้น้องดู แต่น้องกลับเห็นป้ายสถานีรถไฟฟ้า Songshan สุดสายสีเขียว เรารู้สึกเสียดายอยากลงตรงนี้จังเลย เพราะจะได้ไม่ต้องเสียเวลานั่งรถไปจนถึงไทเป ขึ้นรถไฟฟ้าตรงนี้จะถึงโรงแรมเร็วกว่า พอมองไปทางซ้ายมือจะเห็นว่าเป็น Taipei Arena คุ้นๆว่าตอนขามารถน่าจะผ่านมาจากทางซ้ายมือแต่ไม่แน่ใจเท่าไหร่ และเดี๋ยวคันนี้ก็คงเลี้ยวซ้ายเหมือนกัน คุยกับน้องว่าไม่รู้ขามาเราผ่านป้ายสถานีไหนเนอะ จะได้ลงไปต่อรถไฟฟ้าเลย จะลงก็ลงไม่ถูกป้าย ไว้คอยดูป้ายไฟบนรถแล้วกันเนอะ และแล้วสวรรค์ก็โปรด รถเลี้ยวขวาจ้า เลี้ยวไปปุ๊ปก็จอดปั๊ป โอ้ดีใจจังเลย ก็ลงสิจ๊ะ ดูเหมือนพอเราลงมารถก็ยังจอดอยู่สักพัก เป็นเหมือนกันทั้งสองครั้งที่ไปเลย
และเพราะว่าที่จิ่วเฟิ่นเรากะว่าจะไปกินร้านข้างหน้าๆและไม่คิดเดินย้อนกลับ ทำให้เราได้กินไปแค่สามอย่าง พอรอรถนานก็หิวสินะ น้องเราเลยไปซื้อ cheese tart แถวนั้นชิ้นไม่ใหญ่มากชิ้นละ 40 NT รู้สึกว่าซื้อ 4 ชิ้น ลดเหลือ 150 NT ด้วยนะ อันนี้น้องเราสาวกชีสทาร์ตการันตีเลยว่าอร่อย ร้านชื่อว่า BBC อ่ะ(ไปไต้หวันครั้งนี้น้องได้ชิมชีสทาร์ตประมาณ 2-3 ร้าน ร้านนี้น้องรับรองเลยว่าอร่อย ส่วนร้านอื่นที่ไปกินมาน้องบอกไม่อร่อย) ส่วนเราไม่ได้กินนะ เพราะตอนนั้นหิวก็จริงแต่เหนื่อยเลยกินไม่ค่อยลง เราสองคนจึงกลับมาหาอะไรกินต่อที่เซเว่นข้างโรงแรม สำหรับครั้งที่สองที่ไปจิ่วเฟิ่นเราหาข้อมูลเพิ่มพบว่ามีตลาดกลางคืน Raohe Night Market อยู่ใกล้กับสถานี Songshan ซึ่งเป็นตลาดกลางคืนที่ใหญ่แห่งหนึ่งของไต้หวันเลย ถ้าเพื่อนๆยังไม่อิ่มท้องจากจิ่วเฟิ่นก็สามารถมาฝากท้องต่อได้ที่ตลาดนี้นะ
สุดท้ายนี้บันทึกของเราในแต่ล่ะวันอาจจะยาวหน่อยนะ แต่เราอยาดใส่รายละเอียดเยอะๆเผื่อใคร มีแพลนไปไต้หวันครั้งแรกแล้วได้เข้ามาดู จะได้รู้ข้อมูลบางอย่างจะได้ไม่เสียเวลาหรือทำอะไรพลาดแบบเรา เพื่อนๆสามารถติดตามบันทึกการเดินทางของเราในไต้หวันในวันต่อๆไปได้นะ ......
Mudan Peony
วันจันทร์ที่ 7 สิงหาคม พ.ศ. 2560 เวลา 23.15 น.