"National Park Trip" เกิดขึ้น ณ ปลายเดือนธันวาคมของปีที่แล้ว โดยการไม่ได้แพลนอะไรมากของเราและเพื่อนและแฟนเพื่อน สิริรวมสามชีวิต ที่คิดจะไปเที่ยวน่าน ที่ๆเราคิดไว้ว่าจะไปก็อุทยานแห่งชาติดอยเสมอดาวและอุทยานแห่งชาติดอยภูคา แต่เมื่อชีวิตของการเดินทางมันเลยเถิดไปถึงอุทยานแห่งชาติดอยภูคาแล้ว สิ่งที่เราทำคือ ไปต่อ! จึงเกิดการเดินทางไปต่อที่ อุทยานแห่งชาตินันทบุรี และ วนอุทยานภูลังกาในที่สุด

น่าน เป็นจังหวัดที่ " ต้องตั้งใจมา " จริงๆนะ เพราะมันเป็นจังหวัดที่ไม่ใช่ทางผ่าน ซึ่งยังคงเอกลักษณ์วัฒนธรรมไว้อย่างสมบูรณ์มากๆ ใครได้มารับรองไม่ผิดหวังแน่นอน

การเดินทางจะไปจังหวัดน่านได้นั้น คือ 1. รถบัส 2.เครื่องบิน 3.รถไฟลงสถานีเด่นชัย แล้วต่อรถไปตัวเมืองน่าน

แน่นอนเราเลือกเดินทางโดยรถไฟจ้า ประหยัดและคิดว่าน่าจจะปลอดภัยสุด เราสรุปค่าใช้จ่ายไว้ท้ายรีวิวด้วยเผื่อมีประโยชน์

เราเริ่มการเดินทาง Start ที่ สถานีรถไฟหัวลำโพง โดยรถไฟชั้น 3 ลดcost สุด และเพื่อนจะขึ้นที่สถานีรถไฟอยุธยา รถไฟชั้น 2 ฮืออออ เจอกัน เด่นชัย! เหมือนกรูมาคนเดียวเล็กๆ แต่ไม่เป็นไร เราเจอเพื่อนใหม่ บนรถไฟ หลายคนที่จะไปแคมป์ซ่อมวัดที่จังหวัดน่าน เป็นคนรุ่นราวคราวเดียวกัน คุยกันตลอดทาง เค้าเป็นคนเหนือ เลยรู้ที่เที่ยวที่น่านนี้เป็นอย่างดี แนะนำเราดีมาก

เรามาถึงสถานีรถไฟเด่นชัยประมาณ ตีห้ากว่าๆ เห็นจะได้ ลงรถไฟแล้วเพื่อนที่เพิ่งรูจักยังพาไปขึ้นรถตู้ที่จะไปน่านอีก อู้คำเมือง กับคนขับรถให้เราทุกสิ่ง สุดยอด! เวรี่กู๊ดดดด

นี่แหละข้อดีของการแบคแพค นี่ต้องเป็นทริปดีๆของเราแน่ๆเลย เปิดทริปมาก็มีมิตรภาพ ปริ่มใจแล้ววว

ประมาณสองชั่วโมง เราก็มาถึงบขส.น่าน 7.00 โมงเช้า พอดี เราหาข้าวทาน และเดินไปหารถมอไซต์เช่ากันก่อนจ้า

ได้ร้านเช่ารถแถวๆ บขส. ราคา 200-300 บาท ต่อวัน มัดจำ 1000 บาท พี่เจ้าของให้คำแนะนำดี คอยบอกว่าไปทางไหนสวยงี้ เราก็เริ่มออกแว๊นกันเลย จุดมุ่งหมายของเราวันนี้ คือ อุทยานแห่งชาติดอยภูคา

ไปกันเล๊ย

ระยะทางใน map ที่เรา search ดู คือประมาณ 90 km จิ๊บบบบบ

สองข้างทางระหว่างขับรถคือ ฟิน จริงๆ

ไม่รู้สิ มันชื่นใจ

ระหว่างทางเราผ่าน ร้านลำดวนผ้าทอ เราเลยแวะเข้าไปสักหน่อยย บรรยากาศที่โอบล้อมร้านมันเจ๋งมากๆ

ตามไปดูกันเถอะ

ร้านลำดวนผ้าทอ

ตั้งอยู่ที่ อำเภอปัว จังหวัดน่าน ที่นี่ร้านขายของที่ระลึกและผ้าทอไทลื้อ ผ้าทอน้ำไหล ลายโบราณ อำเภอปัวถือว่าเป็นอำเภอที่มีชาวไทลื้ออยู่มากที่สุดชาวไทลื้อมีประเพณีและวัฒนธรรมเป็นของตนเองโดยเฉพาะอย่างยิ่ง เรื่องการแต่งกายแบบพื้นบ้าน แบบผ้าทอไทลื้อ ผ้าทอส่วนใหญ่เมื่อทอมาแล้วก็มีการจำหน่ายเป็นผลิตภัณฑ์ชุมชนด้วยจ้า


มีสะพานไม้ไผ่บนทุ่งนาให้เราเดินด้วย มองไปรอบๆมีวิวคือ ภูเขา

ที่นี่ยังมีร้านกาแฟบ้านไทลื้อ ของร้านลำดวนผ้าทอ ซึ่งเป็นอีกหนึ่งร้าน ที่ใครผ่านมาต้องแวะมาจิบเครื่องดื่ม กาแฟ ท่ามกลวงบรรยากาศสไตล์ไทลื้อพื้นบ้าน ติดริมนาข้าวแฝงไปด้วยบรรยากาศแบบไทลื้อดั้งเดิม เมื่อได้เห็นต้องกรีดร้อง

แถมสะพานยังเป็นราวตากผ้ามัดย้อมได้อีกง่ะ

มีกระท่อม เรียกกระท่อมไหม เอิ่ม นั่นแหละ มีแบบนี้หลายหลังเลย

ให้นักท่องเที่ยวที่ผ่านมา นั่งพักผ่อน

เราไปนั่งเล่น นอนเล่น รับลมเย็น มองดูวิวนาข้าวและขุนเขาที่ล้อมอยู่พักใหญ่เลยล่ะ

โห ถ้ามีเวลามากกว่านี้นะ หลับสักตื่นล่ะ ใครผ่านไปแถวนั้นก็อย่าลืมไปอุดหนุน ร้านลำดวนผ้าทอ กันน้า

บรรยากาศให้ร้อยคะแนนเต็ม

หลังจากเราได้พักจนหายเหนื่อยล่ะ เราก็ไปต่อกันเล๊ยยยยยย

แว๊น!ต่อไปอีก จุดหมายของเราวันนี้คือ อุทยานแห่งชาติดอยภูคา

ซึ่งน่าจะอีกเกือบอีก ประมาณ 30 km ได้ ชิวๆเนอะ หราาาา

หลังจากจะเปิดว๊าปไปที่ ดอยภูคา

เรามาพูดถึงระหว่างทางกันดีกว่า ไม่รู้จะอธิบายยังไงให้เห็นภาพเลยอ่าาาา แต่เราไม่ได้แวะถ่ายรูป กลัวแบบขึ้นเขาแล้วอันตรายงี้ ตอนนั้นเรายังไม่มี action camera อ่า เศร้ามะ

คือ มันเป็นวิวธรรมชาติที่สองข้างทาง เป็น ภูเขา ต้นไม้ แล้วคืเราแว๊น แล้วลมมันปะทะหน้าตลอดเวลา มันเป็นช่วงเวลาที่โคตรใช่เลยอ่ะ

บางช่วงมีบิ๊ก bike เค้าออกทริป ขับผ่านไป โห พอมาแบบนี้ เข้าใจฟิวเค้าเลยอ่ะ ว่าทำไมเค้าไม่ขับรถยนต์มา ทำไมต้องมาลำบากกว่า (ในมุมมองตอนนั้นนะ) แต่ตอนนี้เราเข้าใจอย่างท่องแท้แล้วจ้า

ก่อนจะฟินจนอินวูบไปกับสายลม เราก็วาบมาถึงอุทยานแห่งชาติดอยภูคา ล่ะจ่ะ

อุทยานแห่งชาติดอยภูคา เป็นอุทยานแห่งชาติแห่งหนึ่ง ในพื้นที่จังหวัดน่าน มีสภาพพื้นที่เป็นเทือกเขาสูงสลับซับซ้อน ซึ่งมีทิวทัศน์ที่สวยงามตามธรรมชาติ อากาศบริสุทธิ์ มากๆ

อัตราค่าบริการเข้าอุทยานแห่งชาติ

ชาวไทย : ผู้ใหญ่ 40 บาท เด็ก 20 บาท

ชาวต่างชาติ : ผู้ใหญ่ 200 บาท เด็ก 100 บาท

ลักษณะภูมิอากาศ
3 ฤดูกาล คือ
ฤดูฝน ระหว่างเดือนพฤษภาคม - ตุลาคม มีฝนตกชุก
ฤดูหนาว ระหว่างเดือนพฤศจิกายน- กุมภาพันธ์ ในเดือนธันวาคม - มกราคม จะมีอากาศหนาวจัด เฉลี่ยประมาณ 10 C (แนะนำให้ไปช่วงนี้เลยจ้า)
ฤดูร้อน ระหว่างเดือนมีนาคม - เมษายน อุณหภูมิโดยเฉลี่ยประมาณ 30 C กลางคืนโดยเฉลี่ย 25 C

เจ้าหน้าที่อุทยานแห่งชาติแจ้งว่า สามารถพักที่นี่ได้อยู่ 3 จุด ด้วยกัน คือ ที่บ้านพักอุทยาน ลานดูดาว และ ลาน1715

เราเลือกพักที่ ลานดูดาว เราเลยแว๊นต่อไปอีกจากที่ทำการอุทยานไม่นาน ก็ถึงลานดูดาวแล้วคะ

ที่นี่มีเจ้าหน้าที่อุทยานคอยบริการนักท่องเที่ยวในเรื่องเต้น ผ้าห่ม อยู่คะ

เราก็เดินตรงไปติดต่อพี่เจ้าหน้าที่เลย ราคาสามารถตรวจสอบได้ในเว็ปไซต์ของอุทยาน

เราจำได้ว่าราคารวมถุงนอนไม่กี่ร้อยบาทเองจ้า

ได้เต้นท์และถุงนอนแล้ว เราก็เดินหาที่กางเต้นท์กันเลย วันนี้มีนักท่องเที่ยวขึ้นมาพักที่นี่ไม่หนาแน่นนัก ประมาณ10 เต้นท์น่าจะได้

หลังจากนั้นได้เวลาของเราแล้วจ้าาาา

โอยได้ นั่งสักที เมื่อยตูดสุดๆ แว๊นแบบมาราธอนมา น่าจะ 86 km เห็นจะได้นะ เวลานั้นก็ประมาณ 4โมงเย็นกว่าๆแล้วล่ะ

เราออกเดินสำรวจบริเวณที่พัก มีร้านของอาหาร 1 ร้าน มีที่นั่งชมวิวได้ดีเลย

เรามาอาศัยชาร์จแบตที่ร้านลุงกับป้าร้านนี้แหละ กราบขอบพระคุณมากๆเลย ไม่งั้นลำบากแน่

บรรยากาศล้อมรอบไปด้วยธรรมชาติ เสียงนก เสียงลม มันทำให้เราสงบ

เรานั่งพักอยู่ตรงนี้ซึ่งมองเห็นพระอาทิตย์ ก่อนจะตกดินได้อย่างชัดเจน ไม่พลาดแน่นอน

อุดหนุนลุงด้วย มาม่า ไข่ลวก กาแฟ ไส้กรอก ... เอิ่ม

เรียกได้ว่าไม่หยุด

เอาให้สมกับที่แว๊นตูดชามือแข็งคนเดียว มาทั้งวัน ปล่อยให้เพื่อนกับแฟนเดินไปสวีทกับตามใจมึงเลย

กุขอนั่งอ้วนอยู่ตรงนี้

ดอยภูคา

ที่นี่เป็นป่าที่มีความอุดมสมบูรณ์ที่มีทั้งพืชพรรณและสัตว์ป่าที่มีความสำคัญต่อระบบนิเวศน์ รวมทั้งเป็น แหล่งกำเนิดของแม่น้ำหลายสาย เช่น แม่น้ำน่าน ลำน้ำปัว ลำน้ำว้า

สายน้ำเหล่านี้คอยหล่อเลี้ยงชีวิตผู้คนในจังหวัดน่าน และยังมีความสำคัญทางประวัติศาสตร์ กล่าวคือ เป็นที่เชื่อกันว่าเทือกเขาดอยภูคาเป็นเมืองเก่าของบรรพบุรุษ ของคนเมืองน่านอีกด้วย


มองจากเต้นท์ที่พัก พระอาทิตย์ กำลังจะตกดินแล้ว เราเดินไปดูที่จุดชมวิวกันดีกว่า


เราแบบเหมือนติดแล้วอ่ะ ไปไหนต้องได้ดูพระอาทิตย์ขึ้นและตกดิน ต้องไปให้ทันงี้ เหมือนเป็น mission ของทุกๆทริปเลย

ความรู้สึกที่ได้ดูแสงของวันใหม่ และ คอยยืนส่งแสงวันนั้นลับขอบฟ้าไป มันรู้สึกดีอ่ะ

แล้วบรรยากาศรอบๆข้างมันโอบล้อมเรา เหมือนมันชาร์จพลังงานบวกให้เราเต็มที่เลย

เรายืนส่งพระอาทิตย์อยู่ตรงนั้น..

ยิ้มน้อย ยิ้มใหญ่

เรานั่งดูพระอาทิตย์ที่ค่อยๆลับขอบฟ้าไป มันได้บรรยากาศของธรรมชาติจริงๆ เสียงใบไม้ เสียงลม เสียงนก เหมาะแก่การมาพักผ่อนอย่างแท้จริง

ตกดึกเราก็มานั่งดูดาว หน้าเต้นท์ที่พัก วันนี้ท้องฟ้าเปิด เห็นดาวชัดเจน ถ้าไม่ติดหนาวจนจะแข็งซะก่อน จะนั่งแช่อยู่ตรงนั้นทั้งคืนเลย

อ่ะๆ อย่าเพ้อ นอนเก็บแรงก่อนดีกว่า พรุ่งนี้อีกยาว .. เพราะต้องตื่นแต่เช้าไปดูพระอาทิตย์ขึ้นที่ จุด 1715 ลานกางเต้นท์อีกที่หนึ่งของอุทยาน ดูพระอาทิตย์อีกล่ะ

ฮาฮา น่าจะตั้งชื่อทริปนี้ว่า ทริป ดูพระอาทิตย์ เนอะ ไปนอนก่อนยุงจะหามจ้า

ว๊ากกกก กรีดร้องแต่เช้า ประมาณ ตีห้าครึ่งเราก็ตื่นกันล๊าววว

ยังไม่ล้างหน้าแปรงฟัน ไป ไป ไป รีบแว๊น! ไปดูพระอาทิตย์ขึ้นกันก่อน

ฟริ้ววววว!!

น่าจะประมาณ 10-15 นาที เราก็ถึง จุด 1715 แล้วจ้า

mission complete ทันดูพระอาทิตย์ โล่งงงงง

มีทะเลหมอกด้วยนะวันนี้ แต่มันไกลลลลลลมากกกกกก

บรึ๊ยยยยย

ที่ลาน 1715 ก็มีนักท่องเที่ยวมากางเต้นท์อยู่ด้วยนะ แต่ไม่เยอะมาก น่าจะ 4-5 หลังได้เอง

ใครชอบความสงบขึ้นหน่อยก็เลือกที่นี่ได้นะจร๊ แต่เหมือนว่าจะไม่มีร้านขายของ ใครเลือกพักที่นี่ก็เตรียมขนมนมเนยมาด้วยน้า

จากนั้นเราก็แว๊นไปทางเดิมกลับที่พักเพื่อเก็บของ ระหว่างทางมีศาลเจ้าพ่อภูคาอันเป็นที่เคารพสักการะของชาวจังหวัดน่าน เราจึงได้เข้าไปแวะสักการะขอพรช่วยคุ้มครองให้เราเดินทางปลอดภัยตลอดทริป

เราเดินขึ้นไปไหว้พระพุทธรูปบนเนินเขา ที่เห็นในภาพเล็กๆโน่นๆ เพื่อขอพร

ก็ทำเอากล้ามขาเกร็งอยู่เหมือนกันจากนั้นลงมาเก็บข้าวเก็บของ เก็บภาพบรรยากาศในตอนเช้า

สูดอากาศเข้าปอดเต็มที่เลย บรรยากาศมันได้จริงๆ

หลังจากนั้นเราก็ออกเดินทาง เดินทางไปไหน บรื๊ยยยยยย โนแพลน

ปรึกษากับเพื่อนและแฟนเพื่อน สุมหัวอยู่ 15 นาที แบบเพื่อนและแฟนอยากไปอุทยานแห่งชาตินันทบุรีเลย หาดูใน map ระยะทางก็พอทน ส่วนเราก็โอเค แต่ขอเลยไป ภูลังกาหน่อยได้ม้าาาา ใน map ไซโคลเพื่อนว่าไม่ไกลเท่าไหร่หรอก

เพื่อนกับแฟนเพื่อนก็เอ้อได้ ตามใจ ใจดีวุ้ย หารู้ไม่ว่า ... นี่แหละ คือจุดเริ่มต้นความมาราธอนที่สุดของทริปนี้

เราแว๊นมอเตอร์ไซต์ออกไปแบบเบิกบาน ยิ้มแย้ม โดยไม่รู้เลยว่าทางที่เราเลือกนั้น มันจะเสี่ยงอะไรขนาดนี้

ลืมว่าตัวเองแว๊นนน! มอเตอร์ไซต์อยู่ นะจ๊าาาาา

หลังจากสรุปได้แล้ว เราก็แว๊น กันต่อไปเล๊ย

ดูจากใน map แล้ว ประมาณ ร้อยกว่าโล อึ้มมมมม นิดเดี๊ยวววว

ตบไหล่ตัวเอง สองชั่วโมงแรกก็ยังยิ้มไปอินไป สนุกๆ แว๊น ฟริ้ววว

พอเริ่มเข้า ชั่วโมงที่สามกว่า เริ่มล่ะไง ปวดตูดมากกกกก เมื่อไหร่จะถึง(ในใจ) แต่ก็ดียังมีวิวข้างทางทำให้ใจเราเย็นลง

ถึงจุดพักนักท่องเที่ยว เราปรึกษากับเพื่อน คือแบบเราต้องรีบบึ่งแล้วล่ะ ไม่งั้นวันนี้เราจะกลับไปพักที่ อุทยานแห่งชาตินันทบุรี ไม่ทันแน่นอน เพราะนี่ก็ 3ชั่วโมงกว่าแล้วเรายังไม่ถึง วนอุทยานภูลังกากันเลย ฮืออออ อยากกราบขอโทษเพื่อนมาก นิดเดียวของกุไง

แต่บรรยากาศมันดีจริงๆนะ มันคือทางที่แบบวนเขา ขึ้นเขา ลงเขา ลูกนี้ ต่อลูกโน้น อารมณ์ประมาณนี้ แบบถ้ามองกลับไป คือ โอยลูกโน้นไงที่เราข้ามมา มันดีมากจริงๆ

ผ่านไปอีก 1 ชั่วโมงกว่าๆ สิริรวมเกือบ 5 ชั่วโมงที่เราแว๊นมา ก็ถึง วนอุทยานภูลังกา แล้ว

ลงมอไซต์มา คือขาเราจะยืนไม่เป็นล่ะอ่ะ

การเดินทาง

เดินทางจากงอำเภอท่าวังผาตามทางหลวงแผ่นดินหมายเลข1080 ระยะทาง 43 กิโลเมตร เดินทางไปทางเหนือแล้วเลี้ยวขวาไปอำเภอสองแถวตามทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 1148 ระยะทาง 33 กิโลเมตร จากอำเภอสองแถวถึงอำเภอเชียงคำแล้วเดินทางต่อไปถึงวนฯ 71 กิโลเมตร จ้า แค่พูดยังเหนื่อยเลยอ่ะ

ข้างบนมีผลไม้ท้องถิ่น อาหาร และ น้ำ ขายอยู่หลายร้านเลย

เอ้อก่อนจะขึ้นมาถึงที่นี่ จะต้องผ่าน ศูนย์พัฒนาโครงการหลวงปังค่าก่อน สอบถามเส้นทางจากพี่ๆที่นั่น พี่ๆใจดีมาก ยิ้มแย้ม แจ่มใส สุดๆ

ถ้ามีโอกาสกลับมาอีก เราไม่พลาดแวะเข้าไปแน่ แต่ครั้งนี้ หนูต้องรีบจริงๆ สองมือพนม

อ่ะ จากนั้นเราก็เดิน เดิน เอ่ม อีกแล้ว

ขออย่ายอมแพ้ อย่าอ่อนแอ แม้จะร้องไห้ ฮืออออ

เดินขึ้นไปบนเนิน เรียกว่าเนินไหม เรียกทางที่ชันดีกว่า

ที่นี่มีนักท่องเที่ยวมากางเต้นท์เยอะ เยอะกว่า ดอยภูคาอีก

ปีน ปีน สไลด์ สไลด์ ..

วุ๊ววววว ถึงแล้ว

จุดชมวิว วนอุทยานภูลังกา เห็นแล้วหายเหนื่อยเลย

วนอุทยานภูลังกา

อีกหนึ่งแหล่งท่องเที่ยว ที่มีชื่อเสียงของอำเภอเชียงคำ และอำเภอปง จังหวัดพะเยา อยู่ในเขตป่าสงวนแห่งชาติป่าน้ำเปื๋อย ป่าน้ำหยวนและป่าน้ำลาว และป่าสงวนแห่งชาติป่าแม่ยม มีเนื้อที่ประมาณ 7,800 ไร่

ดอยภูลังกาในอดีต เป็นฐานที่มั่นของคอมมิวนิสต์ ด้วย

ภูเขาสูงชัน เทือกเขาสันปันน้ำ วางตัวอยู่ในแนวตะวันออก-ตะวันตก สูงจากระดับน้ำทะเลปานกลางประมาณ 900-1,720 เมตร

มีลำห้วยที่สำคัญ คือ น้ำแม่คะไหลผ่านด้านทิศใต้ ห้วยน้ำต้มและน้ำแม่รูไหลลงน้ำแม่รูทางด้านทิศตะวันตกเฉียงใต้ ห้วยคะแนงและห้วยป่ายางไหลลงน้ำแม่ลาวทางทิศเหนือ ลำห้วยทั้งหมดจะไหลลงสู่แม่น้ำยมต่อไป

มองลงไปเห็นบ้านของชุมชนด้วยนะ

แต่! เรามีเวลาอยู่บนนี้ แค่ครึ่งชั่วโมงเท่านั้น เพราะ ไม่งั้นเราจะแว๊นไป อุทยานแห่งชาตินันทบุรีไม่ทันนะจ๊ะ ในใจ คือ 5 ชั่วโมงที่กุแว๊นมา เพื่ออออ!!!!

โอ๋เอ๋ กับตัวเอง แค่นี้ก็ฟินแล้ว

หลังจากที่ วนอุทยานภูลังกา มอบพลังบวกให้กับเราแล้ว เราก็ยิ้มคืนให้กับที่นี่เหมือนกัน เป็นกำลังให้กับธรรมชาติให้อยู่กับเราไปนานๆเนอะ

มา มา มา

มาเริ่มสุดโหด โคตรโหด ความพีคสุดของทริปนี้กันเลย

เราเริ่มออกแว๊นกลับทางเดิมจ้า

นี่แหละที่สุดแห่งความโหดกำลังบังเกิดขึ้น

มันเกิดขึ้นแล้ว very good!

เราออกเดินทางมุ่งหน้าสู่ อุทยานแห่งชาตินันทบุเรงกันเลย

ซึ่งการเดินทางนั้นก็เป็นการย้อนกลับไปทางเก่า ไปทางน่าน แล้วจะเจอทางแยกจากถนนหลักเพื่อเลี้ยวเข้าไปในอุทยานอีกสัก 20-30 กิโลได้

อ่ะ เริ่มกันเล๊ยยย

เราแทบไม่ได้แวะพัก ใดใด เพราะมันจะอันตรายมากกับการขี่ขึ้นเขาตอนกลางคืน เราก็แว๊นหน้าตึงมาเล๊ย

ไม่มีการเปลี่ยนมือขับตลอดทริปนะจ๊าาาา แว๊นเองอะไรเอง สตรองพอ ฮืออออ ซึ่งถนนเส้น น่าน-พะเยา นี่คือขึ้นชื่อเรื่องความอันตรายอยู่แล้ว แต่สองข้างทางคือมันดีจริงๆอ่ะ ขึ้นเขา ลงเขา วนเขา โห ฟินสุดๆ

หลังจากที่เราบึ่งมาเต็มที่ สักประมาณ หกโมงครึ่งเราก็ถึงแยกที่จะเลี้ยวเข้าอุทยาน ตอนนั้นนึกในใจ โห ชิวล่ะ อีกนิดเดียวก็ถึงแล้ว ก็ไม่คิดอะไร ขี่ไปเรื่อยๆ แต่ก็คงเร่งสปีดอยู่นะ ช่วงแรกๆจะผ่านหมู่บ้าน ยังพอมีผู้คน

ขี่ไปขี่มา ฟ้ามึด! แล้วสองข้างทางคือป่า แล้วมองอะไรไม่เห็นอีกเลย ย้ำ! ไม่เห็นอะไรเลย ยกเว้นทางที่มีไฟหน้าของรถมอไซต์ฉายไปในระยะไม่เกิน30 เมตร นึกในใจคือเชี่ย เดาได้ว่า ข้างขวาของเราคือภูเขาที่มีแนวหินและต้นไม้ ข้างซ้ายมึงคือ เหว แน่นอน แล้วสิ่งที่เรากลัวมากกว่าความโหดของทางคือ สัตว์ป่า ตอนนั้นคือไม่คิดอะไรแล้วนอกจากไปถึงอุทยานให้เร็วที่สุด แว๊นนำหน้าเพื่อไปเลย ในใจก็นึกถึงสิ่งศักดิ์ ไป ไปต่อ กลับไม่ได้แล้วโว๊ย

ตลอดระยะทางกว่า 15 กิโลในความมืด ในที่สุดเรามาถึงป้ายอุทยานแล้ว เห็นคนไหม ไม่จ้าาาา ป้ายชี้ไปต่อ แต่ทางอันนี้ต่างจากที่เราเคยเจอ มันคือทางชันที่เป็นถนนแบบดินแดง คือต้องบิดเพื่อให้มันไปต่อได้อย่างเดียวไม่งั้นถ้ามอไซต์เกิดดับหรือตกหลุม แล้วไถลลงมันจะเรื่องใหญ่ อ่ะ สู้! ระยะทางประมาณ 3 กิโล เห็นจะได้ เอ้าาาาา เอาเข้าไป

ในที่สุด เวลา สองทุ่มครึ่ง โดยประมาณ เราก็พาร่าง มาถึง ณ อุทยานแห่งชาตินันทบุรี ได้อย่างครบ 32 ฟีลนั้นคือนึกได้อย่างเดียว รอดโว๊ย

พอเรามาถึงที่อุทยาน เจ้าหน้าที่ที่นี่น่ารักมาก จัดเต้นท์และ อุปกรณ์ที่นอนให้เราเรียบร้อย

พี่เจ้าหน้าที่เห็นสภาพที่หิวโซ เลยทำอาหารให้เราทานอีก

เมนูกระเพราไข่ดาวของพี่อร่อยๆมากๆนะจร๊ กราบงามๆ

หนังท้องดึง หนังตาก็หย่อน เรานอนดูดาวหน้าเต้นท์ น้ำค้างลงแรกมาก แต่ท้องฟ้าอย่างโปร่ง ดาวคือเต็มท้องฟ้าไปหมด

อุทยานแห่งชาตินันทบุรี

มีพื้นที่ครอบคลุมท้องที่อำเภอท่าวังผา อำเภอเมืองน่าน และอำเภอบ้านหลวง จังหวัดน่าน เป็นพื้นที่ที่มีความหลากหลายทางชีวภาพ แหล่งต้นน้ำลำธาร พื้นที่แห่งนี้เคยเป็นจุดยุทธศาสตร์ที่สำคัญแห่งหนึ่งในอดีต ภายใต้อิทธิพลของพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทยด้วยจ้า

เราตื่นเช้ามาด้วยความสดใส ในรูป เสี้ยวเล็กๆ คือพระจันทร์ ที่ยังไม่หายไป พร้อมกับพระอาทิตย์ที่กำลังขึ้น

ภูมิอาอากาศ

แบ่งออกเป็น 3 ฤดู คือ

ฤดูร้อน ตั้งแต่เดือนมีนาคม-พฤษภาคม ฤดูฝน ตั้งแต่เดือนมิถุนายน-ตุลาคม และฤดูหนาว ตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน-กุมภาพันธ์

อุณหภูมิเฉลี่ยต่ำสุดประมาณ 8 องศาเซสเซียส และอุณหภูมิสูงสุดประมาณ 41 องศาเซสเซียส

คนเริ่มเดินไปดูทะเลหมอกกับพระอาทิตย์ขึ้นที่จุดชมวิวกันเรื่อยๆ

นอกจากพืชพรรณที่มีมากมายแล้ว ในเขตอุทยานฯ ยังเป็นถิ่นอาศัยของชนเผ่ามลาบรี หรือผีตองเหลือง ซึ่งแม้วันนี้พวกเขาค่อยๆ ถูกความเปลี่ยนแปลงของโลกสมัยใหม่กลืนวิถีไปทีละน้อยแล้วก็ตาม



ที่อุทยาน มีบ้านพักบริการด้วยนะ แต่ละหลังเป็นแบบในรูปเลย เสียดายที่ตอนเราไป มันเต็ม! เหลือแต่เต้นท์ อีกแล้ว

หลังจากพระอาทิตย์ขึ้นล่ะ ท้องฟ้าก็เริ่มสว่าง เราก็เดินลงเนินไปล้างหน้าแปรงฟัน และไปรับประทานอาหารเช้า

ที่นี่ ที่ทำการอุทยานจ้า มีพี่เจ้าหน้าที่คอยให้บริการตลอดเวลา

ตรงนั้นๆ เต้นท์เราเองงงงง

บรรยากาศที่อุทยานแห่งชาตินันทบุเรง มันดีมาก คือเสียดายมากๆ ที่มีเวลาน้อยให้กับที่นี่

ข้างบนสงบมาก เหมาะแก่การมาพักผ่อนจริงๆ

ช่วงสายๆ เราก็เริ่มเดินทางออกจากอุทยานกัน เป้าหมายวันนี้ คือ กลับไปตัวเมืองน่านจ้า

ระหว่างทางขากลับ โห ในใจคือ เมื่อคืนรอดมาคือ บุญมากๆ สองข้างทางคือสามารถตกได้ทุกเมื่อ ทางค่อนข้างโหดถ้าขับตอนกลางคืน แต่อากาศดีมาก มันแบบเย็นๆ กำลังดี เพราะข้างทางเต็มไปด้วยต้นไม้ สูดอากาศไปเต็มปอดตลอดทาง

ระหว่างทางกลับไปตัวเมืองน่าน เราได้แวะ หอศิลป์ริมน่าน ซึ่งห่างจากตัวอำเภอเมืองน่านประมาณ 20 กิโลเมตร

หอศิลป์ริมน่าน

เป็นหอแสดงงานศิลปะของเอกชนขนาดใหญ่บนพื้นที่กว่า 13 ไร่ ตั้งอยู่ริมแม่น้ำน่าน ทางเข้าติด ริมถนนทางหลวง จัดตั้งโดย อ.วินัย ปราบริปู ศิลปินชื่อดังของจังหวัดน่าน

ซึ่งเป็นแหล่งรวมศิลปะและ วัฒนธรรมของจังหวัดน่าน ก่อตั้งและดำเนินการโดยศิลปินชาวน่าน วินัย ปราบริปู ศิลปินชาวน่านชื่อดังที่รักใน ศิลปะตัวอาคารไม่ได้ดัดแปลงจากคุ้ม เวียง วัง หรือตึกอื่นๆ แต่เป็นความตั้งใจของเขาที่ต้องการสร้างขึ้นในสภาพบรรยากาศที่เป็นธรรมชาติ เพื่อให้คนที่มาเสพศิลปะนั้นได้ความรู้สึกสบายใจและพักผ่อน ไปด้วย

ภายในอาคารหลักมีการจัดแสดงรวบรวมงานศิลปะของศิลปินท่านต่างๆ ทั้งที่เป็นนิทรรศการหมุนเวียน และนิทรรศการถาวร

การเข้ามาเยี่ยมชมที่หอศิลป์ริมน่านนี้จะต้องเสียค่าธรรมเนียมในการเข้า ชมคนละ 20 บาท



เฮือนหนานบัวผัน เป็นที่จัดนิทรรศการภาพถ่ายจิตรกรรมฝาผนังเมืองน่าน ภายในสรุปประวัติของเมืองน่านในอดีต ภาพถ่ายในอดีตของเจ้าผู้ครองนคร เสียดายที่ห้ามถ่ายรูปมา ใครได้ไปเชิญแวะชมน้า ที่เฮือนหลังนี้น่าสนใจมากเลยๆ

หอศิลป์ริมน่านเปิดทำการวันพฤหัสบดี – วันอังคาร ตั้งแต่เวลา 9:00-17:00 น. และปิดให้บริการทุกวันพุธ หากใครสนใจจะเข้าไปที่นี่สามารถโทรไปสอบถามก่อนได้น้า เผื่อมีการเปลี่ยนแปลงจ้า

จากนั้นเราก็แว๊นไปต่อ อีกไม่กี่ 20กว่ากิโล เอง เราก็ถึงตัวเมืองน่านกันแล้วว

พอถึงตัวเมืองน่านเราก็แวะเติมน้ำมันให้เต็มถังเพื่อส่งรถคืนร้านเช่ารถกันก่อน

ขับในเมือง ได้เรื่องเลย ยางรถมันไถลจนเกือบล้ม คือแบบอีกนิดเดียว จริงๆ ใจตกไปอยู่ตาตุ่ม หน้าคนที่บ้านลอยมาเลย

ขับเข้าป่า ไม่เป็นอะไรเลย จะมาตกม้าตายที่นี่หรา ไม่ด้ายยยยย

พอส่งรถเสร็จเราก็เดินไปทานอาหารเหนือกันสักหน่อย ร้านแถวขนส่งนั่นแหละ

แหนมเนือง จ้า ที่นี่เค้าจัดชุดเป็นจำนวนไม่ 4 8 10 12 ไปเรื่อยๆ เราจัดมาชุดน่าจะ 10 ไม้ พร้อม อาหารตามสั่งกันคนละจาน ราคาไม่แพง เราจำราคาไม่ได้แล้วอ่า

อร่อย อร่อย อร่อย

มาก

หลังจากอิ่มแล้วเราก็เดินชมเมืองกันต่อเลย

เราเดินไปเรื่อยๆ จนถึง

วันภูมินทร์

เป็นวัดที่แปลกกว่าวัดอื่น ๆ คือ โบสถ์และวิหารสร้างเป็นอาคารหลังเดียวกันประตูไม้ทั้งสี่ทิศ แกะสลักลวดลายโดยช่างฝีมือล้านนา

วัดภูมินทร์สร้างขึ้นเมื่อประมาณ พ.ศ. 2139 โดยพระเจ้าเจตบุตรพรหมมินทร์ เจ้าผู้ครอง เมืองน่านได้สร้างขึ้นหลังจากที่ครองนครน่านได้ 6 ปี มีปรากฏในคัมภีร์เมือง เหนือว่าเดิมชื่อ "วัดพรหมมินทร์" ซึ่งเป็นชื่อของเจ้าเจตบุตรพรหมมินทร์ ผู้สร้างวัด แต่ตอนหลังชื่อวัดได้เพี้ยนไปจากเดิมเป็น วัดภูมินทร์


นอกจากนี้ภายในวัดยังมีจิตรกรรมฝาผนัง ที่แสดงถึงชีวิตและ วัฒนธรรมของยุคสมัยที่ผ่านมาตามพงศาวดารของเมืองน่าน

ซึ่งวัดภูมินทร์ได้รับการบูรณะครั้งใหญ่สมัยเจ้าอนันตวรฤทธิเดช เมื่อ พ.ศ.2410 (ปลายสมัยรัชกาลที่ 4) ใช้เวลาซ่อม นานถึง 7 ปี

จิตรกรรมฝาผนังในวิหารหลวงเขียนขึ้นในช่วงนี้ ภาพจิตรกรรมหรือ “ฮูบแต้ม” ภายในวัดเป็น ชาดกในพุทธศาสนา

แต่ถ้าพิจารณารายละเอียดของวิถีชีวิตของคนเมืองในสมัยนั้น มีภาพที่น่าสนใจอยู่หลายภาพ ภาพเด่น จนกลายเป็น signature ของเมืองน่าน คือ ภาพปู่ม่านย่าม่าน ซึ่งเป็นคำเรียกผู้ชายผู้หญิงชาวไทลื้อในสมัยโบราณกระซิบสนทนากัน ผู้ชาย สักหมึก ผู้หญิงแต่งกายไทลื้ออย่างเต็มยศ ภาพวาดของหนุ่มสาวคู่นี้มีความประณีตมาก ภาพนี้ได้รับการยกย่องว่าเป็นภาพที่งามเป็นเยี่ยมของวัดภูมินทร์อีกด้วย

เสียดายที่ memory card อีกอันเราหาย ภาพในตัวเมืองบางส่วนหายไป ตามจริงเราไปไหว้พระอีกหลายวัดเลย และเข้าไปพิพิธภัณฑสถาน-แห่งชาติน่านด้วย ฮือ เศร้า ภาพหายไปหมดเลย

ก่อนกลับก็ช่วยเพื่อนเดินหาที่พักก่อน เพราะเพื่อนอยากเดินทางในตอนเช้า หลังจากนั้นเราก็เดินกลับไปขนส่งไปนั่งรถตู้ไป สถานีรถไฟเด่นชัย เพื่อเดินทางกลับกทม. รอบรถไฟในตอนกลางคืนประมาณทุ่มหนึ่งได้

เรากลับรถไฟชั้น 3 เช่นเดิม นั่งไปเกือบ 9-10 ชั่วโมง ก็ถึงกทม. โดยสวัสดิภาพจ้า

ค่าใช้จ่าย

1. ค่ารถไฟ หัวลำโพง-เด่นชัย ชั้น3 ไป-กลับ = 400 บาท

2. ค่ารถมอเตอร์ไซต์ 200 บาทต่อวัน = 400 บาท

3. ค่ารถตู้ เด่นชัย-น่าน ประมาณ = 240 บาท

3. ค่าเต้นท์นอนอุทยานสองคืน หารแล้วตกคนละ 125 /คน/คืน = 250 บาท

4. ค่าน้ำมัน ประมาณ = 300 บาท

5. ค่ากิน ประมาณ = 700 บาท

รวมค่าใช้จ่าย ประมาณ 2290 จ้า


Trip'การมาเที่ยวน่าน

1. ซึมซับบรรยากาศของธรรมชาตินี้ให้ได้มากที่สุด และอย่าทำลายธรรมชาติเหล่านั้น มันจะได้อยู่กับเราไปนานๆเนอะ

2. ใครอยากแว๊น ก็ไม่มีอะไรมาก แค่ขอให้มีสติ ระมัดระวังตลอดเวลา

3. " ออกมากจาก comfort zone กันเถอะ โลกนี้มันมีอะไรอีกเยอะแยะเลย "

ฝากกดไลค์กดแชร์เป็นกำลังใจให้เพจเล็กของเราด้วยนะคะ ไว้จะมารีวิวในทริปหน้าอีกน้า

http://www.facebook.com/goalongtime

ขอบคุณจ้า


ความคิดเห็น