ปลายฝนที่ผ่านมา ผมได้มีโอกาส มานั่งลงตรงนี้ มองฟ้าสะท้อนน้ำ มองน้ำสะท้อนเทือกเขาใหญ่
ที่นี่
สระว่ายน้ำ seamless pool บนดาดฟ้า
Botanica เขาใหญ่ รีสอร์ท
โลกรอบตัวคงจะเหลือเพียง ภูเขา แผ่นฟ้า ผืนน้ำ และตัวเรา เมื่อลงไปแหวกว่ายลอยตัวในสระนี้
ข้างหลังผม ซ้าย ขวา ขนาบอยู่สองด้านด้วยห้องพักในอาคารรูปกล่องสูงสี่ห้าชั้น หลังอิงภูเขา หน้าวิวเขาใหญ่ ช่องว่างระหว่างอาคาร opec space เป็นช่องเป็นร่อง รับสายลม มองเลยไปเป็นสระว่ายน้ำอีกอัน มีมินิบาร์ 2 ชั้น น่ารักๆ อยู่ข้างสระนั้น
ณ ความรู้สึกตรงนี้ เราอยู่ใจกลางที่พักโอบกอดด้วยธรรมชาติป่าเขาอย่างแท้จริง
แผนที่แสดงการเดินทาง และภูมิประเทศของ Botanica Khao Yai
หันหน้าลงทิศใต้ หันเข้าหาทิวเทือกแห่งอุทยานแห่งชาติเขาใหญ่
ด้านหลังพิงกำแพงภูเขาอย่างใกล้ชิดสนิทใจ
เส้นแดงๆ บอกถึง เส้นทางหนึ่งใน ถนนทางหลักเข้าสู่รีสอร์ท ด้วยเส้นทางที่มาจากถนนสายมิตรภาพ
ระยะทางวิ่งจากต่างระดับปากช่อง
ตรงเข้ามาถนนธนรัตน์ เพียง 19 กิโล ก่อนถึงทางขึ้นเขาใหญ่เพียงเล็กน้อย
มาครับ พาไปชมโบทานิก้ากันให้ทั่วๆ
หน้าทางเข้า กับป้าย Botanica โลหะบรอนซ์ทองบนแท่งแกรนิตสีดำ บ่งบอกบุคลิกความเรียบง่าย แต่หรู ท่ามกลางธรรมชาติ
Lobby
จากป้ายก็เดินขึ้นบันไดมาเล็กน้อย
จะพบกับล็อปบี้สไตล์แอร์ธรรมชาติ ลมผ่านเย็นสบายรอบทิศ รายรอบด้วยสีเขียว
welcome drink
แล้วก็จะพบเครื่องดื่มสมุนไพรเย็นๆ เสริฟมาพร้อมผ้าเย็นหนานุ่ม
exterior มุมโดนๆ
โบทานิก้า ออกแบบรีสอร์ท เน้นความเป็นธรรมชาติ สไตล์ open architectural
ออกแบบที่จอดรถไว้ใต้อาคาร ไม่ต้องจอดรถตากแดดชอบตรงนี้ อาคารที่พักแบ่งเป็นสองตึกหลัก 5 ชั้น A and B ที่ตึก A ชั้น 3 และ 4 มีอาคารแยกย่อยออกไปอีกหน่อยแบบง่ามหนังสติ๊ก มีทางเดินลอยฟ้าเชื่อมต่อกัน อุทิศพื้นที่ใต้อาคารเป็น open space สีเขียว ผนวกกับพื้นที่เฉียงๆ ตรงกลางระหว่างสองอาคารนี้ ทำให้มองดูกว้างโล่งโปร่งตา เห็นท้องฟ้า
นอกจากนี้ด้านหน้าสุดยังประกอบด้วยกลุ่มห้องพัก อีก 6 ยูนิตเหมือนๆ จะเป็น Pool villa นะ มีสองชั้น และสระว่ายน้ำส่วนตัว ภายในซอยยูนิตย่อยไปอีกหรือเป็นยูนิตเดียวกันทั้งหลังเลยไม่แน่ใจ ต้องขออภัยผมไม่ได้เดินไปชม … นี่ภาพมองจากระเบียงห้องที่ผมพัก
Lanch
พักทานมื้อเที่ยงกันก่อนครับ อิ่มแล้วค่อยไปเดินเล่นชมห้องพักแบบต่างๆ
สำหรับมื้อเที่ยงเราใช้บริการที่ห้องอาหาร I-Chilli E-saan Fusion restaurant ซึ่งอยู่ในพื้นที่ของ Greenery resort ติดๆ กันซึ่งก็คือรีสอร์ทในเครือเดียวกันกับโบทานิก้านั่นเองที่เปิดบริการมาหลายปีแล้ว
เริ่มกันที่ Appetizer
เนื้อปลาแซลมอนคลุกงาขาวโปะมาบนส้มตำผลไม้
Spicy mixed fruit salad with pan-seared sesame crusted Salmon
พร้อมซุบแกงฟักทองใส่เห็ดถอบ
I Chili pumpkin soup with black mushroom
รายการต่อมา Main Course
หมูสันในอบซอสพริกลาบเสิร์ฟพร้อมข้าวเหนียวขาวและดำ
Roasted duck breast with tamarind sauce pork tenderloin with chili dip accompanied with black & white sticky rice
หน้าตาเต็มๆ จานเป็นอย่างไรต้องย้อนขึ้นไปดูภาพบนมือเชฟข้างบนครับ
ปิดท้ายด้วยของหวาน
ไอศรีมในเค้กใบเตย
Homemade pandanus cake
เอาล่ะครับ อิ่มกันแล้ว ได้เวลาไปชมห้องพักกัน พาไปดูห้องแรก
ที่นี่จัด type ห้องไว้หลักๆ คือเริ่มต้นที่ห้อง Studio ใหญ่ขึ้นมาก็ Suite ถัดมาก็ Family และห้อง Panorama
โดยแต่ละชนิดก็จะแยกเป็น 2 ช้อยส์ คือแบบปกติกับแบบที่มี Pool เล็กๆ ซึ่งเป็นพูลที่ออกแบบให้มีสายน้ำตกไหลอยู่ข้างๆ หรือ Plunge pool
ผมขออนุญาตพาชมห้องเพียงบาง type นะครับ เริ่มที่
BOTANICA SUITE with Plunge pool
ห้องนี้เป็นสวีท แบ่ง 1 ห้องนอน 1 ห้องนั่งเล่น
พื้นที่ใช้สอย 130 ตร.ม. ถ้าแบบไม่มี Pool ก็จะเป็นระเบียงแทน
โทนห้องสีสว่าง ตกแต่งด้วยงานไม้ wood สีอ่อน ผ้าม่านสีเท่า ให้ความรู้สึกสบายตา ผ่อนคลาย
ชอบตรงที่ระหว่างน้องนอนกับห้องนั่งเล่นสามารถสไลด์ประตูผนัง ปิดไปเลยหรือเปิดโล่งให้ connect ถึงกัน
สระว่ายน้ำส่วนตัว มีช่องที่จะมีน้ำตกไหลเป็นแผ่นออกมา
โบทานิก้าออกแบบอาคารด้วยแนวคิดใกล้ชิดธรรมชาติให้มากที่สุด ใช้แรงบันดาลใจจากองค์ประกอบของธรรมชาติมาเป็นไอเดียสร้างสรรค์
มาดูห้องชนิดต่อไปกัน
BOTANICA FAMILY SUITE 2 bedroom
2 ห้องนอน 2 ห้องน้ำกับอีก 1 ห้องนั่งเล่นใหญ่ๆ พื้นที่ 97 ตร.ม. ขอพาชม type นี้ในแบบที่ไม่มี Plunge pool จะได้ได้ไอเดียไปเทียบกับห้อง type อื่นในชนิดที่ไม่มี pool เช่นกันที่ผมบอกว่าห้องไหนไม่มีพูลจะเป็นระเบียงแทน ซื้อระเบียงก็จะประมาณๆ เดียวกันนะครับ
ห้องนอนเล็กเป็นเตียง twin กั้นกลางด้วนห้องนั่งเล่น ส่วนห้องนอนใหญ่เป็นเตียงคิงส์ไซค์
ทุกห้องมีห้องน้ำในตัว ส่วนห้องน้ำสำหรับห้องนอนใหญ่มีมีอ่างอาบน้ำเพิ่มมา มีระเบียงกว้างขวางเชื่อมต่อถึงกันทุกห้อง ทั้งนอนใหญ่นอนย่อย ทั้งห้องนั่งเล่น มีประตูเปิดออกสู่ระเบียงเดียวกันได้หมด
ที่นี่ เต็มไปด้วยสีเขียว เย็นสบายตารอบตัว
ไม่ว่าจะมองไปตรงหน้า
หรือมองลงไปข้างล่าง
ตรงนี้เป็นมุมที่ผมรีแล็กซ์บ่อยที่สุด มานั่งสบายๆ จิบเบียร์มองเทือกเขาใหญ่กับเมฆที่ ไหลไป ไหลไป ตามสายลม
Tempo restaurant
ร้านนี้เป็นร้านที่ผมมาฝากความอิ่มท้องอยู่สองมื้อ breakfast กะ dinner เปิดหกโมงเช้ายันสี่ทุ่ม
บรรยากาศยามเช้าๆ นิ่งสงบร่มรื่นเหมาะเป็นมุมนั่งกินอาหารเบาๆ สบายๆ มุมเปิดเข้าหาทิศเหนือและตะวันออก รับแดดอุ่นยามเช้าและลมหนาวเบาๆ
บรรยากาศยามค่ำๆ สีสันผสานสองแหล่งกำเนิดแสง ทไวไลค์กับแสงไฟประดิษฐ์ กับ architecture และ surrounding ที่หยอด lighting อย่างมีชั้นเชิง ทำให้ราตรีดินเนอร์น่ารื่นรมมาก ผมงี้จิบเบียร์หมดไปหลายขวด
แหวกว่ายกลางแสงสนธยา หรือดื่มต่อบน One-Up bar บาร์นี้เปิดบริการตั้งแต่สี่โมงเย็นยันสี่ทุ่มครึ่ง
มุมชวนฝัน สระว่ายน้ำแบบ seamless นี่คือสระว่ายน้ำที่น่ามานอนลอยน้ำ มองฟ้า มองน้ำ อย่างยิ่ง //น่ามาเอาขาหย่อนน้ำ นั่งจิบเบียร์เย็นๆ ด้วย อิอิ
และเร็วๆ นี้ราว ๆ ปลายปีนี้ล่ะ ที่นี่จะเปิดตัวสวนน้ำและสวนสนุกขนาดใหญ่ที่สุดในประเทศไทยแห่งหนึ่ง
ซึ่งหลังจากได้มาชิมลางเครื่องเล่นในสวนสนุกและเดินชมงานก่อสร้างสวนน้ำแล้วต่อบอกว่าเสร็จทันกำหนดล่ะก็จดใส่แผนวันหยุดสำหรับโปรแกรมหนาวนี้ได้เลย สนุกแน่ๆ ลิงค์เพจ Scenical World
เตรียมวันหยุดมาสนุกต่อเนื่องกับสวนน้ำสวนสนุกขนาดใหญ่ยักษ์ พร้อมต้อนรับสายลมหนาว
และพักผ่อนกับรีสอร์ทในเครือที่เดินถึงได้ใกล้ๆ //นั่งรถกอล์ฟดีกว่านะ กับสองรีสอร์ท หนึ่งคือ
กับอีกหนึ่งนั่นคือรีสอร์ทใหม่แห่งนี้
แล้วนายน้ำฟ้าถ้าได้มีโอกาสไปพัก ไปสัมผัสที่พักน่าพักอีก จะเอามารีวิวให้ชมกันอีกนะครับในรีวิวสบายๆ สไตล์รรีวิวฉบับน้ำจิ้ม พบกันใหม่บล็อกหน้าจ้า
น้ำ-ฟ้า-ป่า-เขา
วันพฤหัสที่ 5 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558 เวลา 21.27 น.