นาแห้ว เลย อำเภอสุดสวย สุดสงบ แต่ก็สุดแสนไกล แถมไม่มีรถโดยสารเข้าถึง ใครคิดเที่ยวนาแห้วจึงต้องใช้รถส่วนตัวเดินทาง แต่เพราะความสวยของนาแห้วนั่นแหละ ไม่ว่าจะยังไงผมก็ต้องหาทาง “พาเธอ” ไปเที่ยวให้ได้

ขอเล่านิดนึงว่า นาแห้ว เป็นอำเภอชายแดนไทย-ลาว ที่อยู่ทางตะวันตกเฉียงเหนือสุดของอีสาน ติดอำเภอนครไทย กับอำเภอชาติตระการ พิษณุโลก อีกนิดเดียวก็เข้าอุตรดิตถ์ ที่นี่เลยเป็นอีสานซึ่งไม่เหมือนอีสาน ให้อารมณ์แบบอำเภอในอ้อมกอดภูเขาของภาคเหนือมากกว่า

ปัจจุบันไม่มีรถโดยสารสาธารณะใดๆ เข้าถึงนาแห้ว เมื่อก่อนเคยมีสองแถววิ่งจากอำเภอด่านซ้ายวันละไม่กี่รอบ แต่พอไม่มีคนขึ้น ชาวบ้านมีรถส่วนตัวกันหมด สองแถวดังกล่าวก็เลิกวิ่งไป

ผมเคยได้ยินชื่อนาแห้วมานาน จนปลายฤดูฝนปีก่อนได้ไปเที่ยวครั้งแรกกับเพื่อน นาเขียวสวย หมอกคลุมเขา เงียบสงบที่สุด ชอบมากจนถึงขั้นตั้งเป้าว่าสักครั้งจะพา "เธอ" ไปเที่ยวนาแห้วในฤดูฝนให้ได้ แม้เราจะไม่มีรถส่วนตัว แต่พอมุ่งมั่นว่าจะไปแล้วเดี๋ยวก็หาทางได้เองแหละน่า

เสิร์ชข้อมูลนั่นโน่นนี่จนเจอว่าในตัวเมืองเลยมีร้านรถมอเตอร์ไซค์ให้เช่า ขี่ไปเที่ยวนาแห้วร้อยกว่ากิโลพอไหวอยู่ แถมพวกเรายังเดินทางง่ายเพราะอยู่โคราช มีรถโดยสารวิ่งยาวถึงเมืองเลยวันละตั้งหลายรอบ


(1)

ข้อมูลพร้อมแล้วก็ตัดถึงวันเดินทางกลางเดือนสิงหาคม เรานั่งรถจากโคราชของนครชัยขนส่ง รอบแรก 8.00 น. ไปทาง ชัยภูมิ ภูเขียว เลี้ยวเข้าชุมแพ ผ่าน ภูกระดึง หนองหิน จนถึง บขส.เลย ตอนบ่ายๆ ลงรถไม่ทันไรฝนก็ตกกระหน่ำทักทายทันที สมกับเป็นฤดูฝนจริงๆ

รอจนฝนเริ่มซาค่อยได้เวลาไปเช่ามอเตอร์ไซค์ เท่าที่ทราบตอนนี้ในตัวเมืองมีแค่ร้านเดียวคือที่ ซาลูน เลย เป็นผับแอนด์เรสเตอรองต์ แต่เขาทำธุรกิจรถเช่าด้วย มีมอเตอร์ไซค์ 4-5 คัน ตั้งอยู่ถนนร่วมพัฒนา หรือคนพื้นที่เรียกว่าซอยโรบอท ห่างจาก บขส. ราวสองกิโลครับ

ตอนแรกตั้งใจเดินไปร้าน พอฝนตกก็ต้องเปลี่ยนแผน ถามแท็กซี่มิเตอร์ (ที่ไม่เคยกดมิเตอร์) ว่าไปซาลูนผับเท่าไหร่ ... แท็กซี่เรียก 100 จ้า ต้องขอบาย เดินไปถามสามล้อสกายแล็ปดูบ้าง แกเรียกคนละ 40 ผมขอต่อสองคน 70 ได้ไหม แกโอเคดีลดันตามนั้น

ซาลูน เลย เป็นผับกลางคืน กว่าร้านจะเปิดก็สายหน่อย สามารถรับรถได้ตั้งแต่ 11.30 น. ถึง 23.00 น. การมาถึงตัวเมืองเลยช่วงบ่ายของผมจึงถือว่าลงตัวครับ

ถึงร้านบ่ายสามกว่า พนักงานบอกว่าเมื่อวานมีฝรั่งมาเช่ารถไปหลายคัน เหลือให้ผมคันเดียวคือฮอนด้าคลิก ซึ่งสภาพดีและใหม่พอสมควร ราคาคันละ 300 บาท ต่อวัน (นับ 24 ชั่วโมง) มัดจำ 2,000 บาท เงื่อนไขนี้โอเคครับสำหรับผม

เพราะรถน้อยแนะนำให้จองล่วงหน้าครับ ถามข้อมูลเพิ่มเติมตามรูปนามบัตรได้เลยครับ

รับรถเสร็จก็ลุยโลด ทริปนี้ไม่มีแผนอะไรนอกจากอยากพาเธอไปนาแห้ว แต่วันแรกกับเวลาสายขนาดนี้คงไม่ถึงนาแห้วแล้วล่ะ เลยคิดว่าจะหาที่นอนแถวภูเรือ ระหว่างทางแทน

แว้นมาเรื่อยถึงอำเภอภูเรือเกือบเย็น ผมนึกถึงบ้านไฮตาก จุดเช็คอินวิวสวยกำลังดังที่เคยมาตั้งแต่ปีก่อน ลองโทรถาม ไฮตาก แคมป์ปิ้ง พี่เจ้าของจำได้ (เพราะเคยถ่ายทะเลหมอกสวยๆ ให้เขา) บอกว่าวันนี้ว่างมากไม่มีลูกค้า เข้ามาได้เลย จากตัวภูเรือไปบ้านไฮตากประมาณ 15 กิโล ส่วน ไฮตาก แคมป์ปิ้ง ก็อยู่ตรงจุดชมวิวไฮตากแลนด์ วัดโพธิ์ชัย นั่นเลย

เย็นย่ำวันศุกร์ บ้านไฮตากกับฟ้าหลังฝนสวยมาก จอดรถปุ๊บรีบหยิบกล้องมาถ่ายรูปทันที

ที่ ไฮตาก แคมป์ปิ้ง มีลานกางเต็นท์ (เอาเต็นท์มาเองคิด 150 ต่อคน) มีเต็นท์กระโจม (เต็นท์ละ 750 พักได้ 2 คน) แล้วก็บ้านพัก (หลังละ 2,500 พักได้ 4 คน) ช่วงนี้ฝนตกผมไม่คิดกางเต็นท์ตัวเองอยู่แล้ว ให้เธอตัดสินใจว่าจะนอนบ้านพักหรือเต็นท์กระโจม... ไม่ต้องเดาผลหรอกนะครับว่าเธอเลือกแบบไหน (ฮา...) บอกนิดว่าเพราะเป็นลูกค้าเก่า เป็นวันธรรมดา และมาแค่สองคนจากบ้านพักได้สี่คน คราวนี้ได้ลดราคามาแบบพิเศษนะครับ ไม่ได้จ่ายเต็ม

อันนี้เป็นเพจของไฮตาก แคมป์ปิ้ง ลองไปดูได้ www.facebook.com/HaitakCamping และสามารถติดต่อได้ที่เบอร์นี้ด้วย 0895726180

บ้านพักเพิ่งเปิดสดๆ ซิงๆ ครั้งล่าสุดผมมาที่นี่ตอนสงกรานต์ยังสร้างไม่เสร็จเลย ห้องใหญ่โอเค ห้องน้ำในตัว มีแอร์ น้ำอุ่น ระเบียงกว้าง มีชิงช้าให้นั่งเล่น มีโต๊ะสำหรับกินหมูกระทะ สะดวกสบายและสะอาดดีครับ ส่วนอาหารสามารถสั่งได้จากร้านใกล้เคียง มีบริการส่งถึงที่นี่

สำหรับรูปในบ้านพัก… … ... ... … ความผิดพลาดทางเทคนิค ทำไฟล์ภาพหายไปไหนไม่รู้ครับ หาทางกู้คืนไม่ได้ด้วย ขออภัยเป็นอย่างสูง (ฮือ…)

คืนนี้แสงรบกวนอาจจะเยอะเมฆก็ลอยแยะ แต่ยังพอโชคดีจับช้างมาได้หนึ่งเชือกแบบกรุบกริบครับ


(2)

เราตื่นเช้าพร้อมเสียงฝนเปาะแปะ ฉะนั้นอย่าหวังถึงทะเลหมอกเลย (ฮา...) ถึงอย่างนั้นบรรยากาศแบบนี้ก็สดชื่นดีมากๆ

ติดกับไฮตาก แคมป์ปิ้ง คือร้านคอฟฟี่ เดอ ไฮตาก เป็นร้านยอดฮิตกับมุมชมวิวสวยเหมือนกัน แวะไปจิบกาแฟได้ ราคาไม่แพง เห็นว่าเขาเพิ่งสร้างบ้านพักเสร็จด้วย ลองสอบถามดูแล้วกัน

เราออกจากบ้านไฮตากราวสิบโมงเช้ายิงยาวไปนาแห้ว ตั้งแต่พ้นตัวอำเภอด่านซ้ายหลายคนคงรู้ว่าเป็นทางขึ้นเขา ฝนตกพรำๆ บางช่วงทำให้ต้องขี่กันช้าๆ เน้นความปลอดภัยเป็นหลัก

ถึงแล้วววว... ภูเก้าง้อม ถนนลอดฟ้าคดเคี้ยว จุดเช็คอินยอดฮิตซึ่งเมื่อลงจากเขาตรงนี้ก็จะเข้าสู่อำเภอนาแห้วจริงๆ

แต่ที่ผมชอบมากกว่าคือป้ายทางหลวงตรงนี้ครับ อยู่สามแยกทางเข้าบ้านซำทอง หลังลงจากภูเก้าง้อม ซ้ายไปนาแห้ว ขวากลับด่านซ้าย ดูคลาสสิกดีนะ

ช่วงสุดท้ายแล้วก็บิดดิ่งตรงเข้านาแห้ว ผ่านตำบลนาพึง ผ่านที่ว่าการอำเภอ เทศบาลตำบลนาแห้ว จนถึงบ้านเหมืองแพร่ นั่นแหละคือใจกลางอำเภอนาแห้ว

ที่พักของเราที่นาแห้ว จองไว้เรียบร้อยคือกบโภชนา (ติดกับนาแห้ว รีสอร์ท) ไม่อยากเรียกที่นี่ว่าโรงแรมหรือรีสอร์ท ขอใช้คำว่าบ้านพักรายวันแล้วกัน เป็นของชาวบ้านในพื้นที่แท้ๆ ใหม่เอี่ยม สะอาด แอร์ น้ำอุ่น พร้อม คืนละแค่ 500 บาท รอบสองแล้วที่ผมพักที่นี่

ทริปนี้ตั้งใจพาเธอมาดูทุ่งนาเขียวๆ เพราะฉะนั้นพอเก็บของ พักเอาแรงนิดหน่อยแล้วก็ลุยโลดไปบ้านแสงภา แลนด์มาร์คที่ทำให้นาแห้วโด่งดังขึ้นมา อยู่ห่างจากบ้านเหมืองแพร่สัก 10 กิโล

นาแห้วฤดูฝนเป็นอะไรที่สดชื่นมาก มองทางไหนก็เขียวทางไหนก็สวย เป็นบรรยากาศซึ่งทำให้ผมหลงรักการเดินทางในฤดูฝน เราขี่รถไปก็แวะถ่ายรูปไปแบบเพลินสุดใจ

เลยบ้านแสงภาไปนิดหน่อยมีร้านกาแฟ-อาหาร ชื่อโกดัง คาเฟ่ ร้านของคนในพื้นที่เหมือนกัน ฝั่งตรงข้ามร้านเป็นทุ่งนากำลังเขียวชอุ่ม เราไปเติมท้องนั่งเล่นชมวิวกันที่นั่นด้วยครับ

พอเย็นๆ ขี่จากบ้านแสงภากลับมาบ้านเหมืองแพร่ ทุกวันเสาร์จะมีถนนคนเดิน ซึ่งเริ่มมีสัก 2-3 เดือนที่ผ่านมานี่เอง แต่ช่วงนี้ฝนตกตลอดตลาดเลยเงียบเหงา แม่ๆ ป้าๆ มาตั้งโต๊ะขายของไม่กี่ร้าน ไว้ช่วงหน้าหนาวคงกลับมาคึกคักขึ้นครับ

เราสองคนมานั่งกินหมูกระทะที่บ้านเหมืองแพร่ มีร้านนึงติดกับที่ส่งของเคอร์รี่ เจ้าของเดียวกับนานาธานี ฟาร์มสเตย์ ใครมากินหมูกระทะก็สอบถามข้อมูลท่องเที่ยวที่นี่ได้เลย เจ้าของชื่อพี่เป้า เป็นลูกชายแห่งนาแห้วแท้ๆ รู้จักทุกซอกทุกมุม

พออิ่มท้องกับได้ข้อมูลเพิ่มเติมสำหรับเที่ยววันพรุ่งนี้แล้ว ก็กลับที่พักกบโภชนา นอนสบายกับอากาศดีๆ อีกหนึ่งคืน


(3)

เช้าวันที่สาม แพลนทริปคร่าวๆ ตอนแรกว่าจะตื่นมาใส่บาตรที่บ้านเหมืองแพร่ แล้วขึ้นผาหมวก-ผาหนอง ชมวิวลุ้นทะเลหมอก แต่ทุกอย่างพังหมดเพราะฝนตกไม่หยุดตั้งแต่เมื่อคืน ก็ดีนะใช้เป็นข้ออ้างนอนยาวๆ (ฮา...)

สายๆ แหละครับกว่าฝนจะเริ่มซา เราออกมาหาของกินที่บ้านเหมืองแพร่ ถ่ายรูปเล่นที่ริมแม่น้ำเหืองสักนิด ฝั่งตรงข้ามแม่น้ำคือประเทศลาว ใกล้กันแค่นี้เอง บ้านพี่บ้านน้องจริงๆ เพราะคนนาแห้วมีญาติพี่น้อง ลุงป้า น้าอา อยู่ฝั่งโน้นไม่น้อย ที่เป็นแบบนี้เพราะผลจากการเสียดินแดนให้ฝรั่งเศส สมัย ร.5 ทำให้หมู่บ้านที่อยู่ริมเหืองสองฝั่งน้ำ โดนสับออกเป็นสองประเทศ ครอบครัวเดียวกันบางคนก็เลือกอยู่ฝากนั้น บางคนก็เลือกมาอยู่ฝากนี้

จากนั้นไปผาหมวก-ผาหนอง หรือหน้าผาที่มองเห็นจากริมน้ำเหืองบ้านเหมืองแพร่นั่นแหละ เป็นจุดชมวิวที่ผมยังไม่เคยขึ้นเหมือนกัน

ผาหมวก-ผาหนอง เป็นแนวหน้าผาเดียวกัน อยู่ในความดูแลของเทศบาลตำบลนาแห้ว ถนนอย่างดีตลอดสายจนถึงลานจอดรถ มีห้องน้ำ จุดชมวิว รวมถึงจุดกางเต็นท์ (แต่ไม่มีคนดูแลนะ) ไม่มีค่าเข้า ส่วนค่ากางเต็นท์สามารถสแกนคิวอาร์โค้ดจ่ายให้เทศบาล ขอบอกว่าทันสมัยสุดๆ

จากจุดจอดรถเดินเท้า 600 เมตร จะถึงผาหมวก แล้วเดินต่ออีก 600 เมตร จะถึงผาหนอง เส้นทางชัดเจนมาก เดินเองได้สบาย ไม่ชันเท่าไหร่ ถือเป็นเส้นทางศึกษาธรรมชาติแบบง่ายๆ ครับ

ถึงแล้วผาหมวก จุดนี้ต้องเราร้องโอ้โหกันเลย นี่แหละคือสิ่งยืนยันว่านาแห้วหน้าฝนสวยที่สุด ทุ่งนาเขียวขจีแบบร้อยเปอร์เซ็นต์ ที่เห็นเขียวๆ คือทั้งไทยทั้งลาวนะ ให้มองบ้านเหมืองแพร่เป็นหลัก จะเห็นแม่น้ำเหืองไหลคดเคี้ยวยึกยัก ฝั่งซ้ายมือของเรา (หรือเรียกว่าฝั่งขวาของแม่น้ำเหือง) คือไทย ส่วนฝั่งขวามือของเรา (หรือเรียกว่าฝั่งซ้ายของแม่น้ำเหือง) คือลาว

เดินต่ออีก 600 เมตร ไปผาหนอง จะผ่านป้ายบอกจุดน่าสนใจต่างๆ เป็นระยะ เมื่อก่อนที่นี่เป็นฐานที่มั่นในการต่อสู้กับคอมมิวนิสต์

ถึงผาหนอง นอกจากวิวเดียวกับผาหมวกที่มุมต่างกันนิดหน่อย ยังมีมุมให้ชมวิวด้านอื่นๆ ด้วย หากมาตอนมีหมอกหรือแสงเช้าแสงเย็นคงจะสวยน่าดูเหมือนกัน แต่ถ้าเทียบเฉพาะวิวฝั่งที่เห็นทุ่งนาบ้านเหมืองแพร่ ผมชอบตรงผาหมวกมากกว่าไม่จำเป็นต้องเดินมาถึงผาหนองก็ได้

เราลงจากผาหมวก-ผาหนอง บ่ายโมงนิดๆ ขี่ไปกินข้าวกลางวันที่โกดัง คาเฟ่ แล้วค่อยตะลอนหามุมถ่ายรูปทุ่งนาซึ่งยังไม่ได้ไป การลัดเลาะตามหมู่บ้าน ตามทางสวนทางภูเขา ยังมีความเขียวให้เห็นอีกเยอะเลย

ตรงนี้เป็นจุดโดนใจผมมาก มีที่พักด้วยชื่อว่านาปากคา ฟาร์มสเตย์ น่าเสียดายไม่มีคนอยู่เลยไม่ได้สอบถามข้อมูลราคา เอาเป็นว่าถ่ายป้ายกับเบอร์โทรศัพท์มาให้เผื่อใครสนใจครับ

ขี่ฮอนด้าคลิกไปโน่นมานี่จนหนำใจ ก็กลับมาถ่ายรูปตรงบ้านแสงภาอีกรอบ มีหมอกกำลังลงนิดหน่อยพอดี มุมนี้ถ่ายยังไงก็ไม่เบื่อครับ

อ้อ... ที่นาแห้วไม่มีปั๊มน้ำมันใหญ่นะ ปั๊มใหญ่สุดท้ายอยู่ที่ด่านซ้าย หากเข้ามาถึงนี่แล้วจะมีแค่ปั๊มแบบตู้อัตโนมัติเท่านั้น

เย็นนี้เราหาของกินง่ายๆ แถวบ้านเหมืองแพร่ แล้วกลับที่พัก แม้จะดูเหมือนไม่มีอะไรให้เที่ยวมาก แต่ความจริงนั้นเป็นวันที่เราได้สูดบรรยากาศสีเขียวอย่างเต็มอิ่มเต็มปอดเชียวแหละ


(4)

วันสุดท้ายของการเดินทาง รอบรถขากลับโคราชสะดวกที่สุดคือบ่ายโมงตรง เพราะฉะนั้นเลยต้องรีบกันหน่อย การขี่กลับรวดเดียว นาแห้ว-เมืองเลย ด้วยรถฮอนด้าคลิกไม่ใช่บิ๊กไบค์ มันต้องเผื่อเวลาพอประมาณ

เช็คเอาต์จากที่พักเจ็ดโมงกว่า ขี่ฝ่าสายฝนพรำๆ แวะถ่ายรูปอีกรอบที่ภูเก้าง้อม กินข้าวที่ตัวอำเภอด่านซ้าย แล้วยิงยาวผ่านภูเรือ เข้าตัวเมืองเลย ถึง บขส.เลย ตอนสิบโมงครึ่ง เราซื้อตั๋วรถให้เรียบร้อย ฝากกระเป๋าเป้ใบโตไว้ด้วย แล้วค่อยหาคาเฟ่นั่งพักสักแป๊บ รอเวลาตอนเที่ยง ค่อยขี่รถไปคืนร้านซาลูน เลย (อย่าลืมล่ะว่าเขาเปิด 11.30 น.)

ส่งรถรับค่ามัดจำ 2,000 บาท คืนเรียบร้อยไม่มีปัญหา เวลามีเหลือเฟือเลยเดินจากร้านไป บขส. ระยะทางสองกิโล เดินเรื่อยๆ แป๊บเดียวก็ถึง ทันเวลารถรอบบ่ายโมงตรง

นั่นคือทั้งหมดของทริปนี้ครับ ทริปพาเธอเที่ยวนาแห้ว ดูทุ่งนาสวยๆ ดูสายหมอกขาวๆ ไปเสพความสงบ สัมผัสความสุขของฤดูฝนอย่างเต็มที่

แต่นั่นยังไม่ใช่ทั้งหมดของอำเภอนาแห้วนะ เป็นเพียงเสี้ยวเดียวเท่านั้น ยังมีจุดน่าสนใจอีกเยอะ (ทั้งที่ผมเคยไปครั้งก่อนและยังไม่ได้ไป) มีอุทยานแห่งชาติภูสวนทราย ภูค้อ ภูทอก มีเส้นทางเดินป่า น้ำตกเป็นสิบแห่ง ทุ่งนา รวมถึงกิจกรรมด้านประเพณีวัฒนธรรม วัดศรีโพธิ์ชัยแสงภา วัดพระธาตุดินแทน วัดโพธิ์ชัยนาพึง การแห่ต้นดอกไม้หนึ่งเดียวในโลก กับอะไรต่อมิอะไรอีกมาก รวมถึงด่านชายแดนชั่วคราวบ้านเหมืองแพร่ซึ่งน่าจะเปิดในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า

ระยะเวลาไม่ถึงหนึ่งปีที่ผ่านมา นี่คือการมาเที่ยวนาแห้วครั้งที่สี่สำหรับตัวผม ไม่คิดเหมือนกันว่าจะมีโอกาสหรือหาเรื่องมาบ่อยได้ขนาดนี้ และแน่นอนว่ามันคงไม่หยุดอยู่เพียงเท่านี้หรอกครับ

นาแห้วยังมีอะไรอีกเยอะให้ค้นหา ผมไม่รีบร้อนเที่ยวทีเดียวให้หมดหรอก ขอแค่เที่ยวครั้งละนิดครั้งละหน่อย เพื่อจะได้มีข้ออ้างให้กลับมาเรื่อยๆ ได้ตลอดยังไงล่ะ


ติดตามเรื่องราวการท่องเที่ยวเดินทางของผมได้อีกช่องทาง
https://www.facebook.com/alifeatraveller

นายสองสามก้าว / A Life, A Traveller

 วันจันทร์ที่ 29 สิงหาคม พ.ศ. 2565 เวลา 11.01 น.

ความคิดเห็น