อ่าวมาหยากลับมาเปิดแล้ว เกาะพีพีคึกคักพร้อมรับนักท่องเที่ยวแล้ว เพียงแค่ได้ยินข่าวนี้ก็ถึงกับต้องวางแผน เตรียมโปรแกรม จัดกระเป๋าพร้อมเดินทาง เพราะจะมีช่วงเวลาไหนอีกล่ะที่เราสามารถเที่ยวอ่าวมาหยาแบบสวยสุดใจขนาดนี้

พูดถึงเกาะพีพี อ่าวมาหยา หลายคนอาจรู้ว่าเราสามารถเที่ยวโดยใช้บริการนำเที่ยววันเดย์ทริปจากผู้ประกอบการทั้งในกระบี่หรือภูเก็ต แต่จะให้ดีกว่านั้น ผมคิดว่าการได้ค้างบนพีพีย่อมทำให้เรารู้จักที่นั่นมากขึ้น แถมเป็นสิ่งที่ผมอยากทำมานาน หลังแค่เคยเที่ยวแบบเดย์ทริปอยู่สองสามครั้ง

พีพี (Phi Phi) คือเกาะหินปูนสองเกาะกลางทะเลกระบี่ หมายถึงเกาะพีพีดอน กับเกาะพีพีเล โดยพีพีดอนมีแหล่งชุมชน โรงแรม รีสอร์ทที่พักมากมาย ขณะที่พีพีเล อยู่ในเขตอุทยานแห่งชาติหาดนพรัตน์ธารา-หมู่เกาะพีพี ทั้งหมด ดังนั้นการเที่ยวพีพีจึงเป็นการพักที่พีพีดอน แล้วค่อยหาเรือหางพาเที่ยวพีพีเลนั่นเอง

ตามมาสิครับ ทริปนี้ผมกับเธอจะพาแบกเป้ไปเที่ยวพีพีกัน ไปดูว่าที่นั่นเป็นอย่างไรกันบ้าง


เริ่มเดินทาง

ทริปนี้ปลายเดือนกุมภาพันธ์ เพราะผมไม่ได้ไปเพียงลำพังจึงวางแผนทริปค่อนข้างละเอียด ไม่ใช่อะไรๆ ก็หาเอาดาบหน้าเหมือนปกติ (ฮา…) เดินทางด้วยเครื่องบิน จองตั๋วเรือข้ามเกาะ และทริปเรือหางยาวล่วงหน้า รวมถึงจองโรงแรมล่วงหน้า

เราบินไฟลท์สิบโมงครึ่งถึงกระบี่เที่ยงนิดๆ ตามฤดูกาลเป็นช่วงเข้าซัมเมอร์แต่ดันผิดคาดเพราะสภาพอากาศแปรปรวน ฝนตกทักทายตั้งแต่เข้าเขตภาคใต้แถมดูท่าคงไม่หยุดง่ายๆ

การข้ามไปเกาะพีพีมีเรือให้บริการหลายแบบหลายจุด บริษัทเรือที่เราจองเป็นสปีดโบ๊ท (จองผ่านเพจ www.facebook.com/321mr) ไป-กลับ คนละ 1,000 บาท ขึ้นเรือที่ท่าเรือเจ้าฟ้าในตัวเมืองกระบี่ ไม่ไกลจากลานปูดำแลนด์มาร์คของจังหวัด ลงเครื่องแล้วติดต่อชัทเทิลบัส (รถตู้) เข้าเมืองได้เลย คนละ 90 บาท

เราจองตั๋วมาเรียบร้อย ที่เหลือแค่เช็คอินแล้วรอเวลาขึ้นเรือรอบบ่ายสองโมง ใช้เวลาเดินทางไม่เกินชั่วโมงก็ถึงเกาะพีพีดอน ที่ท่าเรืออ่าวต้นไทร

ถึงเกาะพีพีแบบวุ่นวายนิดหน่อย ไม่ใช่เพราะคนเยอะหรอกครับ แต่เพราะฝนตกนี่แหละ คนจะเข้าจะออกเกาะก็ต้องหลบฝนโปรยปรายกันจ้าละหวั่น

พีพีดอนอาจเป็นเกาะขนาดไม่ใหญ่ แต่เรื่องขนาดชุมชนต้องบอกว่าเต็มรูปแบบ มีทุกอย่างเหมือนเมืองทั่วไป โรงแรม รีสอร์ท เกสต์เฮาส์ ร้านอาหารทั้งแบบร้านหรู ร้านข้าวแกง อาหารตามสั่ง คาเฟ่ มินิมาร์ท ธนาคาร ตู้เอทีเอ็ม โรงพยาบาล สถานีตำรวจ และอื่นๆ อีกเพียบไม่มีขาด

ที่พักของเราคือ P2 Wood Loft เป็นโรงแรมตึกแถว เดินจากท่าเรือไม่ไกลนัก ติดต่อจองผ่านเพจโรงแรมโดยตรง คืนละพันเศษๆ ไม่มีอาหารเช้า ส่วนหากใครงบน้อยจะหาที่พักแบบเกสต์เฮ้าส์คืนละประมาณ 500 บาท ก็มีเต็มไปหมด

ห้องพักสบาย มีแอร์ น้ำอุ่น ไดร์เป่าผม มีระเบียง อุปกรณ์อำนวยความสะดวกครบ ทีวีจอใหญ่แต่สัญญาณดิจิตอลกระตุกๆ ตามระยะความห่างไกล (ฮา…) เช็คอินเข้าห้อง อาบน้ำอุ่นๆ เปิดแอร์ ทิ้งตัวลงนอน ไม่รู้จะทำอะไรมากกว่านี้เพราะฝนตกนี่นะ


เกาะพีพีแบบนี้เอง

ใกล้เย็นฝนเริ่มเบาเม็ด เราค่อยออกมาเดินสำรวจเกาะพีพีดอน ชุมชนระหว่างอ่าวหลักสองฝั่งคืออ่าวต้นไทรกับอ่าวโละดาลัม มีตรอกซอกซอยเยอะแยะไปหมด แต่เดินหลงสักสองสามครั้งก็จำทิศทางได้แล้ว

พีพีกลับมาคึกคักขึ้นแล้วหลังจากนักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางเข้าประเทศได้ แม้โดยรวมยังไม่ฟื้นเต็มร้อย ร้านรวงจำนวนมากปิดตัวลง แต่ถือเป็นสัญญาณดี เห็นผู้คน นักท่องเที่ยว มีความสุขกับการได้มาที่นี่

เรื่องอาหารการกินไม่ต้องกังวล อย่างที่บอกครับว่ามีร้านอาหารทุกระดับ แม้แต่ แม็คโดนัลด์ เบอร์เกอร์คิง พิซซ่าคอมปะนี ส่วนราคาอาหารจานเดียวตามร้านต่างๆ อยู่ราว 80-100 บาท ยกมาให้แต่ละจานกินกันแบบจุกๆ แถมร้านส่วนใหญ่ยังสามารถสแกนชำระเงิน หรือรับคำละครึ่งอีกด้วย

วันที่สองของเรา ฝนตกหนักตั้งแต่เช้าตามพยากรณ์อากาศบอกเป๊ะ ต้องรอถึงเที่ยงฟ้าจึงค่อยเริ่มคลาย มองเห็นสีฟ้าจางๆ และสัญญาณว่าพายุกำลังใกล้พ้นผ่าน

เราสองคนไม่ได้ทำอะไรมาก โปรแกรมเดิมที่วางไว้วันนี้แค่จะเดินเล่นสำรวจเกาะแบบชิลๆ กันอยู่แล้ว สภาพอากาศไม่ค่อยเป็นใจเลยไม่เป็นปัญหา

ฝั่งท่าเรืออ่าวต้นไทร พอมีแดดบางๆ ก็เริ่มสวยขึ้น ฝั่งนี้เป็นจุดหลักในการเดินทางเข้าออกเกาะ เลยคึกคักตลอดเวลา

ส่วนฝั่งนี้คืออ่าวโละดาลัม ชายหาดแปลกตาเพราะน้ำตื้นมาก เป็นฝั่งที่นักท่องเที่ยวจะมาเล่นน้ำ พักผ่อน อาบแดด ริมหาดมีรีสอร์ทและร้านอาหารให้บริการพอสมควร

ตอนเย็นๆ เราเห็นว่าฟ้าเปิดมากขึ้นเลยชวนกันไปนั่งกินข้าวเย็นที่ชูกิจ คาเฟ่ แอนด์ เรสเตอรอง ฝั่งอ่าวต้นไทร เห็นว่าสวยดีเป็นระเบียงริมทะเล ไม่ผิดหวังครับ มีอาหารตามสั่งจานเดียวด้วยครับ ตรงนี้ผมแนะนำเลย


อ่าวมาหยาสวยสุดใจ

มาเที่ยวพีพีรอบนี้สิ่งที่ลุ้นสุดคือสภาพอากาศ ผมเช็คแผนที่อากาศจากกรมอุตุแทบทุกสามชั่วโมง (ฮา…) ตามคาดการณ์คือพายุฝนหมดตั้งแต่เมื่อวาน และวันที่สามของเราฟ้าควรกลับมาใสไร้เมฆฝน ซึ่งเป็นวันที่เราวางโปรแกรมนั่งเรือหางเที่ยวพีพีเลพอดี

ดังนั้นตื่นเช้ามาสิ่งแรกที่ผมทำคือเปิดหน้าต่าง และต้องถอนหายใจด้วยความโล่งอก เพราะกรมอุตุฯ ไม่ผิดพลาด แดดออกเปรี้ยงๆ แล้วจ้า

อยู่บนพีพีดอน เราหาเรือหางพาเที่ยวพีพีเลซึ่งหมายถึงอ่าวมาหยาและปิเละง่ายๆ มีเคาน์เตอร์ผู้ประกอบการนำเที่ยวแทบทุกร้อยเมตร ราคาจอยทริป 3-4 ชั่วโมง คนไทย 400 บาท หากเป็นไพรเวททริปเริ่มต้น 1,600 บาท หรือจะทริปดูซันเซ็ต กิจกรรมอื่นๆ ก็มีเหมือนกัน ไม่อย่างนั้นติดต่อคนเรือโดยตรงก็ได้นะ

สำหรับเราจองเรือล่วงหน้าแล้วผ่านเพจเดียวกับที่จองสปีดโบ๊ทมาเกาะ (www.facebook.com/321mr) โดยจองแบบไพรเวททริปเรือหางยาว มีให้เลือก 3 ชั่วโมง 1,600 บาท หรือ 6 ชั่วโมง 3,000 บาท ซึ่งมาถึงนี่ทั้งทีก็ต้องจัดเต็มเลยสิ

นัดแนะเวลาขึ้นเรือแปดโมงเช้า ขอบอกก่อนว่าโปรแกรม 6 ชั่วโมง ปกติจะได้ไปเกาะไม้ไผ่ซึ่งอยู่ในเขตอุทยานฯ ไม่ไกลกันด้วย ทว่าเพราะวันนี้ถึงฟ้าจะเปิดแต่ทะเลหลังพายุยังมีคลื่นแรงเลยไปไม่ได้ รวมถึงจุดดำน้ำบางจุดก็ไปไม่ได้… เอาน่า แค่ฟ้าเปิดก็ดีใจมากแล้ว

จากประสบการณ์มาวันเดย์ทริปพีพีก่อนหน้านี้ ปิเละสวยตอนน้ำลง ส่วนอ่าวมาหยาสวยตอนน้ำขึ้น หากเอาแค่ความสวยสักสิบเอ็ดโมงเหมาะสมสุด แต่ถ้าเป็นเวลานั้นรับประกันว่าผู้คนครื้นเครงมากเช่นกัน (ฮา…)

เรือของเราออกแปดโมงพาไปปิเละเป็นที่แรก ที่นี่คืออ่าวซึ่งถูกโอบล้อมด้วยเขาหินปูน เข้า-ออกได้ทางเดียว ช่วงน้ำกำลังสูงไม่ได้เห็นหาดทรายข้างล่าง แต่ได้ฟีลสระมรกตกลางหุบเขาหินปูนสวยดีอีกแบบ วนถ่ายรูปตรงนี้สักครึ่งชั่วโมงแล้วไปต่อ

แน่นอนว่าไฮไลท์ทุกอย่างของทริปนี้คืออ่าวมาหยา หลังปิดพักฟื้นธรรมชาตินานกว่า 3 ปี กลับมาเปิดอีกครั้งพร้อมกฎระเบียบเข้มงวด ห้ามเรือเข้าหน้าหาด ห้ามลงเล่นน้ำ เรือทุกลำต้องจอดที่โป๊ะฝั่งอ่าวโละซะมะ จากนั้นค่อยเดินไปอ่าวมาหยาที่อยู่อีกฝาก

เสียค่าเข้าอุทยานฯ คนละ 40 บาท พร้อมกับใจเต้นตุ้มต่อมว่าที่มาหยาจะเป็นอย่างไรบ้างนะ

เราก้าวพ้นแนวป่าและทางเดินตามสะพานไม้มาเห็นอ่าวมาหยาตอน 9.38 นาที โอ้วววว… สวรรค์อยู่ตรงหน้าชัดๆ หาดทรายกว้างขาวละเอียด หน้าหาดเรียบร้อยไม่มีเรือสักลำ ทะเลสีเขียวอมฟ้าเข้ากับสีท้องฟ้าเข้มและภูเขาหินปูนที่อยู่ตรงหน้า บอกตามตรงไม่คิดว่าจะมีโอกาสเห็นภาพมาหยาแบบนี้ในชีวิตมาก่อน

ผมเลือกมาสายนิดหน่อยเพราะอยากให้มุมแสงสาดลงทะเลสวยๆ ผู้คนที่หาดเลยไม่ใช่โล่งโจ้ง มีนักท่องเที่ยวพอสมควรแต่เมื่อเทียบกับพื้นที่หาดแล้วต้องถือว่าสบาย ไม่แน่นขนัดเป็นตลาดนัดเหมือนเมื่อก่อน และเพราะการไม่อนุญาตให้เล่นน้ำ (หากเห็นใครลงทะเลเกินหัวเข่าเจ้าหน้าที่จะเป่านกหวีดเตือน) ทำให้การหามุมถ่ายรูปให้เหมือนหาดส่วนตัวของเราทำได้ไม่ยาก

ถ่ายรูปถ่ายวิดีโอกันรัวๆ สิครับจะรออะไร ความสวยขนาดนี้ต้องบอกว่าสุดจัดจริงๆ

หากมาแบบจอยทริปเขาจะให้เวลาเราที่อ่าวมาหยาหนึ่งชั่วโมง แต่เพราะผมเหมาเรือเลยจัดเต็มอยู่ยาวเกือบสองชั่วโมง จนเรือทัวร์จากภูเก็ตและอ่าวนางเริ่มมาถึง คนเริ่มเยอะ จึงค่อยมูฟออนไปต่อ ซึ่งตอนนั้นผมก็อิ่มเอมความสวยจนเม็มแทบเต็มเรียบร้อย

ตามข่าวหลังจากปิดอ่าวมานานทำให้มี ฉลามหูดำ หรือฉลามครีบดำ มาวนเวียนว่ายหากินอยู่ที่นี่ ช่วงที่ผมไปอาจไม่โชคดีขนาดเห็นมาว่ายริมหาดแบบชัดๆ กลุ่มใหญ่ แต่ก็แอบไปซุ่มดูเห็นตรงแนวโขดหินได้เห็นแว้บๆ เสียดายว่าคลื่นแรงแดดไม่ลง เลยถ่ายภาพได้แค่เลืองราง (แหะๆ…)

อิ่มจากมาหยาแล้วไปต่อ เรือวนมาหน้าอ่าวจุดดำน้ำสน็อคเกิ้ล ผมกระโดดลงไปแล้วเห็นแค่ซากปะการังเป็นส่วนใหญ่ แช่น้ำแป๊บเดียวเลยขึ้นมาดีกว่า ยังไงไฮไลท์ของพีพีก็อยู่บนน้ำไม่ใช่ใต้น้ำ

ตามปกติจุดถัดไปคืออ่าวหวังหลงซึ่งเป็นจุดดำน้ำอีกแห่ง แต่เพราะคลื่นลมไม่เป็นใจเราเลยต้องข้ามไป

เราแล่นเรือออกห่างเกาะพีพีเลเพื่อกลับมาเกาะพีพีดอน จนมาจอดเทียบหาดที่อ่าวลิง มาถึงแล้วต้องร้องว้าวแบบเซอร์ไพรส์สุดๆ เพราะเป็นหาดที่สวยมาก ทรายขาวน้ำใสไม่แตกต่างจากมาหยาด้วยซ้ำ เพียงแค่หน้าหาดเปิดโล่งไม่มีภูเขาหินปูนโอบรอบ

ชื่ออ่าวลิงไม่ได้มาเล่นๆ ตรงนี้อยู่ในพื้นที่อุทยานแห่งชาติ มีลิงแสมฝูงใหญ่อาศัยอยู่ตามชายป่า ถ้าวางของไว้ริมหาดรับรองว่าโดนคุ้ยไม่เหลือ ใครจะมองเป็นสัตว์โลกน่ารักก็ว่ากันครับ ส่วนผมกับลิงมีเรื่องระหองระแหงกันประจำ ขอบายแล้วกัน ไม่ได้ถ่ายรูปมา ไม่อยากยุ่งครับ (ฮา…) เน้นถ่ายรูปหาดสวยๆ ดีกว่า

เสร็จจากอ่าวลิง เรือแล่นผ่านหน้าอ่าวโละดาลัมเพื่อไปอ่าวนุ้ย น้ำค่อนข้างลึกทีเดียว วันนี้ลมแรงเรือเข้าใกล้หาดไม่ได้ต้องว่ายน้ำเข้าไปเอง ภาพรวมถือว่าใสกริ๊ง

ขอกระโดดลงน้ำสักนิดหน่อยแล้วกัน มีปะการังหอมปากหอมคอแม้ไม่ได้สวยอลังการก็เถอะ

มองนาฬิกาถึงบ่ายสองโมง คนเรือไม่ได้เร่งเร้า แต่ครบกำหนดเวลาตามตกลงแล้วก็พอ จบทริปของเราด้วยเรือไปส่งที่อ่าวโละดาลัม

ถ่ายรูป เดินหาคาเฟ่นั่งพัก เข้าโรงแรม อาบน้ำ พักผ่อน ปิดท้ายวันด้วยการหาอะไรกินตอนหัวค่ำ… ไม่ใช่วันที่เพอร์เฟกต์ไร้ที่ติ แต่เท่าที่พบเห็นก็มีความสุขจนล้นทะลัก


จุดชมวิว & เรือคายัค

วันที่สี่ของเราบนเกาะพีพี ยังเหลือเวลาอีกวันให้เที่ยว ช่วงครึ่งวันเช้าผมเลือกเดินขึ้นจุดชมวิวเกาะพีพี อีกแลนด์มาร์คซึ่งยังไงก็ห้ามพลาดถ้ามาค้างบนเกาะ

จุดชมวิวทั้งหมด 4 จุด 1 2 3 4 ไล่เรียงกัน มีทางขึ้นสองทางคือจากจุดที่ 1 และ 3 แต่แนะนำให้ขึ้นทางจุดที่ 1 เดินง่ายและสะดวกกว่า มีป้ายบอกทางอยู่เลยบลูมั้งกี้ รีสอร์ท ไปเล็กน้อย เป็นบันไดคอนกรีต ผ่านที่พัก ร้านอาหาร พร้อมป้ายบอกตลอดว่าเป็นพื้นที่ส่วนบุคคล ค่าเข้า 30 บาท

ถึงจุดที่ 1 เป็นแบบนี้แหละ เริ่มเห็นความสวยบ้างแล้ว เขาจัดทำพื้นที่พักผ่อนไว้โอเคทีเดียว

เดินต่อไปจุดที่ 2 อีกสัก 500 เมตร เป็นทางปูนทั้งหมด ซึ่งรับประกันเลยว่าถึงแล้วต้องร้องว้าว เพราะจุดนี้คือไฮไลท์สวยสุด วิวเปิดโล่ง มีที่พัก ร้านอาหาร คาเฟ่ บริการด้วย

ผมเลือกมาช่วงสายเพราะชอบวิวทะเลกับแดดแรงสีสันสดใส แต่หากใครชอบฟ้ายามเย็นพระอาทิตย์ตก ตรงนี้ก็จัดว่าเด็ดเหมือนกัน

ลงจากจุดชมวิวไปหาข้าวกิน พอตอนบ่ายเดินถ่ายรูปเล่นอีกรอบ วันนี้อ่าวต้นไทรน้ำสวยใสเลยเชียวครับ

สักบ่ายสองครึ่ง เปลี่ยนแนวไปฝั่งอ่าวโละดาลัม เราเล็งไว้แล้วว่าอยากมาพายเรือคายัค สามารถพายไปอ่าวลิงกับอ่าวนุ้ย (ที่เราไปเมื่อวาน) มีเรือให้เช่าหลายเจ้า ค่าเช่าชั่วโมงแรก 200 บาท ต่อไปชั่วโมงละ 100 บาท พร้อมกระเป๋ากันน้ำให้ยืมใส่ของฟรี

จ้ำพายจ้ำพาย เป้าหมายของเราคืออ่าวลิง ถึงแดดจะร้อนแต่ทะเลพีพีทำให้เพลินตาเหลือเกิน น้ำสวยใสมากๆ

ถึงอ่าวลิง วันนี้ไม่เหมือนเมื่อวานเพราะเรามาตอนน้ำลงเยอะแล้ว ตอนแรกคิดว่าจะขึ้นหาดไปถ่ายรูปเล่น ปรากฎว่าพายอยู่นอกหาดมองย้อนเข้าไปได้ภาพสวยกว่าซะงั้น (ฮา…)

ห้าโมงเย็นพายเอาเรือกลับมาคืน ยังยืนยันว่าพื้นที่อ่าวโละดาลัมแปลกกว่าชายหาดอื่นที่เคยเที่ยวมา ขนาดออกมาห่างจากหน้าหาดเป็นร้อยเมตรยังยืนได้อยู่เลย

หมดพลังเรียบร้อยในวันนี้ เราสองคนเดินเล่นบนเกาะ หาข้าวหาน้ำปั่นกิน เข้าโรงแรมอาบน้ำ และนอนสลบฝันดีถึงความสวยของพีพีที่ได้สัมผัสมา


ถึงเวลากลับบ้าน

วันเดินทางกลับ เราจองเที่ยวเรือสปีดโบ๊ทรอบ 8.45 น. จากอ่าวต้นไทร เก็บของเช็คเอาต์จากโรงแรม หาข้าวกิน แล้วเดินมาท่าเรือแบบสบายๆ เรือออกตรงเวลา แล่นฉิวมากเพราะคลื่นลมเบาลงเยอะ

ขากลับเรือมาส่งเราแถวท่าเรือเจ้าฟ้าจุดเดิม ซึ่งแน่นอนว่ามีทั้งวินมอเตอร์ไซค์ แท็กซี่ รถตู้รถเหมาต่างๆ มาเสนอขายบริการพาไปส่งสนามบิน สนนราคาคิด 150 บาท ต่อคน

ผมไม่รีบร้อนเพราะไฟลท์บินกลับตั้งบ่ายสองโมงครึ่ง เลยเลือกเดินไปลานปูดำ เพราะฝั่งเยื้องกันตรงหน้าโรงแรมริเวอร์ วิว โฮเทล จะมีป้ายรถประจำทางและคิวสองแถวจอดอยู่ (ขอยืมภาพมาจากกูเกิ้ลแม็พนิดหน่อยนะ)

สองแถวสีแดงเป็นรถรอบเมืองและไป บขส. ส่วนสีน้ำเงินไปทางอำเภอเหนือคลอง ผ่านสนามบินกระบี่ เรานั่งคันสีน้ำเงินได้เลยเขาไปส่งถึงหน้าอาคารผู้โดยสารขาออก ค่ารถคนละ 50 บาท

นั่นแหละครับ ปิดทริปเที่ยวกระบี่เวอร์ชั่นเกาะพีพี 5 วัน 4 คืน เที่ยวแบบไม่รีบร้อน ได้เข้าถึงคำว่าพีพีจนเต็มอิ่ม เรียนรู้หลายสิ่งหลายอย่างบนเกาะ เป็นพีพีแบบที่ใครก็แบกเป้เที่ยวได้

มีงบจำกัด พักประหยัด กินน้อยๆ หากใครงบเยอะจะนอนรีสอร์ทหรูหราก็ตามความต้องการ เพียงแค่แนะนำว่าหากใครอยากเห็นความสวยของอ่าวมาหยาแบบที่สักครั้งในชีวิตควรค่าแก่การสัมผัส ให้ลองมาตั้งหลักที่นี่ดูครับ

ที่สำคัญจะได้รู้ด้วยนะว่าพีพียังมีอะไรอื่นที่สวยงามนอกเหนือจากแค่อ่าวมาหยาครับ


ติดตามเรื่องราวการท่องเที่ยวเดินทางของผมได้อีกช่องทาง
https://www.facebook.com/alifeatraveller

นายสองสามก้าว / A Life, A Traveller

 วันอังคารที่ 8 มีนาคม พ.ศ. 2565 เวลา 10.43 น.

ความคิดเห็น