เมื่อพูดถึงพม่า ไม่ว่าคุณจะวาดภาพไว้เช่นไร ลองลืมมันไปก่อนแล้วลองทำความรู้จักกันใหม่เหมือนคุณอยากรู้จักใครสักคน ลองอ่านเรื่องของที่เราที่หาสาระไม่ค่อยจะได้ บางทีคุณอาจอยากลองสะพายกระเป๋าเดินออกจากบ้านไปหาความหมายของพม่าในแบบของตัวเอง
เราเดินทางไปกับพี่สาว 2 คน พร้อมสุดในครั้งนี้ก็คือการมีตั๋วอยู่ในมือ เดินทางกับ Airasia ดอนเมือง-มัณฑะเลย์ ไป-กลับ แต่เราทิ้งตั๋วขากลับที่มัณฑะเลย์ แล้วเราจะกลับที่ย่างกุ้งแทน เดินทาง 24-28 มกราคม 2561 5วัน 4 คืน 3 เมือง มัณฑะเลย์ (Mandalay) พุกาม (Bagan) ย่างกุ้ง (yangon) พม่าไม่ต้องใช้วีซ่าคนไทยสามารถอยู่ได้ 14 วัน จองโรงแรมไว้แค่คืนแรกที่มัณฑะเลย์ และถัดไปก็จองวันต่อวัน มั่วไปเป็นวันๆ อยู่ไปวันๆ (อันนี้ไม่ใช่ละ) (เนื่องด้วยมีเวลาจำกัดและยุ่งระดับ10เลยไม่ได้คิดอะไรไว้เลย)
การเดินทาง
มัณฑะเลย์ ที่นี้มีตุ๊กตุ๊ก แท็กซี่ รถเหมา และ GrapBike
พุกาม มีรถแท็กซี่ รถเหมา รถม้า แต่เราเลือกเช่าโมไซเหมือนสกู๊ดเตอร์ บิดมิดที่ 40 บางที่ก็46
ย่างกุ้ง มีแท็กซี่ Grap และ Uber แน่นอนว่าเราเรียกใช้ Grap Uber และเดิน
(โหลดแอฟไว้ก็สะดวกดีนะ)
การแลกเงิน
เราแลกจากไทยเป็นเงินดอลล่า 1 usd =32 บาท (ย้ำว่าต้องเป็นแบงค์ใหม่ ใหม่มากๆ ไม่มีรอยพับ ยับ หรือรูแม็กเด็ดขาดเพราะธนาคารไม่รับแลก)
เรามี 240 usd แบ่งไปแรกจั๊ต 170 usd (คำนวนให้พอดีกับที่ใช้นะ) ได้มา225,130 อีก 70 usd เก็บไว้กลับบ้านและจ่ายค่าโรงแรม
การติดต่อสื่อสาร
ใช้ซิม sim 2fly ของ Ais ซิมนี้ซื้อไว้แล้วสามารถเก็บซิมไว้สมัครแพ็คเกจใช้ในประเทศอื่นๆต่อได้เรื่อยๆนะ สมัครก่อนออกเดินทาง ใช้ในพม่าเน็ตถือว่าดีเลยทีเดียว 299บาท 4GB ใช้ได้ 8 วัน เราอยู่5 วันสบายๆ
ที่พัก
จองผ่าน Booking.com
สิ่งที่คิดว่าต้องรู้
-เวลาที่พม่าช้ากว่าไทยครึ่งชั่วโมง
-ค่าเงินที่นั้นเรียก จั๊ต(Kyat)
-ทุกๆสถานที่ วัด เจดีย์ ต้องถอดรองเท้า และไม่ใส่ขาสั้น ควรพกทิชชู่เปียกติดตัวไว้ก็ดีสำหรับเช็ดเท้า
-ที่พุกาม(Bagan) สำหรับคนที่ไม่ชอบฝุ่น หรือจะเช่าโมไซขี่แนะนำให้พกหน้ากากอนามัยติดไปด้วย
วันที่ 24 ม.ค.61
เดินทางมาถึงสนามบินมัณฑะเลย์ 12:25 น. กรอกใบเข้าเมือง ยื่นและผ่านแบบง่ายๆ พร้อมกับคำชมของ ตม. สาวสวย so cute ยิ้มรับแบบ คุณแอฟทักษอร
พักคืนแรกที่ unity hotel มีอาหารเช้า ห้องน้ำกว้างพอๆกับห้องนอน เราใช้เงิน usd จ่าย ที่มัณฑะเลย์เรามีเวลาน้อยเอาจริงๆก็น้อยทุกเมืองนั้นเหละนะ
เก็บของขอแผนที่จากทางโรงแรมแล้วออกไปหารถเที่ยวกัน ต่อราคายังไงก็ไม่เห็นได้ราคาที่ถูกใจ เลยเดินไปที่ city place ก็ไกลพอสมควรกว่าจะเดินไปถึงก็ปิดซะละ (รถโดยสารสาธารณะจะเป็นลักษณะขับหาคน บางทีก็จะตามตื้อเป็นพิเศษ) มองหารถที่จอดอยู่ข้างทางเพื่อไปจองตั๋วรถบัสไปพุกามพรุ่งนี้ และไป Myanmar Hill ปิดท้ายด้วยการส่งทิ้งไว้ที่ตลาดกลางคืน แล้วเราก็จั่วได้คุณลุงกลิ่นเหล้าหึ่ง มือไม้สั่น (คนมาเสนอตัวเยอะทำไมไม่เลือกกกกกกก) ตกลงราคาที่10,000 จั๊ต หาร2 (นาทีนั้นโครตนอยกับมัณฑะเลย์เลย ความประทับใจในพม่ามาพังลงตรงต่อราคาไม่ได้ดังใจ คนขับรถต่างแย่งชิงกัน พอแย่งชิงเราก็ไม่เลือกใครสักคน เวลาก็กำลังวัน พรุ่งนี้ก็ต้องเดินทางต่อ)
แผนที่ที่หยิบมาจากสนามบิน
Mandalay Hill
ค่าเข้า 1000 จั๊ต จ่ายที่ด้านบน ด้านล่างก่อนขึ้นบันไดเลื่อนมีที่ฝากรองเท้า หรือใครจะพกถุงใส่ถือขึ้นก็ได้ มาดูพระอาทิตย์ตกกัน
ทุกคนเฝ้ามองดูพระเอกของวันนี้ สวยจริงๆ ไม่มีความสามารถในการถ่ายภาพให้สวยได้เลย บางสิ่งบางอย่างมันต้องมองด้วยตาเปล่าจริงๆ เสร็จจาก Myanmar Hill ก็พาไปจองรถบัส ถ้าใครสะดวกก็จองผ่านโรงแรมได้เลยนะ เราเลือกเวลาบ่ายโมง
บรรยากาศกลางคืน
ตลาดกลางคืน
ระหว่างเดินเข้าตลาดก็เจอคุณป้าคนนี้แบกกระจาดขึ้นหัวมา ขายอะไรเอ่ยยยลองซิ แกยิ้มน่ารักแต่แกพูดภาษาอังกฤษไม่ได้จะมีแม่ค้าร้านข้างทางที่สื่อสารให้
กินทุกอย่างที่ขวางหน้า ไม้ละ 100 จั๊ต จับจองเก้าอี้ได้เลย จัดไป 8 ไม้เด๋วกินอย่างอื่นต่อไม่ได้
ต่อไปนำเสนอเมนูนี้ อะไรก็ไม่รู้ เสนอราคาที่ 1000 จั๊ต
ความน่ารักของคุณป้าแม่ค้า แกยืนดูเรากินพอเราหันไปแกพยายามที่จะบอกวิธีการกินโดยการทำมือ คนซิคนให้เข้ากันแล้วค่อยกิน อร่อยกรุบกริบมาก
ต่อด้วยของหวาน คุณป้าขายอะไรคะ ถามเท่าไหร่คุณป้าก็ตัดให้ชิม ถามทีก็ตัดให้ชิมที ชิมทุกอันชิมจนอิ่ม ชิมอิ่มขนาดนี้ไม่ซื้อละ ก็เลยจัดแบบกล่องพกไปกินระหว่างทาง
มันเยิ้มๆ
จากตลาดเดินกลับโรงแรมไม่ไกล แถวโรงแรมมีขายอาหารกลางคืนเดินมาเจอแป้งแผ่นคล้ายๆโรตี อิ่มจนต้องยอมแพ้
วันที่ 25 ม.ค.61
วันนี้มีเวลาในช่วงเช้า ช่วงบ่ายเดินทางไปที่พุกาม คุยกันไว้ว่าจะไปพิธีล้างพระพักตร์พระมหามัยมุนี ซึ่งจะมีในเวลาตี 4 แต่แล้วนั้นก็ไม่ตื่น เช้านี้กินข้าวเช้าที่โรงแรมประหยัดไปหนึ่งมื้อ วันนี้เราตั้งหลักได้แล้วด้วยการเรียก GrapBike ไป Mahamuni Buddha Temple ในราคา 1700 จั๊ต
Mahamuni Buddha Temple
พระมหามัยมุนี เป็น 1 ใน 5 มหาศักดิ์สิทธิ์ของพม่า เปรียบเสมือนพระพุทธรูปคู่บ้านคู่เมือง ประดิษฐาน ณ วัดพระมหามุนี (วัดพยาจี) ก่อนเข้ามาถึงด้านในจะเจอที่ฝากรองเท้าที่นี้ห้ามเอารองเท้าเข้า เดินเข้ามาอีกหน่อยก็จะเจอแกลเลอรี่ พม่ามีแกลเลอรี่นะเอออออ!!!!!!!!!!!!
เดินเข้ามาอีกจะเจอตลาดขายของตามทางเดิน
เข้ามาด้านใน ภาพแรกที่เห็นคือ งดงามมาก คนพื้นที่เค้าดูกราบไหว้ ขอพรกันอย่างจริงจังมากๆ เรากำลังสัมผัสได้ถึงพลังศรัทธาที่แท้จริงแล้วซินะ ผู้หญิงห้ามเข้าด้านในนะคะ
ขากลับเราก็เรียก Garp เหมือนเดิมแต่รอบนี้เค้าให้ซ้อนสองได้ เป็น 1,700 จั๊ต หาร 2 กลับมาถึงโรงแรมรถสองแถวก็มารอรับแล้ว เป็นรถ2แถวที่รับคนตามโรงแรมแล้วไปส่งขึ้นรถอีกที
หน้าตารถแบบนี้ OK EXPRESS
ภายในรถ มีทั้งนักท่องเที่ยวและคนพื้นที่ ค่ารถ 9000 จั๊ต
ออกเดินทางมาสักระยะก็จะแวะจุดพักรถ มีอาหาร ขนม และเข้าห้องน้ำได้ที่นี่ (ห้องน้ำสะพรึงมาก)
เสบียงระหว่างทาง
เมื่อเข้าเขตพุกาม ต้องเสียค่าเข้าเมืองด้วยนะเออ 25,000 จั๊ต (คุ้มพูดเลย) พอถึงพุกามเค้าก็จะให้ย้ายรถไปขึ้นรถสองแถวแล้วก็ส่งตามโรงแรม
“See Bagan and live, See Ankor Wat and die”
Bagan (พุกาม)
นักเดินทางผู้ท่องโลกอย่าง มาร์โค โปโล (Marco Polo) ได้กล่าวไว้เมื่อได้มาเห็นพุกามในศตวรรษที่ 18 ยังยกย่องว่าพุกามเป็นสถานที่ซึ่งมีความงามน่าชมที่สุดแห่งหนึ่งในโลก
ดั่งสุภาษิตไทยที่ว่า "สิบปากว่าไม่เท่าตาเห็น" อันนี้คงต้องขอโค้งตัวน้อมรับแต่โดยดี
คืนนี้เราพักที่ Hotel Yadanarbon Bagan เราให้พี่สาวเราเลือกรับลองว่าอยู่อย่างเปรมแน่นอน 966 บาท หาร2 รวมอาหารเช้า
ฟาดกระเป๋าลง แล้วกระโดดไปขอแผนที่ แบบเร่งด่วน ไปดูพระอาทิตย์ตกกัน เนื่องด้วยมาถึงโรงแรมก็เวลาราวๆห้าโมงเย็น เราเลยเช่าโมไซแบบ 3 ชม. 3000 จั๊ต แล้วจะกลับมาหาไรกินที่โรงพร้อมชมการแสดง
จุดพระอาทิตย์ตกอยู่ไม่ไกลจากโรงแรม เป็นเจดีย์ ที่อยู่หลัง dhamma ya za ka pagoda ขับอ้อมไปด้านหลัง
dhamma ya za ka pagoda
ด้วยความรีบ เลยไม่ได้สำรวจแบบละเอียด และด้วยความรีบลืมหยิบกล้องถ่ายรูปมาด้วย ดีไม่ลืมโทรศัพท์
หน้าตาของรถที่เช่ามา บิดมิดมาก 40
ยืนมองจากบนเจดีย์ เห็นทั้งหมดในมุมกว้าง
เราเป็นหนึ่งคนที่ชอบดูพระอาทิตย์ตก และพระอาทิตย์ขึ้น แต่จะเอนเอียงไปทางตกมากกว่าเพราะเช้าเราไม่ค่อยจะตื่น เมื่อพระอาทิตย์ลับขอบฟ้าไป อากาศหนาวก็เข้ามาแทนที่เป็นแบบตัดอัตโนมัติ พุกามหนาวนะรู้ยังทำไมต้องหนาวขนาดนี้ แว้นกลับมาสั่งอาหารที่โรงแรมรอดูการแสดงตอน 1 ทุ่ม
บรรยากาศในโรงแรม ตรงนั้นคือเวทีแสดง
สระว่ายน้ำตอนกลางคืน
ซุปฟักทอง
ศิลปะการจัดจาน ระดับพีเมี่ยมมาก ถามด้วยว่าอิ่มไหม เด๋วกลับไปกินมาม่าที่ห้อง อิอิ
คุณลุงเริ่มบรรเลง
ต่อด้วยพี่สาวแสนสวยบรรเลง Saung เป็นพิณโบราณของชาวพื้นเมือง
ไปต่อกันที่การแสดงสุดท้ายจากพี่หนุ่มสุดหล่อ ขนาดเห็นแค่มือ กับครึ่งหน้ายังหล่อทะลุผ้าออกมา พี่แกเชิดคนเดียว 8-9 ตัวเลยหุ่นดูมีชีวิตทุกตัว
วันที่ 26 ม.ค.61
ตื่นตี 5 ไปดูพระอาทิตย์ขึ้น เช่าโมไซแบบ 3 ชม. 3000 จั๊ต เช่าแค่3 ชั่วโมงเพราะเราต้องกลับมากินข้าวเช้าที่โรงแรม และเก็บกระเป๋าเช็คเอาท์ก่อนที่จะออกเที่ยวและจองตั๋วรถบัสไปย่างกุ้ง ได้รถ vip bus รถรอบ 3 ทุ่ม พุกามขอย้ำอีกทีว่ากลางคืนโครตหนาว โครตมืด โครตเปลี่ยว โครตฝุ่น โครตสวย เราตั้งพิกัดไปที่ Shwe San Daw Pagoda ท่ามกลางความมืด มีเพียงแสงไฟหน้ารถโมไซ ที่รับน้ำหนักหญิงอ้วน 2 คน เส้นทางขรุขระ อากาศปนด้วยฝุ่นละออง ตามทางไม่มีรถสวนมาเลยสักคัน ข้างทางเต็มไปด้วยเจดีย์(มาเห็นเจดีย์ตอนขากลับฟ้าสว่าง) จนมีประโยคในพุดขึ้นมาแล้วทันใดนั้นก็เปล่งเสียงออกมาว่า "ความกลัวคือสิ่งที่เราสร้างขึ้นเอง" พอกลับมาที่ไทยพี่สาวบอกที่พูดวันนั้นจริงๆก็ทำให้กุรู้สึกดีขึ้นมานิดนึง พอมาถึงเจดีย์ปิดห้ามขึ้นปรับปรุง แป่วเลยเหละ มีโมไซคนพื้นที่ขับไปมาตามหาลูกค้า ยูอยากดูพระอาทิตย์ขึ้นไหมเรารู้จักเราจะพาไป พิเศษสำหรับคุณ แต่ มีคำว่าแต่ แต่ช่วยซื้อของหน่อย เราไม่ไปหลังจากนั้นก็ขับตามหามั่วๆจนมาถึงถนนที่มีใหญ่ เราสังเกตุจากรถบัส รถยนต์ที่เลี้ยวไปทางนั้นกันเยอะๆ เลยลองเสี่ยงตามเค้าไป อ่อ เจอละ ทฤษฎีไหลตามน้ำได้ผล
ได้แต่ยืน มองความละมุม สวยเนอะ
กลับมากินข้าวเช้าที่ห้องอาหารของโรงแรม
ตักรวมๆ อะไรๆก็อร่อย อาหารพม่าเป็นอาหารที่ถูกปากเราโครตๆ
หน้าตาโรงแรม
ที่โรงแรมมีบริการ ทานาคา ฟรี!!!!!!!!!!!!
เก็บกระเป๋า อาบน้ำ เช็คเอาท์ ฝากกระเป๋าไว้ที่โรงแรม เช่าโมไซอีก 8 ชั่วโมง เที่ยวตามแผนที่
Shwe Zi Gon Pagoda
ความอัศจรรย์ 9 ประการของเจดีย์ชเวซีโกน
1. ยอดพระเจดีย์ไม่มีการใช้เหล็กเสริม
2. กระดาษห่อแผ่นทองคำเปลวที่นำไปปิดส่วนยอดพระเจดีย์ จะไม่ปลิวพ้นฐานสี่เหลี่ยมของพระเจดีย์
3.เงาพระเจดีย์จะไม่ล้ำออกนอกฐานสี่เหลี่ยมของพระเจดีย์ (ถ้าเงาล้ำออกไป ถือว่าเป็นลางร้าย)
4. ภายในเขตองค์พระเจดีย์ สามารถรองรับผู้แสวงบุญได้ไม่จำกัดจำนวน (ไม่เคยเต็ม)
5. มีการให้ทานด้วยข้าวสุกร้อน ๆ ทุกเช้า (ไม่ว่าเราจะตื่นเช้าสักเพียงใด จะพบข้าวสุกในบาตรอยู่ก่อนหน้าเราเสมอ)
6. เมื่อตีกลองใบใหญ่จากด้านหนึ่งของพระเจดีย์ จะไม่สามารถได้ยินเสียงกลองจากด้านตรงข้าม
7. แม้พระเจดีย์จะตั้งอยู่บนพื่นราบ แต่เมื่อมองจากภายนอก จะเกิดภาพลวงตาคล้ายพระเจดีย์ตั้งอยู่บนที่สูง
8. ไม่ว่าฝนจะตกหนักเพียงใด จะไม่มีน้ำฝนขังอยู่ในอาณาเขตขององค์พระเจดีย์
9. มีต้นพิกุล (Khaye หรือ Chayar) ซึ่งจะออกดอกตลอดทั้งปี (ปรกติจะออกปีละครั้ง)
(ขอบคุณข้อมูลจากเว็ปท่องเที่ยวในพม่านะคะ) เรามองว่าความงามแรกที่เห็นคือสะกดสายตามากอยู่แล้วแต่ถ้าได้เสพประวัติจะหลงไหลยิ่งขึ้นไปอีก มีอีกหลายสิ่งหลายๆอย่างที่คนสมัยก่อนเค้าก็คิด ก็ทำได้เนอะ
ตรงนี้อยู่ด้านหน้าก่อนเข้าไปวัด ถอดรองเท้าด้วยนะคะถ้าจะเดินเข้าไป
หลังจากที่ไม่ประสบความสำเร็จจากการดูแผนที่ ขับไปเจออะไรก็แวะอันนั้นละกัน
Tha Kya Pone
ตั้งแต่เกิดเหตุการณ์แผ่นดินไหว เจดีย์ส่วนใหญ่ตอนนี้ปิดไม่ให้ขึ้นเพราะยังคงเป็นอันตรายอยู่
Htilominlo temple
เจดีย์ติโลมินโลนี้เป็นวัดที่สร้างแบบก่ออิฐถือปูน บนฐานกว้างด้านละ 43 เมตร องค์เจดีย์สูง 46 เมตร วิหารแห่งนี้ได้ชื่อว่าเป็นวิหารองค์สุดท้ายที่มีการสร้างในแบบสถาปัตยกรรมพุกาม
เจดีย์แห่งนี้สร้างในสมัยพระเจ้านาตองมยา เป็นเจดีย์ที่มีความเป็นมาแปลกกว่าเจดีย์องค์อื่นๆ ด้วยในสมัยพระเจ้านรปติซีตู ทรงมีราชบุตรหลายพระองค์ ทั้งที่เกิดแต่อัครมเหสีและพระชายา เมื่อทรงจะตั้งองค์รัชทายาทสืบราชบัลลังค์ ก็ไม่อาจตั้งราชบุตรในอัครมเหสีได้ทันที เพราะทรงเคยรับปากพระชายาองค์หนึ่งซึ่งคอยบริบาลพระองค์ขณะประชวรอย่างดียิ่งว่า จะทรงพิจารณาราชบุตรจากชายาองค์นี้ให้ขึ้นครองราชย์ด้วย
เมื่อไม่อาจคืนคำที่ให้ไว้ได้ จึงตัดสินพระทัยเรียกราชบุตรทั้งห้าพระองค์มานั่งล้อมวงกัน แล้วตั้งฉัตรอันเป็นสัญลักษณ์ของกษัตริย์ไว้ตรงกลาง หากฉัตรล้มลงแล้วปลายฉัตรชี้ไปที่ราชบุตรองค์ใดนั้น ก็จะทรงแต่งตั้งเป็นกษัตริย์สืบต่อไปจากพระองค์
ปรากฏว่าปลายฉัตรชี้ไปที่เจ้าชายชัยสิงห์ (พระเจ้านาตองมยา) ซึ่งเป็นราชบุตรอันเกิดแต่ชายาองค์ที่บริบาลพระเจ้านรปติซีตู ชาวพม่าจึงเรียกนาตองมายาว่า “กษัตริย์ฉัตรตั้ง” และเมื่อทรงขึ้นครองราชย์จึงสร้างเจดีย์ขึ้นเป็นอนุสรณ์ ณ บริเวณที่พระราชบิดาเอาฉัตรเสี่ยงทาย และเรียกว่า “เจดีย์ติโลมินโล”
อย่างไรก็ตามนักปราชญ์ชาวพม่าบางรายได้ตีความว่า “ติโลมินโล” อาจเพี้ยนเสียงมาจาก “ไตร โลกมงคล “หรือ “ผู้ได้รับพรอันเป็นมลคลจากสามโลก” นั่นเอง
(ขอบคุณข้อมูลดีๆจากเว็ปเที่ยวพม่านะคะ)
Upalithein Ordination Hall
ซ้ายขวาเจดีย์เต็มสองข้างทาง อยากแวะที่ไหนก็แวะกันเลย เต็มที่แผนที่ไม่มีผลอีกต่อไป
Khe Minga Temple
ระหว่างทาง สวยเนอะ
Thatbyinnyu Phaya
“สัพพัญญูวิหาร” หรือสำเนียงพม่าว่า “ตะบินยู” เป็นพระนามหนึ่งของพระพุทธเจ้า แปลว่าผู้รู้ทุกอย่าง ตะบินยูพญา จึงหมายความว่า “มหาวิหารแห่งความรอบรู้” เป็นวิหารขนาดใหญ่ที่ได้ชื่อว่าเป็น “วิหารที่สูงที่สุด” ในพุกาม ตัววิหารมีลักษณะเป็นวิหารรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัส กว้างด้านละ 180 ฟุต สูง 201 ฟุต ถือเป็นวัดประจำรัชกาล สร้างเลียนแบบวัดในอินเดีย มีความสูงถึง 5 ชั้น
ชั้นล่างเป็นที่สำหรับคฤหัสถ์พัก
ชั้นที่ 2 เป็นชั้นที่พักสำหรับพระสงฆ์
ชั้นที่ 3 มีมุขด้านหน้าเป็นที่ตั้งของพระพุทธรูปปางมารวิชัยขนาดหน้าตัก 3 ศอก พระประธานของวัด
ชั้นที่ 4 สำรับเก็บพระไตรปิฎก
ชั้นที่ 5 เป็นองค์สถูป ที่เชื่อกันว่าเป็นที่ประดิษฐานพระบรมธาตุ
เรามาเจอตอนคนเยอะ เลยไม่ได้อยู่นาน ถ้าที่ไหนคนเยอะเราจะรีบหนีทันที
อันนี้เราไม่ได้เข้าไปด้านใน เวลาระหว่างวันเริ่มเหลือน้อยลง ทุกอย่างดูเร่งรีบไปนิด เด๋วกลับมาใหม่นะ
Dhammayangyi
ที่นี่ต้องแสดงบัตรเข้าเมืองมาด้วยนะ
วิหารธรรมยันจี (DHAMMAYANGYT) แปลว่า แสงสว่างแห่งธรรม สร้างโดย กษัตริย์ Narathu ผู้ซึ่งได้รับคำเรียกขานว่า "Kalagya Min or the king killed by kalas" หรือ กษัตริย์ผู้ถูกสังหารด้วยชาวกะลา พระเจ้านระธู สร้างวิหารธรรมยันจีเพื่อล้างบาปจากการรอบสังหารบิดา เป็นเจดีย์ที่ยิ่งใหญ่และแข็งแรงที่สุดในเมืองพุกาม เพราะสร้างขึ้นด้วยอิฐสีแดงที่เป็นเอกลักษณ์โดดเด่น มีลักษณะอาคารทรงสี่เหลี่ยมจตุรัส ที่คล้ายกับวัดอนันดา มีมุขยื่นออกมาสี่ด้าน ในการก่อสร้างวิหารธรรมยันจี (DHAMMAYANGYI) อิฐทุกก้อนสมานกันแนบสนิท แม้เข็มเพียง 1 เล่ม หากสอดผ่านรอยต่อได้คนงานก่อสร้างจะต้องถูกตัดนิ้วทันที โครตโหด วิหารแห่งนี้สร้างไม่เสร็จ เพราะ พระเจ้านระธูโดนลอบสังหารก่อน
ด้านหน้า
ด้านหลัง
เทียบสเกลรถ คนกับวิหาร ไม่อยากจะคิดถึงยุครุ่งเรืองของพุกามเลยว่าจะยิ่งใหญ่และน่าขนลุคขนาดไหน นึกแล้วก็อยากเกิดเป็นคนสมัยก่อน คงได้เห็นสถาปัตยกรรม ประเพณี ความเชื่ออะไรที่น่าทึ่งอีกเยอะ
ตั้งแต่เข้าเขตพุกามมาตามทางก็จะแขวนหุ่นขายตามต้นไม้ มองๆไปก็หลอนดี หน้าวิหารก็มีขายนะ
ก่อนจะไปตามหาพระอาทิตย์ตกดิน ก็มาเจออันนี้ซึ่งไม่รู้ชื่อ
เส้นทางไปดูพระอาทิตย์ตก ถามจากคุณป้าที่ขายกางเกง โปสการ์ดอยู่เจดีย์ ระหว่างทางก็มองเห็นวิหาร แสงอาทิตย์กำลังสาดแสงออร่าลงถ่ายภาพยังไงก็ไม่สวยเท่ายืนมอง แสงอุ่นๆ เหมืองมองภาพวาด
ไม่ว่ามาจากที่ไหนๆเราก็รู้จักทุกคนได้ด้วยการยิ้มและโบกมือ
ภาพแบบนี้นี่ก็ไม่เคยเห็นของจริงๆสักที
ถึงที่ดูพระอาทิตย์ตกแล้ว เดินมา โอะ เอิ่ม ดูเค้าจริงจังเนอะ อุปกรณ์ชนะเริศ ก้มมองกล้องตัวเอง
ระหว่างทางกลับ
ระหว่างขับหาร้านข้าว ก็เจอเจดีย์มีทุกที่จริงๆ
เราลองเข้าร้านนี้ เป็นคุณยายมารับออเดอร์อาหาร คุณยายน่ารักมีความกระตือรือร้นมากเวลาเราสั่งอาหาร
ข้าวมะพร้าว หอมตั้งแต่ยกมาวาง กินไม่ต้องพูดถึง เจริญหาอาหารมาก
มีของหวานให้ตอนท้ายเป้นมะขามแผ่นกลมๆเล็กเหมือนขนมโบราณบ้านเรา
รถออก 3 ทุ่ม ทางโรงแรมนัดเรา 2 ทุ่มรถมารับไปส่งขึ้นรถบัส และต้องไปรับคนอื่นตามโรงแรมอีก พูดถึงรถ vip ที่นั่งกว้างขวาง มีหมอนรองคอ มีปลั๊กไฟ มีผ้าเย็น มีน้ำเปล่าให้ มีแปลงสีฟันยาสีฟัน มีผ้าห่ม มีห้องน้ำ คือดีงาม ประหยัดค่าโรงแรมไป 1 คืน ออกมาครึ่งทางรถก็จอดพักให้เข้าห้องน้ำ กินข้าว ครึ่งหลังแจกอีก โคคา โคล่า กระป๋องกับขนมอีก 1 ชิ้น หมดไปแล้วอีก 1 วันที่คุ้มค่า และมีค่า
วันที่ 27 ม.ค.61
เช้านี้ที่ย่างกุ้ง สถานีรถบ้านเค้ามีความวุ่นวายพอสมควร น่าจะถึงราวๆหกโมงถ้าจำไม่ผิด หาแท็กซี่ไปส่งที่โรงแรม คืนนี้พักที่ Backpacker(Bed & Breakfast) 795 บาทรวมอาหาร หาร 2 เพลินๆอยู่นะราคา เราจ่ายเงินจั๊ตเพราะเหลือเยอะ เข้าโรงแรมเปลี่ยนเสื้อผ้า ล้างหน้าแปรงฟัน เวลาเช็คอินคือบ่ายสองแต่เรามาถึงประมาณ 7 โมง ทำธุรส่วนตัวเสร็จก็ออกเที่ยวเลย อย่าลืมขอแผนที่นะจ๊ะ
Botahtaung Pagoda
เรียก Grab จากโรงแรมมาที่นี้ 1700 จั๊ต ค่าเข้า 6000 จั๊ต ได้น้ำมา 1 ขวด
Botahtaung Pagoda แปลว่า เจดีย์นายทหาร 1000 นาย ตามตำนานเล่าขานว่า เมื่อราว 2000 ปีก่อน พระเจ้าโอกะลาปะ กษัตริย์มอญทรงบัญชาให้นายทหารระดับแม่ทัพตั้งแถวถวายสักการะแด่พระเกศาธาตุ ที่นายวาณิชสองพี่น้องอัญเชิญมาทางเรือและมาขึ้นฝั่งเมืองตะเกิงหรือดากอง ณ บริเวณนี้ จึงสร้างเจดีย์โบตะทาวน์ไว้เป็นที่ระลึก พร้อมทั้งแบ่งพระพุทธเกศา 1 เส้น มาบรรจุไว้ ก่อนนำไปบรรจุในมหาเจดีย์เวดากองและเจดีย์สำคัญอื่นๆ เจดีย์โบดาทาวน์จึงเป็นหนึ่งในมหาบูชาสถานของชาวมอญและพม่าเรื่อยมา
เจดีย์ตอนนี้บรูณะ แต่ยังสามารถเข้าไปกราบไหว้บูชาได้ตามปกตินะคะ
เทพทันใจ หรือ นัตโบโบยี ซึ่งอยู่ที่ศาลาริมน้ำด้านข้างของเจดีย์โบตะตาว ซึ่งชาวพม่ามีความเชื่อกันว่าไม่ว่าจะสร้างเจดีย์ใดๆ ที่ไหนก็ตาม จักต้องมีเทพคอยคุ้มครองดูแลเจดีย์ และแน่นอน เทพทันใจนี้ เป็นเทพที่คุ้มครองเจดีย์โบตะตาว
“เทพกระซิบ หรือ เมี๊ยะนานหน่วย” ซึ่งอยู่ฝั่งตรงข้ามกับเจดีย์ มีนัตองค์หนึ่งกล่าวไว้ว่า เทพกระซิบเป็นธิดาของพญานาคที่มีความศรัทธาต่อพระพุทธศาสนาเป็นอย่างมาก เชื่อว่าถ้ากระซิบขออะไรแล้วจะสมหวัง
บริเวณด้านนอกวัดติดกับท่าเรือ
พี่เค้าขายมะม่วง เห็นพี่เค้าแล้วอยากชิมมะม่วงเลย
นี่ชอบใจอันนี้มาก มันคือนวัตกรรมที่ไทยต้องมีนะ ตามงานวัด งานบุญ งานตลาดนัด ยิ่งกว่า 2in1 เก็บ ทอด อุ้ย!!!หล่นพื้นลองเก็บขึ้นมาขายใหม่ซิ เอ้าก็ขายได้นิ (แซวววว)
ไปไหนกันงะ ไปด้วยคนซิ
Nga Htat Kyi Pagoda
จาก Botahtaung Pagoda - Nga Htat Kyi Pagoda 2900 จั๊ต เรียก Grab เหมือนเดิม
หลวงพ่อที่สูงเท่าตึก 5 ชั้น เป็นพระพุทธรูปปางมารวิชัยที่แกะสลักจากหินอ่อน ทรงเครื่องแบบกษัตริย์ เครื่องทรงเป็นโลหะ ส่วนเครื่องประกอบด้านหลังจะเป็นไม้สักแกะสลักทั้งหมด และสลักป็นลวดลายต่างๆ จำลองแบบมาจากพระพุทธรูปทรงเครื่องสมัยยะตะนะโบง (สมัยมัณฑเลย์)
สวยงามมาก
ถัดไปวัดใกล้ๆกันเดินข้ามถนนมาอีกฝั่ง
Chauk Htat Kyi Pagoda
พระตาหวาน หรือ พระพุทธไสยาสน์เจาทัตยี เป็นพระนอนองค์ใหญ่ที่สุดของพม่า มีความยาว65 เมตร นอนตะแคงขวา และถือว่าเป็นพระพุทธรูปที่มีความงดงามที่สุดในพม่า พระพักตร์ได้รูป ทาสีขาว ขนตางอนยาว ดวงตาเป็นแก้ว เปลือกตาสีฟ้า แต้มสีแดงที่พระโอษฐ์ จีวรพริ้วไหวราวกับของจริง จึงได้ชื่อว่าพระตาหวาน
เสร็จจากวัดก็เดินไปห้างใกล้ๆ ocean supercenter ตั้งแต่เช้ายังไม่ได้กินอะไรกันเลย หิวมากกกกกกกกกกกกกกก!!!!!!! พลังกำลังจะหมด น้ำก็ยังไม่ได้อาบ หอบฝุ่นจากพุกามเที่ยวไปด้วยทุกที่
เรียก Grab ไปลงที่ตลาด BoGyoke Market 2900 จั๊ต หลังจากนี้รูปบรรยากาศตลาดก็จะไม่ค่อยมี ชั่วโมงโดนสะกดจิต ต้องใช้สมาธิเยอะเป็นพิเศษ
หลังจากที่หน้ามืดตามัวไปสักพัก ก็เดินกลับโรงแรม ซึ่งก็ไม่ใกล้ งกไปอีกหลังจากหมดตัว
ย่างกุ้งโครตเจริญเลยนะสำหรับเรา แถมรถก็ติดอีก ห้างเนี่ยโครตใหญ่
บรรยากาศระหว่างเดินกลับโรงแรม ผ่านทั้งโรงเรียน ผ่านห้างสรรพสินค้า ผ่านตลาดย่านที่ขายทอง ตลาดขายของสด ของแห้ง บางทีเดินก็ได้เห็นอะไรชัดดีนะ แต่ขากำลังจะเดี้ยงละ
ถึงโรงแรม อาบน้ำล้างฝุ่น แล้วออกไป Shwedagon Pagoda ต่อ
Shwedagon Pagoda
ค่าเข้า 10000 จั๊ต จะมีสติ๊กเกอร์ให้ติดเสื้อ และแผนที่ด้านในแต่ละจุด เปิดให้เข้าทุกวันตั้งแต่เวลา 04.00-21.00 น.
"ชเว" คือ ทอง ส่วน "ดากอง" คือชื่อเดิมของเมืองย่างกุ้ง ตามตำนานกว่า 2,500 ปี ของเจดีย์แห่งนี้กล่าวไว้ว่าเป็นที่บรรจุพระเกศาธาตุทั้งแปดเส้นของพระ พุทธเจ้า และพระบริโภคเจดีย์ของพระอดีตพระพุทธเจ้าทั้งสามองค์ องค์สถูปหุ้มด้วยทองคำทั้งหมด 8,688 แท่ง แต่ละแท่งมีค่ามากกว่า 400 ยูเอสดอลลาร์ ปลายยอดสถูปประดับด้วยเพชร 5,448 เม็ด ทับทิม นิล และบุษราคัมอีก 2,317 เม็ด มีมรกตเม็ดเชื่อมอยู่ตรงกลาง เพื่อรับลำแสงแรกและลำแสงสุดท้ายของดวงอาทิตย์ ทั้งหมดนี้ประดับอยู่ด้านบนเหนือฉัตรขนาด 10 เมตร ซึ่งสร้างขึ้นบนไม้หุ้มทองเจ็ดเส้น ประดับด้วยกระดิ่งทองคำ 1,065 ลูก และกระดิ่งเงิน 420 ลูก รอบองค์สถูปรายล้อมไปด้วยสิ่งปลูกสร้างกว่า 100 หลัง มีทั้งสถูปบริวาร วิหารทิศ วิหารราย และศาลาอำนวยการ
ก่อนทางเข้ามีดอกไม้ขาย ดอกกุหลาบที่นี่สวยมาก
ภาพแรกที่เห็น ฮู้ยยยยยยย สวยมาก เหลืองทองอร่าม เดินไปรอบๆ ก็รับรู้ถึงพลังศรัทธาของชาวพม่า ผู้คนมานั่งสวดมนต์ กราบไหว้บูชา เราไม่สามารถอธิบายสิ่งที่พบเห็นได้ทั้งหมด แต่ดูทุกสิ่งอย่างมันยิ่งใหญ่ ทั้งสถานที่และใจของผู้คนที่เข้ามา
Sule Pagoda
จากชเวดากอง ก็เรียก Grab มาลงที่นี่ เปิดให้เข้าชมทุกวันในเวลา 4.00-22.00 น. เราเสียค่าเข้า 3000 จั๊ต ได้สติ๊กเกอร์มา 1 อัน
Sule Pagoda นั้นถือกันว่าตั้งอยู่ใจกลางเมืองย่างกุ้ง เเบบกึ่งกลางเลยจริงๆ โดยองค์เจดีย์นั้นคาดกันว่ามีอายุมากกว่า 2,000 ปี ไม่ทราบปีที่สร้างเเน่ชัด เเต่ได้ชื่อว่ามีอายุเก่าเเก่มาที่สุดในบริเวณเมืองย่างกุ้ง โดยภายในนั้นชื่อกันว่าเป็นที่ประดิษฐานของเส้นพระเกศาของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ซึ่งในอดีตที่ผ่านมานั้นเจดีย์จะถูกล้อมรอบไปด้วยน้ำทั้งหมด เเต่ได้รับการเปลี่ยนเเปลงครั้งเมื่ออังกฤษเข้ามาปกครองพม่าตอนใต้ช่วงที่กำลังล่าอาณานิคมอย่างดุเดือดนั่นเอง
ใกล้ๆเจดีย์มีร้านขายขนม นับว่าอร่อยเลยทีเดียว กีวี่สมูทตี้
เมืองยามค่ำคืน ร้านขายขนมใกล้กับป้ายรอรถเมล์ เวลานั้นราวๆ 3 ทุ่ม เดาว่าคงเป็นเวลาเลิกงานทุกคนต่างรีบกลับบ้าน ภาพที่เห็นอารมณืเดียวกับนั่งรออยู่รถอยู่ป้ายรถเมล์ที่อนุสาวรีย์ แต่ไม่วุ่นวายเท่า
วิวเมืองชั้นดาดฟ้าของโรงแรม ไม่คิดว่าย่างกุ้งจะมีวิวแบบนี้ อากาศสบายๆวิวแม่น้ำ ตึกรามบ้านช่อง นี่มันวิวโซนเจ้าพระยาชัดๆ
วันที่ 28 ม.ค.61
เช้านี้เตรียมกลับบ้าน บินกลับ เที่ยวบินแปดโมงกว่า พุ่งตัวลงมากินอาหารเช้าด้วยความเร็วแสง
ห้องอาหารที่โรงแรม
บริการตัวเองนะจ๊ะ
วิวดาดฟ้ายามเช้า
เรียก Grab ไปสนามบิน 6300 จั๊ต จากโรงแรม กลับบ้านกัน ผิดพลาดประการใดต้องขออภัยด้วยนะจ๊ะ
สรุปค่าใช้จ่ายหลักๆ
รถบัสจากสนามบินมัณฑะเลย์ 4000 จั๊ต
โรงแรมคืนที่1ที่มัณฑะเลย์ 25 usd หาร2
ค่าเข้า Myadalay hill 1000 จั๊ต
ค่าเหมารถไป Myadalay hill จองรถบัส และทิ้งลงตลาดกลางคืน คนละ 5000 จั๊ต
ค่ารถบัสมัณฑะเลย์-พุกาม คนละ 9000 จั๊ต
ค่าโรงแรมที่พุกาม 966 บาท หาร2
เช่าโมไซที่พุกาม 3000 หาร2 เช่าแบบ 3 ชม.ไปดูพระอาทิตย์ตก
ค่ารถบัส พุกาม-ย่างกุ้ง คนละ 18500 จั๊ต รถvip
เช่าโมไซ 3000 จั๊ต หาร2 ไปดูพระอาทิตย์ขึ้น
ค่าโรงแรมที่ย่างกุ้ง 795 บาท หาร2
แลกมา 240 usd แบ่งไปแรกจั๊ต 170 usd (5440บาท) ใช้หมดเกลี้ยง
เหลือ 70 usd ใช้จ่ายค่าโรงแรมที่มัณฑะเลย์ไป 15 usd (480บาท)
รวม 5920บาท
ค่าเครื่องบิน
ตั๋วเครื่องบินดอนเมือง-มัณฑะเลย์ ไปกลับคนละ2080 บาท ทิ้งขาไป
ตั๋วกลับ ย่างกุ้ง-ดอนเมือง 1030 บาท
รวม 3110 บาท
GrabBike ที่มัณฑะเลย์สังเกตุง่ายๆที่หมวก จะต่างจากโมไซรับจ้างทั่วๆไป
Hinataqn
วันจันทร์ที่ 5 มีนาคม พ.ศ. 2561 เวลา 15.48 น.