"12 วันกับการฉายเดี่ยว เที่ยวคนเดียว"
"บันทึกการเดินทางของผู้หญิงไร้แก่นคนนึงที่ไม่ค่อยจะมีสาระ"
"ครั้งแรกกับการรีวิว แต่..ไม่อาจเรียกว่าเป็นรีวิวได้เต็มปากนักนะคะ ข้อมูลอาจไม่ครบถ้วน ขออภัยล่วงหน้า "
ตอน 1 Delhi - Shimla : https://th.readme.me/p/14393
ตอน 2 Dharamsala - Manali : https://th.readme.me/p/14394
21/08/14
05.00 น. ถึง Manali เร็วมาก รอบตัวยังมืดมิด แต่ละคนยังมึนขี้ตาจึงเชื่องช้ามาก ด้วยความที่ไม่ได้ผูกมิตรกับผู้ใดบนรถ (แอบนึก ว่าพลาดแล้วตรุ) อิชั้นจึงต้องเสี่ยงที่จะต้องนั่งรถ Taxi ไป Old Manali เพียงผู้เดียว โดยวัดใจกับหนุ่มอินเดียคนขับว่ารอบนี้จะโดนหลอกพาไปที่พักเน่าๆอีกหรือไม่..แล้วฮีพูดเป็นสคริปเหมือนทุกเจ้าว่า "ถ้ายูไม่ชอบที่ไอพาไป ก็ไม่เป็นไรนะ แต่ถ้ายูโอเค ค่าTaxi ยูก็ไม่ต้องจ่าย"
แต่เอาเถอะ ด้วยความที่รอบตัวมืดสนิท ทำให้อดระแวงฮีไม่ได้ ว่ามันจะพาไปไหน ไกลจังวะ เลยต้องถามขึ้นมาอยู่บ่อยๆ เปรยๆว่า แกรไว้ใจได้แน่นะ ที่ผ่านมาเจอห้องเน่ามาก ถ้าจะพาไปเจอแบบนั้น หยุดเลยนะ อย่าเสียเวลา ชั้นหาห้องเองก็ได้ ฮีบอกแบบใสซื่อว่า เนี่ย! มีรูปที่ห้องนะ ห้องตามนี้เลยไม่หลอกแน่นอน
เอ้า ลองดู! ..เอาจริงๆก็ส่ออยากรู้ อยากเห็นด้วยแหละ เลยยอมเดินตามไป...
พี่เอ้ยยยย.. ทางเข้า Guest house มัน Local มาก ผ่านกระท่อม บ้านคน คอกวัวเข้าไปในตรอกเล็กๆ..นึกในใจ กรุโดนแขกหลอกอีกแล้ว ..แต่ก็ยังกลั้นใจ ..เดินต่อ สักพักก็เจอที่พักชื่อว่า Karma Cottage ลักษณะ 2 ชั้น ค่อนข้างใหม่ เปิดห้องมาถึงจะอับและฝุ่นเยอะบ้าง แต่ก็ถือว่าดีเกินราคา 300 รูปี.. เอานี้ก็ได้.. หัวถึงหมอนได้เท่านั้นละ หลับป๊อกเลย สายๆค่อยไปชมเมือง
Manali เป็นเมืองไม่ใหญ่ ไม่เล็ก เดินทางสะดวก แบ่งเป็น 2 ส่วนคือ New Manali จุดศูนย์รวมความทันสมัย Bus stand,The Mall,Tourist center อยู่ที่นั่น แต่ถ้าถามว่าแหล่งรวมนักท่องเที่ยวคือที่ไหนคือ Old Manali ที่รวมทุกอย่าง ทั้งเกสเฮาส์,โรงแรม,ร้านอาหาร,บริษัททัวร์ อุปกรณ์เทรคกิ้งให้เช่า แหล่งชอปปิ้ง บรรยากาศคล้ายๆป่าตองบ้านเรา และอาหารแนะนำที่นี่คือปลาเทร้าส์ค่ะ
กว่าอิชั้นจะเสด็จออกจากห้องก็ 11 โมงเข้าไปแล้ว เดินเล่นเรื่อยเปื่อยหาอะไรกิน (มาสังเกตุตัวเองว่า ใช้คำว่าเรื่อยเปื่อยบ่อยมาก 555) แวะถามหารถจากมะนาลีที่จะเข้าเลห์..เป้าหมายคือ Bus stand (ทริปนี้ใจวนเวียนอยู่กับท่ารถนะ) สอบถามความว่าเดินไปได้ ก็เลยเดินไปเรื่อยๆ จนพบเป้าหมาย เช็คข้อมูลแล้วว่าสรุปดังนี้
1.รถไปเลห์แบบ 2 วัน เดินทางเช้าถึงเลห์ เย็นของอีกวัน รวมทุกอย่าง แคมป์ อาหาร 2 มื้อ = 2,000 รูปี
- ข้อดี สะดวก ง่าย ไม่ต้องไปติดต่ออะไรอีก รถมินิบัสนั่งสบายกว่า Jeep
- ข้อเสีย สบายเกินไป 555
2.แบบ 1 วัน ออกตี 2 ถึงเลห์เร็วขึ้น = 1,000 รูปี
- ข้อดี ถึงเร็ว ถูกด้วย ส่วนใหญ่ เค้านิยมเลือกแบบ 1 วัน
- ข้อเสีย ไม่รวมค่าอาหาร และออกกลางคืน ไม่ได้เห็นวิวระหว่างทาง
3.นั่ง Local bus ราคาค่าตั๋วถึงเลห์ ไม่เกิน 600 รูปี แต่รวมๆแล้ว อาจถูกกว่า หรือแพงกว่าก็เป็นได้ เพราะต้องจ่ายเองยิบย่อย
- ข้อดี ได้อารมณ์ชาวบ้าน ผจญภัย ตื่นเต้น
- ข้อเสีย ต้องไปพักที่ Keylong อยากไปนอนแคมป์ที่ Jispa มากกว่า และรถจาก Keylong ไปเลห์ มีแค่วันละเที่ยว ต้องไปให้ถึง Keylong ก่อนเคาน์เตอร์ขายตั๋วจะปิด และที่สำคัญคือไม่รู้อนาคตสักอย่างเนี่ยแหละ
สรุปความต่างได้ดังนี้ ก็ขอเวลามาคิดทบทวนสักหน่อย ส่ง Postcard เสร็จเรียบร้อย ตั้งใจหารถเพื่อกลับไปย่าน Old manali ใครจะยอมเดินกลับเองละ ขึ้นเนินนะนั่น เหลือบไปเห็น Prepaid Rickchaw เดินเข้าไปเห็น Program Sight seeing tour ด้วยวุ้ย มีทั้งหมด 3 แบบให้เลือก เอาสักหน่อย ว่างๆนั่งรถเล่นชมเมือง มีให้เลือกแบบ Select ด้วยว่าจะไปไม่ไปอันไหน แล้วเค้ามาคำนวณราคาให้ ปิดจบอยู่ที่ 350 รูปี ส่งถึง Old Manali
แต่ว่านะ..เอาจริงๆที่เที่ยวในเมือง ไม่ค่อยมีอะไรน่าสนใจ ส่วนมากนักท่องเที่ยวมาที่นี่ จะเน้นกิจกรรม Adventure กันแต่ก็ไปดู ไปรู้ ไปเห็น ฆ่าเวลา ไม่ถึง 2 ชม.มั้ง ก็ครบ 3 ที่ละ (เที่ยวชมวัดฮินดูมาค่ะ) ส่วนตัว ชอบมะนาลีนะ เมืองไม่เล็กจนอึดอัด แต่ไม่ใหญ่จนเดินไปไหนไม่ถึง ..ผู้คน Friendly มีระบบการจัดการริกชอว์ที่ดี ไม่ต้องต่อให้เสียเวลา ยกเว้นว่าเราจะโบกเองนอกรอบ อากาศก็เย็นสบาย มีแม่น้ำไหลผ่าน มีภูมิทัศน์รอบเมืองที่สวยงาม ที่สำคัญคือเป็นเมืองต่อ ไปยังแคว้นลาดักห์ นักท่องเที่ยวเองยังมีกิจกรรมให้เลือกทำมากมาย แถมโรงแรมที่พักยังถูกซะด้วย
เดินหลบขี้วัวตามทางก่อนถึงที่พักอย่างสนุกสนาน จนถึงจุดตกของความคิด...สรุปเลือกหาต่อรถเองข้างหน้า เหตุผลที่เลือกข้อนี้ เพราะรู้สึกอยากตื่นเต้นเร้าใจ ผจญภัยวัยทีน (หึหึ แล้วก็ได้เร้าใจเกินคาด)
วันนี้ตกเย็นพระอาทิตย์ขี้อาย คิดถึงโจ๊กกับหอยลายกระป๋อง ต้มโจ๊กกินเองดีกว่า..พร้อมบอกลามะนาลี Gateaway to Ladakh พรุ่งนี้เตรียมตัวนั่งรถไต่ระดับความสูง 3,000 - 5,000 เมตร พร้อมเดินทางเข้าสู่ความแห้งแล้งของพื้นที่ภูเขาหินทราย ที่ถูกตัดขาดจากโลกภายนอก ตามเส้นทางไฮเวย์ที่สวยงามและหลากหลายแห่งเทือกเขาหิมาลัย ธรรมชาติและโชคชะตาจะทดสอบอะไรเราบ้างนะ...
.................................
เก็บกระเป๋า แบกกระเป๋าขึ้นหลัง แต่...เดินออกมาจากที่พัก..เช้าๆ ยังกะเมืองร้าง ริกชอว์สักคันก็ไม่เห็น ตายละ..ถ้าไม่เจอเลย แล้วต้องเดินไปถึงท่ารถ มีหวังไม่ทันรอบ 7 โมง แหง๋มๆ
แต่แล้วก็ได้ยินเสียงที่คุ้นเคย..ริกชอว์คันนึงตรงปรี่เข้ามา จอดเทียบท่าตรงหน้าเสนอราคาที่ 80 รูปี แต่เดี๋ยวเสียเชิง ต้องต่อสักหน่อย (ยังจะเลือก) 50 แล้วกัน พร้อมทำท่าเดินหนี (ท่าไม้ตาย) นึกในใจ..ไม่ให้ยังไงก็ต้องเอาล่ะวะ แล้วการเล่นตัวของเราก็ได้ผล อาบังเซย์เยสแบบไม่ค่อยเต็มใจ
แต่เหมือนฟ้าแกล้ง.. คนยิ่งรีบ รถดันมาดับกลางทาง.. ทีนี้เอาไง ก็ต้องลงมาช่วยกันเข็น ทั้งผู้โดยสารและคนขับ..พอรถติด เราต่างยินดี(โดยเฉพาะตรู)
ถึงท่ารถ มองหารถเมล์ที่จะไป Keylong เหมือนว่ายังไม่เข้าเทียบท่า ...จู่ๆก็มีชายคนนึง เข้ามาถามชักชวนแชร์ค่ารถที่จะไป Keylong เพราะเค้ามีธุระที่จะไปส่งลุง ...หยั่งเชิงถามตามสไตล์ ..แน่นะ ไว้ใจได้แน่นะ ไม่หลอกเอาไอไปขายนะ ชั้นมีเพื่อนอินเดียนะ รถอยู่ไหน...ขอถ่ายรูปทะเบียนรถหน่อย ถ่ายรูปคนขับ แล้วก็ทำท่าคุยโทรศัพท์..ได้รับรูปที่ส่งไปให้มั้ย เลขทะเบียนนี้ๆนะ (จริงๆไม่ได้โทรหรอก) ว่าถ้าชั้นหายไป ก็ไม่ต้องโทษใคร บลาๆๆ ...เค้าก็ยิ้มเปิดเผยใจเย็นนะ ให้เราถ่ายรูปสอบถามพักใหญ่ๆจนเราสบายใจ (รู้แหละว่ามันน่ารำคาญ) ซึ่งดูแล้วไม่มีผิดมีภัย เลยตัดสินใจไปกับเค้า (ใจง่ายมะ??)
เราเดินทางทั้งหมด 3 คน Prashant คือคนขับ,ลุง และเรา เค้าให้เกียรติว่าเราจะเลือกนั่งข้างคนขับ หรือข้างหลัง ...เอิ่ม พวกยูมีกัน 2 คน ขอนั่งข้างหลังดีกว่า เกิดไรขึ้นยังโดดหนีทัน (หรอฟะ??)
ออกเดินทางประมาณ 6 โมงครึ่ง อากาศเย็นสบายดีและวิวสวยมากกกกก ปราชาน(ขอเขียนแบบนี้นะคะ) เป็นคนสุภาพมาก ใจเย็น พูดภาษาอังกฤษคล่อง ฟังง่าย แท่บไม่มีสำเนียงคนแขก พอเห็นเราถ่ายรูปวิว ก็จอดให้บ่อย โดยที่ไม่ได้ขอ จนเราเกรงใจ และคอยอธิบายเส้นทาง แม่น้ำ ภูเขา ทำหน้าที่เป็นไกด์ให้เลยเชียว นั่งไปสักพัก รู้แระว่าไว้ใจได้จริง เลยชวนคุยนู่นนี่จนถูกคอ .. สักพักก็ถึง Rohtang la Pass (3,980) พาสแรกในเส้นทางนี้ วอร์มกันเบาๆ นั่งดื่มชาอุ่นๆ ช่วงเช้าๆ อากาศเย็นสบาย ป่าสนเขียวชุ่มชื้นพร้อมหมอกลอยเรี่ยตามหุบเขา แต่หลังจากผ่านพาส จะเริ่มเข้าแคว้นลาดักห์ สภาพภูมิประเทศเริ่มเปลี่ยน จากความชุ่มชื่นเป็นเข้าเขตภูเขาหินทรายที่แห้งแล้ง ระหว่างทางวิวสวย จนเพลิน จนเคลิ้ม ใช้เวลาประมาณ 5 ชั่วโมงก็ถึง Keylong
ปราชาน ทำหน้าที่เป็นทั้งเพื่อนและคนขับ หลังจากเช็ครถไปเลห์ว่ามีวันละรอบ ออกตี 5 ทุกวันแน่นอน จึงถามเราว่าเอาไงต่อ แต่เราอยากไปพักที่ Jispa และไปโดย Share Taxi อยากวัดดวงเอาที่นั่นดีกว่า (ไอ้ที่แพลนคร่าวๆ 1-2-3 ไม่เป็นไปตามนั้นสักอย่าง คนมันรนหาที่ 55) บอกลาคุณลุง แล้วไปแวะหาข้าวเที่ยงกินกัน ปราชานเพิ่งมาสารภาพว่ายังไม่ได้กินข้าวเช้า เค้าปฎิเสธขนมปังที่เราให้ตอนซื้อติดมากินบนรถเพราะความเกรงใจ แล้วยังมาชิงตัดหน้าเลี้ยงข้าวอีก เราต่างหากที่ต้องเกรงใจ
ระยะทางประมาณ 20 กิโล ถึง Jispa Camp ปราชานพาขับรถหาดูที่พัก ซึ่งตัวเลือกไม่มากนัก เค้าเริ่มทำหน้าไม่แน่ใจว่าเราจะหา Share Taxi จากที่นี่ได้หรือไม่ ถามอยู่นั่นว่าแน่ใจนะ ชัวร์นะ จะกลับ Keylong มั้ย เพราะอย่างน้อยยังมี Local Bus ที่รู้เวลารถออกแน่นอน ยังดีกว่ามารอโบกขึ้นที่ Jispa
จนไปเจอโรงแรมนึง ขนาดค่อนข้างใหญ่กว่าที่อื่น เลยเข้าไปสอบถามได้ความว่า ห้องพักเต็มหมด ว่างแค่เต๊นท์..นั่นแหละๆๆๆ ที่ต้องการ! ห้องเต็มก็แปลว่า เรามีโอกาสที่เราจะเจอนักท่องเที่ยวหลายกลุ่ม เพราะทุกคนที่มาเส้นนี้ส่วนมาก ล้วนมุ่งหน้าไปเลห์ หรือหากไม่มีใครยอมให้ไปด้วย อย่างเลวร้ายที่สุด...ตอนเช้าก็แค่ออกไปโบกรถดักรอ Local bus คันเดียว ที่มาจาก Keylong ตั้งแต่เช้าตรู่ละนะ
สบตาปราชานด้วยสายตาที่แน่วแน่ ว่าจะพักที่แหละ ถ้าหารถไม่ได้ ไอก็จะมาโบกรถเอา ถ้าเค้าไม่จอดไอก็จะไปยืนขวางกลางถนน แต่ฮียังไม่วายถามย้ำเผื่อเราเปลี่ยนใจ ว่าจะกลับ Keylong มั้ย... แต่นั่นแหละ เมื่อเห็นว่ายังไงเราก็ไม่เปลี่ยนใจแน่นอน เลยฝากฝังเราไว้กับคนของโรงแรม พร้อมทั้งทิ้งเบอร์โทรไว้ให้เผื่อเราต้องการความช่วยเหลือ ..ก่อนกลับเลยขอถ่ายรูปเก็บไว้เป็นที่ระทึกสักหน่อย ที่คอยช่วยเหลือดูแลกันเป็นอย่างดี..พร้อมทั้งรับปากว่า หากทุกอย่างเรียบร้อยดี อินางจะโทรไปหาเด้อออ
วันนี้เป็นอีกวันที่ประทับใจในทริปนี้ ระหว่างที่ตื่นตาตื่นใจกับวิวสองข้างทาง ก็อดยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ อดคิดไม่ได้ว่า ถ้าเราไม่ลองเปิดใจ...เราคงไม่ได้มิตรภาพระหว่างทางเช่นนี้ จริงอยู่..เราไม่มีทางรู้หรอกว่าเราจะเจอใคร หรืออะไรบ้างในแต่ละวัน แต่หากเราปิดกั้น เราจะไม่มีทางได้พบสิ่งใหม่ๆที่เข้ามา
เล่าให้ปราชานฟังว่า จริงๆกะจะซื้อตั๋วพร้อมแพกเกจแล้ว แต่รู้สึกมันง่ายเกินไปและไม่มีอะไรให้ตื่นเต้น เลยเลือกมาหาเองข้างหน้าดีกว่า
..ใช่.. ปราชานคิดเหมือนเราว่า หากเราเลือกตัวเลือกนั้น เราคงไม่ได้มานั่งอยู่ตรงนี้ และเราคงไม่พบเพื่อนที่มีน้ำใจให้แก่กัน แม้ต่างคนจะเป็นแค่คนแปลกหน้าก็ตาม...
ทีนี้ก็เป็นเวลาที่โครตว่าง ตั้งแต่บ่าย 2 รื้อเอาผ้าออกมาซัก นั่งเขียนบันทึก Tent ที่พัก ถือว่าดีเริศ ห้องน้ำส่วนตัวก่อเป็นห้องแยกออกจากกระโจมอีกต่างหาก (แหม่ ก็ตั้ง 1200 รูปี อ่ะเนอะ T_T) ว่าแต่กลางคืนคงจะหนาวมากเลยนะ เครื่องกันหนาวก็ไม่มีไรพร้อม เอามาแต่กะโหลกกะลา..ใส่ซ้อนๆมันเอาแล้วกัน
เออ.. ลืมเล่าไปใช่มะ..ว่ามีการเปลี่ยนแผนจากตอนแรกว่าจะไปทะเลสาบโมริริโดยเริ่มจากเลห์ แต่ดูเส้นทางแล้วเพื่อไม่เป็นการนั่งรถย้อนไปมาให้เสียเวลา เลยนัดเพื่อนชาวเลห์ที่อาสาจะขับรถพาไป เจอกันระหว่างทางที่ Pang โดยที่คุยแบบลวกๆ และได้ตกลงกันว่า เราจะโทรคอนเฟิร์มกลับไปว่าอยู่ไหน ถึงไหนแล้ว จะมาถึงที่นัดหมายตามวันที่นัดหรือเปล่า...
ที่ Jispa ปกติที่มีสัญญาณโทรศัพท์ ดันไม่มี! ในวันนี้!! อยากได้เรื่องระทึกก็เจอสมใจ!!
ตอน 4 :
Wanderer Error
วันศุกร์ที่ 5 มกราคม พ.ศ. 2561 เวลา 17.40 น.