นี่เป็นทริปหนีเมืองสั้นๆของผมครับ โดยจะเดินทางกลับไปเยี่ยมเมืองน่าน ที่ผมไม่ได้มาสิบกว่าปีแล้ว กลับมาครั้งนี้เปลี่ยนแปลงไปเยอะมาก ร้านรวงขึ้นมาเพียบเลย แต่น่านนครแห่งนี้ก็ยังคงความเงียบสงบ และความช้าๆ เนิบๆ สไตล์น่านๆไว้อยู่ครบถ้วนครับ

ทริปนี้คอนเซ็ปคือจะค่อยๆเที่ยวแบบไม่รีบเร่ง ที่เที่ยวไม่แน่นมาก และเที่ยวจบในเสาร์อาทิตย์ครับ ปลายทางที่แพลนไว้คือไปชมทุ่งนาสีเขียวในอ.ปัว และหาร้านอาหารอร่อยๆทานกันครับ โดยช่วงที่เหมาะจะมาดูนาสีเขียวๆที่อ.ปัวคือช่วงส.ค.-ก.ย. ครับ แต่ก็มีโอกาสเจอฝนตกเป็นพักๆครับ



ทริปนี้เราเดินทางจากกทม.ด้วยรถทัวน์และเครื่องบินครับ โดยนั่งรถทัวน์ไปคืนวันศุกร์ถึงเช้าวันเสาร์ และบินกลับในเย็นวันอาทิตย์ครับ

(แต่ตัวผมเองมีงานเข้าเย็นวันศุกร์ต้องออกไปโรงงานตจว.พอดิบพอดี เลยไปขึ้นรถทัวน์ไม่ทันต้องบินตามเพื่อนๆไปในเช้าวันเสาร์ครับ ซึ่งเจ็บตัวพอสมควร //ร้องไห้)

เพื่อนผมเดินทางออกจากกรุงเทพตอนเย็นมาถึงน่านประมาณ 7 โมงครับ ส่วนผมบินจากดอนเมืองมาลงน่าตอน 9 โมง การเดินทางในจ.น่านเราเช่ารถ Eco Car ของ Avis Thailand สำหรับนั่งสามคนครับ วิ่งๆอยู่ในเมืองน่านและอ.ปัว ค่ารถประมาณ 1,800 บาท ( 1 วันกับ 6 ชม.) ค่าน้ำมัน 460 บาท ก็ตกคนละประมาณ 800 บาทครับ โดยรับรถที่สนามบินครับ ใช้เวลารับและตรวจสอบรถประมาณ 15 นาที เพื่อนผมนั่งรถจากขนส่งน่านมาเจอกันที่สนามบิน (ค่าสองแถว 50 บาท)

พอเจอกันครบแล้วก็มาเริ่มทริปกันเลยครับ........



ที่แรกที่ไปคือวัดภูมินทร์ วัดชื่อดังประจำจังหวัดน่าน โดยภายในอุโบสถจะมีปรางค์ประธานจะหันหน้าออกทั้ง 4 ทิศครับ และมีจิตรกรรมฝาผนังงดงามมาก ไฮไลท์ของที่นี่คือภาพของปู่ม่านย่าม่าน "กระซิบรักบันลือโลก" ซึ่งเป็นภาพที่มีลวดลายประณีตมาก และสื่อถือขบถธรรมเนียมประเพณีในยุคสมัยนั้นได้อย่างชัดเจน ทั้งการแต่งกายและท่าทางของสามีภรรยาชาวพม่า โดยภาพฝาผนังที่นี่เป็นฝีมือของจิตรกรชาวไทลื้อชื่อดัง หนานบัวขวัญครับ



แถบนั้นนอกจากวัดภูมินทร์แล้ว ถ้าข้ามถนนมาฝั่งตรงข้ามจะเจอกับพิพิธภัณฑ์สถานจังหวัดน่าน ซึ่งจะมี "ซุ้มลีลาวดี"อยู่ด้านหน้า แลนด์มาร์คยอดนิยมของวัยรุ่นสมัยนี้ที่มาเมืองน่านจะต้องมีรูปใต้ซุ้มแห่งนี้ครับ และตรงข้ามพิพิธภัณฑ์สถานจะเป็นอีกฝั่งจะเป็นวัดช้างค้ำ ชื่อวัดมาจากเจดีย์ทรงสุโขทัยของวัดที่มีรูปปั้นช้างประดับอยู่ที่ฐานครับ

ถัดไปเราขึ้นไปชมวิวที่วัดพระธาตุเขาน้อยกัน ขับออกจากบริเวณวัดภูมินทร์ไปประมาณ 20 นาที วัดนี้จุดชมวิวเมืองงามมากครับถ้ามาตอนดึกๆจะเห็นไฟเมืองด้วยน่าจะสวยงามไม่แพ้กันครับ



พอสายๆเริ่มร้อน เราไปหลบแดดกันที่ บ้านๆน่านๆ ห้องสมุดและเกสต์โฮม เป็นห้องสมุด/ร้านหนังสือ/ร้านขายของทำมือ/คาเฟ่/เกสต์เฮ้าส์ครับ ร้านเป็นเรือนไม้มีต้นไม้ปกคลุมรอบทำให้ข้างในเย็นสบาย กาแฟและเค้กอร่อย ของทำมือก็น่ารักครับ



พอหายร้อนแล้วเราก็เดินทางไปอ.ปัวกันครับ ใช้เวลาประมาณชม.นึงจากตัวเมืองน่าน ถนนลาดยางตลอดขับรถง่าย มีโค้งนิดๆแคบบ้างเป็นบางช่วงครับ โดยเราตรงยาวไปฟาร์มเห็ดบ้านหัวน้ำเป็นที่แรกครับ จะขับเลยเมืองปัวออกมานิดนึง ร้านอาหารที่นี่เน้นเมนูเห็ด โดยเราสั่งพิซ่าเห็ด ลาบเห็ด ยำเห็ดห้าสหาย และเห็ดทอด แถมต้มยำปลาคังมาเป็นโปรตีนนิดนึง (และเบียร์วุ้น)



จากร้านอาหารเดินลงไปด้ายล่างจะเป็นทางไปวังศิลาแลง เป็นทางน้ำไหลผ่านช่องหินทำให้เกิดลวดลายสวยงามครับ เป็นหนึ่งใน Unseen Thailand ของจังหวัดน่าน แต่ช่วงที่เราไปฝนตกตลอดทำให้น้ำขึ้นสูงจนไม่เห็นลวดลายครับ

(ทางไปจะไต่ๆลื่นๆหน่อย เดินด้วยความระมัดระวังนะครับ)




ออกจากฟาร์มเห็ดกลับเข้าเมืองปัวจะผ่านร้านกาแฟไทยลื้อครับ ตอนเราไปฝนเทลงมาพอดีเลยไม่ได้ไปเดินรอบๆ ได้แค่นั่งดูวิวจากร้านกาแฟครับ




จากนั้นเราก็ไปเชคอินที่พักกันครับ นั่นคือ "โฮมสเตย์ตานงค์" ครับ เป็นที่พักชื่อดังแห่งนึงของอ.ปัว ซึ่งวิวรอบๆที่พักก็ดีงามสมชื่อครับ แค่ออกมาหน้าห้องก็จะเจอทั่งนาสีเขียวล้อมรอบวิวตอนเช้านี่ดีมากจริงๆ แม้ทางเข้าจะลึกลับไปหน่อย และตอนกลางคืนมืดมากกก แต่ก็มีข้อดีคือเราจะเห็นดาวได้ชัดเจนกว่านอนในตัวเมืองครับ ตานงค์เจ้าของโฮมสเตย์อัธยาศัยดี น่ารักมากกกก

ที่พักเต็มเร็วนะครับ ใครจะไปรีบจองแต่เนิ่นๆ ถ้าได้พักห้องชั้นบนสุดจะดีมากครับ วิวงามสุดๆ

(แถวที่พักจะออกไปนอกตัวเมืองปัวหน่อยนึง รอบๆจะไม่ค่อยไม่มีร้านอาหารครับ แต่เราสามารถสั่งอาหารเย็นกับที่พักได้ครับ)



เราติดฝนอยู่ในที่พักจนเย็นครับ อดเห็นพระอาทิตย์ตกด้วยเสียดายมาก พอฝนเริ่มซาเราก็ออกไปหาข้าวเย็นทานในตัวเมืองปัวครับ เมื่อก่อนในเมืองเคยมีถนนคนเดินด้วยแต่ถูกยุบไปเรียบร้อยแล้ว มื้อเย็นเลยต้องอาศัยร้านอาหารอย่างเดียว โดยที่เราไปทานกันเย็นนี้คือร้านต้นตาลเลิศรส โดยร้านจะเน้นอาหารเหนือพวกไส้อั่ว น้ำพริกอ่อง แกงส้มเมืองครับ

จากนั้นเราก็กลับพี่พักกัน โชคดีที่ตอนดึกฝนหยุดฟ้าเปิด เราเลยมีโอกาสได้เห็นดวงดาวงามๆบนน่านฟ้าเมืองปัว




ไฮไลท์ของโฮมสเตย์ ตานงค์อยู่ตอนรุ่งสางครับ พระอาทิตย์ขึ้นด้านตรงข้ามกับที่พักพอดี โดยจะค่อยโผล่ขึ้นมาจากไหล่เขาทำให้มีแสงส่องเป็นลำๆลงมาบนท้องนา เกิดเป็นแสงและเงาที่สวยงามมากครับ ยิ่งพอแดดออกแล้วหมอกก็จะเริ่มมา เสียดายตอนเราไปฝนตกเยอะไปหน่อยเลยไม่ค่อยมีหมอกครับ



หลังจากเดินเล่นในทุ่งน่าอย่างจุใจเราก็เชคเอ้าท์ออกจากโฮมเสตย์ตานงค์ แวะเที่ยวที่เที่ยวสุดท้ายก่อนจะออกจากเมืองปัวไป นั่นคือวัดภูเก็ตครับ วัดนี่จะมีลานให้ดูวิวทุ่งนาแต่ตอนเราไปมันสายมากแล้วแดดแรงมากๆเลยอยู่แค่แป๊ปๆครับ

ด้านล่างวัดภูเก็ตจะมีที่พักเปิดใหม่(หรือกำลังจะเปิดก็ไม่รู้)ชื่อว่าตูบนาไทลื้อ โฮมเสตย์ครับ ที่พักติดท้องนาตามสไตล์เมืองปัว มีพร๊อปให้ถ่ายรูปคู่เยอะอยู่ และมีร้านกาแฟเล็กอยู่ข้างๆกัน เป็นอีกช๊อยให้คนที่กำลังหาที่พักที่ปัวนะครับ




ต่อไปเราก็ตรงกลับไปที่ตัวเมืองน่านครับ ถึงช่วงใกล้ๆตอนแรกแพลนจะไปกินข้าวเที่ยงที่ร้านเฮือนฮอม มีพี่ๆในพันทิปแนะนำไว้ แต่พอไปถึงทางร้านบอกว่ากำลังจะมีทัวน์ลงครับ เลยจะทำอาหารให้ได้แค่ข้าวซอยกับขนมจีน เราเลยย้ายไปทานร้านข้าวซอยต้นน้ำฝั่งตรงข้ามครับ ซึ่งร้านนี้ก็เป็นร้านชื่อดังของเมืองน่านอีกร้านหนึ่ง ราคาแรงนิดนึงแต่ก็อร่อยสมราคาครับ



ใกล้ๆกับร้านอาหารทั้งสองร้านจะเป็นศาลหลักเมืองพอดีครับ เราเลยแวะไปไหว้ ด้านหลังศาลจะมีอุโบสถด้วยโดยทั้งตัวศาลและอุโบสถจะเป็นสีขาวทั้งหมดครับ

จากนั้นไปต่อที่ร้านขนมหวานป้านิ่มครับ ร้านชื่อดังเช่นกัน เราไปถึงเ่ทียงกว่าๆปรากฎว่าข้าวเหนียวดำยังไม่มาครับ มีแค่บัวลอยกับไอติม เลยอดทานของขึ้นชื่อของร้านนี้ไป (ทีนี่ก็ราคาแรงพอตัวนะครับ)

ฝั่งตรงข้ามขนมหวานป้านิ่มจะเป็นวัดศรีพันต้น จุดเด่นของวัดนี้คือตัวพระอุโบสถจะเป็นสีทองล้วนๆเลยครับ และพญานาคที่บันไดใหญ่และสวยงามมาก



ที่สุดท้ายที่เราแวะไปคือคาเฟ่สุดกองดีครับ ไปนั่งทานกาแฟรอขึ้นเครื่องกลับ ที่นี่จะอยู่ติดกับลำน้ำน่าน บรรยากาศดี ตกแต่งสวยงามครับ และนั่งๆอยู่เราจะได้ยินเสียงเค้าซ้อมเรือยาวกันดังมากจากฝั่งแม่น้ำด้วยครับ



เมืองน่านเป็นเมืองเล็กๆนะครับ ขับรถจากฝั่งหนึ่งไปอีกฝั่งนึงน่าจะประมาณครึ่งชั่วโมงเอง ขนาดเมืองน่าขี่จักรยานเที่ยวมากครับติดที่ตอนเราไปมันยังร้อนอยู่ และมีฝนปรอยๆมาเป็นพักๆครับ

เรากลับไฟลท์สี่โมงเย็นครับ เลยแพลนไปถึงสนามบินบ่ายสามโมงกว่าๆ ใช้เวลาคืนรถไม่นานครับ โทรแจ้งกับ Avis ล่วงหน้าก่อนไปถึงสัก 5 นาทีและจอดรถไว้ที่หน้า Terminal ได้เลย

สนามบินน่านค่อนข้างซีเรียสเรื่องน้ำหนักกระเป๋าขึ้นเครื่องนะครับ จะมีตาชั่งตลาดสดวางอยู่หน้าทางเข้าเกต กระเป๋าใบหลักจะต้องไม่เกิน 7 กิโลนะครับ บนเครืองถ้าเลือกที่นั่งได้แนะนำให้นั่งริมหน้าต่างนะครับ เพราะวิวเหนือจังหวัดน่านสวยมากจากมุมสูงครับ จะเห็นลำน้ำจะเห็นลำน้ำน่านไหลคดเคี้ยวไปมา



ก็จบลงแล้วนะครับ ทริปหนีเมืองสั้นๆของเรา เมืองน่านเป็นเมืองช้าๆสบายๆ ขนาดรถในเมืองยังขับหวานเย็นสบายใจ ใครอยากหาที่พักผ่อน เปลี่ยนบรรยากาศมาสัมผัสไอดินกลิ่นฝน เมืองน่านจะไม่ทำให้คุณผิดหวังครับ นอกจากอ.ปัวแล้ว น่านยังมีที่เที่ยวสวยๆอีกหลายที่ครับ ทั้งอช.ดอยภูคาที่จะปกคลุมไปด้วยดอกชมพูภูคา อช.ศรีน่าน-ดอยเสมอดาว ดอยที่คุณไม่ต้องแหงนหน้ามองดาว และอีกมากมายครับ

ขอบคุณทุกท่านที่นิดตามอ่านนะครับ หวังว่าข้อมูลจากรีวิวนี้จะเป็นประโยนช์ในการเดินทางของทุกท่านนะครับ : )



:: Mountain Seal ::

Mountain Seal

 วันจันทร์ที่ 28 สิงหาคม พ.ศ. 2560 เวลา 23.33 น.

ความคิดเห็น