ที่ยวน่าน ปัว&บ่อเกลือ

(C View Home + Mee Sapan + กลิ่นไอเกลือ)

"หนีร้อน มานอนน่าน"

การออกเดินทาง ไม่ว่าใกล้หรือไกล ไม่ว่าไปคนเดียวหรือไปกับใคร ทุกครั้งจะทำให้เราได้เรียนรู้โลกใบนี้มากขึ้น ได้เห็นได้มองดูสิ่งแวดล้อมที่ต่างออกไปด้วยระยะเวลายาวนานขึ้น ไม่เร่งรีบ ไม่ฉาบฉวย ได้เห็นผู้คนที่มีวิถีชีวิตที่แตกต่างกันไป และได้เข้าใจสิ่งต่างๆรอบตัวมากขึ้นรวมถึงตัวเราเองด้วย สำหรับทริปนี้เลือกเส้นทาง ปัว – บ่อเกลือ จังหวัดน่าน เพราะเดินทางในช่วงที่เริ่มเข้าสู่ฤดูร้อนแล้วแต่ทราบมาว่าที่ 2 อำเภอของน่านนั้นยังมีอากาศเย็นอยู่


การเดินทาง กทม. – น่าน

- รถทัวร์ : ใช้เวลาประมาณ 10 ชั่วโมง ปัจจุบันรถทัวร์ที่วิ่งระหว่าง กทม. – น่าน มีหลายบริษัท และหลายช่วงเวลาให้เลือกเดินทาง สามารถขึ้นรถได้ทั้งที่ หมอชิต 2 และศูนย์บริการของบริษัทรถทัวร์เอง คือ สมบัติทัวร์ บขส. บุษราคัมทัวร์ นครชัยแอร์ บางกอกบัสไลน์ โดยดูเวลาได้จากตารางด้านล่างนะคะ


- เครื่องบิน : ใช้เวลาเดินทางประมาณ 1 ชั่วโมง 30 นาที สำหรับผู้ที่ต้องการประหยัดเวลาในการเดินทาง วิธีนี้จะเป็นวิธีที่ดีที่สุด ซึ่งปัจจุบันมีสายการบิน ระหว่าง ท่าอากาศยานดอนเมือง กรุงเทพฯ – ท่าอากาศยานน่านนคร น่าน ทั้งหมด 2 สายการบิน คือ Thai Air Asia และ Nok Air ส่วนราคา ขึ้นอยู่กับช่วงเวลาสำรองที่นั่ง

การเดินทางในจังหวัดน่าน

- ระหว่างตัวเมืองออกไปอำเภอต่างๆจะมีรถบัสและรถสองแถวไว้คอยให้บริการ โดยส่วนมากจะสามารถขึ้นได้ที่สถานีขนส่งผู้โดยสาร


- มอเตอร์ไซต์รับจ้าง ราคาแล้วแต่จะตกลงกันค่ะ ถ้าหากวิ่งระหว่าง ขนส่ง – สนามบิน จะอยู่ที่ เที่ยวละ 50 บาท


- แท็กซี่ ในจังหวัดน่านจะเป็นแท็กซี่ที่คิดราคาตามระยะทาง มีราคากำหนดไว้ชัดเจน ซึ่งมีอยู่ราวๆ 10 กว่าคัน สามารถโทรศัพท์เข้าส่วนกลางเพื่อแจ้งพิกัด รับ-ส่ง ได้ ออกต่างอำเภอหรือต่างจังหวัดได้ แต่ราคาค่อนข้างสูง ถ้าหากวิ่งระหว่าง ขนส่ง – สนามบิน ราคาอยู่ที่ เที่ยวละ 100 บาท


- รถเช่า แนะนำ AVIS Rent a car สามารถ รับ – ส่ง รถ ที่ท่าอากาศยานน่านนคร เนื่องจากของเจ้านี้รถใหม่ บริการดี มีการตรวจเช็คและระบุรอยขีดข่วนหรือรอยตำหนิต่างๆรอบรถไว้ในเอกสารอย่างชัดเจน และที่สำคัญมากๆเลย โดยปกติแล้วการเช่ารถรายวัน จะคิดเป็น 1 วัน = 24 ชั่วโมง เริ่มรับรถเวลาไหนก็ต้องคืนรถเวลานั้น เช่น รับรถวันนี้ เวลา 10.00 น. จะต้องคืนรถไม่เกิน 10.00 น. ของวันพรุ่งนี้ ถ้าหากเกินเวลาที่กำหนดจะมีค่าปรับ อาจคิดเป็นรายชั่วโมง หรือคิดเป็นอีกวันเพิ่มไปเลย ขึ้นอยู่กับบริษัทรถเช่า แต่ Avis จะสามารถคืนรถช้าได้ถึง 4 ชั่วโมง และซื้อประกันต่างๆเพิ่มได้อีกด้วย สามารถติดต่อเช่ารถได้ที่หน้าเค้าน์เตอร์ในสนามบิน หรือ ที่เว็บไซต์ www.avisthailand.com และติดต่อทางโทรศัพท์ที่เบอร์ 02-251-1131-2, 02-255-5300-4



แผนการเดินทาง น่าน (อ.ปัว – อ.บ่อเกลือ) 3 วัน 2 คืน

วันที่ 1

08.00 น. - รับรถจากท่าอากาศยานน่านนคร

09.30 น. - ไหว้พระ และชมต้นดิกเดียมที่ วัดปรางค์

10.00 น. - เล่นน้ำ ชมวิว ที่ หาดน้ำปัว

12.00 น. – ทานอาหารกลางวัน ร้าน Little La Cuisine

13.30 น. – ไหว้พระและนั่งชมวิวที่ วัดพระธาตุเบ็งสกัด

14.30 น. – ชมการทอผ้าฝ้าย และชิมขนมจีนห้อยขา ร้านแพวผ้าฝ้าย

16.30 น. - เช็คอินที่ C View Home พักผ่อนตามอัธยาศัย

18.30 น. – เดินเล่นที่ ถนนคนเดินกาดสวนสาฯ

20.00 น. – รับประทานอาหารเย็น “หมูกระทะ” ที่ C View Home

วันที่ 2

08.00 น. - รับประทานอาหารเช้า

10.00 น. – ไหว้พระและชมวิวจากมุมสูงที่ วัดภูเก็ต

10.30 น. – แวะดื่มเครื่องดื่มเย็นๆและนั่งเล่นที่ กาแฟบ้านไทลื้อ

11.30 น. – เล่นน้ำที่ วังศิลาแลง

13.00 น. ไปทานพิซซ่าเห็ด ที่ ฟาร์มเห็ดบ้านหัวน้ำ

14.30 น. – มุ่งหน้าสู่ อ.บ่อเกลือ โดยใช้เส้นทาง 1256

15.30 น. – เช็คอินที่ Mee Sapan

16.00 น. – เดินเล่นรอบๆและบริเวณใกล้เคียง

17.30 น. – ทานอาหารเย็นที่ Mee Sapan

วันที่ 3

08.00 น. – ทานอาหารเช้าที่ Mee Sapan

09.00 น. – เดินเล่นในเส้นทางธรรมชาติ เข้าน้ำตกสะปัน

10.00 น. – แวะชมวิวและทักทายน้องๆนักเรียนที่ โรงเรียนบ้านสะปัน

10.30 น. – อาบน้ำ เช็คเอ๊าท์

11.00 น. – ชมบ่อเกลือโบราณ และการผลิตเกลือสินเธาว์ เกลือภูเขาแห่งเดียวในโลก

12.00 น. – ทานอาหารกลางวันที่ ร้านกลิ่นไอเกลือ

13.30 น. – เดินทางกลับท่าอากาศยานน่านนคร

15.30 น. – ถึงท่าอากาศยาน คืนรถ

16.00 น. – นั่งแท็กซี่เข้าสถานีขนส่ง

18.30 น. – ออกเดินทางกลับ กทม.



คืนแรก

คืนวันศุกร์ที่แสนวุ่นวายบนท้องถนนในกรุงเทพมหานคร ทำให้ต้องเผื่อเวลาออกเดินทางไปยังศูนย์บริการลูกค้าสมบัติทัวร์ วิภาวดี ให้ทันรถทัวร์ กรุงเทพฯ-น่าน รอบเวลา 20.40 น. แต่ทว่ามาถึงตั้งแต่ 20.00 น. เร็วกว่าที่คิดเอาไว้เสียอีก แถมยังมีเวลาแวะซื้อลูกชิ้นนึ่งมายืนกินรอรถออกด้วย ก่อนเวลารถออกประมาณ 10 นาที เดินเข้าไปหน้าเค้าน์เตอร์ด้านในเพื่อซื้อตั๋วรถขากลับเอาไว้ให้อุ่นใจ จองรอบ 18.30 น. ซึ่งน่าจะเพียงพอสำหรับทริป 3 วัน 2 คืน แบบสบายๆไม่ต้องรีบร้อน

เมื่อได้เวลารถเคลื่อนตัวออกเดินทางช้าไปกว่าเวลาที่กำหนดไว้ประมาณ 10 นาที เพราะรอผู้โดยสารขึ้นรถจนครบ ไม่กี่นาทีจากนั้นพนักงานนำกล่องขนมและน้ำมาเสิร์ฟถึงที่นั่ง ขนม 2 ชิ้น ทิชชู่ 1 แผ่น น้ำเปล่า 1 ขวด อย่างที่คุ้นชิน เพราะพักหลังมานี้จะเดินทางกับสมบัติทัวร์อยู่บ่อยๆ


ด้วยความเร็วระดับกลางทำให้ไม่รู้สึกกระเทือนมากนัก เอนเบาะลงนอนได้อย่างอุ่นใจ มีเพื่อนร่วมทางไปด้วยกันอีก 1 คน ไฟค่อยๆหรี่กระทั่งดับลงทุกดวง หลับๆตื่นๆเพราะแสงไฟจากท้องถนนสาดส่องเข้ามาเป็นระยะๆ ปิดผ้าม่าน หยิบผ้าปิดตาขึ้นมาคาดเอาไว้ก่อนจะหลับยาวไปราว 6 ชั่วโมง เสียงเพลงจากลำโพงค่อยๆดังขึ้นพร้อมแสงไฟภายในรถ และมีเสียงประกาศแจ้งว่ากำลังจะแวะเข้าจุดพักรถที่พิษณุโลก สามารถนำคูปอง (ตั๋วรถทัวร์) ไปแลกอาหารรับประทานกันได้ (ปกติจะนั่งรถทัวร์ไปเชียงใหม่บ่อยๆซึ่งแวะพักที่กำแพงเพชร แต่สำหรับคันที่ไปน่าน จะมาแวะพักกันที่พิษณุโลก) จัดข้าวต้มกุ๊ย 1 ชุด แม้จะตี 2 แล้วก็ตาม


รถจอดพัก 20 นาที กินข้าว เข้าห้องน้ำ เสร็จแล้วขึ้นประจำที่นั่ง ไม่นานรถก็ออกตัว มุ่งหน้าสู่สถานีขนส่งจังหวัดน่าน




วันที่ 1

รถเทียบท่าเวลาประมาณ 06.30 น. ตามเวลา ลงมาเข้าห้องน้ำ ล้างหน้า แปรงฟัน เพื่อปลุกให้ตื่นพร้อมเดินทางกันต่อ จุดมุ่งหมายต่อไปคือ ไปรับรถเช่าที่สนามบิน สามารถมาขึ้นรถสองแถว สาย มทร.ล้านนาน่าน – สถานีขนส่ง ได้บริเวณข้างๆสถานีขนส่ง จุดสังเกตคือ ป้ายสีเขียวๆที่เขียนว่า “สาย 1-4 สถานีขนส่งผู้โดยสาร – รอบเมือง” รถสายนี้จะวิ่งในเมือง สำหรับเส้นทางหลัก ราคาคนละ 30 บาท หากออกนอกเส้นทาง หรือต้องการเหมา สามารถตกลงราคากันได้ เรานั่งรอจนได้เวลารถออก ทีแรกคิดว่าเดี๋ยวลงหน้าสนามบินแล้วเดินเข้าไปก็ได้ แต่คนขับยื่นข้อเสนอให้ว่าเพิ่มอีกคนละ 10 บาท จะเข้าไปส่งให้ในสนามบิน อันนี้ฟังดูดีรีบตกลงทันที


08.00 น. – รับรถจากท่าอากาศยานน่านนคร

มาถึงสนามบิน ก็คิดว่าคิดถูกแล้วล่ะที่ให้สองแถวเข้ามาส่ง เพราะถ้าเดินก็ต้องเดินประมาณ 2 กิโลเมตร (โดยปกติทั่วไปของผังสนามบิน) เมื่อลงรถแล้วเดินเข้าสนามบิน ตรงไปที่เค้าน์เตอร์ Avis ซึ่งจะเปิดให้บริการประมาณ 08.00 น. จึงนั่งรอประมาณครึ่งชั่วโมง ทำการจองมาล่วงหน้าแล้วเพียงแค่ยื่นเอกสารยืนยันการจองก็เดินออกไปรับรถกันได้ จะมีเจ้าหน้าที่พาเราเดินไปที่ลานจอดรถ ตรวจเช็ครอยขีดข่วนรอบคันและมาร์กเอาไว้ในเอกสาร ก่อนจะยื่นให้เซ็นแล้วให้เราถือไว้ ในเอกสารจะมีข้อมูลรถ เบอร์โทรศัพท์ประกัน และเบอร์โทรศัพท์ของเจ้าหน้าที่หน้าเค้าน์เตอร์ รถสภาพดี ไม่เก่า ภายในสะอาดไม่มีกลิ่นอับ ทุกครั้งที่เลือกใช้รถเช่าของ Avis ไม่เคยมีครั้งไหนที่ผิดหวังเลย


09.30 น. - ไหว้พระ และชมต้นดิกเดียมที่ วัดปรางค์

จากสนามบิน มุ่งหน้าสู่อำเภอปัว ด้วยเส้นทาง ถนนหมายเลข 101 ยิงยาวไปที่จุดมุ่งหมายแรก คือ วัดปรางค์ ระยะทางประมาณ 60 กิโลเมตร ใช้ระยะเวลาในการเดินทางประมาณ 1 ชั่วโมง


วัดปรางค์ เป็นวัดที่มีศิลปะแบบไทยคล้ายวัดทั่วไป แต่สิ่งที่ดึงดูดนักท่องเที่ยวจนทำให้วัดแห่งนี้เป็นที่รู้จัก นั่นก็คือ ความมหัศจรรย์ของต้นไม้ที่มีชื่อว่า “ต้นดิกเดียม” ซึ่งคำว่า “ดิกเดียม” ในภาษาล้านนาหมายความว่า จั๊กจี้ เพราะต้นไม้ต้นนี้เมื่อถูกสัมผัสที่ลำต้นแล้วใบจะกระดุกกระดิกได้โดยไม่มีลมแม้แต่น้อย สังเกตได้จากใบของต้นไม้บริเวณรอบๆนั้นจะอยู่นิ่ง มีเพียงใบของต้นดิกเดียมเท่านั้นที่ขยับเมื่อถูกลูบที่ลำต้น แต่ไม่ใช่ว่าใครก็มาลูบๆถูๆแล้วใบของต้นดิกเดียมจะขยับให้เห็นทุกครั้งไปนะคะ จะต้องมีวิธีการลูบ ซึ่งพระในวัดบางรูปและชาวบ้านบางท่านจะสามารถมาลูบให้เราชมใบไม้ขยับกันได้ ส่วนเรานั้นพยายามลูบอยู่สองสามครั้งกลับไม่กระดิกแม้แต่น้อย บางแหล่งข่าวอ้างว่าจะต้องเป็นผู้มีบุญมีศีลอันบริสุทธิ์ อันนี้ขึ้นอยู่กับความเชื่อ แต่เราว่ามันคือเทคนิคอย่างหนึ่งของการสัมผัส แต่จะเป็นกับต้นไม้ชนิดนี้เท่านั้น


ปัจจุบันต้นดิกเดียมเก่าแก่ที่มีชื่อเสียงต้นนี้มีอายุกว่าร้อยปีแล้ว ลำต้นเอนเอียงจนต้องทำเสาค้ำยันเอาไว้ ใกล้ๆกับต้นดิกเดียมต้นใหญ่นั้นมีต้นดิกเดียมต้นเล็กที่ได้รับการเพาะเนื้อเยื่อมาปลูกเอาไว้ด้วย


10.00 น. - เล่นน้ำ ชมวิว ที่ หาดน้ำปัว

จากนั้นมุ่งหน้าสู่ “หาดน้ำปัว” ตอนที่หาข้อมูลก่อนวันเดินทาง เราตั้งใจจะไปวังน้ำปัวเพราะเจอข้อมูลแค่ที่นั่น แต่เมื่อเข้าไปแล้วเราเลือกแวะที่ หาดน้ำปัว เพราะแตกต่างตรงที่มีการนำหินวางเรียงให้น้ำที่ไหลผ่านนั้นเกิดเป็นลักษณะคล้ายน้ำตกขนาดย่อม และเป็นช่วงโค้งน้ำพอดี ทำให้ได้ทัศนียภาพและบรรยากาศที่ดูน่าสนใจกว่ามาก ทั้งนี้ ที่วังน้ำปัวจะมีค่านั่งแพในน้ำ 50 บาท แต่ที่หาดน้ำปัวเพิ่งเปิดได้ราวๆ 3-4 เดือนจึงยังไม่มีการเก็บค่าบริการส่วนนี้แต่อย่างใด น้ำที่ไหลผ่านเป็นลำน้ำปัวที่มีน้ำใสและเย็น ลงเล่นน้ำได้อย่างเต็มที่ มีร้านอาหารไว้คอยให้บริการทั้งอาหารและเครื่องดื่ม ซึ่งจะเป็นอาหารทานเล่น ทานง่าย เช่น ส้มตำ ข้าวเหนียว ไก่ย่าง ลูกชิ้นปิ้ง และยำต่างๆ ราคาไม่แพงค่ะ


12.00 น. – ทานอาหารกลางวัน ร้าน Little La Cuisine

จากหาดน้ำปัววิ่งกลับมาที่ร้าน Little La Cuisine เป็นร้านอาหารและคาเฟ่สไตล์อิตาเลี่ยน ที่พูดได้เต็มปากเต็มคำว่า เมื่อมาเที่ยวปัวต้องห้ามพลาดร้านนี้ ความดีงามของร้านนี้หลักๆอยู่ที่รสชาติของอาหารเลยค่ะ อาหารแต่ละจานคัดสรรวัตถุดิบและปรุงรสชาติอย่างพิถีพิถัน หน้าตาชวนรับประทานเป็นอย่างยิ่ง เมื่อรับประทานเข้าไปแล้วยิ่งมีความสุขกับรสที่ได้ลิ้มลอง เชฟเจ้าของร้านผู้เชี่ยวชาญด้านการทำอาหาร จบหลักสูตรเชฟจาก Le Cordon Bleu “เป็นเครือข่ายสถาบันการศึกษาชั้นนำของโลก ที่มุ่งมั่นถ่ายทอดศาสตร์ด้านการประกอบอาหารและการโรงแรม ผ่านหลักสูตรการเรียนการสอนที่เปี่ยมด้วยคุณภาพและเป็นที่ยอมรับในระดับสากล” การันตีคุณภาพกันเลยล่ะค่ะ


ปัจจุบันนั้น ร้าน Little La Cuisine ได้ปรับปรุงขยายร้านกว้างขวางมากขึ้นกว่าเดิม ซึ่งเราเข้าไปก่อนหน้าที่จะปรับปรุงได้ไม่กี่วัน โดยได้ภาพถ่ายปัจจุบันมาจากเจ้าของร้านค่ะ


ที่อยู่ : 319 หมู่ ที่3 ต.ปัว อ.ปัว จ.น่าน 55120

เฟซบุ๊ก : Little La Cuisine

เบอร์โทร : 091 801 0889

เวลาเปิด : 11.00 – 20.00 น.


13.30 น. – ไหว้พระและนั่งชมวิวที่ วัดพระธาตุเบ็งสกัด

อิ่มท้องด้วยความอร่อยมาแล้ว เข้ามาไหว้พระและชมวิวกันต่ออีกสักหน่อย ที่วัดพระธาตุเบ็งสกัด ตั้งอยู่บ้านแก้ม หมู่ที่ 5 ตำบลปัว อำเภอปัว จังหวัดน่าน เป็นสถาปัตยกรรมไทยลื้อ เป็นวัดที่มีความเก่าแก่อีกหนึ่งแห่งของจังหวัดน่าน ซึ่งชาวบ้านในพื้นที่ได้ร่วมแรงร่วมใจกันก่อตั้งขึ้นมา ที่นี่ยังคงเป็นอีกจุดที่นักท่องเที่ยวแวะเวียนเข้ามาเที่ยวชมความงดงามของอาคารและสิ่งก่อสร้างแบบเก่าแก่ ลักษณะวิหารเป็นทรงสูงแต่หลังคาจะกดต่ำแบบช่างล้านนาเดิม ตัววิหารของวัดนั้นเป็นการสร้างตามเเบบสถาปัตยกรรมล้านนาเเท้ๆ โดยเป็นฝีมือช่างสกุลเมืองน่าน ที่มีความประณีตเป็นอย่างมากเเม้ว่าจะเป็นวัดของชาวบ้านก็ตาม


มีทำเลที่ดีเหมาะแก่การชมวิวเมืองปัวและทิวเขาได้อย่างชัดเจน เนื่องจากวัดอยู่บนเนินสูง ยิ่งช่วงฤดูทำนา จะได้เห็นวิวนาข้าวเขียวเป็นพื้นที่กว้าง


ภายในวัด ยังเป็นที่ประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุ ซึ่งบรรจุอยู่ในเจดีย์เเบบล้านนาที่มีความเก่าเเก่อีกด้วย




14.30 น. – ชมการทอผ้าฝ้าย และชิมขนมจีนห้อยขา ร้านแพวผ้าฝ้าย

เมื่อมาถึงตัวเมืองน่านแล้ว ที่พลาดไม่ได้อีกอย่างหนึ่งก็คือการมาเที่ยวชมวิถีหัตกรรมการทอผ้าฝ้ายของชาวบ้านไทลื้อ ซึ่งที่นี่มีอยู่หลายแห่งด้วยกัน แต่จะพามาที่ร้านหนึ่ง น่าสนใจมากๆนั่นก็คือ ร้านแพวผ้าฝ้าย มาที่นี่จะได้ทั้งอิ่มใจ และอิ่มท้องกลับไปอย่างแน่นอน มาเริ่มที่อิ่มใจ สามารถเข้ามาชมการทอผ้าฝ้ายจากกี่ทอผ้าแบบโบราณ ใช้แรงคนทอทั้งฝืน ไม่ใช้เครื่องจักรเลยแม้แต่น้อย มีทั้งผ้าซิ่น (ผ้าถุง) ผ้าพันคอ พรมเช็ดเท้า และผ้าผืน สำหรับตัดเย็บเป็น เสื้อ กระโปรง กางเกง กระเป๋า เป็นต้น


นอกจากนั้น ยังสามารถเข้ามาในตัวร้านที่มีเสื้อผ้าเครื่องนุ่งห่มสวยๆวางจำหน่าย ซื้อติดไม้ติดมือให้ตัวเองหรือซื้อเป็นของฝากก็มีให้เลือกหลากหลายรูปแบบกันเลยทีเดียว


ที่ทำให้ตื่นตาตื่นใจกว่าผ้าทอผ้าฝ้าย คือ กระเป๋าและเสื้อจากใยกล้วย!! คิดตามอยู่พักใหญ่ว่าใช้ส่วนไหนของกล้วย จนกระทั่งคุณแพว เจ้าของร้าน พาไปดูกรรมวิธีภูมิปัญญาชาวบ้าน ตั้งแต่การเตรียมต้นกล้วยที่จะใช้มาพักเอาไว้ จากนั้นดึงกาบต้นกล้วยออกมาตัดให้ได้ขนาดที่ต้องการ นำวางบนโต๊ะไม้แล้วใช้ช้อนขูดเนื้อเยื้อของกาบต้นกล้วยออกจนกระทั่งเหลือแต่ใยเป็นเส้นๆ แล้วยังต้องมีกรรมวิธีต่างๆอีกราว 4-5 ขั้นตอนกว่าจะได้เป็นใยกล้วยที่ใช้ทอกับเส้นด้ายแล้วออกมาเป็นผืนสำหรับตัดเย็บได้ นอกจากนี้ยังมีใยข่า ที่มีรายละเอียดมากกว่าใยกล้วยเสียอีก


จากการทอผ้า เดินมาอีกส่วนหนึ่งของร้านแพวผ้าฝ้าย ที่ทำให้อิ่มท้อง นั่นคือส่วนของร้านขนมจีนห้อยขา ซึ่งทำไว้เพื่อรองรับนักท่องเที่ยว เมื่อมาที่แพวผ้าฝ้ายแล้วสามารถพักผ่อนได้ตามอัธยาศัย ใช้เวลาอยู่ที่นี่ได้นานเลยล่ะค่ะ ชมการทอผ้าฝ้าย เลือกซื้อหรือชมผลิตภัณฑ์ต่างๆจากผ้าฝ้าย เดินเล่น ชมวิวทิวเขาจากร้าน หรือจะนั่งเล่นใต้ต้นไม้รับลมเย็นๆ แล้วยังสามารถมานั่งทานอาหารพร้อมชมวิวทิวทัศน์ไปด้วย ที่ไม่ควรพลาดคือ บุฟเฟ่ต์ขนมจีนนี่เลยค่ะ ราคาเพียง 89 บาท มีน้ำราดให้เลือกถึง 4 ชนิด ได้แก่ น้ำยาป่า แกงเขียวหวานไก่ น้ำเงี้ยว และแกงไตปลา มีส้มตำที่สามารถตำด้วยตัวเองได้ มีผลไม้ตามฤดูกาล อย่างวันนี้เป็นแตงโม และมีขนมหวานอีก 1 อย่าง คือ สาคูข้าวโพดหวาน ส่วนน้ำดื่มนั้นจะมีน้ำเปล่าที่ตั้งเอาไว้ให้กดดื่มกันได้ฟรีค่ะ นอกจากนั้นยังมีเมนูอื่นๆหรืออาหารตามสั่งไว้คอยให้บริการอีกด้วย


ที่อยู่ : เลขที่ 141 หมู่ที่ 1 ต.ศิลาแลง อ.ปัว จ.น่าน 55120
เบอร์โทร : 089 851 8918
เฟซบุ๊ก : ร้านแพวผ้าฝ้าย



16.30 น. - เช็คอินที่ C View Home พักผ่อนตามอัธยาศัย

จากนั้นเข้าเช็คอินที่พักของเราในคืนแรกที่ C View Home เป็นที่พักที่อยู่บนเนินเขาในหมู่บ้านสวนดอก ทางเข้าอยู่ฝั่งตรงข้ามกับวัดสวนดอก เป็นเนินขึ้นมาเล็กน้อย ลักษณะที่พักเป็นอาคาร 2 ชั้น ประกอบไปด้วย ห้องพักทั้ง 4 ห้อง มีสระว่ายน้ำยาวขนานไปกับตัวอาคาร ซึ่งจากห้องพักทุกห้องสามารถมองเห็นสระว่ายน้ำ สามารถชมตัวหมู่บ้านและทิวเขาของดอยภูคาได้ ในช่วงปลายฤดูหนาว ถึงช่วงฤดูร้อน ภาพวิวทิวทัศน์ตรงหน้านั้นจะมองเห็นได้อย่างชัดเจน และงดงามมาก แต่ถ้าหากมาในช่วงปลายฤดูฝนไปถึงฤดูหนาว จะสามารถมองเห็นหมอกลอยคลุ้งเหนือหมู่บ้าน เหมือนได้ชมทะเลหมอกบางๆจากที่พักเลยทีเดียว


ห้องพักของเราอยู่ที่ห้อง C2 เข้าออกได้ทั้งด้านหน้าและด้านหลัง ภายในห้องพักอันกว้างขวางนั้น แบ่งเป็นห้องนอน ห้องนั่งเล่น และห้องน้ำ แต่ละส่วนมีพื้นที่การใช้สอยเยอะมาก ให้ความรู้สึกเหมือนพักอยู่ในคอนโด เหมาะแก่การมาพักผ่อนหย่อนใจเป็นอย่างมาก


ราคาห้องพัก :

C 1 : 2,000 บาท พัก 2 ท่าน 1 ห้องนอน 1 ห้องครัว

C 2 : 3,000 บาท พัก 2 ท่าน 1 ห้องนอน 1 ห้องนั่งเล่น


C 3 : 2,500 บาท พัก 2 ท่าน 1 ห้องนอน พร้อมระเบียง


C 4 : 3,500 บาท พัก 4 ท่าน 2 เตียง kingsize + ระเบียง


ถ้าเหมาหลัง พักไม่เกิน 10 ท่าน ราคา 9,500 บาท รวมอาหารเช้า ถ้าเกิน 10 คน เตียงเสริม คิดเพิ่ม ท่านละ 500 บาท


และมีช่วงโปรโมชั่น ช่วง มีนาคม - 31 กรกฏาคม ลดราคาห้องพักลงอีก 20% เหลือราคาตามนี้ค่ะ



เว็บไซต์ : C View Home

ที่อยู่ : บ้านสวนดอก ตำบล วรนคร อ.ปัว อำเภอปัว 55120 (ทางขึ้นอยู่ตรงข้ามวัดสวนดอก)
เฟซบุ๊ก : C View Home

เบอร์โทร : 086 052 9800



18.30 น. – เดินเล่นที่ ถนนคนเดินกาดสวนสาฯ


เราได้มีโอกาสคุยกับคุณแตงเจ้าของ C View Home แล้วคุณแตงก็แนะนำมาว่า เย็นนี้มีถนนคนเดิน อยู่ไม่ไกลด้วยนะ เข้าทางเราล่ะ “ถนนคนเดินกาดข่วงเมืองน่าน” มีทุกๆวัน ศุกร์ เสาร์ อาทิตย์ ร้านค้ามีจำนวนไม่มากนัก แต่บรรยากาศดี ลมเย็น ยิ่งช่วงค่ำอากาศจะเย็นๆน่ามาเดินเล่น ของที่ขายส่วนใหญ่จะเป็นของท้องถิ่น และของกิน


20.00 น. – รับประทานอาหารเย็น “หมูกระทะ” ที่ C View Home

คืนนี้เราจัดสุกี้กับหมูกระทะ ริมสระว่ายน้ำ ใต้แสงจันทร์ อะไรจะโรแมนติกปานนี้ อุณหภูมิลดต่ำลงไปอยู่ที่ราวๆ 18-20 องศา ลมพัดมาเอื่อยๆยิ่งเพิ่มความหนาวให้หนาวยิ่งขึ้น แต่ไม่อาจทำให้เราอยากลุกหนีไปไหน


พระจันทร์ค่อยๆลอยขึ้นสูงและเปล่งแสงจ้าขึ้นเรื่อยๆ บรรยากาศยิ่งอบอวนไปด้วยความสุขแบบที่เราไม่คาดคิด ทั้งสุกี้ และหมูกระทะสุกพร้อมให้กินอย่างเอร็ดอร่อย ทันใดนั้นมีเสียงและแสงวาบขึ้นมาไกลๆ เป็นพลุพวยพุ่งแสงสีสันสวยงามขึ้นมานับไม่ถ้วน ไม่รู้ว่าใครมีงานเฉลิมฉลองอะไร ตี่มันเป็นภาพที่ช่วยเสริมความสุขและความประทับใจของค่ำคืนนี้ได้เป็นอย่างดี รู้สึกอยากขอบคุณความประจวบเหมาะของทุกสิ่งทุกอย่างที่ทำให้เราได้พบเห็นและสัมผัสได้อยู่ตรงนี้



วันที่ 2

08.00 น. - รับประทานอาหารเช้า

ตื่นมาชมวิวตั้งแต่เช้า มองเห็นหมอกอยู่ไกลๆบริเวณเชิงดอยภูคา


ได้เวลาอาหารเช้าพอดี นัดแนะเอาไว้ว่าจะออกมาทานข้าวเช้าตอน 8 โมง ออกมาก็มีอาหารเตรียมไว้ให้เต็มเลย มีข้าวต้มกระดูกหมู หอม อร่อยมาก ไข่ต้มคนละใบ ปาท่องโก๋ ข้าวเหนียวหน้ากระฉีก ขนมปัง ขนมเทียน แตงโม ส้ม กาแฟ โอวัลติน เยอะจนอยากมีพื้นที่กระเพาะเพิ่ม


0.00 น. – ไหว้พระและชมวิวจากมุมสูงที่ วัดภูเก็ต

เช็คเอ๊าท์แล้วเดินทางมายัง “วัดภูเก็ต” ที่นี่โด่งดังมากในด้านจุดชมวิวจากมุมสูง โดยเฉพาะฤดูทำนาในช่วงเดือน กรกฎาคม – พฤศจิกายน ของทุกปี นอกจากวิวภูเขาของดอยภูคาแล้วยังเห็นวิวทุ่งนาสีเขียวไปจนถึงเหลืองอร่ามของต้นข้าวที่เต็มพื้นที่ หรือถ้าช่วงฤดูหนาวก็จะได้เห็นหมอกขาวๆบางๆได้ด้วย แต่ช่วงฤดูร้อนก็สามารถมองเห็นวิวทิวทัศน์ในมุมกว้างได้อย่างชัดเจน สวยงามไม่แพ้กัน


10.30 น. – แวะดื่มเครื่องดื่มเย็นๆและนั่งเล่นที่ กาแฟบ้านไทลื้อ

จากวัดภูเก็ตมาต่อกันที่ ร้านกาแฟบ้านไทลื้อ เมื่อมาถึงที่ร้านแล้วเดินเข้ามาสั่งเครื่องดื่มโดยสามารถจดออเดอร์แล้วนำไปยื่นให้ที่เคาน์เตอร์ ไม่นานนักก็ได้เครื่องดื่มตามที่เราต้องการ ที่นี่มีเครื่องดื่มหลากหลายเมนูในราคาที่ไม่แพง เราสั่งโกโก้เย็น รสชาติหวานมันเข้มข้นอร่อยมาก เมื่อสั่งเสร็จแล้วสามารถเลือกที่นั่งได้ตามต้องการ จะเลือกนั่งภายในร้านหรือเดินออกไปนั่งด้านนอกร้านก็ได้ แต่ที่ได้รับความนิยมเป็นอย่างมากก็คือบริเวณภายนอกร้านที่มีวิวทิวทัศน์งดงามให้ได้ชมกัน โดยมีสะพานไม้ไผ่ให้เดินออกไป บริเวณพื้นด้านล่างนั้นมีต้นผักเสี้ยนฝรั่งที่กำลังบานดอกสีขาวและชมพูอยู่เต็มไปหมด


ถ่ายรูปเล่นไปสักพักหนึ่งได้ยินเสียงร้องของลูกแพะ เสียงน่ารักมาก จึงเดินไปดูก็ได้เห็นลูกแพะตัวน้อยยังเดินไม่คล่องอยู่กัน 2 ตัว ในบริเวณใกล้เคียงยังมีแพะตัวโตอยู่กันด้วยน่ารักมากเลย


ใกล้ๆกันนั้นเป็นร้านลำดวนผ้าทอ วิธีการนำผ้าทอผ้าฝ้ายสีสันต่างๆออกมาตากเอาไว้บริเวณทางเดินไม้ไผ่ เป็นภาพที่ชวนมองและดูงดงามเป็นอย่างมาก


11.30 น. – เล่นน้ำที่ วังศิลาแลง

มาต่อกันที่วังศิลาแลง โดยขับรถมาจอดที่บริเวณฝายแก้ง ระหว่างทางเข้ามาจะได้มองเห็นวิวสวยๆแบบนี้ด้วย


จอดรถไว้ แล้วเดินเท้าเข้าป่าไม้เล็กๆ พื้นเป็นหินปนดินแข็งไปอีกประมาณ 200 เมตร ก็จะได้พบกับวังศิลาแลง วังน้ำประมาณ 7 วัง รวมระยะทางมากกว่า 400 เมตร ซึ่งน้ำที่ไหลผ่านมานั้นไหลมาจากลำน้ำกูล ผ่านและกัดเซาะจนหินเป็นร่องรอยตามการหมุนวนของน้ำ ทำให้เกิดเป็นซอกหินเป็นวังน้ำ ดูงดงามแบบธรรมชาติ ในช่วงฤดูฝนน้ำจะไหลเชี่ยวและขุ่น แต่ถ้าเป็นช่วฤดูร้อนน้ำไหลผ่านมาน้อย จะใสและสามารถลงเล่นน้ำได้


3.00 น. ไปทานพิซซ่าเห็ด ที่ ฟาร์มเห็ดบ้านหัวน้ำ

จากนั้นมาแวะทานอาหารกลางวันกันที่ ฟาร์มเห็ดบ้านหัวน้ำ อยู่ไม่ไกลจากวังศิลาแลงค่ะ หรือใครจะเข้าฟาร์มเห็ดก่อนแล้วเดินลงมาเข้าวังศิลาแลงก็ได้เช่นกันนะคะ ที่นี่มีบริการทั้งที่พักและร้านอาหาร ซึ่งอยู่ท่ามกลางธรรมชาติมีต้นไม้ชะอุ่มอยู่ทั่วพื้นที่ ยิ่งถ้าหากมาฤดูทำนา ช่วงกรกฎาคม – กันยายน จะได้เห็นวิวทุ่งข้าวเขียวขจีอยู่เต็มไปหมด เมื่อมาถึงที่นี่แล้วก็ต้องมาทานฟิซซ่าเห็ดอันมีชื่อเสียงเลื่องลือว่าอร่อยเด็ด ซึ่งวัตถุดิบหลักอย่างเห็ดนั้นก็คือเห็ดที่เพาะกันที่ฟาร์มแห่งนี้นั่นเอง นอกจากนั้นยังมีเมนูอื่นๆอีกมากมายทั้งคาวและหวาน


พิซซ่าเห็ด แป้งพิซซ่ามีความหนาปานกลางขนาดค่อนข้างใหญ่ แบ่งมาเป็น 6 ชิ้น ขอบพิซซ่าจะค่อนข้างกรอบส่วนแป้งด้านในจะนุ่มเข้ากับหน้าพิซซ่าที่เต็มไปด้วยเห็ดเข็มทองและเห็ดหอมสด ซอสและชีส เป็นอย่างมาก รวมๆแล้วเป็นพิซซ่าที่รสชาติดีมาก


เห็ดนึ่งพริกข่า เป็นเห็ดนางฟ้าผ่านการนึ่งแล้วแต่ยังมีความกรุบอยู่เนื่องจากเป็นเห็ดที่เด็ดออกมาสดๆ เสิร์ฟมาพร้อมกับ พริกข่า ซึ่งเป็นสูตรของภาคเหนือแท้ๆ เมื่อทานคู่กันแล้วเข้ากันดีมาก พริกข่าไม่เผ็ดค่ะทานได้เรื่อยๆหอมมาก


ไข่ป่าม เมนูไข่ป่ามจะนิยมทำกันในภาคเหนือ โดยนำไข่มาตีให้เข้ากันกับเครื่องปรุง เช่นน้ำปลา หรือซีอิ๊ว เหมือนเวลาทำไข่เจียวและไข่ตุ๋น แล้วเทใส่ในกระทงใบตอง จากนั้นนำไปย่างไฟ ส่วนใหญ่จะใช้เตาถ่านที่ไฟไม่แรงมาก ไข่จะค่อยๆสุก และเมื่อสุกจนทั่วกันแล้วก็รับประทานได้เลย แต่ไข่ป่ามของที่นี่จะใส่เห็ดเข้าไปด้วย เพิ่มความอร่อยขึ้นไปอีก


ไอศกรีมช็อกโกแลตชิพราดด้วย มะต๋าว (ลูกชิด) ที่ร้านมีป้ายเขียนบอกไว้ว่า “สั่งไอศกรีม แถมฟรีท็อปปิ้ง มะต๋าว” ช่วงนี้มะต๋าวหรือลูกชิดจะมีให้ทานเยอะมาก ทางร้านจึงเลือกมาเป็นตัวเสริมให้ลูกค้าได้ลองชิมกันค่ะ


คาปูชิโน่ร้อน หอมกลิ่นกาแฟอบอวลจนต้องรีบยกซด เราไม่ใช่คอกาแฟ แต่พอดื่มได้บ้างและรู้สึกว่าของที่นี่มีกลิ่นหอมกรุ่นแบบพอดีๆ รสชาติออกมาไม่เข้มมากแต่จะได้ความเข้มข้นของนมเพิ่มขึ้นมา เป็นแบบหวานน้อย จึงดื่มได้ง่าย แป๊บๆก็หมดแก้วเสียแล้ว


ชาร้อน ยอดชาอ่อนตากแห้งชงใส่น้ำร้อน กลิ่มหอมอ่อนๆ ยกมาเสิร์ฟพร้อมกับน้ำตาลอ้อย ใครชอบหวานก็เติมน้ำตาลเพิ่มเอาได้


14.30 น. – มุ่งหน้าสู่ อ.บ่อเกลือ โดยใช้เส้นทาง 1256

ถนนระหว่าง อ.ปัว และ อ.บ่อเกลือ มีความคดโค้งค่อนข้างมาก แนะนำให้เตรียมยาดมยาลมยาหม่อง มาไว้เผื่อเกิดอาการเมารถกันด้วยนะคะ ทราบมาว่าช่วงนี้ ดอกชมพูภูคา กำลังบานดอกสีชมพูสะพรั่ง ซึ่งเป็นดอกไม้ที่หายาก จะบานดอกในช่วงเดือน กุมภาพันธ์ - มีนาคม ของทุกปี เป็นไม้ยืนต้นชนิดเดียวที่อยู่ในสกุล Bretschneideraceae เป็นไม้ต้นขนาดเล็กถึงขนาดกลาง สูง 10-25 เมตร ดอกออกเป็นช่อตั้งสีชมพู พบเฉพาะทางตอนใต้ของจีน เวียดนามตอนบน ไต้หวัน และภาคเหนือของไทย ที่ดอยภูคา จังหวัดน่าน ระหว่างทางที่ขับเข้ามาในเขตอุทยานแห่งชาติดอยภูคาจะมีป้าบอกระยะทางไปยังต้น ชมพูภูคา จึงได้โอกาสเหมาะมาแวะชมพอดิบพอดี ต้นอยู่ริมถนน บริเวณใกล้เคียงมี ตำหนักเจ้าหลวงภูคา อยู่ด้วย


มาแวะที่จุดชมวิวดอยภูคาอีกสักหน่อย ถือเป็นการพักรถไปในตัวด้วย


15.30 น. – เช็คอินที่ Mee Sapan

หลังจากที่แวะตรงนั้นตรงนี้มาตลอดทาง ก็มาถึงบ้านสะปัน อ.บ่อเกลือ จุดหมายของเราในวันนี้ ที่พักของเราคืนนี้คือ Mee Sapan (มีสะปัน) เดิมเจ้าของที่พักตั้งชื่อว่า At Mee Sapan แต่คนทั่วไปมักเรียกกันว่า มีสะปัน และประจวบกับคุณแม่เจ้าของที่พักชื่อ “มี” ซึ่งเป็นคนในพื้นที่ ชาวบ้านแถวนี้ก็เข้าใจว่าชื่อที่พักมาจากชื่อของคุณแม่ด้วย จึงเป็นที่เข้าใจกันทั่วไปในชื่อ “Mee Sapan” นั่นเองค่ะ


มีสะปันอยู่ในหมู่บ้านสะปัน ริมแม่น้ำมาง ติดกับอุ่นไอมาง สามารถมองเห็นวิวทิวทัศน์อันงดงามของธรรมชาติ และที่หมู่บ้านสะปันนี้มีอากาศเย็นตลอดทั้งปี โดยเฉพาะตั้งแต่ช่วงเย็นไปตลอดจนถึงช่วงสายๆของทุกวัน และช่วงฤดูหนาวก็จะหนาวเย็นเป็นอย่างมาก ถึงขั้นที่บางวันนั้นเกิดเหมยขาบ หรือแม่คะนิ้งขึ้นได้


มีสะปันเป็นที่พักแบบเต็นท์หลังใหญ่ ทั้งแบบที่มีมุ้งในตัว และเป็นมุ้งสายบัวอยู่ด้านใน ตั้งอยู่บนแคร่ไม้ที่ยกระดับขึ้นจากพื้นดินเล็กน้อย มีเฉลียงยื่นออกไปด้านหน้าสำหรับนั่งเล่น และมีหลังคามุงจากเฉพาะตัวเฉลียง ด้านในเต็นท์มีที่นอน หมอน ผ้าห่ม ผ้าเช็ดตัว และสบู่ให้ครบ แถมมีเต้าเสียบไว้ให้อีกด้วย


ตัวเต็นท์ที่พักจะเป็นพื้นราบระดับเดียวกันกับตัวถนน และมีส่วนของลานสนามหญ้าด้านหน้าลดระดับลงมาอยู่ระดับเดียวกันกับแม่น้ำมาง


ส่วนห้องน้ำจะเป็นห้องน้ำรวม มีเครื่องทำน้ำอุ่นไว้ให้ใช้ ไม่ต้องกลัวหนาว ถึงแม้ว่าทั้งช่วงเช้าและช่วงเย็นของที่นี่จะหนาวเย็นทุกวันก็ตาม


เก็บของบางส่วนเข้าเต็นท์แล้วเดินออกมานั่งเล่นที่แคร่ไม้ไผ่ริมน้ำ มองเห็นตัวปลาที่ว่ายทวนกระแสน้ำอยู่หลายตัว แต่เป็นที่สังเกตตรงที่ปลาจะพลิกตัวสลับว่ายน้ำจนเห็นแสงสะท้อนส่วนท้องปลาเป็นสีเงินแว๊บขึ้นมา ซึ่งเป็นแบบนั้นอยู่ตลอด ตรงนี้ยังหาคำตอบไม่ได้เลยค่ะว่าเพราะอะไร แต่มันก็ดูเป็นภาพที่แปลกและเพลินตาดีไม่น้อย สามารถลงเล่นน้ำได้ น้ำตื้นมองเห็นหินก้อนน้อยใหญ่อยู่ใต้น้ำ


ขับรถเล่น ในบางส่วนของหมู่บ้านกันต่อค่ะ เจอสะพานเหล็กมีราวไม้พาดข้ามแม่น้ำมางอยู่ วิวสวยมาก ลงไปเดินเล่นอยู่พักใหญ่ น้ำบริเวณนี้นิ่งดูน่าจะลึกพอสมควร เดินไปถึงช่วงกลางๆสะพานรู้สึกได้ว่าโคลงเคลงเล็กน้อย แต่สามารถมองเห็นวิวธรรมชาติที่ดูงดงามไปอีกแบบ


เรากลับมาทานข้าวเย็นที่มีสะปัน ร้านอาหารเป็นเพลิงไม้อยู่ติดกับตัวที่พัก มีอาหารตามสั่งเมนูทั่วไป ซึ่งจะเปิดร้านตั้งแต่เช้าจนถึงประมาณ 1 ทุ่มหรือ 2 ทุ่ม แล้วแต่ว่าจะมีลูกค้าเข้าร้านกันต่อเนื่องในช่วงเวลานั้นหรือไม่


ไม่นานนักพระอาทิตย์ก็ลับขอบฟ้าไป ความมืดเข้ามาพร้อมกับความหนาวเย็นอีกระดับ ซึ่งไม่ได้เตรียมตัวว่าจะมาเจอกับสภาพอากาศที่เย็นขนาดนี้ หลังจากอาบน้ำเสร็จเรียบร้อยแล้ว ตั้งใจจะออกมาถ่ายภาพกลางคืนสักหน่อย


สายตามองไปเห็นเป็ดสีขาวกำลังนอนอยู่บนโขดหินริมแม่น้ำ จึงเดินออกไปตั้งขาตั้งกล้องบริเวณแคร่ริมน้ำ ตั้งใจจะถ่ายเป็ดและวิวแม่น้ำ


ซึ่งจริงๆแล้วมีแสงสว่างน้อยมาก มีแค่บริเวณเต็นท์และร้านอาหารของที่พักเท่านั้น แต่สามารถตั้งค่ากล้องได้ แต่จู่ๆก็เริ่มเห็นแสงสว่างจากทิวเขาฝั่งตะวันออก ยังแอบคิดในใจว่า เอ๊ะ ฝั่งลาวมีงานอะไร หรือบนเขานั่นมีใครขึ้นไปทำอะไร ทำไมมีแสงสว่างขนาดนั้น จู่ๆก็เริ่มเห็นแสงสว่างค่อยๆเจิดจ้าขึ้นกระทั่งได้เห็นเหมือนขอบของดวงไฟขนาดใหญ่ค่อยๆโผล่ออกมา.....


และแล้ว แสงดังกล่าวก็เฉลยด้วยตัวของมันเองว่านั่นคือ “ดวงจันทร์” ดวงใหญ่กลมโตแสงจ้ามาก รู้สึกโชคดีมากที่ได้มาเห็นดวงจันทร์สวยขนาดนี้ขณะที่อยู่ท่ามกลางธรรมชาติ กดชัตเตอร์ไปอีก 2-3 ครั้ง แล้วก็ยืนมองด้วยตาอยู่อย่างนั้น ช่างงดงามเหลือเกิน เกินกว่าจะเอื้อนเอ่ยบรรยายความใดๆได้ คืนนี้ได้หลับฝันดีแล้วแหละ




วันที่ 3

รู้สึกตัวตื่นมาประมาณ 7 โมง รีบเปิดเต็นท์ออกมามองหาหมอก หมอกยังไม่มา มองเห็นอยู่ไกลๆทางเทือกเขาฝั่งตะวันออกนู่น ก็เลยกลับไปนอนต่อ


08.00 น. – ทานอาหารเช้าที่ Mee Sapan

ตื่นมาอีกครั้งพร้อมทานอาหารเช้าตั้งแต่ก่อน 8 โมง ตามคำบอกของเจ้าของที่พักว่าจะมีหมอกลงมาถึงหน้าที่พัก แต่แล้ว...ก็ไม่มี เจ้าของที่พักบอกว่าเมื่อวานนี้ก็ยังมีอยู่แต่ว่าอากาศไม่หนาวเท่าวันนี้ อาจเป็นไปได้ว่าวันนี้หนาวและอากาศแห้งหมอกจึงไหลมาไม่ถึง งือ....


ไม่เป็นไร มานั่งทานอาหารเช้าพร้อมชมวิวกันต่อดีกว่า มีข้าวต้มหมูและไข่ต้ม ที่ถูกตระเตรียมไว้ให้ในหม้อ ส่วนขนมปังปิ้งและกาแฟ โอวันติล บริการตัวเองได้เลย รสชาติก็อร่อยถูกปากเป็นอย่างมาก อากาศเย็นขนาดนี้ ทานอาหารร้อนๆเป็นอะไรที่ดีที่สุด


09.00 น. – เดินเล่นในเส้นทางธรรมชาติ เข้าน้ำตกสะปัน

มีคนแนะนำมาว่าเมื่อมาถึงหมู่บ้านสะปันแล้วจะต้องเดินเข้าไปเที่ยวน้ำตกสะปันด้วย ขับรถเข้ามาในตัวหมูบ้านจะมีป้ายบอกทางไปน้ำตก ให้เลี้ยวเข้าไปทางนั้น เมื่อถึงด้านหน้าแล้วจะมีลานที่สามารถจอดรถได้ จากนั้นจะต้องเดินเข้าไปในป่าไม้ธรรมชาติที่ดูร่มรื่นแต่ไม่รกทึบ โดยทางเดินจะเป็นทางลาดสลับกับขั้นบันไดเข้าไปประมาณ 2 กิโลเมตร


น้ำตกสะปันเป็นน้ำตกขนาดกลาง มี 3 ชั้นใหญ่ๆ แต่ละชั้นจะมีความสูงประมาณ 3-5 เมตร ในช่วงปลายปีถึงกลางปีก่อนเข้าฤดูฝนน้ำจะน้อยซึ่งสามารถลงเล่นได้


10.00 น. – แวะชมวิวและทักทายน้องๆนักเรียนที่ โรงเรียนบ้านสะปัน

จากน้ำตก ไปต่อที่โรงเรียนบ้านสะปัน เพื่อขอเข้าไปชมวิว ตอนแรกก็คิดเกรงใจว่าเราจะเข้าไปรบกวนไหม เพราะโรงเรียนยังไม่ปิดเทอม แต่พอเข้าไปแล้วพบคุณครู 3 ท่านนั่งอยู่ที่ศาลา ได้พูดคุยกับคุณครูเล็กน้อยและได้ขออนุญาตเข้าไปยังจุดชมวิวของโรงเรียน ซึ่งคุณครูทั้ง 3 ท่านยิ้มแย้มและชี้ทางให้การต้อนรับเป็นอย่างดี น้องๆนักเรียนที่เดินผ่านต่างก็ส่งยิ้มมาให้ ยกมือไหว้พร้อมพูดว่า “สวัสดีค่ะ” เป็นภาพที่น่ารักมาก คาดว่าชุมชนแห่งนี้เข้าใจและปรับตัวพร้อมต้อนรับนักท่องเที่ยวเป็นอย่างดี นักท่องเที่ยวที่แวะเวียนกันเข้ามาก็ควรเคารพชุมชนแห่งนี้ด้วยเช่นกัน จากนั้นเราเดินเข้ามาตามทางที่คุณครูบอกเอาไว้ ได้พบน้องๆกลุ่มหนึ่งกำลังเตรียมอาหารกลางวันกันอยู่ นึกถึงสมัยวัยประถม นักเรียนโรงเรียนวัดหรือโรงเรียนต่างจังหวัดจะมีเวรทำอาหารกลางวันแบบนี้


วิวที่มองเห็นจากโรงเรียนนั้นเป็นวิวเทือกเขาทางฝั่งตะวันออก และทุ่งนาผืนใหญ่ ในช่วงนี้ยังไม่ใช่ฤดูทำนา แต่มีหญ้าขึ้นในทุ่งนาอยู่บ้างจึงยังมีความเขียวให้ชมอยู่ มองเห็นน้องควายกินหญ้าด้วย


11.00 น. – ชมบ่อเกลือโบราณ และการผลิตเกลือสินเธาว์ เกลือภูเขาแห่งเดียวในโลก

เช็คเอ๊าท์และเดินทางลงมาที่บ่อเกลือโบราณกันต่อ “บ่อเกลือสินเธาว์” ซึ่งเป็นเกลือภูเขาแห่งเดียวในโลก!! โดยการใช้น้ำที่ค้นพบว่ามีรสเค็มกว่าน้ำปกติทั่วไป ซึ่งเป็นแหล่งน้ำธรรมชาติ ลักษณะเป็นน้ำผุด จึงมีการทำเป็นบ่อน้ำสำหรับต้มเกลือเอาไว้ ปัจจุบันบ่อน้ำที่นำมาต้มเกลือนั้นจะเป็นบ่อปูนครอบบ่อไม้เดิมไว้ ขอบบ่อสูงขึ้นมาประมาณ 2 เมตร มีเสากระโดงโยงเชือกและอุปกรณ์ตักน้ำในบ่อขึ้นมาพักไว้ในโอ่ง แล้วจึงนำมาต้มให้ตกผลึก จากนั้นตักใส่ตะกร้าที่แขวนไว้เหนือกระทะให้สะเด็ดน้ำ ชาวบ้านละแวกนี้จึงมีอาชีพจากการต้มเกลือสินเธาว์จำหน่ายด้วย


12.00 น. – ทานอาหารกลางวันที่ ร้านกลิ่นไอเกลือ

แวะทานอาหารกลางวันที่ร้าน “กลิ่นไอเกลือ” ร้านจะอยู่ฝั่งตรงข้ามป้ายบ่อเกลือโบราณเลยค่ะ เป็นคาเฟ่และร้านอาหารอยู่ในร้านเดียวกัน แถมเป็นร้านใหญ่ที่สุดในย่านนี้ มีอาหารหลากหลายเมนู เบเกอรี่ ขนมปังรสต่างๆ เมนูเครื่องดื่มร้อนเย็น และกาแฟสด ไว้คอยให้บริการนักท่องเที่ยวทุกวัน ใครมาเที่ยวชมบ่อเกลือสินเธาว์ก็จะต้องแวะมาทานอาหารกันที่ร้านกลิ่นไอเกลือ ยิ่งในเรื่องของรสชาติอาหาร สัมผัสได้ถึงความใส่ใจในการปรุง ทั้งรสชาติและการจัดจานแต่ละเมนู ราคาตามท้องตลาดทั่วไปเลยค่ะ วันนี้จัดเต็มอร่อยทุกเมนู


13.30 น. – เดินทางกลับท่าอากาศยานน่านนคร

ได้เวลาเดินทางกลับเข้าสู่ตัวเมืองน่าน ซึ่งเราต้องกลับไปคืนรถเช่า Avis ที่สนามบิน โดยใช้เส้นทางหมายเลข 1333 เส้นบ่อเกลือใต้ไปออกทางอำเภอสันติสุข รวมระยะทางประมาณ 86 กิโลเมตร ใช้เวลาประมาณ 2 ชั่วโมง ซึ่งจะต้องลัดเลาะข้ามภูเขาไปดังเดิม ตอนนี้เราเป็นคนนั่งก็สามารถชมวิวสองข้างทางไปได้เรื่อยๆ ชมวิวพร้อมถ่ายรูปไปๆมาๆเริ่มเมาหัว... เวียนหัว ผะอืดผะอมดมยาดมก็ไม่หายจนผลอยหลับไปโดยไม่รู้ตัว ตื่นอีกทีก็ลงดอยมาแล้ว ^^”


15.30 น. – ถึงท่าอากาศยาน คืนรถ

เมื่อมาถึงสนามบินแล้ว เข้าไปจอดรถไว้ที่ลานจอดรถของสนามบิน เตรียมเอกสารที่ได้รับเมื่อตอนที่มารับรถออกมาให้พร้อม โทรแจ้งเจ้าหน้าที่ของ Avis จากนั้นก็เดินเข้าไปพบกับเจ้าหน้าที่ในสนามบินแล้วนั่งรอ เจ้าหน้าที่จะเดินไปเช็ครถ ใช้เวลาไม่นานก็เรียบร้อยแล้วค่ะ


16.00 น. – นั่งแท็กซี่เข้าสถานีขนส่ง

เราต้องเดินทางไปยังสถานีขนส่ง เนื่องจากจองรถทัวร์ขากลับเอาไว้แล้ว ตั้งใจจะรอสองแถวที่เข้ามารับในสนามบินและออกไปส่งภายในตัวเมือง ได้ข้อมูลมาว่ารถมักจะมาในช่วงเวลาที่มีเครื่องบินลงจอดส่งผู้โดยสาร แต่รอเกือบครึ่งชั่วโมงก็ยังไม่เห็นวี่แวว ประจวบกับเห็นแท็กซี่ขับเข้ามาส่งคนจึงเดินเข้าไปสอบถามราคา เขาคิด 100 บาท จึงตัดสินใจนั่งแท็กซี่ ดูสะดวกและรวดเร็วที่สุดแล้ว


18.30 น. – ออกเดินทางกลับ

มาถึงสถานีขนส่งก่อนเวลารถออกประมาณชั่วโมงครึ่ง นั่งดูทีวี เล่นโทรศัพท์ ไปเรื่อยๆ ใกล้ถึงเวลารถออกก็เตรียมล้างหน้าล้างตาไว้พร้อมนอน และเมื่อถึงเวลารถทัวร์ก็เทียบท่าให้ขึ้น เดินทางกลับอย่างมีความสุข ^^




ติดตามบันทึกการเดินทางต่อๆไปได้ที่ :

GowithAmp

https://facebook.com/GowithAmp

http://gowithampth.com

GowithAmp

 วันอังคารที่ 20 มีนาคม พ.ศ. 2561 เวลา 17.22 น.

ความคิดเห็น