Slowly...ที่ "สังขละ" ไม่มีรถก็ไปได้...


K : "ที่รักๆ.....เค้าอยากไปสังขละอ่ะ"

F : "มันไกลนะตัวเอง...รถเราก็ไม่มี"


ตราบใดที่เรายังมี Google เราเที่ยวได้ทั่วโลกแหละครับ อยู่ที่ว่าเราจะไปรึเปล่า....

ยอมรับโดยดีว่า....ก่อนที่ผมจะไปเที่ยวที่ไหน ผมต้องหาข้อมูลก่อน

ตัวเราไม่เท่าไหร่หรอกครับ...แต่สงสารแฟนไม่อยากให้มาเดินเหนื่อยๆ โดยไม่มีจุดหมาย


แน่นอนครับ!!! เที่ยวสไตล์มาชิว จะใช้รถส่วนตัวน้อยมาก(เอาง่ายๆนะครับ ผมขับรถไม่เป็น)

เข้าเรื่องกันเลยดีกว่า....เราเริ่มต้นจากการจองที่พักครับ วางแผนไว้ว่า......

เดินทางจากกรุงเทพตอนเย็น(หลังเลิกงาน) นอนตัวเมืองกาญ1คืน แล้วนอนสังขละ2คืน

นั้งรถตู้จากสายใต้ใหม่...กรุงเทพ-ขนส่งกาญจนบุรี เราเลือกใช้บริการรถตู้วินแฮปปี้ครับ

ราคาคนละ 120 บาท นั้งมาหลายครั้งแล้วรู้สึกปลอดภัย และออกตรงเวลาครับ ถึงคนจะไม่เต็มแต่เมื่อถึงรอบ รถออกทันทีครับ...

ไปกันเลย!!!!!

สวัสดี...เมืองกาญ...

ออกจากกรุงเทพ 17.30 น. ถึงขนส่งกาญ ประมาณ 19.30 น. ใช้เวลาเดินทางไม่นาน....ประมาณ2ชั่วโมง

พอมาถึง....เราตั้งหลักโดยการโทรหาที่พักที่เราจองไว้คือ "บ้านมะเฟือง เกสเฮาส์"

"บ้านมะเฟือง เกสเฮาส์" ที่เราเลือกพักที่นี่เพราะว่าอยู่ไกล้ขนส่งกาญครับ ห่างกันประมาณ 500 เมตร

เดินไปได้สบายครับ ห้องพักสะอาด ราคาไม่แพง คืนละ700บาท แถมพี่เจ้าของใจดีด้วย (ไม่ได้ค่ารีวิวนะครับ แต่ดีจนอยากบอกต่อจริงๆ)

เก็บกระเป๋าเสร็จ..ไส้ก็เริ่มสั่น....


แน่นอนแหละครับ ไม่ใช่แค่ใกล้กับขนส่งเท่านั้น....

บ้านมะเฟือง ยังอยู่ใกล้กับตลาดโต้รุ่ง ออกจากที่พัก เดินเลี้ยวขวา เลยแยกหอนาฬิกาก็เจอแล้ว

ซึ่งของกินก็มีให้เลือกหลากหลาย..แถมราคาก็ปรกติ ไม่มีราคานักท่องเที่ยวอีกด้วย...

(เหมาะกันคนงบน้อยอย่างผม)


กะเพราหมูสับ+ไข่ดาว 45 บาท ตบท้ายด้วย เครปใส่ไข่-แม็กกี้พริกไทยเยอะๆ 25 บาท


กินอิ่มนอนหลับ..กลับเข้าที่พัก

เตรียมร่างกายให้พร้อม พรุ่งนี้เราจะลุยกัน....


สวัสดียามเช้า นอนอิ่ม หลับสบาย เก็บข้าวของให้เรียบร้อย

ก็ได้เวลา...บอกลา บ้านมะเฟือง.


ตื่นเช้ามาก......ถนนยังเงียบสงบ

คงมีหลายคนสงสัยแล้วหล่ะสิว่า......ผมจะนอนที่ตัวเมืองกาญ 1คืน ก่อนทำไม...

เหตุผลก็เป็นเพราะนี่ครับ.... แท่ม แทม.....แท๊มมมมมมมมมม...


เจ้ารถเมย์แดงในตำนานนี่แหละครับ...ผ๊ามมมม ผ่ามมม

ว่ากันว่า...ถ้าใครมาสังขละแล้วไม่ได้นั้งรถเมย์แดงเหมือนมาไม่ถึง...เรายอมไม่ได้ครับ

จัดไปออกเที่ยวแรกเลยพี่.....รถเที่ยวแรกออก 7 โมงเช้าครับ ราคาคนละ 175 บาท

ความเร็วของรถอยู่ที่ประมาณ 50 ก.ม./ชั่วโมง

เครื่องยนต์ 3พันแรงอูฐ...

ใช่ครับอูฐ!!! อูฐทะเลทรายเนี้ยแหละครับ คือขับช้ามากกกกกกกก

ขับไปเรื่อยๆ หวานเย็น รับลมชมวิว.....แต่เนี้ยแหละครับ!!! คือ สิ่งที่ผมตามหา


จอดพักรถ....ที่ทองผาภูมิ

เรามาถึงก็เกือบเที่ยงๆครับ ใช้เวลาประมาน3ชั่วโมงกว่า จากตัวเมืองกาญมายังทองผาภูมิ

ทางพี่คนขับแวะส่งคนที่จะลงทองผาภูมิ และจอดให้เราแวะทานข้าว ซื้อขนมซื้อน้ำ....

เราก็ไม่พลาดที่จะถ่ายรูปไว้เป็นที่ระทึก แฮร่!!! ระลึก

เติมพลังเรียบร้อย พร้อมแล้วออกเดินทางกันเลยยยยย.....


ระหว่างทาง ก็จะมีชาวบ้านขึ้นมาขายลูกชิ้นบ้าง น้ำบ้าง หมูปิ้งบ้าง...อารมณ์ประมาณนั้งรถไฟแหละครับ

แต่อีกสิ่งหนึ่งที่ต้องเตรียมไปห้ามลืม คือ บัตรประชาชนครับ เพราะเมื่อถึงด่านตรวจ พี่ๆทหารจะขอดูบัตรประชาชนครับ เพื่อตรวจสอบสัญชาติครับ....

ถึงแล้ววววจ้าาาาาาา...สังขละบุรี

ใช้เวลาจากทองผาภูมิประมาณ 2 ชั่วโมง เรามาถึงสังขละตอนบ่าย2 นิดๆ


พอถึงจุดรับส่ง...ยืนมึนกันอยู่สองคนครับ...เอาไงต่อดี

อย่างแรกครับ วิถีไบร์เกอร์ คุณต้องหาร้านเช่ามอ'ไซค์ เมื่อเรามีรถ แล้วทุกอย่างจะง่ายขึ้น...

ทางอยู่กับปากครับ....ถามคนไปเรื่อยๆครับ

จนได้มอ'ไซค์เช่า ในราคา200บาทต่อวัน(น้ำมันเติมเอง)

ไม่รอช้าโทรหาที่พักที่จองไว้...แล้วขับไปตามพิกัดเลยครับ.....


" forget me not "

ที่พักคืนแรกที่สังขละของเราครับ...ห่างจากท่ารถ ประมาณ 3-4 กิโล ราคาคืนละ 1600 บาท/ห้อง

พร้อมอาหารเช้า...ที่เลือกที่นี่เพราะ....เอาตรงๆนะครับที่อื่นเต็ม 555 (แอบเสียดายเงินนิดๆ)

แต่เดี๋ยวก่อน....พอมาถึง จอดรถปุ๊บ เดินดูวิว ผมนี่ถึงกับร้อง "ว้าว" เลยครับ

วิวดีเก๋กู๊ด....มองเห็นสะพานมอญจากระยะไกล ไม่แปลกใจเลยที่ราคา 1600 บาท

จากความเสียดายกลายเป็นความตื่นเต้นแทน.....เลิฟเลยจ้าาาาา


วิวอีกฝั่งครับ.....


และที่รู้สึกคุ้มค่ากับอีกอย่างนึง..คือถ้าเราจะไปล่องเรือ....

ตักบาตรตอนเช้า ชมวัดจมน้ำ เที่ยวสะพานมอญ(ค่าเรือไม่รวมกับค่าที่พัก)

สามารถแจ้งกับทางที่พัก แล้วจะมีเรือมารับเราถึงท่าหน้าบ้าน...

ไม่ต้องไปเดินหาให้ยาก สะดวก สบาย ง่ายๆ แต่จบในที่เดียว....


แต่สายไบร์เกอร์อย่างเรา...ล่องเรือเอาไว้ก่อน...

เช่ามอ'ไซค์มาแล้ว ต้องไปให้ครบ..ต้องใช้ให้คุ้ม...

เป้าหมายแรกของเราคือ "วัดวังก์วิเวการาม" หรือที่ชาวบ้านเรียกว่า "วัดหลวงพ่ออุตตมะ"

ซึ่งมีความสำคัญอย่างมาก สำหรับคนท้องถิ่น เป็นศูนย์รวมจิตใจของผู้คนหลายเชื้อชาติ ทั้งชาวไทยและกะเหรี่ยง โดยเฉพาะสำหรับชาวไทยเชื้อสายมอญ....


สังเกตุได้ว่า..ศิลปะและการตกแต่งนั้น แสดงออกถึงสถาปัตยกรรมแบบชาวมอญ ได้อย่างชัดเจน..



หลวงพ่ออุตตมะ หรือ พระมหาอุตตมะรัมโภภิกขุ พระเกจิอาจารย์ชื่อดัง ปฏิบัติธุดงค์กรรมฐาน เผยแผ่พระพุทธศาสนา เป็นพระนักพัฒนา ที่มีบทบาทสำคัญต่อชาวกะเหรี่ยง และเป็นที่พึ่งของชาวมอญ ท่านส่งเสริมการสร้างถนน สะพาน อนามัย และโรงเรียนหลายแห่ง ท่านช่วยเหลือในการขอสัญชาติไทยให้ชาวมอญได้มีบัตรประชาชน ท่านจึงเป็นเสมือนศูนย์รวมแรงศรัทธาของคนในพื้นที่ ให้เป็นชุมชนที่เข้มแข็ง...

เจดีย์พุทธคยา ซึ่งภายในเจดีย์บรรจุพระบรมสารีริกธาตุ

ซึ่งหลวงพ่ออุตตมะอัญเชิญมาจากประเทศศรีลังกา

มาไว้ให้เราได้สักการะบูชาเพื่อเป็นสิริมงคล...



นานๆจะมีสาระก็ร่ายซะยาวเลย....เดินจนหิวก็ได้เวลาขับรถกลับ..

แต่ก็ขอแวะเก็บภาพสะพานมอญซักนิดเพราะมองจากระยะไกลไม่ค่อยมีคน...

นี่ขนาดไม่มีคนนะ 555...ยังเต็มสะพาน


ถ้าใครชอบนอนแพ ที่สังขละก็มีให้บริการ แต่ห้องจะเต็มไวมาก..คนนิยมมาพักกันเยอะ


ส่วนใครจะล่องเรือชมวัดก็ต้องมาติดต่อที่นี่แหละครับ..ส่วนเราสบายแล้วครับ..ที่พักเราจัดการให้


ถึงเวลาแล้วหล่ะครับ...ที่เราจะหิวแบบจริงจังซักที

พลาดไม่ได้เลยครับ...ถ้ามาสังขละต้องเดิน ถนนคนเดิน...

เราไม่รีรอครับ มุ่งหน้าหาร้าน "หมูจุ่มพม่า ไม้ละบาท"

ในถนนคนเดินจะมีหลายร้านมากครับ...แล้วแต่ท่านจะตัดสินใจเลือก แต่ผมชิมแล้วรสชาติใกล้เคียงกันหมด..

ถ้าถามว่ารสชาติเป็นยังไง...จะออกหวานๆ เค็มๆ แต่ไม่มาก มีกลิ่นเหมือนพะโล้นิดๆ

แต่พอจิ้มกับน้ำจิ้ม มันเข้ากันซะเหลือเกิน....จะมีซอสพริก กับ ซีฟู๊ด(ใกล้เคียง)

ยิ่งกินยิ่งเพลิน ต่างคนต่างไม่มีคนห้าม ไม้ละบาทอย่าไปคิดมากไม่กี่บาทหรอก...

สองคนก็กินไม่เยอะหรอกครับ แค่ 100 ไม้เอง เท่ากับ 100 บาท(ผม80ไม้,แฟน20ไม้)

และไฮไลค์ของมื้อนี่เลยครับ... "ยำหัวหมู"

ซึ่งมันพิเศษตรงที่ เราสามารถเลือกส่วนไหนของหัวหมูมายำก็ได้...

ผมชอบกินหูหมู กรึบๆกรอบๆ มีรึจะพลาด....รสชาติก็จะเผ็ดนำครับ เค็มนิดเปรี้ยวหน่อย หวานพอตัดเลี่ยน

ใส่แตงกวาซอยและก็เส้นคล้ายขนมจีนแต่รสชาติเหมือนบะหมี่ ให้มีtextureในการเคี้ยว..

ลงตัวและอร่อยมากครับ(หมดกับเครื่องดื่มไปหลายขวด)

อิ่มแล้วก็ต้องนอนสิครับ....เพราะพรุ่งนี้เรามีทำบุญตักบาตรกันแต่เช้า..

ตื่นเช้ามาก็จิบกาแฟซักแก้วครับ....ยืนชมวิวสะพาน

อาบน้ำเตรียมตัวไปตักบาตร..

และแล้วเรือเราก็มารับ....


เรือพาเราแล่นมาจอดที่บริเวณสะพานมอญ เพื่อพาเราข้ามฝั่งไปทำบุญตักบาตร..


แวะถ่ายรูปให้แฟนกับแพไม้ไผ่ซักนิด..

(ชุดซื้อมาเมื่อคืนครับที่ถนนคนเดิน ราคาขึ้นอยู่กับการต่อรองของแต่ละบุคคล)


บรรยากาศรอบๆ สดชื่นและชิวมาก


และแล้วก็มาถึงครับ...คนหนาแน่นมากเนื่องจากเป็นวันหยุด

บรรยากาศดูน่ารักดีครับ นักท่องเที่ยวต่างพากันแต่งตัวเป็นชาวมอญ...


และนี่คือ ชุดตักบาตร ของเราครับ..ชุดละ99บาท ก็จะมีน้ำ นม ขนม ข้าวสวย อาหารแห้ง


เด็กน้อย...ผู้ซึ่งเป็นคนจัดชุดตักบาตรให้เรา ถามว่าแพงไม๊ ก็นิดนึงครับ

แต่พอเห็นน้องเค้าแล้ว เราก็ยินดีจ่าย ช่วยเหลือเกื้อกูลกัน...


เอกลักษณ์ครับ...ชาวบ้านที่นี่นิยมเอาของใส่กาละมังแล้วเอาวางไว้บนหัว

อย่าถามผมครับว่าเพื่ออะไร...ผมก็ไม่รู้ ฮ่าๆ

ตักบาตรเสร็จ..ก็ถึงเวลาที่เราจะล่องเรือ ชมวัดใต้น้ำแล้วหล่ะครับ..

ระหว่างเดินขึ้นเรือเราก็ได้เจอเจ้าแมลง....ไม่รู้ว่า...เค้าเรียกว่าอะไร แต่ผมขอเรียกว่าตั๊กแตนยักษ์ละกันนะครับ ตัวใหญ่มาก...ว่าแล้วไปขึ้นเรือดีกว่า


ขึ้นเรือพร้อมแล้ว...ไปกันเลยครับ (ใส่เสื้อชูชีพเพื่อความปลอดภัย)


ก่อนอื่นเลย ขอบอกก่อนนะครับ ว่าตามโปรแกรมคือ ล่องเรือเที่ยวชม 3 วัด

ซึ่งมีวัดวังก์วิเวการาม(เดิม) วัดสมเด็จ วัดศรีสุวรรณ

ซึ่งแต่ก่อนพื่นที่ตรงบริเวณนี้...เป็นหมู่บ้านต่างๆ มีวัด 3 วัด แต่ละวัดก็ต่างกันออกไป เป็นวัดไทย วัดมอญ วัดกะเหรี่ยง เป็นจุดศูนย์รวมของแม่น้ำทั้ง 3 สาย คือ แม่น้ำซองกาเลีย, แม่น้ำรันตี และแม่น้ำบีคลี่ เรียกจุดนี้ว่า "สามประสบ" แต่มาจมอยู่ใต้น้ำเมื่อตอนสร้างเขื่อนเขาแหลม...ชาวบ้านก็เลยอพยพขึ้นมาอาศัยอยู่ข้างบนอย่างที่เราเห็นกันในปัจจุบัน

ซึ่งวัดแรกคือ วัดศรีสุวรรณ ซึ่งเป็นวัดของชาวกะเหรี่ยง ซึ่งวันที่ผมไป

จมอยู่ใต้น้ำ...มิดจนมองไม่เห็นครับ(เลยไม่รู้จะถ่ายอะไร)


มาวัดที่ 2 วัดสมเด็จ

ซึ่งเป็นวัดไทย ภายในอุโบสถมีพระประธาน สภาพยังค่อนข้างสมบูรณ์ ให้เราได้กราบไหว้สักการะ

วัดนี้ไม่จมน้ำนะครับ แต่อยู่ในสภาวะติดเกาะ เลยถูกทิ้งร้าง....


วัดสุดท้าย..วัดวังก์วิเวการาม(เดิม) เป็นที่รู้จักกันในนามของ “วัดใต้น้ำ” หรือ เมืองบาดาล

ซึ่งเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่สำคัญระดับ Unseen Thailand เลยทีเดียวเชียว....


ซุ้มวัดจมน้ำไปแล้วครับ...


ภายในก็ยังคงหลงเหลือพระพุทธรูปให้เราได้กราบไหว้อยู่บ้าง...


มุมนิยม...ที่ใครๆมาก็ต้องถ่าย




ลุล่วงภารกิจล่องเรือชมวัดเป็นที่เรียบร้อย..

กลับเข้าที่พัก...เก็บเสื้อผ้ายัดใส่กระเป๋า ย้ายที่พัก

มาทั้งที....จะนอนซ้ำที่เดียวกันได้ไง..

เรื่องที่พักเดี๋ยวมาเล่าแล้วกันนะครับ เอาเป็นว่าเก็บกระเป๋า แล้วเราไปเที่ยวพม่ากัน...

ได้เวลา วิถีไบร์เกอร์ อีกแล้ว เราแว๊นส์จากสังขละมาด่านเจดีย์สามองค์เป็นระยะทางประมาณ 22 กิโล

บิดมาสุดไมค์เลยครับเพราะกลัวจะเที่ยวไม่ทัน...

กว่าจะถึงเมื่อยก้นนิดนึง....

เดินซื้อของ..หาของกิน ระหว่างรอ..

รอแชร์กรุ๊ปเพื่อข้ามฝั่งพม่าครับ...เพราะถ้าไปสองคน จะแพงมาก

จนได้เพื่อนร่วมทริปมาเพิ่มอีก2คน เป็นแฟนกัน ..

รวมกับเราอีกสองคนเป็น 4คน ได้มาในราคา คนละ 300 บาท รวมเป็นเงิน 1200บาท

ตัดใจถึงแม้จะราคาแพงกว่าที่คิดไว้...แต่ไปก็ไปครับ มาทั้งที...

นี่คือไกด์นำเที่ยวของเรา..เป็นเด็กน้อยชาวพม่าซึ่งพูดไทยได้นิดหน่อย

และรถที่จะพาเราไปเที่ยวครับ เล็กกระทัดรัดน่าดู มี4ที่นั้ง รวมคนขับ แต่เราไปกัน 6 คน...


และแน่นอนครับ ไกด์นั้งประตูหลัง....ฮ่าๆ

ขอไม่อธิบายแล้วกันนะครับ เพราะนอกจากตัวผมเองจะไม่มีความรู้แล้ว....

ไกด์ก็ยังอธิบายได้ไม่รู้เรื่องด้วยเช่นกัน..55

ปล่อยให้ภาพมันเล่าเรื่องแล้วกันนะครับ...


เทพทันใจ...ไกด์ตัวน้อยอธิบายได้อย่างละเอียดมาก ซึ่งก็แน่นอนหล่ะครับ...เป็นเรื่องที่ใครๆก็รู้ ฮ่าๆ

"พระตาหวาน" ผมถามไกด์ว่า ทำไมต้องตาหวาน ไกด์ตอบกลับมาสั้น "ผมก็ไม่รู้"

ใช้เวลาราวๆประมาณ 2 ชั่วโมงครับ ก็กลับมาที่ฝั่งไทยบ้านเรา..

สนุกดีครับ..บรรยากาศดี ไปศึกษาศิลปะบ้านเค้า แถมไกด์ตัวน้อยของเราก็พาให้เราขำได้ตลาดทาง

แต่น่าสงสารที่เหมือนเจ้าไกด์ตัวน้อยจะไม่สบายก็เพราะว่าตากฝนวิ่งไปเก็บรองเท้า

ตอนที่เราเข้าไปไหว้พระข้างใน

เราเลยให้ค่ายาติดไม้ติดมือไปให้ ถือว่าเป็นสินน้ำใจช่วยเหลือกัน

ไกด์ตัวน้อยก็ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่แทบจะหายป่วย..ในบัดดล

ระหว่างทางกลับมีน้ำตก เราก็เลยแวะชมซักหน่อย....

ด้วยระยะทางขับกลับมาอีก 22 กิโล จึงทำให้....ความหิวเริ่มมาเยือนเราอีกครั้ง

และแน่นอนครับ เราก็ต้องฝากท้องไว้ที่ถนนคนเดินอีกเช่นเคย...

"มาสังขละ ต้องกินส้มตำข้างไปรษณีย์"

วันนี้มาแปลก อยากกินส้มตำ... เห็นแถวยาวๆนั้นแหละครับใช่เลย

ตอนกลางวันจะอยู่ข้างไปรษณีย์สังขละ แต่พอตอนกลางคืนจะย้ายมาขายในถนนคนเดิน มาเป็นรถซาเล้ง

รสชาติไม่ต้องพูดถึงครับ..แซ่บเว่อร์

และด้วยความอร่อยของยำหัวหมูเราจึงต้องซ้ำอีกรอบ...

เพียงแต่ว่าวันนี้คนละร้านกับเมื่อวาน..

ซื้อทั้งหมดกลับมาครับ ขอจานจากที่พัก..

อ้าว!!! พูดถึงที่พัก..นึกขึ้นได้ 5555

เราพักที่ "เชอร์โค เชอร์โค" ครับ ราคาคืนละ 1000 บาท ที่พักเป็นบ้านลอฟ ด้านในตกแต่งดูสะอาดตา..

ส่วนด้านหน้าจะมีบ้านไม้ ตกแต่งสไตล์วินเทจ ไว้ให้เราได้นั้งเล่นกัน ที่พักน่ารักครับ ดูอบอุ่นเป็นกันเอง

แถมมีจักรยานให้ปั่นเล่นอีกด้วย....

กลับมาบรรเลงส้มตำของเราต่อดีกว่า...

ที่นสุนัขจะเยอะหน่อย..แต่มันไม่กัดนะครับ ขี้เล่น ขี้อ้อน..

อิ่มแล้วก็นอนกันดีกว่า...พรุ่งนี้กลับบ้านแล้วหรอ....

ตื่นเช้ามาเช็คเอ้าท์เก็บกระเป๋ากลับบ้านครับ...

ด้วยความหิวจึงแวะกินข้าวที่ร้านอาหารตามสั่งตรงตลาดสด

อร่อยและถูกมาก คือชอบที่นี่ตรงราคา ส่วนใหญ่จะเป็นราคาชาวบ้าน ไม่ใช่ราคานักท่องเที่ยว...


ผมเลยสั่งสองจานเลยครับ (อร่อยหรอ! อ๋อ!!ป่าวครับ ให้น้อย 555)

กินคาวก็ต้องกินหวานต่อครับ..

ระหว่างรอรถตู้กลับตัวเมืองกาญ เวลามันเหลือ เราก็เลยหาร้านกาแฟกัน..ขับไปเรื่อยๆจนเจอ

ร้าน Kaf kafe ร้านกาแฟสุดชิคแห่งสังขละ

พี่เจ้าของกำลังวุ่นกับการชงกาแฟ..

ร้านตกแต่งน่ารักมากครับ..

มีหนังสือให้อ่านเล่นมากมาย..

รสชาติดีเลยครับ...สดชื่นหายเหนื่อย

แล้วที่เซอร์ไพร์คือ ด้านหลังร้านเป็นที่พัก...

มีความญี่ปุ่น....

มีความเจแปน....

วิถีแห่งเซน....

สอบถามมาแล้วครับว่า...ราคาไม่แพง(ถ้ามาอีกคงได้พักที่นี่)

ในใจก็แอบเสียดายนิดๆ ผิดที่เราเจอกันช้าไป...

หลังจากเดินชมจนหนำใจ ก็ได้เวลาเอารถมอ'ไซค์ไปคืน....เดินคอตกกันอยู๋สองคน รอขึ้นรถตู้...

เฮ้อ............

เฮ้อ........

เฮ้อ........................

ถอนหายใจอยู่พักใหญ่

สุดท้ายก็ต้องเอ่ยคำร่ำลา....กลับสู่ที่ที่เราจากมา.....


เป็นเมืองเล็กๆ ที่รวบรวมหลายวัฒนธรรมเข้าด้วยกันอย่างลงตัว ไร้ซึ่งความขัดแย้ง ต่างคนต่างพึ่งพาอาศัยกัน...อยู่รวมกันเป็นหนึ่ง..

จนอดคิดไม่ได้ว่า...เมื่อไหร่หนอ..

ในเมืองหลวงที่มีแต่เหล่าปัญญาชนจะคิดได้อย่างชาวบ้านเค้าบ้าง...


ขอขอบคุณทุกท่านที่รับชม

แล้วเราจะกลับมาพบกันใหม่.....

-ฟรีแลนซ์อารมณ์ดี-





ฟรีแลนซ์อารมณ์ดี

 วันศุกร์ที่ 10 พฤศจิกายน พ.ศ. 2560 เวลา 19.09 น.

ความคิดเห็น