"12 วันกับการฉายเดี่ยว เที่ยวคนเดียว"
"บันทึกการเดินทางของผู้หญิงไร้แก่นคนนึงที่ไม่ค่อยจะมีสาระ"
"ครั้งแรกกับการรีวิว แต่..ไม่อาจเรียกว่าเป็นรีวิวได้เต็มปากนักนะคะ ข้อมูลอาจไม่ครบถ้วน ขออภัยล่วงหน้า "
ตอน 1 : https://th.readme.me/p/14393
รถจาก Shimla - Dharamsala เป็นแบบ 5 ที่นั่ง ต่อ 1 แถว ไม่มีแอร์ ปรับเบาะไม่ได้ วันนี้ก็กิน นอนมันบนรถละกัน (คนขายตั๋วบอกว่า 10 ชม.จะคอยดู๊)
แรกๆก็ตื่นเต้น แช่มชื่น ที่จะได้ชมวิว ชมเมือง ผู้คน ได้สัมผัสบรรยากาศ ความเป็นลูกทุ่งอินเดีย..
นั่งไปได้ 3 ชั่วโมง.... สักพักเริ่มเบื่อ หลับก็แล้ว ดูวิวก็แล้ว สองข้างทางเต็มไปด้วยต้นไม้และทัศนียภาพที่สวยงาม แต่ถ้าจะนานขนาดนี้ก็ยอมรับว่าเป็นอะไรที่น่าเบื่อมากนะ จะอ่านหนังสือ รถก็โยกไปมา ซ้ายขวา ฟังเพลงก็วนลูปเดิมๆ ได้แต่ทำใจละงานนี้ เพราะทำอะไรไม่ได้ละจ้า
รถวิ่งปุเลงๆไปเรื่อย จนเริ่มจะมืด ดึงความตื่นเต้นขึ้นมาได้บ้าง เข้าเขตตัวเมือง Dharamsala ก็มืดสนิทพอดี เป็นเวลา 19.50 น. เกินเวลาที่บอกมาแค่ 10 นาที..
บนรถไม่มีใครเหลือแล้ว นอกจากสามี ภรรยาฝรั่ง มองปริบๆ ไม่เห็นใคร เลยตีซี้ (ทำให้มันเคยชินไว้นะคะ)
"ยูจะไปไหน ไปย่าน Mcleod Ganj ใช่มั้ย มีโรงแรมหรือยัง ไอขอแชร์ค่าแท๊กซี่ไปหาที่นอนแถวนั้นกับยูนะ" สองผัวเมียอังกฤษใจดีให้ไปด้วย แต่พูดเลยว่า Bus stand กับย่านนี้ไกลกันมาก ไม่งั้นอาจต้องหาที่นอนข้างล่าง บริเวณแถวท่ารถซึ่งจริงๆแล้วก็มีโรงแรมร้านอาหารไว้คอยบริการนักท่องเที่ยวเยอะอยู่หรือไม่ก็ต้องเหมา Taxi ขึ้นมาเอง
รถวิ่งผ่านตัวเมืองไปสักพัก เริ่มวิ่งขึ้นเขาสู่ความมืดมิดมากกกกก คิดในใจว่า ไหนในเนตบอก Mcleod Ganj คือจุดศูนย์รวมผู้คน คือแหล่งความเจริญไง แล้วไมไม่มีวี่แววของสิ่งเหล่านั้น รถก็ยังคงวิ่งไปเรื่อยๆ พาลคิด ถ้าไปถึงโรงแรม 2 ผัวเมียนี้แล้วเป็นโรงแรมแพง ไม่มีปัญญาพัก จะทำไง คงได้อาศัยรถแท๊กซี่นั่งกลับไปหาโรงแรมถูกๆข้างล่างแน่
และแล้วความกังวลก็หมดไป! Mcleod Ganj เจริญจริงๆด้วย!! 2 ผัวเมียดับเบิ้ลใจดีอีกรอบ ไม่ยอมให้ช่วยแชร์ค่า Taxi เราเลยได้อานิสงค์ไปด้วย (อิอิ) ลงจากรถหันหน้ามาเจอนายหน้าพาไปโรงแรม จากประสบการณ์ที่ Shimla ทำให้อยากลอง หาคนพาไปดูบ้าง
..แต่... แต่.. และ แต่..น่ากลัวชิหาย!!! คือนอกจากห้องยังน่ากลัวมาก ทางเดินเข้าไปยังดูไม่ปลอดภัยอย่างแรง แต่ก็ดันเดินตามเข้าไปดูจนถึงห้องนะ ไปดูให้รู้ แต่ขอลี้ดีกว่า บอกห้องมันดูน่ากลัวมาก ขอบคุณนะ เดี๋ยวชั้นหาเองดีกว่า ว่าแล้วก็เดินหันหลังกลับอย่างไว เดินตัวปลิวประหนึ่งไม่มีสัมภาระ 10 กว่าโลอยู่บนหลัง มานั่งนึกย้อนว่ากล้าเดินตามเข้าไปได้ยังไง คือแบบถ้าเกิดไรขึ้นก็ไม่คุ้มเลย -_-"
ดีที่สะดุดตาอยู่ที่นึง ตอนนั่งรถผ่าน เป็นเกสเฮาส์เล็กๆ ข้างล่างเป็นร้านอาหาร เจ้าของคือคนทิเบตแน่นอน เหลือห้องนึงพอดี ต่อเหลือ 600 รูปี ขอดูห้องเสร็จสรรพ พอใจ ปลอดภัยดี น้ำร้อนมี ไวไฟฟรี เลยเลือกมันตรงนี้แหละ
ได้ข้าวผัดเป็นอาหารเย็นกับน้ำมะนาวเผื่อนๆ กินไปก็ถามตัวเองไปว่าจะเอายังไงกับเมืองนี้ ตอนแรกกะจะอยู่ 2 คืน แต่ดูแล้วที่นี่ น่าจะไม่มีกิจกรรมที่เข้ากับเรา..นอกจากเดินเล่น ชมเมือง ชิล กินเบียร์ เรื่อยเปื่อย เพราะเอาเข้าจริงที่ๆอยากไป วันพรุ่งนี้วันเดียวก็เก็บหมดแล้ว
...........................................................
ตื่นเช้ามาวันนี้แบบขี้เกียจสุดๆ ไม่รู้จะทำอะไรดี มานั่งลำดับก่อนหลัง สรุปแล้วหาตั๋วรถไปมะนาลี แล้วไปที่ๆอยากไป เก็บให้ครบไปก่อน จะได้ไม่ต้องเสียค่าโรงแรมอีกคืน แล้วกลายเป็นไม่รู้จะไปไหน ..
วันนี้เวลาเดินช้าสุดๆ เรื่อยๆไม่เร่งรีบ ตอนบ่ายนั่นแหละจึงมาถึง Dalai Lama Temple จะต้องผ่านช่องแสกนและห้ามนำโทรศัพท์ กล้องถ่ายรูปเข้าไปด้วย พอมาถึงใจที่ว้าวุ่นกลับรู้สึกสงบมาก รู้สึกเคารพและปลื้มใจที่ได้มาถึงเมืองนี้ ภายในวัดดูเรียบๆ ทาสีเหลือง ด้านบนมีรูปปั้นองค์ปัทมาสมภพ องค์อวโลกิเตศวร พระศากยุมนี และถึงแม้จะไม่ได้เห็นตัวเป็นๆของท่าน แต่ขณะที่เขียนบันทึกนี้ เบื้องหน้าคือ บัลลังค์ขององค์ดาไลลามะที่ 14 องค์ปัจจุบัน ท่านเป็นผู้นำทางจิตวิญญาณและศาสนาพุทธนิกายวัชรญาณ ซึ่งแตกแยกออกมาเป็น นิกายเกลุกปะ หรือเรียกง่ายๆว่า นิกายหมวกเหลืองนั่นเอง
แต่แล้วอารมณ์ก็ดันมาสะดุดลงตรงที่ ชายหญิงอินเดีย 4 คนที่นั่งอยู่ข้างๆกัน กำลังจะลุกเดินไปแต่ไม่ลุกเปล่า มายืนดู ยืนอ่านอิชั้นเขียนบันทึก นี่พอมีคนมาจ้องเลยเงยหน้าขึ้นมอง
"มีอะไรหรือเปล่าคะ"
1 ในนั้นถามขึ้นด้วยความสนใจว่า "เขียนไดอะรี่หรอ"
"..ใช่" แต่ฮีและชีก็ยังไม่ขยับไปไหน ยังพยายามจะเขม้นหน้าเข้ามาจะอ่าน
นี่เลยถามต่อ.."มีอะไรหรือเปล่า" "อ่านออกหรือไง"
.."ใช่ อ่านภาษาจีนออกนิดหน่อ..."
ยังไม่ทันจะจบประโยค นี่เลยพูดสวน
"ไทยเฟร้ย!!" ถึงจะอ่านออก ก็ไม่ควรเผือกอ่านป่าววะ ไอ้พวกนี้นี่ เดี๋ยวอ่านให้ฟังเองเลยนิ-_-"
"The Tibet Museum ที่รวบรวมทุกอย่าง (คิดว่าเท่าที่จะรวมได้) ของทิเบต ไม่เคยไปทิเบตแต่คิดว่าจีนคงไม่มีสิ่งเหล่านี้เก็บไว้ เราอาจจะหาความเป็นทิเบตจากที่นี่ได้มากกว่าทิเบตทางฝั่งจีนซะอีก ฉะนั้นหากใครได้มา อย่าพลาดที่นี่ค่ะ"
..ออกมาจากวัดตกบ่ายตกเย็น ฝนตกอากาศเย็นลงอย่างรวดเร็ว นี่ก็ได้แต่เดินไปเดินมา จนคนแถวนั้นคง งงว่ามันเดินอะไรของมันนัก มันไม่มีที่ไปได้แต่รอเวลารถออก ทั้งกินและซื้อของ พอมันว่างก็ไม่รู้จะทำอะไร.. ว่างขนาดมีเวลารอเสื้ออินเดียที่แก้ไซส์ตัวนึง ซึ่งอยากได้ แต่มันหญ่ายยยมาก แต่คนขายมี Service mind (หรืออยากขายไม่รู้นะ..) เสนอว่าเดี๋ยวไอเอาไปแก้ให้.. เฮ้ย.. จาก XXL นี่นะ ไอเป็นผู้หญิงตัวเล็กบอบบาง ร่างประมาณไซส์ S.. พี่จะแก้ยังไง ฮีก็เลยจูงไป Tailor shop (ร้านเย็บผ้า สังกะสีเพิง) ช่างเย็บวัดไซส์ทั้งตัว จดอะไรยุกยิกแป๊บนึง.. นัดเวลารับ ทั้งพร้อมการันตีว่า ไม่เสียทรงแน่นอน...
จวบจนได้เวลานัด...เฮ้ย พี่ มันยอดมาก ทรงไม่มีเสียเลยนะ เค้าเลาะ และเย็บใหม่ทั้งตัว นี่ไง เค้าถึงบอกกันว่า คนอินเดียมีฝีมือเรื่องตัดเย็บผ้าไม่แพ้ชาติใด (อวยขึ้นมาทันอี อิอิ)
เออ...ลืมแนะนำให้รู้จัก ทริปนี้ก็ไม่ได้เดินทางคนเดียวซะทีเดียวนะ มีหวกน้อย ออยลี่ ติดมาเป็นเพื่อนด้วย ตอนผ่านช่องแสกนที่วัด เจ้าหน้าที่เห็น..เค้าหยิบขึ้นมาดูพร้อมขำๆถามว่า นี่ของคุณหรอ แล้วก็ยิ้มไม่พูดอะไรต่อ ..นางสภาพเริ่มแย่แล้วอ่ะ หน้าดำ หัวยุ่งฟูเป็นสังกะตัง เหมือนเจ้าของเลย >_<
ออกจากร้านขายผ้า บริเวณหัวโค้งก็มีกลุ่มลามะและนักศึกษาประกาศอะไรสักอย่าง บริเวณคนที่อยู่โดยรอบยืนฟังและอ่านประกาศ สักพักก็เริ่มจุดเทียนเดินขบวน คนนำน่าจะเป็นลามะอาวุโสหน่อย เดินถือรูปองค์ดาไลลามะตามด้วยคนถือธงทิเบต พร้อมกล่าวบทความ กล่าวภาวนาถึงการปลดปล่อยทิเบต สอบถามคนแถวนั้นได้ความว่า เค้าจะตั้งขบวนเชิญชวนอาทิตย์ละประมาณ 2-3 ครั้ง..
เห็นแล้วก็รู้สึกบอกไม่ถูก นี่มันกี่ปีเข้าไปแล้วที่ทิเบตถูกยึดและปกครองโดยจีน ความหวังจริงๆคงแท่บเป็นศูนย์ เทียนที่พวกเขาเหล่านั้น ถือในมือช่างดูริบหรี่ แต่เมื่อมือคอยประคองไม่ให้แสงนั้นดับลับไป คงเปรียบได้ดั่งแสงหรี่นั้นเป็นเหมือนความหวังที่ยังคงอยู่
Dharamsala
แว่บแรกเมื่อสัมผัสเมืองนี้ แอบติดลบนิดหน่อย ว่านี่เป็นศูนย์กลางของคนพุทธทิเบตลี้ภัยนะ มันน่าจะดู peaceful กว่านี้ ทำไมมีผับ มีอะไรไม่รู้ดูผู้คนวุ่นวาย
แต่เมื่อบ่าย พอได้เข้าไปที่ Dalai Lama Temple ความรู้สึกเปลี่ยนไปและเข้าใจในทันที..นอกกำแพงวัดออกไป มีการเจริญเติบโตตามความต้องการของนักท่องเที่ยว ตามความสนใจที่เพิ่มมากขึ้น ว่าอยากจะมาเยือนเมืองที่องค์ดาไลลามะและชุมชนชาวทิเบตส่วนหนึ่งอาศัยลี้ภัยอยู่ จึงเกิดเป็นสิ่งอำนวยความสะดวกมากมายไว้รองรับ แต่ปัจจัยภายนอกที่ห้อมล้อมอยู่นั้น ก็ไม่ได้ทำให้การเป็นศูนย์กลางและความศรัทธาของผู้คนที่เมืองนี้เปลี่ยนไปไหนเลย
และแล้วเดินไปเดินมาจนถึงเวลาขึ้นรถ ..Bus stand จากที่สำรวจเมื่อบ่าย เดินไปไม่ไกลจาก Center แต่พอมันมืดแล้ว เดินดุ่มๆ บนถนนที่มันไม่มีแสงไฟก็น่ากลัวนะ ไฟฉายก็อยู่ในกระเป๋า เลยกลั้นใจเดินมันทั้งมืดๆ
"น้องสาวจะไปไหนจ้ะ" เสียงเรียกจากความมืด ทำเอาสะดุ้งสุดตัว ด้วยความหวาดระแวง จึงบอกไปว่ามีรถแล้ว เดินไปสักพักก็มีคนถามอีก พอทำใจร่มๆ คราวนี้เริ่มเข้าใจเจตนาว่าที่ถามนี่หมายถึงเพราะมันมืด เค้าเลยมารอรับว่าใคร ต้องไปขึ้นคันไหน..ขอโทษที่มองอาบังผิดไปนะ เล่นโผล่ขึ้นมามืดๆ ใครจะไม่ตกกะใจ
รถที่ใช้ก็เป็นบัสทั่วไป ไม่เก่าแต่ไม่ใหม่ (อีกนิดจะเก่า..อีกหน่อยคงเน่า) บนรถมีแต่ฝรั่งแบคแพค ดูท่าจะบังเอิญมาเจอบ้านเดียวกัน เราเป็นกะเหรี่ยงเอเชียผิวเหลือง ไม่มีใครคุยด้วย (หรือเราไม่เริ่มคุยกะเค้าก็ไม่แน่ใจ ..) ระหว่างรอรถออก เหลือบไปเห็นรถตู้คันเล็กที่เมื่อกลางวันไปถามมา ราคาเท่ากับบัสใหญ่ เลยไม่เอา ..ส่วนตัวคิดว่านั่งเป็นรถคันใหญ่ น่าจะสบายกว่า ต้องนั่งรถข้ามคืนด้วย แต่ที่จอดรถ นี่น่ากลัวไปนะ อยู่ใต้อาคารมืดๆ น้ำท่วมขังเป็นย่อมๆ อารมณ์ยังกับที่จอดรถเถื่อนพาต่างด้าวหนีข้ามด่าน
ตลอดทางรถมีจอดเป็นระยะๆ แต่อิชั้นแท่บไม่ลงค่ะ ง่วงมาก แต่บรรดาเพื่อนชาวต่างชาติดูดีดกันมาก เดี๋ยวร้องเพลง เฮฮา ไม่หลับไม่นอน แต่ขนาดว่าง่วงๆยังรู้ว่ารถมันซิ่งมาก ถนนแค่ 2 เลน เลาะไปตามไหล่เขา จริงอยู่ว่าดึกๆ ไม่ค่อยมีรถสวน แต่กระนั้นก็ทำเอาหัวใจไปหล่นอยู่ตาตุ่มอยู่หลายรอบ
05.00 น. ถึง Manali เร็วมาก รอบตัวยังมืดมิด แต่ละคนยังมึนขี้ตาจึงเชื่องช้ามาก ด้วยความที่ไม่ได้ผูกมิตรกับผู้ใดบนรถ (แอบนึก ว่าพลาดแล้วตรุ) อิชั้นจึงต้องเสี่ยงที่จะต้องนั่งรถ Taxi ไป Old Manali เพียงผู้เดียว
เวลาที่มันต้องเดินทาง และต้องคิดวางแผนเที่ยวด้วยเนี่ย เวลามันมักผ่านไปเร็วเสมอ แป๊ปๆก็มาถึงมะนาลี เมืองสุดท้ายของ Himachal Pratesh ตอนต่อไป ถือเป็นวันพักผ่อน เอาแรงเพื่อเตรียมร่างกายเดินทางสู่แคว้น Ladakh 1 ในสวรรค์ของนักเดินทาง แต่ตอนนี้ต้องมาวัดใจกับหนุ่มอินเดียคนขับ Taxi ว่ารอบนี้จะโดนหลอกพาไปที่พักเน่าๆอีกหรือไม่...
Dharamsala Day Note : 20/08/14
- ปาก ก็ควรมีไว้ถามเหมือนเดิม
- การเตรียมตัวนั่งรถยาว...สำคัญสุดคือเสบียง และหาไรทำแก้เซง..แต่หนังสือ หรืออะไรที่ต้องใช้สายตาอ่ะ ข้ามไปเถอะ เพราะเราไม่มีทางรู้เลยว่าสภาพ- ถนนเป็นยังไง เช่นเส้นชิมลา-ธรรมศาลาเป็นต้น ทางเหวี่ยงไปมาตลอด แค่พยุงตัวไม่ให้อ้วกก็ยากแล้ว
ตีซี้เพื่อนร่วมทาง,ทำหน้า Puss in boots ไว้ จะได้คะแนนความน่าสงสาร แล้วเราจะได้รับการช่วยเหลือ
- หากมาถึงจุดหมายมืดค่ำ อย่าปล่อยตัวเองอยู่ในที่เปลี่ยวๆตามลำพังกับคนแปลกหน้า หลีกเลี่ยงไว้เป็นดีที่สุด (แต่อิชั้นดันพาตัวเองเข้าไปอยู่ในภาวะนั้นบ่อยนะ แหะๆ)
- หากมีเวลา ควรหาที่พักด้วยตัวเองเถอะ มีเยอะยังกับดอกเห็ด ราคาต่อรองได้ เลือกได้ ยกเว้นว่าหากไม่อยากเสียเวลา ก็เลือกตามความสะดวก
รถบัส,รถแชร์ มีบริษัททัวร์เปิดให้เราใช้บริการ จองตั๋วมากมาย เดินเช็คเปรียบเทียบสัก 3-4 ที่ ค่อยตัดสินใจ เช็คสภาพ,ราคา, เวลาเดินทางก่อนนะ
- คราวนี้ซื้อ Stamp เผื่อไว้เลย สำหรับส่งโปสการ์ดกลับเมืองไทย ให้เลือกใช้ 25 รูปี
ขอบคุณทุกคนด้วยค่ะ ที่สละเวลามาอ่าน
แหะๆ มาต่อค่ะ ตอน 3 https://th.readme.me/p/14395
Wanderer Error
วันศุกร์ที่ 5 มกราคม พ.ศ. 2561 เวลา 17.34 น.