“ดอยฮิปสเตอร์” เพื่อนคนหนึ่งตั้งฉายาให้ม่อนจองแบบนั้น คงเพราะกระแสความแรงของที่นี่ในหมู่วัยรุ่นล่ะมั้ง พร้อมกับเสียงลือเสียงเล่าอ้างว่ามันสวยมาก และเสียงลือเสียงเล่าอ้างว่าความง่ายในการเดินก็มีมากเช่นกัน พอเพื่อนคนดังกล่าวบอกว่าต้องไปโดนที่นี่ให้ได้ ผมเลยตกลงเซย์เยสทันที ขอพิสูจน์เสียงลือเสียงเล่าอ้างนั้นด้วยตัวเองสักหน่อย
ม่อนจอง เป็นทั้งชื่อดอยและตำบลหนึ่งในอำเภออมก๋อย เชียงใหม่ ส่วนที่เป็นป่าอยู่ในความดูแลของเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าอมก๋อย โดยมีชุมชนท้องถิ่นจัดการด้านท่องเที่ยวร่วมกับเขตฯ เพื่อเป็นการสร้างรายได้ให้กับชาวบ้าน เปิดให้เที่ยวตั้งแต่พฤศจิกายนถึงกลางเดือนกุมภาพันธ์ของทุกปี (ที่ต้องปิดเพราะหลังจากนั้นจะเริ่มมีสัตว์ป่าขึ้นมาหากินในพื้นที่ยอดดอยโดยเฉพาะช้างป่า) ติดต่อผ่านศูนย์บริการการท่องเที่ยวดอยม่อนจอง โทร. 092-559-7201 หรือเข้าไปดูรายละเอียดในเว็บไซต์ www.doimonjong.com/monjong และ www.facebook.com/doimonjong.omkoi ก็ได้ครับ
ยอดสูงสุดของดอยม่อนจองมีชื่อเฉพาะอีกว่าดอยหัวสิงห์ เพราะลักษณะเมื่อมองไกลๆ จะคล้ายหัวสิงโต สูงจากระดับน้ำทะเลปานกลาง 1,929 เมตร ติดท็อปเทนของภูเขาสูงสุดในประเทศเชียวล่ะ
ทริปนี้ปลายเดือนธันวาคม 2560 สมาชิกของเราเก้าคน แปดคนเดินทางด้วยรถโดยสาร กทม. – แม่สะเรียง รอบค่ำ ไปลงที่สามแยกบ่อหลวง อำเภอฮอด ซึ่งเป็นทางเข้าอำเภออมก๋อย นัดรถโฟร์วีลเหมาคันไปรับที่นั่นเพื่อเดินทางสู่ดอยม่อนจองต่อไป ส่วนตัวผมแยกเดินทางต่างหากเพราะวางโปรแกรมยาวเช่ามอเตอร์ไซค์ขี่เที่ยวเชียงใหม่ช่วงนั้นไปด้วย
อ้อ... ขอย้ำนิดหน่อยครับว่าศูนย์บริการการท่องเที่ยวดอยม่อนจองไม่ได้อยู่ในตัวตำบลม่อนจองนะครับ แถมยังห่างกันตั้งเกือบสี่สิบกิโล ถ้าใครขับรถจะตั้งพิกัดในกูเกิ้ลแม็พไปใช้คำว่าจุดชมวิวดอยม่อนจองจะชัวร์กว่า และถ้าไปแถวนั้นพิกัดบอกว่าเป็นอำเภอสามเงา จังหวัดตาก ก็ไม่ต้องตกใจไป เพราะเป็นรอยต่อของสองจังหวัดครับ
(1)
ผมเดินทางด้วยมอเตอร์ไซค์เที่ยวมาเรื่อยๆ จากเชียงใหม่ใช้เวลาสามสี่วันลงมาทางอุทยานแห่งชาติออบขาน อุทยานแห่งชาติแม่วาง จนถึงอุทยานแห่งชาติออบหลวง อำเภอฮอด ต่อเข้าอำเภออมก๋อย จุดหมายคือหน่วยพิทักษ์ป่ามูเซอ เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าอมก๋อย ซึ่งมีหน้าที่ดูแลความเรียบร้อยของนักท่องเที่ยวในการพิชิตดอยม่อนจอง ระยะทางจากออบหลวงก็ร้อยกิโลนิดๆ ขี่กันยาวเชียวล่ะ
กว่าจะลากสังขารทั้งคนขี่และมอเตอร์ไซค์ถึงบ้านมูเซอก็เย็นย่ำเรียบร้อย ต้องยอมรับครับว่าวิวสองข้างถนนสวยมาก เล่นเอาต้องจอดรถถ่ายรูปเป็นระยะ
ถึงบ้านมูเซอแล้วจุดหนึ่งที่ต้องแวะคือจุดชมวิวพระพุทธรูปจตุรทิศ
เป็นเหมือนประตูสู่บ้านมูเซอ ตรงนี้ยังเป็นจุดที่ชาวบ้านเอาพืชผักสินค้ามาขายริมทางกันในตอนกลางวันด้วยครับ
หลังถ่ายรูปเล่นจนพอใจก็ได้เวลาเข้าไปหน่วยพิทักษ์ป่ามูเซอ
(อยู่ซ้ายมือก่อนถึงพระพุทธรูปจตุรทิศราวหนึ่งกิโลเมตร) ยิ้มเผล่บอกเจ้าหน้าที่เลยว่าขอกางเต็นท์ได้ไหมครับพรุ่งนี้จะขึ้นม่อนจอง
คำตอบที่ได้รับคือจะกางเต็นท์ให้หนาวไปทำไม ไปนอนในบ้านพัก มีห้องน้ำ มีไฟฟ้า แถมยังเอาเสื่อ
ผ้าห่ม หมอน มาให้อีกต่างหาก... ซึ้งใจจริงๆ ขอบคุณมากครับ
ตัดฉับมาตอนเช้าตั้งนาฬิกาปลุกหกโมง
ตื่นแล้วบึ่งรถมารอดูพระอาทิตย์ขึ้นทันที หน้าหนาวแบบนี้สีสันยามเช้าสวยจริงๆ
ฝั่งพระอาทิตย์ขึ้นที่เห็นนี้เป็นพื้นที่อำเภอสามเงา จังหวัดตากนะเอ้อ
พอสักเก้าโมงเช้าก็โทรศัพท์ติดต่อกับเพื่อนจาก
กทม. ได้ว่ากำลังจะมาถึงที่หน่วยแล้ว เพราะฉะนั้นถึงเวลาที่ผมต้องเตรียมตัวแล้วล่ะ
(2)
เก้าโมงครึ่ง หน่วยพิทักษ์ป่ามูเซอคราคร่ำด้วยรถตู้และรถกระบะโฟร์วีลของนักท่องเที่ยวที่มาพิชิตม่อนจอง พอเพื่อนมาถึงปุ๊บก็จัดการลงทะเบียนกับเจ้าหน้าที่ตามระเบียบให้เรียบร้อย
จากหน่วยฯ ตรงนี้ รถจะพาเราเข้าไปที่ศูนย์บริการการท่องเที่ยวดอยม่อนจองโดยชุมชนบ้านมูเซอปากทาง ซึ่งหากใครขับรถมาเองต้องการติดต่อรถโฟร์วีลและลูกหาบก็เข้ามาติดต่อที่นี่ได้เลย ส่วนเรานั้นทุกอย่างเตรียมไว้หมดแล้ว เพราะฉะนั้นแค่ลงทะเบียนอีกรอบก็พอ
รถโฟร์วีลพาเราไปต่อจนถึงหน่วยพิทักษ์ป่าอุ้มหลอง
ตรงนี้แหละเป็นทางเข้าดอยม่อนจองจริงๆ และเราต้องควักเงินจ่ายค่าธรรมเนียมเสียที ค่าเข้าคนไทย
20 บาท ต่างชาติ 200 บาท ค่ากางเต็นท์หลังละ 50 บาท (นับจำนวนเต็นท์ไม่นับคน)
กรุ๊ปเรามีต่างชาติสี่คนเลยต้องจ่ายเยอะหน่อย
ป้ายที่หน่วยฯ อุ้มหลองบอกชัดๆ ว่าลานจอดรถ 11 กม. ดอยหัวสิงห์ 18 กม. ซึ่งหมายความว่าระยะทางเดินจากจุดเริ่มต้นถึงหัวสิงห์คือ 7 กม. (แต่ถึงลานกางเต็นท์แค่ 5 กม.) ไม่เยอะไม่น้อยล่ะนะ
จากตรงนี้เป็นดินแดงลูกรังล้วนๆ ล่ะครับ นั่งเปิดท้ายก็กระเด้งกระดอนพาเรากินฝุ่นคลุ้งกันไปตามระเบียบ
(ฮา...) แต่ป่าสนสองข้างทางเขียวสวยสดชื่นจริงๆ
ใช้เวลาราวสี่สิบนาทีจนหัวแดงไปตามกันเราก็มาถึงจุดจอดรถกลางป่า
รถคันอื่นจอดอยู่แล้วอีกไม่น้อย บรรยากาศคึกคักเพราะเป็นช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์ คาดว่าวันนี้นักท่องเที่ยวขึ้นดอยน่าจะแตะเกือบสองร้อยคน
เดินที่นี่ไม่ต้องมีเจ้าหน้าที่นำครับเพราะทางชัดเจน และมีลูกหาบคอยเป็นหูเป็นตาให้อยู่แล้ว ส่วนเรื่องความสูงแม้ยอดดอยหัวสิงห์สูงจะสูงเกือบ 2,000 เมตร แต่ไม่ต้องหวั่นใจไป เพราะเราเองเริ่มเดินที่ความสูงไม่น้อย ประมาณ 1,500 เมตร เชียวล่ะ
เมื่อพร้อมแล้วลุยเลยดีกว่า นาฬิกาบอกอีกห้านาทีสิบโมง เดินช่วงแรกปุ๊บก็ขึ้นเนินให้รู้สึกเหนื่อยเล็กๆ ทันทียังดีว่าไม่สูงเท่าไหร่
แต่พ้นเนินแรกมาแล้วนี่สิต้องขมวดคิ้วเพราะเป็นทางลงชันค่อนข้างยาว
แบบนี้เท่ากับว่าขากลับเราต้องเดินขึ้นให้หอบกินอีกแล้วสิเนี่ย ไม่ชอบอารณ์นั้นเลยจริงๆ
พับผ่าเถอะ (ฮา...)
สภาพป่าม่อนจองปลายธันวาคมสวยเขียวสดชื่น
เราเดินเรื่อยๆ ขึ้นๆ ลงๆ ราบๆ หลายช่วงเป็นสันเขาเปิดโล่งให้เห็นวิวกว้างไกลสบายตา
เจอตรงไหนสวยก็แวะพักถ่ายรูปเล่นแบบไม่มีอะไรต้องเร่งรีบ
เที่ยงนิดๆ มาถึงตรงนี้
เรียกกันว่าภูหินช่อ ชมวิวได้รอบสวยมากครับ ถึงจุดนี้แสดงว่าเกินครึ่งทางแล้ว
พ้นภูหินช่อทางจะตัดเข้าป่าเขียวทึบอีกครั้ง
พอเดินต่ออีกสักเกือบชั่วโมงจะมาสะดุดอยู่กับป้ายเนินหมาหอบ มองขึ้นบนเนินแล้วแอบกลืนน้ำลายเล็กน้อย
เพราะนอกจากจะชันแล้วยังเป็นทุ่งหญ้าโล่งท้าทายแสงแดดเสียเหลือเกิน
แต่เนินหมาหอบถือเป็นเนินยากเพียงเนินเดียวแหละครับที่เราต้องฝ่าฟัน
ที่ยากกว่าความชันและความร้อนเห็นจะเป็นพื้นซึ่งเป็นดินแดงร่วนๆ ค่อนข้างลื่น
ขาขึ้นไม่เท่าไหร่ ขาลงนี่สิคงน่าหวั่นใจน่าดู
และ และ และ หลังพ้นเนินหมาหอบขึ้นมาแล้ว
ทอดสายตามองออกไปได้เลยเราจะเห็นดอยหัวสิงห์วางตัวอยู่ข้างหน้าไกลๆ พร้อมกับร่องทางเดินตามแนวสันเขา
เจอแบบนี้ถึงกับต้องร้องว้าวเลยครับ
จากเนินหมาหอบเดินอีกไม่ไกลเท่าไหร่ก็ถึงจุดที่เรียกว่าลานกอล์ฟช้างหรือสนามกอล์ฟช้าง (คงเพราะมันโล่งขนาดให้ช้างเล่นกอล์ฟได้ล่ะมั้ง) ตรงนี้เป็นเหมือนทางสามแยกครับ ตรงไปคือยอดหัวสิงห์อีกราว 2 กิโลเมตร แต่เราต้องเลี้ยวซ้ายลงไปจุดตั้งแคมป์บริเวณชายป่ากันก่อน
นาฬิกากระดิกมาที่อีกห้านาทีบ่ายสอง เท่ากับเราใช้เวลาจากลอดจอดรถสี่ชั่วโมงเป๊ะกับระยะทาง 5 กิโลเมตร เป็นการเดินเอื่อยๆ เรื่อยๆ ถ้าจะให้เร่งคงเร็วกว่านี้พอสมควร ในภาพรวมจึงถือว่าเส้นทางเดินป่าม่อนจองเหมือนเสียงลือเสียงเล่าอ้างบอกไว้นั่นแหละว่าไม่ยาก ค่อนข้างง่ายด้วยซ้ำถ้าเทียบกับเส้นทางเดินป่าขึ้นเขาแห่งอื่นๆ โดยทั่วไป เหมาะกับมือใหม่อยากลองเที่ยวแบบนี้ดูทีเดียว
จุดตั้งแคมป์มีสองจุดอยู่ห่างกันราวร้อยเมตร จะผูกเปลหรือกางเต็นท์ก็ตามสะดวก นอกจากนี้ยังมีแหล่งน้ำสะอาด มีห้องน้ำแบบส้วมหลุมกรณีจำเป็น ถือว่าสะดวกไม่น้อยสำหรับทริปเดินป่า บนนี้ยังมีเจ้าหน้าที่อยู่ประจำเพื่อดูแลความปลอดภัยให้นักท่องเที่ยวด้วยครับ
เราจัดแจงเรื่องที่ทางให้เรียบร้อย จากนั้นก็ตั้งเตาหุงข้าวไว้ก่อนหนึ่งหม้อสนาม
พอสักบ่ายสามโมงครึ่งค่อยเริ่มออกเดินตัวเปล่าพร้อมน้ำหนึ่งขวดไปพิชิตดอยหัวสิงห์ ทางแค่สองกิโลเมตรเท่านั้นทำไมรีบออกกันเร็วจัง ลูกหาบบอกว่าเห็นระยะแค่นี้ปกติเดินกันตั้งสองชั่วโมงเชียวนะ ยากหรือ? เปล่าหรอก เดินไปถ่ายรูปไปตลอดทางมันก็ช้าน่ะสิ (ฮา...)
พอเดินไปแล้วก็รู้แจ้งแก่ใจเลยครับว่าทำไมถึงต้องเผื่อเวลาไว้นานๆ เพราะเส้นทางเลาะเลียบตามแนวสันเขาสู่ดอยหัวสิงห์นั้นสวยมาก มาก มาก และมาก เดินแป๊บๆ หยุดถ่ายรูป เดินอีกแป๊บก็ถ่ายรูปกันอีกแล้ว
นอกจากดอยหัวสิงห์สวยๆ อีกไฮไลท์ของม่อนจองคือกุหลาบพันปีที่มีอยู่เยอะมาก
น่าเสียดายนิดหน่อยว่าช่วงที่เราไปปลายธันวาคือยังเพิ่งเริ่มบานเท่านั้น
ช้ากว่านี้สักเดือนคงสะพรั่งทั้งดอยเป็นแน่แท้
เราเดินเพลิน ถ่ายรูปไปตลอด
วิวสวยทุกทิศทาง ทั้งมองไปข้างหน้าและมองย้อนกลับไปข้างหลัง
จนใกล้ห้าโมงเย็นจึงถึงยอดหัวสิงห์ในที่สุด
ป้ายจุดสูงสุดดอยม่อนจองปักอยู่ให้เราเก็บภาพเป็นที่ระลึก
จากจุดนี้จริงๆ ยังเดินต่อได้อีกนะครับ
ทางเดินจะต่อไปถึงเนินขนาดเล็กซึ่งมีพระเจดีย์ประดิษฐานอยู่
และจากนั้นจะเป็นดอยหัวลิง หรือม่อนจองน้อย แต่กรุ๊ปเราพอกันแค่นี้เพราะพอใจมากแล้วกับความสวยที่เห็น
จากดอยหัวสิงห์ถ้ามองลงไปทางตะวันตกจะเห็นห้วยแม่ตื่นและบ้านแม่ตื่นในเขตอำเภออมก๋อย แต่ถ้าข้ามเขาลิบๆ ไปจะเป็นอำเภอท่าสองยาง จังหวัดตาก ส่วนแนวขุนเขาซับซ้อนทางทิศตะวันออกคือเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าแม่ตื่น อำเภอสามเงา จังหวัดตากเช่นกัน ที่เป็นแบบนี้เพราะออมก๋อยนั้นเหมือนติ่งของเชียงใหม่ยื่นเข้าไปในจังหวัดตาก เปิดแผนที่ดูจะร้องอ๋อทันที
พอใกล้เย็นเจ้าหน้าที่จะเริ่มให้นักท่องเที่ยวเดินลงจากหัวสิงห์ด้วยสองเหตุผล หนึ่งคือหากอยู่ที่นี่ถึงมืดจะกลับลำบาก สองคือถ้าเราย้อนกลับไปตอนนี้จะได้ชมหัวสิงห์กับทุ่งหญ้าสันเขาสะท้อนแสงพระอาทิตย์สวยกว่าอยู่บนยอดน่ะสิ และนั่นทำให้ม่อนจองได้รับฉายาว่าดินแดนแห่งทุ่งหญ้าสีทอง
ว่าแล้วพอถึงเวลาก็เดินไปหาจุดเหมาะๆ ชมความงามของทุ่งหญ้าสีทองกันเถอะ ต้องบอกเลยครับว่าสวยสุดใจสมคำร่ำลือจริงๆ
เรากลับมาถึงแคมป์ก่อนทุ่มเล็กน้อย ช่วยกันทำกับข้าวและหุงข้าวเพิ่มอย่างสนุกสนานด้วยฝีมือตามมีตามเกิด (ฮา...) อยู่บนนี้จริงๆ กินอะไรก็ถูกปากครับ อร่อยบรรยากาศมากกว่าอร่อยเพราะรสชาติอาหารอยู่แล้ว
ประมาณสองทุ่ม ผมกับเพื่อนสองสามคนขึ้นมาบนลานกอล์ฟช้างนั่งดูดาวอาบลมหนาว ช่างเป็นอะไรที่ดีต่อใจเหลือเกิน
(3)
นาฬิกาปลุกตีสี่ครึ่ง ผมเด้งตัวตื่นทันที เปลี่ยนเสื้อผ้า ใส่รองเท้า หยิบกล้อง ขาตั้ง ถือไฟฉายเดินฝ่าความมืดพร้อมเพื่อนร่วมอุดมการณ์อีกกลุ่มใหญ่ไปรอชมพระอาทิตย์ขึ้น เมื่อวานเล็งมุมที่อยากได้ไว้เรียบร้อย
แต่ก่อนพระอาทิตย์จะอวดโฉม ก็ได้ภาพแบบนี้เป็นรางวัลสำหรับการตื่นเช้า
บางคนเลือกเดินไปยอดหัวสิงห์
บางคนเลือกอยู่เนินเดียวกับผม นั่งรอเวลาจนท้องฟ้าเปลี่ยนจากสีดำสนิทเป็นน้ำเงิน
ก่อนถูกฉาบแต้มด้วยสีสันทั้งเหลือง ส้ม ชมพู ให้อรุณรุ่งแห่งวันใหม่ยิ้มแย้มทักทายพวกเรา
ขอสารภาพอย่างหนึ่งว่าด้วยอุบัติเหตุทางดิจิตอลทำให้ภาพถ่ายวันนี้ตั้งแต่ตื่นนอนของผมหายไปจากเม็มโมรี่การ์ดแบบหมดเกลี้ยงชนิดกู้คืนไม่ได้ เหลือเพียงไฟล์เล็กๆ คุณภาพต่ำซึ่งเคยดึงออกมาโพสต์ในเฟซบุ๊กไว้แล้วแค่ไม่กี่ภาพตามที่เห็นนี้เท่านั้น (เศร้ามาก...)
พอแสงแดดเริ่มแรง เราก็เดินกลับแคมป์ ใช้เวลาสบายๆ จัดแจงข้าวเช้า เก็บเต็นท์แพ็คเป้ กว่าจะเริ่มออกเดินกลับก็เกือบเป็นกลุ่มสุดท้าย
รถโฟร์วีลรอรับเราอยู่ที่ลานจอดรถ (โชเฟอร์นอนแถวนั้นนั่นแหละ) พาตะลุยฝุ่นคลุ้งกลับออกมาทางเดิม และส่งผมที่หน่วยพิทักษ์ป่ามูเซอราวๆ บ่ายสอง เป็นอันถึงเวลาต้องแยกย้ายกับเพื่อนเพื่อเดินทางตามลำพังตามเส้นทางของตัวเองต่อไปอีกสี่ห้าวัน
แม้ม่อนจองจะเป็นเพียงทริปสั้นๆ สองวันหนึ่งคืน แต่หลังจากสัมผัสด้วยตัวเองแล้วก็ต้องยอมรับเลยล่ะครับว่าเสียงลือเสียงเล่าอ้างต่างๆ ทั้งเรื่องความสวย และความไม่ลำบากมากนักในการเดินนั้นไม่ได้เป็นเรื่องโกหก
กาลครั้งหนึ่งมีสิงโตนั่งอยู่บนยอดเขา... ถ้าอยากรู้จักนิทานเรื่องนี้แนะนำให้เก็บกระเป๋าแล้วออกเดินทางด้วยตัวเองครับ
ติดตามเรื่องราวการท่องเที่ยวเดินทางของผมได้อีกช่องทาง
http://www.facebook.com/alifeatraveller
นายสองสามก้าว / A Life, A Traveller
วันเสาร์ที่ 17 มีนาคม พ.ศ. 2561 เวลา 13.46 น.