“เสาร์หน้าไปอัมพวากันป่าว มีรีวิวโรงแรม” เพื่อน (ชาย) สายเที่ยวนักรีวิวโรงแรมคนหนึ่งทักเฟซบุ๊กมาหา “ที่ไหน” ผมพิมพ์ตอบกลับ “วิลล่า อัมพวา” ข้อความจากเขาเด้งขึ้นมา ผมรีบเปิดเว็บเบราเซอร์ เข้าอากู๋ แล้วพิมพ์คำว่า วิลล่า อัมพวา ลงไป พอผลการค้นหาเด้งขึ้นมาก็ตอบกลับทันทีว่า “โอเคไปสิ”
เหตุผลการตัดสินใจมีสองข้อง่ายๆ ข้อแรก อัมพวา สมุทรสงคราม เป็นอำเภอที่ผมสามารถแวะเวียนไปได้ไม่เคยเบื่ออยู่แล้ว ไปตอนมีตลาด ไปตอนไม่มีตลาด ไปทริปกินตัวแตก ไปทริปไหว้พระสายบุญ ไปทริปชาวสวนสโลว์ไลฟ์ จะทริปแบบไหนที่อัมพวาผมชอบทั้งนั้น และข้อสองคือภาพของวิลล่า อัมพวา ในกูเกิ้ลที่เด้งขึ้นมานั้น... สวยมาก
ทริปนี้พวกเรารถเก๋งสามคันเดินทางจากกรุงเทพในช่วงคล้อยบ่าย มุ่งตรงไปที่พักคือ วิลล่า อัมพวา ซึ่งถือว่ายังใหม่มากในย่านอัมพวา ดูดีมีระดับ แตกต่างจากที่พักสไตล์โฮมสเตย์หรือเกสต์เฮ้าส์ริมคลองที่เห็นได้หลายแห่งใกล้ตลาดน้ำ ถือเป็นตัวเลือกดีๆ สำหรับใครชอบที่พักแนวนี้ครับ (ราคาห้องพักและรายละเอียดเพิ่มเติม คลิก >>> www.facebook.com/villaamphawa หรือ www.villaamphawa.com หรือ โทร. 086 471 5583)
พิกัดตั้งอยู่ในซอยวัดช้างเผือก ห่างจากตลาดน้ำอัมพวาแค่ราวสองกิโลเมตร ขับรถแป๊บเดียวถึง หน้ารีสอร์ทมีที่จอดรถยนต์ พร้อมพนักงานรักษาความปลอดภัยดูแล
เรามาถึงที่หมายประมาณบ่ายสามโมงครึ่ง
ลงจากรถแล้วต้องร้องว้าว วิลล่า อัมพวา
เป็นอาคารสไตล์โคโลเนียลหลังสีขาวดูสะอาดสบายตามาก
กลิ่นอายย้อนยุคเหมือนอยู่ในละครพีเรียดคุณหญิงกับท่านชายผู้สูงศักดิ์อะไรประมาณนั้น
(ฮา...) พื้นที่ทั้งหมดอาจไม่กว้างนัก แต่ใช้ประโยชน์ทุกสัดส่วนได้ดีทีเดียว
ที่นี่มีสระว่ายน้ำขนาดกะทัดรัด
บริเวณด้านหลังเป็นสวนหย่อมติดลำคลองเล็กๆ
ซึ่งเป็นเหมือนเอกลักษณ์ของบ้านเรือที่อัมพวา
ภายในห้องพักก็สวยโรแมนติกมากๆ น่าขัดใจอย่างเดียวคือทริปนี้ดันมากับเพื่อน บรรยากาศแบบนี้มันไม่ใช่เลย มันควรได้พาหวานใจมาต่างหาก (ฮา...)
พวกเราใช้เวลาพักผ่อนสบายๆ
ที่รีสอร์ท จนประมาณห้าโมงเย็นค่อยเดินทางไปวัดบางพรมที่อยู่ห่างออกไปนิดเดียวเพื่อล่องเรือสัมผัสบรรยากาศของแม่น้ำแม่กลองยามเย็น
ชมบ้านเรือนผู้คนและวิถีชีวิตสองฝั่งแม่น้ำซึ่งยังดำรงอยู่
ช่วงนี้เป็นช่วงที่อัมพวามีงานเทศกาลลิ้นจี่คึกคัก
เพราะเป็นปีที่ลิ้นจี้ให้ผลมากที่สุดในรอบสามสี่ปีเลยแหละ เรือพาเราเข้าคลองแควอ้อมไปวัดอินทาราม
หนึ่งในสถานที่จัดงาน น่าเสียดายว่าเย็นไปหน่อยตลาดเลยวาย เหลือสินค้าไม่เยอะ
แต่ก็ไม่ได้ผิดหวังไปทั้งหมดครับ ขากลับออกมาจากวัดเราบังเอิญเห็นป้ายร้านก๋วยเตี๋ยวลิ้นจี่หมูที่อยู่ไม่ไกลกันจึงรีบสะกิดคนเรือให้เข้าไปเทียบบันไดบ้านโดยพลัน
พูดคุยได้ความว่าที่นี่เป็นสวนลิ้นจี่ชื่อ “สวนลุงจั๊ว” ช่วงนี้เลยอินเทรนด์เปิดบ้านขายอาหาร นำลิ้นจี้มาเป็นส่วนประกอบ สอดคล้องกับทางวัดอินทารามจัดงานลิ้นจี่พอดี เป็นเทศกาลที่ทุกคนในชุมชนให้ความร่วมมืออยู่แล้ว
ก๋วยเตี๋ยวลิ้นจี่ สเต๊กลิ้นจี่ และผัดกระเพราหมูลิ้นจี่ คือเมนูเด็ดที่สวนลุงจั๊วเตรียมไว้ต้อนรับนักท่องเที่ยว ขอบอกว่ามันเข้ากั๊นเข้ากัน ต้องโดนอย่างแรงคือการนำหมูยัดไส้ลิ้นจี่กลายเป็นลูกชิ้น ใครจะเชื่อว่าผลไม้อย่างลิ้นจี้ทานคู่กับอาหารคาวลงตัวดีแท้ นอกจากนี้บรรยากาศยังชิลสุดๆ เสียด้วย
ทางร้านแจ้งว่าตอนนี้ลิ้นจี่ที่สวนตัดผลใกล้หมดแล้ว แต่จะพยายามยื้อขายให้ถึงวันที่ 22 พฤษภาคม ดังนั้นหากใครอยากไปลองก็เชิญที่สวนลุงจั๊วแบบเร่งด่วนสักหน่อย ร้านเปิดเฉพาะวันเสาร์-อาทิตย์ และหยุดนักขัตฤกษ์ นะครับ จะนั่งเรือไปแบบเรา หรือขับรถไปก็ตามสะดวก
อิ่มหมีพีมันกับก๋วยเตี๋ยวลิ้นจี่แล้ว เรือพาเราฝ่าความมืดกับมวลหมู่เรือที่มาชมหิ่งห้อยไปตลาดน้ำอัมพวา เราก็เดินเล่นหาของกินเพิ่มเติม ซื้อโน่นซื้อนี่กันตามระเบียบ ก่อนกลับรีสอร์ทพักผ่อนชิลๆ ใครใคร่ดื่มก็ดื่ม ใครใคร่นอนก็นอนว่ากันไป
เช้าวันรุ่งขึ้นเราตื่นตั้งแต่ตีห้าครึ่ง เปลี่ยนเสื้อผ้าแบบไม่ต้องล้างหน้าแปรงฟัน (ฮา...) รีบขับรถมาที่ตลาดน้ำอัมพวา เช้าแบบนี้ตลาดยังไม่ตั้งหรอกครับ แต่เรามาเพื่อใส่บาตรพระสงฆ์ที่พายเรือมาตามลำคลอง เป็นภาพเอกลักษณ์ของวิถีแห่งอัมพวา
บอกนิดหน่อยครับว่าปกติพระสงฆ์เกือบทั้งหมดในย่านอัมพวาเดินเท้ามารับบาตร มีเพียงไม่กี่รูปเท่านั้นที่ยังใช้วิธีพายเรือเหมือนครั้งอดีต ต้องย้ำแบบนี้เพราะหลายคนเข้าใจผิดคิดว่าพระที่อัมพวาพายเรือรับบาตรทั้งหมด ซึ่งรวมถึงผมเองตอนมาเที่ยวที่นี่แรกๆ ด้วยเช่นกัน
จากนั้นแวะจิบกาแฟสักหน่อย
ที่ท่าเรือเทศบาล 2 ใกล้กับสะพานเลียบนที มีร้านกาแฟรถเข็นชื่อว่ากาแฟโบราณลุงคิ้ว
อยากรู้ว่าสภากาแฟแบบแต่ก่อนเป็นยังไงมาดูได้ที่นี่นะครับ เป็นศูนย์รวมของผู้คนเดินมาตะโกนสั่งกาแฟ
นั่งกิน หยอกล้อพูดคุยไปมา ถ้าไม่ใช่ในชุมชนเก่าแก่ที่มีคนเก่าก่อนอยู่เยอะๆ
แทบไม่เห็นภาพแบบนี้แล้วนะครับ ทุกอย่างแก้วละ 10 บาท เท่านั้น
พอกลับไปถึงรีสอร์ทก็เป็นเวลาอาหารเช้า
ขอบอกว่าเป็นอะไรที่ประทับใจมาก ไลน์อาหารไม่ได้อลังการเว่อร์
แต่ถือว่าเหมาะสมแบบไทยๆ มีข้าวต้มร้อนๆ ขนมปังปาท่องโก๋ น้ำเต้าหู้ มีโยเกิร์ต
ผักสลัด ผลไม้ น้ำผลไม้ ทานจนอิ่มหนำแน่นอน และเมนูไข่เบรกฟาสต์
เลือกเลยว่าจะรับไข่ดาว ไข่กวน หรือออมเล็ท น่าทานมาก
เราพักผ่อนสบายๆ บางคนลงเล่นสระว่ายน้ำ บางคนเดินถ่ายรูปเล่นเก็บมุมโน้นมุมนี้ บรรยากาศดีและผ่อนคลายเหมาะกับมาพักผ่อนมาก จนกระทั่งได้เวลาเช็คเอาต์แล้วค่อยไปกันต่อ
จุดหมายต่อไปอยู่ที่ตลาดน้ำบางน้อย เป็นอีกตลาดโบราณซึ่งได้รับการฟื้นฟูคู่กันกับอัมพวา เพียงแต่อาจไม่ได้มีชื่อเสียงโด่งดังเท่า และพื้นที่ไม่มากเท่า แต่นั่นก็หมายถึงคนน้อยกว่า บรรยากาศสบายกว่าด้วย
คนที่มาบางน้อยก็มักเน้นของกินแหละครับ ก๋วยเตี๋ยว ก๋วยจั๊บ ก๋วยเตี๋ยวหลอด กับของกินเล็กๆ น้อยๆ อื่นๆ รวมถึงส้มตำน้ำตกอาหารอีสานที่ต้องมีทุกที่ (ฮา...) นั่งทานกันสบายๆ ส่วนร้านกาแฟแบบยุคใหม่ ร้านเก๋ๆ ก็มีเหมือนกัน ในภาพรวมเป็นตลาดที่ผมมาห้าหกรอบแล้วก็ยังชอบอยู่
พุงกางที่บางน้อยเสร็จสรรพ สักบ่ายโมงครึ่งเป็นอันแยกย้ายบ้านใครบ้านมัน แต่รถคันเราขอพิเศษสักหน่อย แวบเข้าไปตลาดแม่กลองหรือตลาดร่บหุบเพื่อถ่ายรูปสักหน่อย เช็คเวลาแล้วรถไฟมีกำหนดเข้าจอดสถานีแม่กลองตอนบ่ายสองโมงครึ่ง
บ่ายสองโมงครึ่งถึงตลาดร่มหุบเป๊ะ ดูท่าจะสายไปนิดหน่อยแฮะ แต่ถามแม่ค้าว่ารถไฟมาหรือยัง แม่ค้ายิ้มกริ่มบอกเลยว่า “พี่โชคดีนะเนี่ยวันนี้รถไฟเข้าเลท” ผลคือรถไฟมาช้ากว่ากำหนดสิบห้านาที เรายืนรออีกไม่ถึงห้านาทีก็ได้เห็นปรากฎการณ์ตลาดร่มหุบสมใจ
นั่นแหละครับทริปอัมพวาแบบง่ายๆ 2 วัน 1 คืน อำเภอที่ใช้เวลาขับรถแป๊บเดียว อยู่ห่างจากกรุงเทพแป๊บเดียว แต่มีอะไรดีๆ อยู่มากมาย และความจริงในพื้นที่อัมพวา-แม่กลอง ยังมีที่เที่ยวอีกนับไม่ถ้วน ผมกลับมาแล้วกลับมาอีก ค้างหนึ่งคืน สองคืน สามคืน ก็แล้วยังมีอะไรใหม่ๆ ให้พบให้ประหลาดใจอยู่เสมอ
ถึงจะเติบโตขึ้นและแปรเปลี่ยนไปตามกาลเวลา แต่สำหรับผมยังไงเสียอัมพวาก็เป็นอำเภอที่มีเสน่ห์ให้ได้ประทับใจทุกครั้งที่มาเที่ยวจริงๆ เชียว
ติดตามเรื่องราวการท่องเที่ยวเดินทางของผมได้อีกช่องทาง
http://www.facebook.com/alifeatraveller
นายสองสามก้าว / A Life, A Traveller
วันพุธที่ 2 พฤษภาคม พ.ศ. 2561 เวลา 22.50 น.