ขี่อูฐ.. ไปนอนทะเลทราย :: เที่ยว 3 เมือง 3 สี แห่ง ราชาสถาน อินเดีย (Jaipur – Jaisalmer – Jodhpur)


ทุกครั้ง.. ที่ได้ออกเดินทาง ผมมักจะรู้สึกตื่นเต้นเสมอ

แต่ในครั้งนี้.. ตื่นเต้นเป็นพิเศษ เพราะจุดหมายปลายทาง คือ “อินเดีย”


ทริปนี้.. ผมได้ออกเดินทางไปยัง เมืองชัยปุระ(Jaipur) นครสีชมพู แห่งรัฐราชาสถาน ที่ช่วงหลังมานี้เริ่มเป็นที่คุ้นหน้าคุ้นตา ของเหล่านักท่องเที่ยวกันบ้างแล้ว แถมปัจจุบันก็เดินทางไปได้ง่าย ด้วยเที่ยวบินตรงลง เมืองชัยปุระ(Jaipur) อย่าง สายการบินแอร์เอเชีย ซึ่งใช้เวลาในการเดินทางแค่ 4 ชั่วโมงเศษ เท่านั้น ก็สามารถไปเปิดประสบการณ์ใหม่ๆ ที่ ชัยปุระ(Jaipur) กันได้แล้ว

การเดินทางไป อินเดีย ในครั้งนี้ ถือว่าเป็นครั้งแรกของเราสองคนเลยครับ ก็มักจะตื่นเต้นเป็นธรรมดา ตั้งแต่การเริ่มวางแผนเที่ยว จองตั๋วรถไฟ จองที่พัก รวมไปถึงทริคท่องเที่ยวในอินเดียต่างๆ ที่ต้องทำการบ้านก่อนเดินทางอยู่พอสมควร และ จากการค้นหาข้อมูลการเดินทางเพิ่มเติมอยู่เรื่อยๆ ก็ทำให้พบว่า ในรัฐราชาสถาน มีหลายๆ เมืองที่น่าสนใจมาก แต่ละเมืองก็ล้วนมีเสน่ห์น่าไปสัมผัส เดินทางไม่ไกลจาก ชัยปุระ(Jaipur) แต่ด้วยระยะเวลาที่มีอยู่เพียงน้อยนิด แค่ 4 วัน จึงได้เพิ่มเมืองที่จะไปเยือนอีก 2 เมือง นอกจาก ชัยปุระ(Jaipur) นั่นก็คือ เมือง Jaisalmer และ เมือง Jodhpur

สรุป ในทริปนี้ จึงได้ไปเยือน 3 เมือง 3 สี แห่งรัฐราชาสถาน คือ Jaipur(นครสีชมพู), Jaisalmer(นครสีทอง) และ Jodhpur(นครสีฟ้า) ซึ่งจะได้ประสบการณ์อะไรแปลกใหม่ และสนุกสนานเฮฮา แค่ไหน ..ก็มาติดตามชมการเดินทางในทริปนี้กันได้เลยครับ!


ติดตามทริปเดินทางอื่นๆ ได้ที่..

FanPage : https://www.facebook.com/chailaibackpacker



เตรียมตัวไปลุย “อินเดีย” กัน!


เนื่องจากค่าครองชีพใน ประเทศอินเดีย ค่อนข้างที่จะต่ำ ค่าใช้จ่ายในการเดินทางท่องเที่ยวต่างๆ จึงค่อนข้างที่จะถูกมาก ผมจึงคิดที่จะจำกัดค่าใช้จ่ายในแต่ละวัน ให้อยู่ในงบ 1,000 บาทไทย/วัน/คน อาจมีบวกลบไปบ้างได้นิดหน่อย ซึ่งผมก็คิดว่างบใช้จ่ายในแต่ละวันที่มีอยู่เพียงเท่านี้ ก็น่าจะเพียงพอ ใช้เที่ยวในอินเดียได้อย่างสบาย และ สามารถเที่ยวได้อย่างคุ้มค่าแน่นอน(ไม่รวมค่าเครื่อง และ ค่าวีซ่า) ซึ่งเอาจริงๆ แล้ว ทริปลุย 3 เมือง 3 สี แห่ง ราชาสถาน จะอยู่รอดมั้ย? ก็ต้องลองติดตามอ่านดูกันต่อไปนะครับ 55+


การเตรียมตัวออกเดินทาง


รายละเอียดก่อนออกเดินทางพอสังเขป..

1. วีซ่าออนไลน์ สามารถยื่นขอวีซ่าออนไลน์ได้ 1,700 บาท ใช้เวลา 1-2 วัน

2. แลกเงิน แนะนำแลกเงิน รูปี ตั้งแต่ไทยเลยเพื่อความสะดวก วิธีคิดค่าเงินก็ง่ายๆ เงินรูปี หารสอง ก็เท่ากับเงินบาท เช่น 100 รูปี เท่ากับ 50 บาท เป็นต้น

3. จองตั๋วรถไฟ การเดินทางระหว่างเมือง การนั่งรถไฟก็ดูจะสะดวกดี แต่รถไฟชั้น 1 หรือ ชั้น 2 จะเต็มเร็วมากๆ ควรจองตั้งแต่เนิ่นๆ ล่วงหน้าหลายเดือนเลยแหละ

4. จองที่พัก/จองทัวร์ทะเลทราย ไม่อยากเสียเวลาเดินหาที่พัก จองที่พักที่ถูกใจล่วงหน้าเอาไว้ก็ดีเนอะ

5. ปลั๊กไฟ อย่าลืมเตรียม Adapter ไปด้วย

6. ยาสามัญประจำบ้าน

7. หน้ากากอนามัย ฝุ่นเยอะมากจริงๆ เยอะในทุกๆ ที่

8. ทิชชู่เปียก ได้ใช้แน่นอน แถมเป็นสิ่งที่ได้ใช้เยอะที่สุดด้วย

9. ประกันการเดินทาง ทำเอาไว้แล้วจะรู้สึกอุ่นใจจริงๆ


โปรแกรมการเดินทาง 3 เมือง 4 วัน (Jaipur – Jaisalmer – Jodhpur) มีดังนี้


วันที่ 0 >> Bangkok - Jaipur

วันที่ 1 >> Jaipur - Jaisalmer

วันที่ 2 >> Jaisalmer

วันที่ 3 >> Jaisalmer – Jodhpur - Jaipur

วันที่ 4 >> Jaipur - Bangkok


สำหรับรายละเอียดการเดินทาง ก็เริ่มจาก สนามบินดอนเมือง เดินทางไปถึง ชัยปุระ (Jaipur) ในช่วงดึก แล้วนอนรอที่สนามบินให้เช้าก่อน จึงออกมาหารถเมล์เดินทางเข้าเมือง และด้วยการจองตั๋วรถไฟที่ค่อนข้างกระชั้นไปหน่อย จึงทำให้ได้เที่ยวรถไฟในเวลาที่ไม่ค่อยดีนัก ต้องมีการปรับแผนเที่ยวให้เข้ากับตารางรถไฟ ดังนั้น ถ้าอยากได้โปรแกรมเที่ยวที่ดูลงตัว แนะนำให้รีบจองตั้งแต่เนิ่นๆ นะครับ 55+ ซึ่ง วันแรก ต้องนั่งรถไฟยิงยาวไป เมือง Jaisalmer ในเวลา 11.10 น. ใช้เวลาในการเดินทาง 12 ชั่วโมง ก็เท่ากับว่า วันแรกก็ใช้เวลาบนรถไฟ ทั้งวันไปแล้ว ยังไม่ทันได้ทำอะไรเลย 55+

เมื่อถึงเมือง Jaisalmer ก็เข้าพักในโรงแรม รุ่งเช้า วันที่สอง ก็เดินเที่ยวในเมือง และ ในช่วงบ่าย ก็ออกไปขี่อูฐที่ทะเลทรายธาร์ และ นอนค้างกันที่กลางทะเลทราย แล้วกลับเข้าเมือง Jaisalmer ในเช้า วันที่สาม จากนั้นเดินทางย้อนกลับมายังเมือง Jodhpur แวะเที่ยวที่นี่สักเล็กน้อย ก่อนเดินทางกลับมายัง เมือง Jaipur ซึ่งใน วันที่สี่ วันสุดท้ายมีเวลาเหลือให้เที่ยว ในเมือง ชัยปุระ (Jaipur) ได้ทั้งวัน

ซึ่งแผนการเดินทางต่างๆ สามารถปรับเปลี่ยนได้ตามความเหมาะสม และตามความชอบ ของแต่ละคนนะครับ เพราะเมืองต่างๆ ในรัฐราชาสถานแห่งนี้ มีหลายเมืองที่น่าเที่ยวจริงๆ มีเสน่ห์ที่แตกต่างกันไป บางเมืองก็อยากใช้เวลาอยู่นาน หรือ บางเมืองแค่ได้แวะเที่ยวหน่อยก็โอเคแล้ว ก็ขึ้นอยู่กับความต้องการของแต่ละคนไปครับ แต่ที่สำคัญอยากเน้นว่า.. จองตั๋วรถไฟตั้งแต่เนิ่นๆ จะดีมากครับ จะได้ไม่กระทบกับแผนเที่ยวที่วางเอาไว้ และเที่ยวได้อย่างสบาย มีเวลาที่ลงตัวครับ 55+


คลิปบันทึกการเดินทาง "ขี่อูฐ.. ไปนอนกลางทัเลทราย!"


ออกเดินทางจาก กรุงเทพฯ สู่ ชัยปุระ (Jaipur)


เริ่มต้นการเดินทาง!

ทริปนี้.. ออกเดินทางกัน 2 คนครับ โดยได้นัดหมาย กันที่ สนามบินดอนเมือง ในช่วงหัวค่ำ มีเผื่อเวลาหาข้าวกินก่อนขึ้นเครื่องกันสักเล็กน้อย ซึ่งการเดินทางครั้งนี้.. ก็ได้ใช้บริการของ สายการบินแอร์เอเชีย ครับ บินตรง ไปลงที่เมือง ชัยปุระ (Jaipur) เลย(ทำการบิน 4 เที่ยวบินต่อสัปดาห์ ทุกวันอังคาร,พุธ, ศุกร์ และ อาทิตย์) ด้วยเที่ยวบิน FD 130 ออกเดินทาง เวลา 21.30 น. ใช้เวลาในการเดินทางประมาณ 4 ชั่วโมง เท่านั้น และ เนื่องจากผมได้ทำการเช็คอินออนไลน์มาแล้ว ก็ต้องแวะมาตรวจเอกสารการเดินทาง และ โหลดสัมภาระ ที่เคาเตอร์อีกสักเล็กน้อย ใช้เวลาไม่นานก็ เตรียมตัวพร้อมบินแล้ว..

ผ่านขั้นตอนของ ตม. อย่างรวดเร็ว ก็เดินตัวปลิว เตรียมขึ้นเครื่อง ไป ชัยปุระ กัน

วันนี้เดินทางไกลหน่อย.. ก็เลยได้มีโอกาสได้นั่งแบบ Hot Seat พอให้มีที่วางเท้ากว้างขึ้นมาอีกนิด นั่งสบายๆ ได้งีบหลับพักผ่อนระหว่างที่เดินทาง

หลังจากออกเดินทางมาได้ไม่นาน พนักงานต้อนรับ ก็นำอาหารมาเสิร์ฟ ซึ่งได้ทำการสั่งจองล่วงหน้าเอาไว้แล้ว(สั่งไว้ล่วงหน้าประหยัดกว่านะ..รู้ยัง 55+) ซึ่งเมนูก็คือ ข้าวกะเพราไก่หม่อมหน่อย ทิ้งทวนมื้อสุดท้ายรสชาติแบบไทยๆ ก่อนที่จะไปเผชิญกับอาหารเครื่องเทศแบบจัดหนักในอีกไม่กี่ชั่วโมงข้างหน้า..



DAY #1 JAIPUR, INDIA.


นมัสเต.. “อินเดีย”


รู้สึกว่านั่งเครื่องแค่แป้บเดียว.. ก็มาถึงปลายทางที่ ชัยปุระ(Jaipur) ประเทศอินเดีย แล้ว เดินทางมาถึงเร็วกว่าที่คิดมาก มาถึงก็ต้องมีกรอกใบ ตม. เพิ่มอีกนิดหน่อย ไปยื่นพร้อมกับ E-Visa ที่ได้ขอออนไลน์เอาไว้ ก็ผ่านเข้าเมืองแล้วครับ

มาถึงที่นี่.. ก็ไม่ต้องเร่งรีบอะไรนัก เพราะ ช่วงเวลานี้ก็ประมาณตีสองอยู่เลย ยังมีเวลาเดินเล่น นั่งเล่น ในสนามบินอีกเยอะ รอเวลาเช้า ก็หามุมนั่งเล่นรอเวลาไปครับ ภายในสนามบินเจ้าหน้าที่ค่อนข้างเยอะ ปลอดภัยแน่นอน จะนั่งงีบหลับก็สบายใจได้ และอีกอย่างคนที่อยู่ข้างนอกจะไม่สามารถเข้ามาภายในอาคารสนามบินได้ครับ ถ้าเผลอเดินออกไปแล้ว จะกลับเข้ามาไม่ได้นะ.. ต้องนั่งรอข้างนอกไป หรือ ถ้าหากใครไม่อยากมานั่งรอเช้า ก็สามารถนั่งรถแท็กซี่ไปหาโรงแรมในเมืองนอนสบายๆ ก็ได้ ซึ่งแท็กซี่ก็มีแบบจ่ายเงินก่อน มีเคาเตอร์ Pre-Paid อยู่ภายในสนามบิน จะลองติดต่อดูก่อนก็ได้..

นั่งรอไม่นานท้องฟ้าภายนอกก็เริ่มสว่างแล้วครับ ก็แบกเป้เดินออกมาจากตัวอาคารสนามบิน เพื่อที่จะ ไปหารถเมล์ เข้าเมืองกัน ซึ่งเดินออกมาจากป้อมยามรั้วสนามบินจะเห็นป้ายรถเมล์ป้ายหนึ่งอยู่ครับ เห็นเขาว่า.. สามารถรอรถเมล์ สาย 6A กันได้ตรงป้ายนี้ ก็นั่งรออยู่สักพักไม่เห็นมีรถเมล์ผ่านมาสักคัน ไม่รู้ว่ามารอเช้าไป หรือว่ายังไง? 55+ สุดท้าย ได้คำแนะนำจากคนอินเดียแถวนั้นว่า.. ให้เดินไปรอที่ตรงวงเวียน Jawahar Circle จะมีรถเมล์ผ่านหลายสายมากกว่า ซึ่งเราก็เดินไปอีกไม่ไกล ก็มาถึง Jawahar Circle ซึ่งตรงนี้ก็มีสถานที่สำคัญอย่าง Patrika Gate อีกด้วย

Patrika Gate ประตูเมืองลำดับที่ 9 ของ ชัยปุระ



ป้ายรถเมล์ บริเวณวงเวียนนี้ มีรถเมล์ผ่านหลายสายตามที่เขาบอกจริงๆ แหละครับ รถเยอะมากๆ เริ่มได้บรรยากาศของความวุ่นวายแล้ว..สินะ! เสียงแตรรถที่บีบใส่กัน แบบไม่มีทีท่าจะยอมแพ้กัน จากจุดนี้.. เข้าสู่ตัวเมืองอีกราว 10 กิโลเมตร ตามความรู้สึก.. มายืนรอฝั่งนี้ เหมือนว่าทุกสาย จะเข้า เมืองหมดนะ สังเกตุสายที่ผ่านมาบ่อยๆ อย่าง 3A หรือ AC1-2 ส่วน 6A ที่คิดว่า..เข้าเมืองชัวร์สุด รอตั้งนานไม่มีผ่านมาเลย..

สุดท้ายเราก็เลือก.. สาย AC-2 เป็นรถแบบปรับอากาศ ที่ไม่มีความเย็นแม้แต่น้อย.. บนรถรับคนอัดขึ้นมาอยู่เรื่อยๆ จนประตูแทบจะปิดไม่ได้ กระเป๋ารถเมล์เอ่ยถามขึ้นมาว่า “จะไปลงที่ไหน?” ด้วยความที่.. กะว่า จะเปิดกูเกิ้ลแมพ แล้วจะกดกริ่งลงตรงใกล้สถานที่สำคัญที่สุด ก็เลยตอบไปแบบกว้างๆ ว่า.. “ลง Pink City นะนายจ๋า...” พร้อมเก็บตังค์ไป 30 รูปี คิดเป็นเงินไทย ก็ประมาณ 15 บาท ถูกดีแฮะ.. ประหยัดตังค์ดี แต่..ไม่ประหยัดความเร็วนะ เพราะพี่คนขับแกโคตรซิ่งมากๆ หักหลบรถที่สวนมาบ้าง หักหลบวัวบ้าง เป็นอะไรที่บันเทิงดี 55+

พอเริ่มเข้าสู่เขตเมือง ผู้โดยสารบนรถก็เริ่มเบาบางลง หลังจากรถเมล์เลี้ยวเข้าถนน MI Road กระเป๋ารถตะโกนมาจากข้างหลังรถว่า “Pink City” เป็นการส่งสัญญาณให้คนไทยแบกเป้สองคนที่ยืนงงๆ คอยชะเง้อมองมองนอกหน้าต่างตลอดทาง ให้ลงตรงนี้ได้เลย..

จุดที่เราลงรถเมล์มานี้ เป็น Ajmeri Gate เหมือนประตูทางเดินเข้าไปสู่ใจกลางเมืองสีชมพูแห่งนี้

เรามีเวลาเดินเล่นในช่วงเช้าอีกพอสมควร ก่อนที่จะไปรอขึ้นรถไฟในเวลา 11.10 น. ซึ่งในช่วงนี้.. ก็เลยมีเวลาเดิมชมบรรยากาศอาคารบ้านเรือนของเมืองนี้ แบบไม่รีบร้อน..

ระหว่างที่เดินเล่นชมเมือง ก็จะได้เห็นชีวิตความเป็นอยู่ของคนที่นี่ด้วย

และ ก็เดินมาจนถึงสถานที่สำคัญ ถือเป็นแลนด์มาร์กของที่นี่เลย นั่นก็คือ พระราชวังสายลม(Hawa Mahal) อาคาร 5 ชั้น สร้างด้วยหินทรายแดง สถาปัตยกรรมสไตล์เปอร์เซียผสมโมกุล มีช่องหน้าต่าง 152 ช่อง เอาไว้สำหรับให้นางสนมในวังใช้ส่องชีวิตของผู้คนภายนอก

อันที่จริง.. ที่แวะมาที่นี่ก่อน ก็เพราะว่าจะมาหามื้อเช้ากินแถวๆ นี้อยู่แล้วครับ และก็ได้ข้อมูลมาว่า.. ร้านอาหารที่อยู่ชั้นดาดฟ้าตึกตรงข้ามกับ Hawa Mahal บรรยากาศดี เห็นวิวของ Hawa Mahal ในมุมมองที่สวยงาม ก็เลยถือโอกาสมาจัดการมื้อเช้า พร้อมกับการเก็บภาพของ Hawa Mahal ในมุมสูงไปในตัวด้วย ซึ่งร้านอาหารที่อยู่ตรงข้ามกับ Hawa Mahal มีอยู่ 2 ร้าน คือ Wind View Cafe และ Tattoo Cafe สำหรับเราเลือกมานั่ง Wind View Cafe เพราะ ตอนนั้นในร้านไม่มีคนเลย ก็เลยดูเป็นส่วนตัวดี และ ในส่วนของเมนูอาหารต้องบอกว่า สั่งมั่วมากๆ 55+ ซึ่งจานนี้ น่าจะเป็นเมนู Noodle Masala เหมือนเส้นมาม่าผัดกับ Masala ใส่พริกหยวก รสชาติออกจัดหน่อยๆ แต่ก็ถือว่า..โอเค และ ไว้ใจในเรื่องความสะอาดได้ในระดับหนึ่งครับ

สั่ง Chai Tea ชานมแบบอินเดีย มาเพิ่ม เสิร์ฟมาในแก้วดินเผา ซึ่งคนอินเดียเขามักจะนิยมจิบ Chai Tea กันครับ จะเห็นร้านเล็กๆ ขายชากันเพียบเลย อยู่แทบทุกซอกทุกมุมของเมือง รสชาติของ Chai Tea ก็จะหอมกรุ่น ได้กลิ่นของเครื่องเทศนิดๆ จิบแล้วรู้สึกโล่งคอ เอาเป็นว่า “ชอบ” เลยละครับ

เป็นมื้อเช้าที่รู้สึกชิลดีครับ แม้..บรรยากาศท้องถนนด้านล่างการจราจรจะวุ่นวายไปสักหน่อย แต่ข้างบนนี้..มันก็ชิลดี นั่งกินมื้อเช้า จิบ Chai Tea พร้อมชมวิวเพลินๆ สรุปมื้อนี้.. หมดไป ประมาณ 100 บาท อิ่ม.. และได้วิวระดับเทพ!

Chai Tea ในแก้วดินเผาสีแดงอิฐ สีสันดูกลมกลืนกันดี กับ Hawa Mahal ที่อยู่เบื้องหลัง

วิวบรรยากาศของ Hawa Mahal จาก Wind View Cafe

หลังจากจัดการมื้อเช้ากันเรียบร้อยแล้ว.. ก็ถึงเวลาที่ต้องไปขึ้นรถไฟที่ สถานีรถไฟ Jaipur ครับ จาก Hawa Mahal ได้ลองเรียกรถสามล้อรับจ้าง หรือ ที่เรียกว่า.. Rickshaw ให้ไปส่งที่สถานีรถไฟ ค่าโดยสาร ต่อรองได้ที่ 100 รูปี เป็นเงินไทย 50 บาท ตกคนละ 25 บาท ไม่รู้ว่าถูกหรือแพงนะ? แต่.. ราคานี้ สำหรับเราถือว่าโอเคแล้วครับ เพราะกว่าจะไปถึงสถานีรถไฟ ระยะทางก็พอสมควรเหมือนกัน..


นั่งรถไฟไปทะเลทราย.. จาก Jaipur สู่ Jaisalmer


มาถึง.. สถานีรถไฟ Jaipur ก่อนเวลาเล็กน้อย เนื่องจากได้จองตั๋วรถไฟมาล่วงหน้าแล้ว สามารถ Print ตั๋ว เอามาไว้ใช้ได้เลย ไม่ต้องไปแลกตั๋วใดๆ ทั้งสิ้น สะดวกดีครับ ประหยัดเวลา ไม่ต้องมารอต่อแถวซื้อ มีตั๋วเอาไว้เดินทางแน่นอน..

สถานีรถไฟ เป็นอะไรที่วุ่นวายแบบสุดๆ ก่อนอื่นต้องหาชานชาลาของตัวเองให้เจอเสียก่อน เดี๋ยวจะไปรอผิดชานชาลา และ ตกรถไฟได้ ซึ่งของเราก็มีประกาศเปลี่ยนชานชาลาตั้ง 2 รอบ ก็ต้องแบกกระเป๋าย้ายชานชาลาไปมา และ แน่นอนว่า.. รถไฟดีเลย์!!

รถไฟมาช้ากว่าเวลาปกติราวครึ่งชั่วโมง ซึ่งก็เป็นอะไรที่ยอมรับได้.. เราเดินขึ้นขบวนรถไฟ และ หาที่นั่งประจำตัวของตัวเอง ซึ่งตั๋วที่ได้จองล่วงหน้านั้นเป็น ชั้น AC2 ราคาค่าโดยสารประมาณ 700 บาทไทย (ชั้น 2 นอน แบบปรับอากาศ) ภายในก็ดูเก่าตามสภาพการใช้งาน แอร์เย็นมาก มีเตียงนอนเป็นแบบเตียง 2 ชั้น เมื่อนั่งสักพักจะมีเจ้าหน้าที่มาตรวจตั๋ว ก็ยื่นตั๋วไปกับ Passport ไปให้เจ้าหน้าที่เขาตรวจครับ จากนั้น.. เจ้าหน้าที่ก็จะ นำหมอน และผ้าห่มบางๆ มาให้

จาก Jaipur ไป Jaisalmer ใช้เวลาในการเดินทางประมาณ 12 ชั่วโมง ไปถึงปลายทางก็น่าจะราวเที่ยงคืน ในช่วงเวลานี้ก็เลยดูเหมือนว่าจะไม่มีอะไรทำ ได้แต่นั่งเล่น นอนเล่น มองชมวิวนอกหน้าต่าง.. และ พูดคุยกับคนอินเดีย ที่ร่วมเดินทางไปพร้อมกันในขบวนนี้

บนรถไฟ จะมีบริการอาหาร ขนม และเครื่องดื่ม เดินขายผ่านไป ผ่านมาแบบรถไฟบ้านเราเลย ซึ่งที่อุดหนุนซื้อบ่อยๆ ก็ Chai Tea นี่แหละครับ ยกกามารินขายกันเลย แก้วละ 10 รูปี ก็.. 5 บาทไทย จิบร้อนๆ นั่งชมเพลินๆ ครับ นั่งรถไฟอินเดียนี่มันก็รู้สึกสนุกเหมือนกันนะ มีอะไรให้ดู มีอะไรให้เห็น ไม่เบื่ออย่างที่คิดเลย..

สำหรับอาหารเย็น จะมีเจ้าหน้าที่รถไฟมาคอยเดินถามครับ ว่าจะรับอาหารเย็นมั้ย? ซึ่งถ้ารับเขาก็จะจดเอาไว้ และ จะนำอาหารมาส่งตามเวลาที่นัดหมายครับ (ชวนให้นึกถึงหนังเรื่อง The Lunchbox เลย) ซึ่งเราก็ได้นัดให้เขานำมาให้ตอน 1 ทุ่ม ก็นำมาส่งได้ตรงเวลาเป๊ะมาก เป็นอาหารแบบปิ่นโต ที่ไม่รู้ว่าข้างในมีอะไรบ้าง 55+ พร้อมกับจ่ายไป คนละ 130 รูปี หรือ 65 บาท

ลองเปิดมาดูข้างในปิ่นโตกัน.. มีกับข้าวอยู่ 2 อย่าง พร้อม ข้าวสวย และ แผ่นแป้ง ในส่วนของกับข้าวกลิ่นเครื่องเทศนี่แรงมากๆ แต่..ก็พอกินได้อยู่ครับ กินกับข้าวสวยที่มีรสเค็มนิดๆ และ แผ่นแป้งที่เลือกกินเฉพาะแผ่นในๆ เพราะว่ากลัวหมึกจากหนังสือพิมพ์ที่เขาห่อมา 55+ ซึ่งสุดท้ายแล้วก็พอกินได้ครับ แม้..จะไม่ถูกปากสักเท่าไรนัก และ..ยังดี ที่ซื้อกล้วยหอมหน้าสถานีรถไฟติดไม้ติดมือไว้ขึ้นมาเป็นเสบียงด้วย ก็ช่วยให้อิ่มท้องได้..

และแล้ว.. รถไฟก็เดินทางมาถึง สถานี Jaisalmer เป็นที่เรียบร้อย มาถึงก็เป็นเวลาที่ค่อนข้างดึกมาก ดีที่..ได้จองที่พักล่วงหน้าเอาไว้ และ ทางที่พักก็ส่งคนมารอรับที่สถานีรถไฟด้วย มันก็รู้สึกสะดวกดีครับ เพราะ.. เมื่อตอนที่เรามาถึงนั้น เดินออกมาจากชานชาลาไม่กี่ก้าว ก็มีญาติพี่น้อง มารอรับเพียบเลย 55+ ทั้งล้อมหน้าล้อมหลังแทบจะหาทางเดินไม่ได้ ซึ่งพอมีคนมารอรับ มันก็สะดวกขึ้นเยอะ ยิ่งดึกๆ มืดๆ ลงรถไฟมาใหม่ๆ กำลังเอ๋อๆ หลงทิศอยู่พอดีเลย

เราขึ้นรถสามล้อ Rickshaw ที่มารอรับ ไปยังที่พักที่ได้จองเอาไว้ล่วงหน้าครับ ชื่อ Hotel Sanjay Villas ซึ่งราคาค่าห้องอยู่ที่ 1,000 รูปี (รวมอาหารเช้า) เท่ากับ 500 บาท ตกคนละ 250 บาท และ เราก็ได้จอง ทัวร์ไปนอนทะเลทราย สำหรับวันพรุ่งนี้ กับทางที่พักไว้ด้วย ได้มา ราคาคนละ 900 บาทไทย (รวมรถรับส่งจากโรงแรมไปทะเลทราย, ขี่อูฐ, นอนทะเลทราย, อาหาร 2 มื้อ เย็น-เช้า และ โชว์การแสดง) ..ก็ถือว่าคุ้มค่าดีครับ

เมื่อนัดหมายอะไรเรียบร้อย ก็เป็นอันจบสิ้นภารกิจสำหรับวันแรกนี้ครับ ได้เวลานอนพักผ่อนเอาแรงไว้ลุยพรุ่งนี้กันต่อไป..


DAY #2 JAISALMER, INDIA.


Jaisalmer เมืองที่ดูรวมๆ แล้ว เหลืองอร่ามเหลือเกิน!


เช้าวันใหม่.. ใน Jaisalmer วันนี้ตื่นแต่เช้าหน่อย.. เพราะได้ข่าวมาว่า Hotel Sanjay Villas ที่เรามาพักอยู่นี้ ด้านบนมี Rooftop ไว้สำหรับทานอาหาร และ ชมวิวเมืองได้ ยิ่งถ้าเป็นตอนเช้าแบบนี้ก็สามารถขึ้นไปชมวิวพระทิตย์ขึ้นได้เช่นกัน.. จากที่มาถึงเมื่อคืนมองอะไรแทบไม่เห็นเลย จนมาถึงเช้านี้.. ก็ได้มองเห็นบ้านเมืองของเขาแล้วครับ ซึ่งส่วนใหญ่บ้านเรือนแถบนี้เขาจะสร้างด้วยหินทราย เมื่อสะท้อนกับแสงแดดจึงทำให้มองเห็นคล้ายกับสีทอง.. จนได้ชื่อว่า Golden City.

บรรยากาศภายในที่พัก Hotel Sanjay Villas ก็มีสีเหลืองทองเช่นกัน

Rooftop ไว้สำหรับมานั่งรับประทานอาหาร พร้อมกับ ชมบรรยากาศโดยรอบได้ และเราก็มารอทานอาหารเช้าบนนี้เหมือนกันครับ

อาหารมื้อเช้า จะเป็นอาหารแบบง่ายๆ ครับ ก็เลยทำให้ได้กินง่ายไปด้วย ณ ตอนนี้ อาหารง่ายๆ อร่อยถูกปากดีครับ..

บริเวณหน้าที่พัก Hotel Sanjay Villas ที่เราได้เข้ามาพักเมื่อคืนครับ ดูตกแต่งได้อย่างอลังการดีครับ เด่นด้วยสีเหลืองทอง เข้ากับสภาพแวดล้อม

ในช่วงเช้านี้.. จะใช้วิธีเดินเท้าเที่ยวตามสถานที่สำคัญ ภายในเมืองครับ อย่างเช่น Jaisalmer Fort, Haveli และ ทะเลสาบ Gadsisar Lake เป็นต้น ซึ่งเดินจากที่พักไปไม่ไกล และจุดสำคัญๆ ก็ไม่ได้ห่างกันมากนัก ใช้เวลาในช่วงเช้าก็น่าจะเพียงพอ เพราะช่วงบ่ายต้องรีบกลับมาที่พัก เพื่อจะได้เตรียมตัวออกไป ทัวร์ทะเลทราย ในเวลา 14.00 น. ต่อไป


เดินในย่าน ตลาดแบบ Local ในเมือง Jaisalmer ก็จะเห็นชีวิตของผู้คนอย่างหลากหลายมาก เป็นอะไรที่รู้สึกแปลกตาดี และที่ขาดไม่ได้เลยก็ คือ จะเห็น “วัว”(และ สัตว์อื่นๆ) เดินไป เดินมา ในเมือง ตามตลาด ตามท้องถนน ได้อย่างอิสระ


วิถีชีวิตของผู้คนในเมือง Jaisalmer

เนื่องจากเมื่อก่อน เมือง Jaisalmer เคยเป็นเมืองเส้นทางการค้าที่สำคัญ ทำให้ คหบดี และ พ่อค้า ในยุคนั้นร่ำรวยเป็นมหาเศรษฐี จึงได้มีการสร้าง คฤหาสถ์ หรือ Haveli ขึ้นมา โดยเน้นที่ความสวยงามเป็นหลัก ซึ่ง Haveli จะสร้างขึ้นมาด้วยหินทรายสีเหลืองทองอร่าม ระเบียง และ ซุ้มหน้าต่าง ยื่นออกมาล้อมรอบตามสไลต์ของราชปุต และ มีการแกะสลักลวดลายต่างๆ อย่างละเอียดสวยงาม อย่างเช่น Haveli แรกที่เราได้แวะมาชม ก็คือ Nathmalji Ki Haveli เป็น Haveli ที่มีความสูง 5 ชั้น ตรงทางเข้ามี งานแกะสลักรูปช้าง และ ตอนก่อสร้าง Haveli ใช้ช่าง 2 คน ที่เป็นพี่น้องกัน แบ่งกันแกะสลักงานคนละฝั่ง ทำให้งานแกะสลักที่ออกมาดูไม่เหมือนกัน เป็นอีกเสน่ห์หนึ่งของ Haveli

เดินมาอีกไม่ไกล ก็จะพบกับ Patwon Ki Haveli เป็น Haveli มีขนาดใหญ่ และ หรูหรา ด้วยซุ้มระเบียงถึง มากถึง 66 ระเบียง จึงใช้เวลาในการก่อสร้างค่อนข้างนาน แต่ก็ออกมาดูสวยงามอลังการมากครับ..

ตุ๊กตา ของที่ระลึกจาก Jaisalmer

และ ก็มาถึงสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญของ Jaisalmer นั่นก็คือ.. Jaisalmer Fort ป้อมปราการขนาดใหญ่ใจกลางเมือง เป็นป้อมที่มีหอรบถึง 99 หอ สร้างด้วยหินทราย ซึ่งเมื่อได้ชมป้อมปราการในช่วงเวลาที่แดดจัดแบบนี้.. ทำให้มองเห็นป้อมดูเหลืองอร่ามมาก

ป้อมปราการนี้ ไม่เหมือนกับป้อมทั่วๆ ไป เพราะ ที่นี่.. มีคนอาศัยอยู่!! แบบว่า.. อยู่กันเป็นชุมชนเลย ซึ่งข้างในก็จะมีร้านค้า ร้านอาหาร ร้านกาแฟ รวมไปถึง โรงแรมที่พัก ซึ่งถ้ามีโอกาส ก็ลองมานอนโรงแรมที่อยู่บน Jaisalmer Fort นี้กันได้นะครับ

บน Jaisalmer Fort จะเป็นที่ตั้งของ วัดเชน (Jain Temples) อีกด้วย เป็นกลุ่มวัดเชนประกอบด้วยวัด 7 วัด ที่มีทางเชื่อมต่อถึงกันได้ โดยวัดเชนจะมีความโดดเด่นของการแกะสลักลายที่มีความละเอียดสวยงาม

จุดไฮไลท์ ที่ไม่ควรพลาด บน Jaisalmer Fort ก็ คือ จุดชมวิวเมือง ซึ่งเป็นจุดที่สามารถชมวิวเมือง ชมอาคารบ้านเรือนของเมืองนี้ได้อย่างสุดลูกหูลูกตา ซึ่งความพิเศษ ของอาคารบ้านเรือนที่นี่ จะสร้างขึ้นมาด้วยหินทราย เมื่อได้สะท้อนกับแสงแดด จึงมีสีเหลืองอร่ามไปทั้งเมือง..

อีกสถานที่ที่อยากแนะนำ ระยะทางพอเดินได้ไม่ไกลจาก Jaisalmer Fort นั่นก็คือ Gadsisar Lake ทะเลสาบเก่าแก่ประจำเมือง ที่ในอดีตเคยเป็นแหล่งน้ำกินน้ำใช้สำคัญ แต่ปัจจุบัน จะเป็นที่พักผ่อนหย่อนใจของคนในเมืองมากกว่า มีกิจกรรมล่องเรือ ให้อาหารปลา ซึ่งที่นี่.. เหมาะที่จะมาในช่วงเย็นมากกว่า บรรยากาศจะดีมากๆ เลย แต่.. เราคงไม่ได้มีโอกาสมาในช่วงเย็น เพราะจะต้องไปทัวร์ทะเลทราย ก็เลยรีบแวะมาชมกันในตอนนี้แทน

ระหว่างที่เดินกลับที่พัก เพื่อเตรียมตัวจะไปทัวร์ทะเลทรายในช่วงบ่าย เดินผ่านร้านอาหารร้านหนึ่งก็เลยขอลองสักหน่อย เป็น ร้านอาหารแบบอินเดียแท้ๆ กิน แผ่นแป้ง กับ น้ำแกง อะไรประมาณนั้น ซึ่งแผ่นแป้งทำเองร้อนๆ จากเตาเลย

มีแกงต่างๆ ให้เลือก 4 อย่าง ซึ่งเท่าที่สังเกต น้องคนนี้จะคอยเดินเติมแกงให้กับโต๊ะต่างๆ และ พอจะเข้าใจว่า เหมือนจะเป็นบุฟเฟ่ต์อะไรประมาณนั้น ถามราคาก็ตกคนละ 35 บาทไทย ก็ดูถูกดี.. แต่..??

แต่ว่า.. รสชาติ มันไม่ค่อยถูกปากสักเท่าไร 55+ คือปกติ ก็ไม่ใช่คนกินยากอะไรนะ เห็นคนอินเดียกินอย่างเอร็ดอร่อย ก็นึกว่าจะพอกินได้ แต่..ก็กินไม่ได้เลย แกงบางอย่างมันก็ออกเปรี้ยวๆ ด้วย สงสารท้องตัวเอง เกรงว่าจะไปลำบากจู๊ดๆ อยู่กลางทะเลทราย คงจะแย่แน่เลย.. ก็เลยทำได้แค่กินแผ่นแป้งเล่นๆ ไป แล้ว.. ก็กลับที่พักไปสั่งข้าวไข่เจียว กินแทน.. 55+


ขี่อูฐ.. ไปนอนค้างกลางทะเลทราย!


เวลาราวบ่ายสองโมง ก็เตรียมเก็บของเพื่อที่จะออกไปทัวร์ทะเลทรายกัน ซึ่งที่จริงสามารถฝากสัมภาระต่างๆ ไว้ที่พักก่อนก็ได้ หรือ จะนำไปด้วยก็แล้วแต่ความสะดวก สำหรับทัวร์ทะเลทรายนั้น จะมีขายอยู่ทั่วๆ ไป ตามร้านทัวร์ในเมือง หรือตามโรงแรมต่างๆ โดยเราจองผ่านกับทางที่พักไว้แล้ว ได้มาใน ราคา 1,800 รูปี ต่อ คน ก็ตกคนละ 900 บาท ซึ่งราคานี้รวม รวมรถรับส่งจากโรงแรมไปทะเลทรายธาร์, ขี่อูฐ, นอนทะเลทราย, อาหาร 2 มื้อ เย็น-เช้า และ โชว์การแสดงจากชนเผ่าพื้นเมือง

การเดินทางจากตัวเมือง Jaisalmer ไปยังจุดหมายที่ ทะเลทรายธาร์ ระยะทางประมาณ 40 กิโลเมตร ใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมง ก็จะถึงแคมป์ที่อยู่ก่อนเข้าทะเลทราย ซึ่งแคมป์นี้เหมือนเป็นจุดไว้บริการนักท่องเที่ยว มีเครื่องดื่ม มีห้องน้ำ มีห้องพัก มีลานกิจกรรมแคมป์ไฟ เป็นจุดรับประทานอาหาร และ เป็นจุดเริ่มต้นในการขี่อูฐ ของวันนี้ด้วย

นั่งรอให้แสงอาทิตย์ลดความร้อนแรงสักหน่อย ก็เตรียมไปขี่อูฐกัน ซึ่งตอนขี่อูฐเนี่ย.. มันจะรู้สึกเสียว ก็เฉพาะตอนขึ้นและลงเท่านั้น ช่วงเวลาที่ขี่อยู่บนหลังเป็นอะไรที่สนุกมากจนลืมความร้อนไปชั่วขณะเลยครับ โดยคนจูงอูฐของเราในวันนี้ มาพร้อมกับลูกชายตัวเล็กๆ ของเขาอีก 2 คนครับ มาจูงอูฐเดินพาเราเข้ามาในทะเลทราย..

ในการขี่อูฐจะใช้เวลาประมาณ 1-2 ชั่วโมงครับ อูฐจะพาเดินไปตามเนินทรายต่างๆ เพื่อชมบรรยากาศโดยรอบ

ช่วงแรกๆ ของการขี่มันก็สนุกดีครับ นั่งโยกเยกไปมา บนหลังอูฐ แต่..พอช่วงหลังๆ แอบมีความรู้สึกปวดก้นบ้างเหมือนกัน 55+

ทะเลทรายที่นี่ก็สวยดีครับ ในเวลาบ่ายแก่ๆ แดดไม่แรงมาก

มาถึงจุดนั่งพักกันแล้ว ตรงนี้จะมีพุ่มไม้ ต้นไม้ต้นเล็กๆ ให้นั่งหลบแดด กันบ้าง เราได้นั่งพัก และ น้องอูฐก็ได้พักด้วย

จากนั้น.. ก็เดินไปยังจุดต่อไป ซึ่งเป็นเนินทรายที่สามารถมองเห็นวิวพระอาทิตย์ตก

นักท่องเที่ยว หามุมส่วนตัว นั่งชมพระอาทิตย์ตกที่ ทะเลทรายธาร์

เมื่ออาทิตย์ลับขอบฟ้าไปแล้ว.. เราก็กลับ ขึ้นอูฐ ขี่อูฐกลับมายังแคมป์ เพื่อรับประทานอาหารเย็น และ ชมการแสดงท้องถิ่น เป็นการสิ้นสุดการขี่อูฐในวันนี้ ซึ่งน้องๆ ที่มาจูงอูฐให้ก็น่ารักและขยันขันแข็งกันดีครับ ก็เลยมีทิปให้ไว้ไปซื้อขนมกินกันนิดหน่อย..

ที่แคมป์จะมี ลานกิจกรรม ไว้สำหรับโชว์การแสดงครับ เราจะมาทานอาหารเย็นร่วมกัน พร้อมกับชมการแสดงพื้นเมืองไปด้วย ซึ่งนอกจากอาหารเย็นแล้ว ก็สามารถสั่งเครื่องดื่มต่างๆ เพิ่มเติมได้(แต่พวกเครื่องดื่มต่างๆ ต้องเสียตังค์เพิ่มนะครับ)

การแสดงเป็นของชนเผ่าพื้นเมือง มีท่าทางการเต้นรำ ประกอบกับ การเล่นดนตรีแบบสดๆ ก็ดูสนุกสนานแปลกตาไปอีกแบบ..

อาหารมื้อเย็น จะเป็นแบบบริการตัวเองครับ สามารถเดินไปตักเองได้ มีข้าว และกับข้าวอยู่ 4-5 อย่าง ซึ่งรสชาติค่อนข้างจัดเครื่องเทศมากๆ ถึงขั้นเผ็ดจนลิ้นชาเลย แต่..ก็พอกินได้จนหมดครับ

การแสดง ช่วงท้ายๆ จะเป็นการเชื้อเชิญให้นักท่องเที่ยวที่มาพักที่แคมป์นี้มาร่วมสนุก เต้นรำรอบกองไฟด้วยกันครับ บรรยากาศก็เป็นไปด้วยความสนุกสนาน

และแล้ว.. ก็ได้เวลาเข้านอน นักท่องเที่ยวที่มีความประสงค์ที่จะ นอนค้างกลางทะเลทราย ก็จะมีรถจี๊ปขับลุยทะเลทรายเข้าไปส่งยังจุดที่เตรียมไว้ครับ ซึ่งรู้สึกว่าคืนนี้จะมีอยู่ 3 กลุ่ม กระจายกันไปตามจุดต่างๆ ทิ้งระยะห่างพอสมควร เมื่อไปถึงจุดที่จะต้องค้างแรม ก็จะเห็นเตียงที่ตั้งอยู่กลางเนินทราย โล่งๆ โปร่งๆ บนเตียงมีหมอน และ ผ้าห่มพร้อม ใกล้ๆ เตียงนอน จะเห็นกระโจมเล็กๆ ในนั้นเขาจะไว้เก็บหมอน และผ้าห่ม ถ้าไม่พอใช้ก็ไปหยิบมาเพิ่มได้

ซึ่งเมื่อเรามาถึงจุดนี้.. ก็เตรียมนอนกันเลย เพราะ บรรยากาศรอบด้านมันมืดมากๆ อากาศเริ่มจะหนาว ไม่มีอะไรจะทำนอกจากการนอนดูดาว.. ดาวที่ทะเลทรายมันเต็มท้องฟ้าสวยจริงๆ นะ .. Good Night!



DAY #3 JAISALMER-JODHPUR-JAIPUR, INDIA.


นอนดูดาวเต็มฟ้ากลางทะเลทราย เป็นอะไรที่เพลินมาก..


กลางคืนนอนหลับๆ ตื่นๆ เพราะ ลมหนาวที่พัดมาเป็นช่วงๆ รู้สึกตัวตื่นที ก็ลืมตาขึ้นมาที ก็เห็นดาวแบบเต็มท้องฟ้าเลย ยิ่งดึกยิ่งสวย หลับๆ ตื่นๆ ไปแบบนี้จนถึงเช้า..

ช่วงเช้า.. อากาศดีนะครับ ตื่นมาก่อนพระอาทิตย์จะโผล่พ้นขอบฟ้าเล็กน้อย

ตื่นมาแบบนี้.. ถ้าอยากเข้าห้องน้ำจะทำยังไง? คำตอบ ก็คือ ห้องน้ำมีอยู่ทุกที่ครับ เดินหามุมไปปล่อยได้ตามใจชอบเลย 55+

แสงอาทิตย์เริ่มพ้นขอบฟ้ามาทีละนิด ความรู้สึกตอนนี้มันชิลดีจริงๆ

เป็นการมานอนค้างทะเลทรายที่รู้สึกคุ้มค่ามากๆ ซึ่งหลังจากที่ชมพระอาทิตย์ขึ้นแล้ว รถจี๊ปก็จะขับมารับเรากลับไปที่แคมป์ครับ..

บริเวณแคมป์จะมีหมู่บ้านด้วย เช้าๆ แบบนี้ก็จะเห็นชาวบ้านออกไปตักน้ำที่บ่อเพื่อเอาไปใช้ในครัวเรือน

กลับมาล้างหน้าแปรงฟันที่แคมป์ แล้วก็ทานอาหารเช้ากันครับ เมนูอาหารเช้า เป็นเมนูง่ายๆ กินง่ายดี ไม่อิ่มก็ไปเติมได้ มื้อนี้กินได้เยอะเลย เยอะกว่าทุกมื้อ 55+



นั่ง Local Bus จาก Jaisalmer ไป Jodhpur


เมื่อทานอาหารเช้าเสร็จ รถก็กลับมาส่งในเมือง Jaisalmer ซึ่งเราก็ได้แวะลงที่ สถานีรถบัส ของเมือง Jaisalmer เพราะเราจะนั่งรถบัสเดินทางไปเมือง Jodhpur กันต่อ ที่นี่.. มีรถบัสวิ่งไปหลายเมือง มีเที่ยวรถอยู่เยอะเหมือนกัน สำหรับเส้นทาง Jaisalmer – Jodhpur นี่ก็มีทุกๆ ชั่วโมงเลย

รถบัส จะมีที่นั่งให้เลือกว่าจะเป็นที่นั่ง แบบนั่ง หรือว่า แบบนอน แบบนั่งจะอยู่ชั้นล่าง แบบนอนจะอยู่ชั้นบน ด้วยความที่อยากสบายและส่วนตัว ก็เลยเลือก แบบนอน ซึ่งก็มีแยกไปอีกว่า นอนแบบเดี่ยว หรือ แบบคู่ สุดท้ายก็เลือกนอนเดี่ยว แยกช่องใครช่องมันสบายตัวกันไป ช่องที่นอนก็พอนอนได้ มีประตูกระจกเลื่อนปิดได้ แต่ไม่มีแอร์นะ เป็นรถหวานเย็น ลมโชยเลยทีเดียว.. กับ ค่าตั๋ว 200 บาทไทย ใช้เวลาเดินทางประมาณ 5 ชั่วโมง

พอเข้าช่องตัวเองได้.. ก็ปิดกระจกที่กั้นช่องส่วนตัว นอนเล่น มองวิวไปเรื่อย พอนั่งไปได้สักพัก ลองเปิดกระจกดู เฮ้ยยยย.. ช่องฝั่งตรงข้าม ขึ้นมานั่งอัดกันเต็มช่องเลย.. ได้บรรยากาศการเดินทางไปอีกแบบ 55+


นมัสเต Jodhpur .. เมืองสีฟ้า!


เรามีเวลาให้กับเมือง Jodhpur ไม่มากนัก..


เนื่องจากเวลาที่ค่อนข้างน้อย และ ยังไงก็ต้องมาต่อรถเพื่อกลับไปยัง Jaipur อยู่แล้ว ก็ขอแวะเที่ยวที่เมือง Jodhpur แห่งนี้กันสักนิด ถึงแม้จะมีเวลาไม่กี่ชั่วโมงก็ตาม.. จากที่มีเวลาน้อยอยู่แล้ว “อะไรก็เกิดขึ้นได้” รถบัสที่เรานั่งจาก Jaisalmer มาถึง Jodhpur ช้ากว่าเวลาที่กำหนดไปเกือบชั่วโมง เมื่อรถบัสมาจอดส่งที่ เมือง Jodhpur เราก็รีบลง และ หารถสามล้อ Rickshaw เพื่อให้ไปส่งยัง Mehrangrah Fort สถานที่สำคัญของเมืองนี้.. แต่ทว่า.. รถสามล้อที่นั่ง ก็มาดันขับช้าอีก แบบเครื่องยนต์อืดมากๆ ตอนไต่ระดับขึ้นเนินเขา นี่ไม่ต้องพูดถึง.. ตอนนี้เริ่มทำใจแล้วว่าอาจเข้าไปชมใน Mehrangrah Fort ไม่ทัน เพราะเขาจะปิดรับนักท่องเที่ยวเข้าชมตอน 17.00 น.

Mehrangrah Fort เป็นป้อมปราการโบราณที่ตั้งอยู่กลางย่านเมืองเก่าของ Jodhpur มีลักษณะของป้อมปราการ ที่ทอดยาวข้ามเขาถึง 125 ลูก ภายในเป็นพระราชวังที่ใหญ่ และ สวยงาม (ค่าเข้าชม 600 รูปี)

สุดท้ายแล้ว ด้วยระยะเวลาและความคุ้มค่า เราเลยเลือกที่จะไม่เข้าไปชมข้างในป้อมปราการ ซึ่งอันที่จริงมองแค่จากข้างนอกก็สวยเหมือนกัน

การที่แวะมาเที่ยว Jodhpur ประเด็นหลักของเรา คือ ต้องการมาชมเมืองสีฟ้า(Blue City)ของที่นี่เสียมากกว่า มาเดินเล่น หามุมถ่ายรูป กับผนังสีฟ้าๆ

มองไปทางไหน ก็เจอแต่บ้านเรือนที่ทาด้วยสีฟ้า ซึ่งที่ทาสีฟ้าแบบนี้.. เขาว่ากันว่า.. จะช่วยให้บ้านเย็นขึ้น

เราเดินเล่นชมเมืองไปเรื่อยๆ และ ผ่านบ้านของชาวบ้านหลังหนึ่ง ซึ่งมีป้าคนหนึ่งเป็นเจ้าของบ้านเชื้อเชิญให้เราขึ้นไปถ่ายรูปชมวิว บนดาดฟ้าบ้านของแก ใจก็คิดแล้วแหละว่าต้องมีเก็บตังค์แน่ๆ แต่..ก็ยอม เพราะอยากไปชมวิวมุมสูง 55+

เดินเล่นชมบ้านเรือนไปตามตรอกซอกซอยต่างๆ

บ้านหลังนี้ วาดรูปบนผนังได้สวยดี ก็ขอ.. ถ่ายรูปไว้เป็นที่ระลึกสักหน่อย ซึ่งมุมเก๋ๆ แบบนี้ก็มีเยอะเหมือนกันนะครับ น่าจะถูกใจคนชอบถ่ายรูป

ที่จริงถ้าอยากได้รูปมุมสูง ก็มีร้านกาแฟ หรือ คาเฟ่ ที่มี Rooftop อย่างเช่นร้านนี้ครับ INDIAN KITCHEN ขึ้นไปที่ชั้น 4

ร้านนี้วิวดีครับ มองเห็นป้อมปราการ Mehrangrah Fort ได้อย่างชัดเจนเลย จิบกาแฟ ชมเมืองไปก็น่าจะเพลินดี..

ชั่วโมงนี้เราอยากได้อะไรมาดับร้อนมากกว่า ก็เลยสั่งโค้ก แบบเย็นๆ มาครับ มาเป็นวุ้นเลย 40 รูปีเท่านั้นเอง ราคาอาหารและเครื่องดื่มที่นี่ไม่ค่อยแรงครับ แต่.. วิวโอเคเลย..

เรามีเวลาให้กับ Jodhpur ไม่มากนัก แต่ก็..พอได้มาพักแวะเที่ยวชมเมือง ก่อนจะย้อนกลับไปยังเมือง Jaipur เราเรียกรถสามล้อให้ไปส่งที่ สถานีรถไฟ Jodhpur ซึ่งเมืองนี้ก็เป็นเมืองเล็กๆ นั่งไม่กี่นาที ก็มาถึงสถานีรถไฟแล้วครับ

จาก Jodhpur ไป Jaipur เราได้จองตั๋วรถไฟเอาไว้มาล่วงหน้าแล้ว เป็นรถไฟ ชั้น AC2 (ชั้น 2 นอน แบบปรับอากาศ) ราคาเป็นเงินไทยก็ 425 บาท ออกจาก Jodhpur เวลา 19.00 น. ใช้เวลาเดินทางประมาณ 5 ชั่วโมง

รถไฟจะเป็นแบบเตียงนอน 2 ชั้น แต่..ก็ไม่ได้นอนถึงขั้นหลับนะ เป็นการนอนเล่นเสียมากกว่า เผลอแป้บเดียว.. ก็มาถึง สถานีรถไฟ Jaipur แล้ว!

นาทีนี้.. อยากอาบน้ำนอนแบบสุดๆ ...!!!!



ย้อนกลับมาที่.. Jaipur อีกครั้ง!


จาก สถานีรถไฟ Jaipur เรานั่งสามล้อ Rickshaw ให้ไปส่งยังที่พักที่ได้จองล่วงหน้าเอาไว้ ชื่อ Lostouse : Backpackers Hostel เป็นที่พักที่ดูน่าพักดีเหมือนกัน ซึ่งที่จริงส่วนใหญ่นักท่องเที่ยวที่มาพักที่นี่.. จะมาพักแบบพักรวม เพราะราคาประหยัด แค่ 75 บาทไทย เท่านั้นเอง!! แต่เผอิญเรามาถึงที่นี่ดึกเกินไป เข้ามาถึงที่พักก็ปาไปตีหนึ่งแล้ว เวลาจะออกไปอาบน้ำ หรือจัดกระเป๋า ก็กลัวว่าจะรบกวนผู้เข้าพักคนอื่นๆ ก็เลยจองแบบ ห้องส่วนตัว มา ราคา 600 บาท/คืน ตกคนละ 300 บาท ก็ถือว่า..โอเคดีครับ เปิดแอร์นอนเย็นสบาย...

มีครัวเอาไว้ทำอาหารกินเองด้วย

Rooftop ด้านบนก็เป็นที่ไว้นั่งเล่น ทานอาหาร หรือ จัดปาร์ตี้ต่างๆ

วันนี้ เป็นวันที่เดินทางค่อนข้างเหนื่อย และ สมบุกสมบัน ตะลอนมาตลอดทั้งวัน ก็ขอไปอาบน้ำ รีบเข้านอนกันดีกว่า..


DAY #4 JAIPUR, INDIA.


เช้าวันใหม่.. ใน Jaipur!!


มีเวลาเที่ยวใน Jaipur อีก 1 วันเต็มๆ เลยตื่นมาแต่เช้าหน่อย บรรยากาศในเมืองก็ยังดูสงบดีอยู่ รถรายังไม่เยอะมาก

เราได้รับการแนะนำจากทางที่พักว่า เช้าวันนี้.. มีงานสำคัญ ที่จัดขึ้นในวันนี้พอดี โชคดีมากๆ เป็นงาน PHOOLON KI HOLI(Holi with Flowers) ไม่ต้องคิดอะไรมาก ขอไปชมงานกับเขาสักหน่อย เรียกรถสามล้อ Rickshaw ให้ไปส่งถึงที่เลย..

รถสามล้อมาจอดส่งเราที่ วงเวียนที่อยู่ใกล้กับ พระราชวังสายลม(Hawa Mahal) ซึ่งเราต้องเดินต่อไปยังพื้นที่จัดงานที่อยู่ไม่ไกล

งาน PHOOLON KI HOLI(Holi with Flowers) มีการละเล่น ร้องรำทำเพลง พร้อมกับโปรยดอกไม้ น่าสนใจมากๆ ดูสนุก และตื่นตาตื่นใจดี

พองานจบเขามีเลี้ยงอาหารด้วย มื้อเช้านี้ก็เลยสบาย 55+

สถานที่ท่องเที่ยวที่สำคัญ ใน ชัยปุระ(Jaipur) บางจุดจะอยู่ใกล้ๆ กัน อย่างเช่น พระราชวังซิตี้พาเลซ (City Palace), หอดูดาวจันตาร์มันตาร์ (Jantar Mantar) และ พระราชวังสายลม(Hawa Mahal) ซึ่งสามารถเดินถึงกันได้อย่างสบาย เราจึงเลือกเที่ยบริเวณโซนนี้ให้ครบเสียก่อน โดยเริ่มจาก พระราชวังซิตี้พาเลซ (City Palace) ค่าเข้าชมคนละ 500 รูปี

ภายในพระราชวังมีความสวยงามมาก เราจะได้เห็นสถาปัตยกรรมที่มีการผสมผสนระหว่างแบบราชปุตกับโมกุล และงานจิตรกรรมฝาผนังที่งดงามมาก

จุดไฮไลท์ ห้ามพลาด ลานนกยูง ที่มีซุ้มประตูสวยๆ อยู่ 4 บาน แต่ละบานจะแทนฤดู 4 ฤดู ได้แก่ ฤดูฝน, ฤดูร้อน, ฤดูหนาว และ ฤดูใบไม้ผลิ มาทั้งทีก็แวะมาถ่ายรูปให้ครบทุกประตูกันนะครับ

เดินข้ามฝั่งถนนเล็กๆ ก็จะเป็น หอดูดาวจันตาร์มันตาร์ (Jantar Mantar) สถานที่ที่ได้รับการประกาศเป็นมรดกโลกในปี 2010 ซึ่งภายในมีเครื่องมือโบราณที่เกี่ยวกับทางดาราศาสตร์ อย่างเช่น นาฬิกาแดดขนาดใหญ่ ที่ใช้วัดเวลาได้อย่างแม่นยำมาก ค่าเข้าชมคนละ 200 รูปี

นาฬิกาแดดขนาดใหญ่ สูง 28 เมตร สามารถใช้ดูเวลาได้อย่างแม่นยำ ซึ่งในอดีตเครื่องมือโบราณเหล่านี้ จะเอาไว้ใช้เพื่อ คำนวณฤกษ์เวลาในการออกรบ

นอกจากนี้.. ก็ยังมีนาฬิกาแดดรูปร่างต่างๆ ให้เดินชมอย่างมากมาย ใครชอบเรื่องราวเกี่ยวกับดาราศาสตร์ ก็น่าจะถูกใจที่นี่อย่างแน่นอน

เดินเท้าต่อไปยังอีกหนึ่งสถานที่ พระราชวังสายลม(Hawa Mahal) ซึ่งวันแรกที่มาถึง ชัยปุระ(Jaipur) ก็ได้แวะมาที่นี่แล้ว แต่..ก็เดินเล่นมาชมกันอีกรอบ(ที่จริงต้องออกมารอรถเมล์แถวนี้อยู่แล้ว 55+) สำหรับ พระราชวังสายลม นี้ ก็ถือว่าเป็นแลนด์มาร์กของเมืองชัยปุระ เลยครับ ภาพของอาคาร 5 ชั้น สร้างด้วยหินทรายแดง สถาปัตยกรรมสไตล์เปอร์เซียกับโมกุล มีช่องหน้าต่าง 152 ช่อง เอาไว้สำหรับให้นางสนมในวังใช้ส่องชีวิตของผู้คนภายนอก


นั่งรถเมล์ เที่ยวใน.. Jaipur


หน้า พระราชวังสายลม(Hawa Mahal) จะมีรถเมล์วิ่งผ่านหลายสายครับ เช่น สาย 29 ที่จะวิ่งผ่านสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญ คือ Amber Fort และ Jal Mahal ซึ่งอยู่ในเส้นทางเดียวกัน สามารถโบกแล้วขึ้นได้เลย

การขึ้นรถเมล์ในอินเดีย ก็รู้สึกสนุกดีเหมือนกัน ได้เห็นวิถีชีวิตอะไรหลายๆ อย่างเลย บนรถเมล์จะเป็นอะไรที่สับสนวุ่นวาย เบียดเสียดกันไปมามาก รถจอดรับคนขึ้นมาแบบไม่อั้นจริงๆ โดยเฉพาะตอนขึ้นลงนี่เบียดกันไปมาอย่างสุดๆ จากหน้า พระราชวังสายลม(Hawa Mahal) ผ่าน Jal Mahal ไปลง Amber Fort ระยะทาง 11 กิโลเมตร แค่ 8 บาท เท่านั้นเอง!

ลงรถเมล์มาถึง Amber Fort ป้อมปราการโบราณ สถานที่สำคัญแห่งหนึ่งในชัยปุระ ตั้งอยู่บนผาหินเหนือ ทะเลสาบเมาตา (Maota) ป้อมปราการแห่งนี้มี สร้างขึ้นมาแบบสถาปัตยกรรม ที่ผสมผสานกันระหว่างศิลปะ ฮินดู และราชปุต มองไกลๆ แบบนี้ก็ดูสวยงามดีครับ ติดเพียงแค่ว่า.. สภาพอากาศในวันนี้มันร้อนถึงขั้นสุด ร้อนมากๆ เกินบรรยาย มองอะไรนานๆ ไม่ได้ แสบตา.. 55+

จากทางเข้าสามารถขึ้นไปบนป้อมด้านบนได้หลายวิธี ทั้งการขี่ช้าง, นั่งรถจี๊ป, และ การเดิน ซึ่งสำหรับนักท่องเที่ยวเองมักนิยมที่จะขี่ช้าง (ราคา 1,100 รูปี/2 คน/เที่ยวเดียว) ที่จริง.. เราก็อยากจะขี่ช้างเหมือนกันนะ แต่..ต้องมาในช่วงเช้า ไม่เกิน 11.30 น. ซึ่งเวลาที่เรามาถึงตลาดของการขี่ช้างเริ่มจะวายแล้ว เหลือช้างไม่กี่เชือกเท่านั้น.. และ ด้วยสภาพอากาศที่ร้อนมาก เริ่มทำให้เราชั่งใจแล้วว่าควรจะขี่ช้างดีมั้ย? เพราะช้างมันจะค่อยๆ เดินต้วมเตี้ยมค่อยๆ ไต่ระดับของเนินขึ้นไป ประกอบกับเจ้าหน้าที่มาแนะนำว่า.. ขึ้นรถไปจะสะดวกกว่า เพราะแดดมันร้อน ใช้เวลานาน ซึ่งถ้าขี่ช้างตอนขาลงต้องเดินลงมาอีก สุดท้าย ก็เลย.. นั่งรถดีกว่า(เป็นเหมือนรถไฟฟ้าคันเล็กๆ) ตั๋วแบบ Two Way Ride คนละ 50 รูปี ก็ 25 บาทไทย นั่งได้ทั้งขาไป และ ขากลับ รวดเร็ว สบาย.. พอไปถึงข้างบน ก็รู้สึก คิดไม่ผิดจริงๆ 55+

วันนี้วันหยุด Amber Fort คนมหาศาลมาก ทั้งนักท่องเที่ยวต่างชาติ และ พี่น้องชาวอินเดียที่พร้อมใจกันออกมาเที่ยวพักผ่อนกันในวันหยุด บรรยากาศก็เลยค่อนข้างที่จะคึกคัก และ วุ่นวายกันเป็นพิเศษในวันนี้ สำหรับ Amber Fort ค่าเข้าชม คนละ 500 รูปี แต่ที่นี่..สามารถซื้อตั๋วรวมแบบเข้าสถานที่ท่องเที่ยวได้หลายที่ เช่น Amber Fort, Jantar Mantar, Albert Hall, Nahargarh Fort, Hawa Mahal เป็นต้น ในราคา 1,000 รูปี เท่านั้น ก็ลองคำนวณกันดูก่อนก็ได้นะครับ ว่าแบบไหนจะคุ้มค่าสำหรับตัวเอง ถ้าคิดว่าตั้งใจจะเข้าทุกที่เลย แบบตั๋วรวม ก็คุ้มดีครับ!

บริเวณ สวนอารัมบักห์ ที่อยู่ภายใน Amber Fort

เดินเล่นไปเรื่อยๆ ตามจุดที่ให้แวะต่างๆ ภายใน Amber Fort เป็นป้อมปราการที่มีความใหญ่โตอลังการงานสร้างจริงๆ ครับ

บนป้อมปราการจะมีร้านอาหาร และ คาเฟ่ เล็กๆ อยู่ด้วยครับ ซึ่งตอนนี้.. มันก็เป็นเวลาที่ต้องกินมื้อเที่ยงแล้วล่ะ ก็หาร้านนั่งสั่งอะไรมารองท้องกันสักหน่อย ก็เลยมาเลือกร้าน Coffee Day บรรยากาศในร้านแอร์เย็นฉ่ำ เดินเข้ามานี่นึกในใจ โอ้ววว.. สวรรค์ เลยทีเดียว ขอนั่งตากแอร์พักกินอะไรแป้บ.. สั่ง เป็น Set แซนวิชไก่ กับ ชาไจ(Chai Tea)

จากนั้น.. ก็เอาให้คุ้มค่าตั๋ว เดินเล่น ภายในป้อมต่อกันอีกสักหน่อย ภายในก็มีหลายๆ ส่วนให้เดินชม รวมไปถึง พิพิธภัณฑ์ และ ร้านขายของที่ระลึกต่างๆ

เสร็จจากการชม Amber Fort เราก็จะย้อนกลับไป Jal Mahal ต่อ ซึ่งอยู่ในเส้นทางเดียวกัน จากหน้า Amber Fort ก็ยืนรอรถเมล์สายเดิม สาย 29 ที่ถือว่าเป็นสายรถเมล์ที่รถมาถี่มากๆ แทบไม่ต้องเสียเวลารอเลยครับ ถ้าเจอจอดอยู่ก็โดดขึ้นได้เลย ค่าโดยสารมาลงหน้า Jal Mahal ก็แค่ 5 บาทไทยเท่านั้น

Jal Mahal หรือ พระราชวังฤดูร้อน ตั้งอยู่กลาง ทะเลสาบมันสกา (Man Sagar) สร้างไว้สำหรับราชวงศ์ มาพักผ่อนคลายร้อน ในช่วงฤดูร้อน ตัวอาคาร ชั้นล่างจะถูกน้ำท่วมเมื่อทะเลสาบมีระดับน้ำสูง โดยเหลือเพียงส่วนของชั้นบน ที่จะโผล่ขึ้นมาเหนือน้ำ โดยที่นี่สามารถชมได้จากบนฝั่งเท่านั้น ไม่สามารถเข้าไปข้างในได้

จากหน้า Jal Mahal มายืนรอรถ สาย 29 เข้าเมืองกันต่อ รอไม่นานรถก็มา และเมื่อกลับเข้ามาถึงตัวเมือง เราก็เลือกมาลงป้ายที่ใกล้ Albert Hall ที่สุด

อัลเบิร์ตฮอลล์ (Albert Hall) เป็นพิพิธภัณฑ์กลางของเมืองชัยปุระ ภายนอกมีความสวยงามของสถาปัตยกรรมแบบอังกฤษ ภายในจัดแสดง ภาพถ่าย ประวัติ ความเป็นมา ของเมืองแห่งนี้ ค่าเข้าชม 300 รูปี (ด้านในห้ามถ่ายภาพด้วยนะ) บริเวณนี้มีนกพิราบเยอะจริงๆ แบบเยอะมากๆ ระวังโดนทิ้งระเบิดใส่หัวกันด้วย.. โดนมาแล้ว 55+


ดูหนัง(ใน)อินเดีย.. สักครั้งต้องลอง!


จากคำร่ำลือ.. เกี่ยวกับ การดูหนังของชาวอินเดีย ที่มีอารมณ์ร่วม และ มีการแสดงออก รีแอคชั่น กับหนังที่กำลังดูอยู่ ทำให้การมาเยือนอินเดียของพวกเราในคราวนี้.. ต้องแวะมาดู หนังอินเดีย(ในโรงหนังอินเดีย) ให้ได้ครับ ซึ่งถึงแม้ว่า.. จะมีเวลาค่อนข้างที่จะจำกัด แต่ก็ขอเจียดเวลา ไปเข้าชมสักนิด สักครึ่งค่อนเรื่องก็ยังดี แบบว่า..ขอเข้าไปชมบรรยากาศการดูหนังของที่นี่สักครั้ง พอเป็นพิธี ก็พอ..

ในเมือง ชัยปุระ(Jaipur) มีโรงหนังขึ้นชื่อของเมือง ที่มีชื่อว่า Raj Mandir Cinema, Jaipur. เป็นโรงหนังแบบ Stand Alone ซึ่งก็ไม่ได้หายากอะไร ตั้งอยู่ย่านแถบใจกลางเมืองนี่เอง ลักษณะภายนอกนี่ดูคลาสสิคมาก เหมือนว่าจะเก่า แต่..ก็ได้รับการดูแลอย่างดี บริเวณโดยรอบดูสะอาดตา กว่าที่คิดมาก ที่สำคัญโรงหนังแห่งนี้ได้ถูกจัดให้อยู่ใน 10 อันดับ The World’s Most Enjoyable Movie Teaters ของ CNN เลยนะ ..ไม่ธรรมดาเลยใช่มั้ยล่ะ?

มาพูดถึงรอบฉายกันบ้าง ที่นี่.. จะฉายภาพยนตร์(ส่วนใหญ่ก็เป็นหนังอินเดียนั่นแหละ) ฉายเป็นรอบ มีทั้งหมด 4 รอบ เวลาเหมือนกันทุกวัน คือ รอบ 12.30 น. / 15.30 น. / 18.30 น. และ 21.30 น. เวลาจะซื้อตั๋วต้องเดินไปด้านข้าง(นอกอาคาร) ซึ่งจะมีจุดจำหน่ายตั๋วอยู่ครับ แบ่งเป็นช่องแยกชาย-หญิง แถวใครแถวมัน จะเปิดให้ซื้อตั๋ว 30 นาที ก่อนเวลาหนังจะฉาย ราคาค่าตั๋ว ก็มีหลายระดับราคา คือ Premium Box 400 รูปี / Diamond Box 300 รูปี และ Emerald 170 รูปี

ส่วนวันนี้.. มีโปรแกรมฉายอยู่ 2 เรื่อง แต่เลือกจะมาดูหนังอินเดีย เรื่อง PAD MAN (เรื่องนี้เข้าฉายที่ไทยด้วย) ราคาค่าตั๋ววันนี้ดูเหมือนจะพิเศษหน่อย คือ ตั๋ว Emerald ตกอยู่ที่ 150 รูปี หรือ 75 บาท ราคาไม่ถึงร้อย ได้ลองมาดูหนังในประสบการณ์แปลกใหม่ดีครับ

เมื่อซื้อตั๋วเสร็จก็เดินเข้าไปในอาคารของโรงหนัง ซึ่งก่อนเข้าก็มีการตรวจเข้มมาก ประชาชนชาวอินเดีย ก็มาต่อแถวทยอยเข้าไปข้างใน พอพ้นประตูเข้าไปเท่านั้นแหละ จะพบกับห้องโถงขนาดใหญ่ที่การตกแต่งภายในมีความสวยงามดีเหมือนกันนะครับ สามารถเดินชมโรงหนังตามมุมต่างๆ ได้อย่างเพลิดเพลิน ระหว่างรอหนังฉายได้เลย หรือ จะไปซื้อขนม ป๊อบคอร์น เครื่องดื่ม ราคาประหยัด(ไม่แพงเหมือนบ้านเรา) ก่อนจะเข้าไปชมหนังก็ได้นะ

พอประตูโรงหนังเปิด ทุกคนที่รออยู่ข้างนอกก็ค่อยๆ ทยอยเข้าไปหาที่นั่งประจำตัวของแต่ละคน คนที่เข้ามาชมก็มีทั้งชาวอินเดียเอง(ที่บางคนแต่งตัวจัดเต็มมาก) และก็นักท่องเที่ยวอย่างเรา ที่อยากลองเข้ามาดูหนังที่นี่บ้างสักครั้ง.. บรรยากาศระหว่างการชมภาพยนตร์ ดูเหมือนจะน่าสนใจกว่าตัวภาพยนตร์เสียอีก ถึงแม้ว่าหนังที่ฉายอยู่ จะไม่ใช่หนังแนวบู๊ล้างผลาญมันส์ๆ แต่..จะออกแนวหนังชีวิต ที่มีมุกตลกสอดแทรกหน่อยๆ มากกว่า ถึงกระนั้น ..ก็พอให้เห็นอารมณ์ร่วมในการดูหนังของชาวอินเดียบ้าง เช่น ฉากเข้าพระเข้านางก็มีเสียงผิวปาก วิ้ดวิ้ววว บ้าง.. ฉากไหนมุกตลกถูกใจ ก็มีปรบไม้ปรบมือบ้าง เป็นอะไรที่ดูสนุกดี

ระหว่างที่หนังฉายจะมี การพักการฉาย หรือ พักเบรค ตรงกลางเรื่อง ซึ่งช่วงเวลานี้ก็สามารถเดินออกไปทำธุระส่วนตัว เข้าห้องน้ำ หรือไปซื้อน้ำ ซื้อขนม ตามอัธยาศัย ก่อนจะเดินเข้าไปรอชมในครึ่งหลังต่อไป แต่ก็..มีบางส่วน ซึ่งส่วนใหญ่ก็เป็นนักท่องเที่ยวนี่แหละ ที่ไม่ได้เข้าไปชมต่อ เพราะแค่มาเอาบรรยากาศแค่ครึ่งแรกก็เพียงพอแล้ว(บางคนซื้อตั๋วเพื่อเข้าไปแค่ถ่ายรูปก็มี) รวมไปถึงพวกเราด้วย ที่ขอแค่เข้าไปดูบรรยากาศสักนิดก็พอ (อีกอย่างดูหนังไม่รู้เรื่องด้วย ฟังไม่เข้าใจ 55+)

เป็นประสบการณ์ที่แปลกใหม่ดี ถือว่าเป็น.. กิจกรรมสนุกๆ ผ่อนคลาย ทิ้งท้ายก่อนอำลาเมือง ชัยปุระ แห่งนี้

และ สำหรับ PAD MAN ในส่วนของครึ่งหลังที่เหลือนั้น ก็คงต้องตามไปเก็บเอาที่ไทยวันหลังละกันนะ..


มื้อสุดท้าย.. ก่อนกล่าวลา India!


พอดูหนังเสร็จ เราก็กลับมาเอาสัมภาระ ที่ฝากเอาไว้กับที่พัก Lostouse : Backpackers Hostel ซึ่งก็เป็นช่วงเวลาเย็นพอดี ก็เลยถือโอกาสจัดการ มื้อเย็น ที่ร้านอาหารของที่พักเลยล่ะกัน ก็เลยจัดเมนูอาหารที่คิดว่าถูกปากมากินให้เต็มที่สักหน่อย ซึ่งอาหารที่นี่.. ก็อร่อยจริงๆ ตั้งแต่มาเยือนอินเดียในทริปนี้เหมือนว่า มื้อสุดท้ายที่อินเดียมื้อนี้ ดูจะถูกปากที่สุด 55+ ก็กินไปเรื่อยๆ รอเวลากลับไปสนามบินครับ

เราได้ให้ทางที่พักติดต่อรถให้มารับไปสนามบินครับ เป็นบริการของ Uber ซึ่งตอนแรกกะว่าจะนั่งรถเมล์ แต่..ทางที่พักแนะนำว่านั่งรถ Uber ไปก็ไม่แพง เดี๋ยวเขาจัดการเรียกให้ ก็เอาตามนั้นครับ ดูน่าจะสะดวกสบายกว่าไปเดินหาป้ายรถเมล์ในตอนมืดๆ แบบนี้ เมื่อถึงเวลารถก็มารับไปสนามบินครับ ใช้เวลาเดินทางแค่ 10 นาที ค่าโดยสาร 170 รูปี ก็เท่ากับ 85 บาท หารสอง ก็ตกคนละ 40 กว่าบาทเท่านั้นเอง ในช่วงเวลาที่ร่างกายเริ่มกรอบ นั่งมาสบายๆ แบบนี้ เป็นอะไรที่ดีมาก 55+

จากนั้น.. ก็เดินเข้ามาภายในตัวอาคารสนามบิน มองหาเคาเตอร์ของ สายการบินแอร์เอเชีย ซึ่งก็หาไม่ยาก เดินเข้ามา ผ่านจุดตรวจ แล้วก็เจอเลย.. จากนั้น ก็ทำการเช็คอิน และโหลดสัมภาระ เดินตัวปลิว เข้า Gate เพื่อเตรียมตัวเดินทางกลับไทย... พร้อมกับตะโกนในใจว่า.. “หิวส้มตำโว้ยยยย...” 55+


การเดินทางมาลุยเที่ยวอินเดีย 3 เมือง 3 สี แห่ง ราชาสถาน ในครั้งนี้ เป็นการเดินทางที่สนุกสนานมาก ได้พบเจออะไรแปลกใหม่ ได้ขี่อูฐมันส์ๆ ไปนอนกลางทะเลทราย ได้เห็น พระราชวัง ตึกรามบ้านช่อง อาคารสถาปัตยกรรมที่สวยงาม ได้เห็นวิถีชีวิตของผู้คนชาวอินเดีย และที่สำคัญได้ประสบการณ์การเดินทางหลายอย่างที่ไม่คาดคิดมาก่อน ซึ่งต้องมาสัมผัสด้วยตัวเอง!

และ การเดินทางที่ใช้จ่ายในแต่ละวันอย่างประหยัด(1,000 บาท/วัน) แบบนี้ ก็รู้สึกว่าคุ้มค่ามากเมื่อแลกกับสิ่งที่ได้รับ ทำให้รู้ว่าการมาเที่ยวอินเดียค่าใช้จ่ายไม่ได้แพงเลย สามารถวางแผนมาเที่ยวเองได้อย่างง่ายๆ ทำให้มีมุมมองเกี่ยวกับประเทศนี้เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง.. แล้วโอกาสหน้า จะกลับไปเยือนอีกครั้งนะจ๊ะ นายจ๋า..


..นมัสเต..



*ชัยปุระ (Jaipur) ปัจจุบัน สามารถเดินทางไปได้ง่าย ด้วยเส้นทางบินตรง จากสายการบินแอร์เอเชีย ราคาประหยัด เดินทางสะดวกสบาย รวดเร็ว ใช้เวลาเพียง 4 ชั่วโมงเท่านั้น

#ไปชัยปุระไปกับแอร์เอเชีย

#AirAsiaTravels #AirAsia

#CHAILAIBACKPACKER



การท่องเที่ยวเชิงไฉไล | CHAILAIBACKPACKER

Fanpage : https://www.facebook.com/chailaibackpacker

Instagram : CHAILAIBACKPACKER

Twitter : @chailaibackpack / goo.gl/VIBXC9

E-mail : [email protected]

Website : www.chailaibackpacker.com

ความคิดเห็น