การเดินทางวันแรกของพี่ใหญ่กับหนูเล็ก เป็นการเดินทางจากโตเกียวเพื่อไปยังโอซาก้า เพราะเราจะพำนักที่นั่นระยะหนึ่งและจะใช้เป็นฐานที่มั่นสำหรับการตะลอนเที่ยวแถบๆ นั้น อันดับแรกเราต้องพาตัวเองออกจากสนามบินนาริตะกันก่อน เพื่อความรวดเร็วเราเลือกใช้บริการ NEX กันค่ะ
ออกมาถึงก็เจอเจ้าพวกนี้ก่อนเลย
หลังจากเราไปจัดการแลกตั๋ว JR Pass กันเป็นที่เรียบร้อย พร้อมทั้งจองที่นั่ง Reserved seat สำหรับการนั่งชิงคันเซนไปโอซาก้าด้วยแล้ว ทีนี้ก็เข้าเมืองกันก่อนค่ะ
สำหรับการเดินทางนับจากนี้เราจะใช้รถไฟชินคังเซน (Shinkansen) ที่มักถูกเรียกกันว่า รถไฟหัวกระสุน (Bullet Train) หรือเรียกอย่างเป็นทางการว่ารถไฟความเร็วสูง (Super Express) กันเป็นหลักค่ะ พร้อมแล้วไปกันเล้ยย
รถไฟขบวนแรกที่เราใช้เดินทางสู่โอซาก้า เป็นหนึ่งใน 7 สายหลัก นั่นคือ สายโทไคโด (Tokaido Shinkansen) ซึ่งเป็นรถไฟหัวกระสุนสายแรกของโลกเลยทีเดียวเชียวค่ะ สายนี้จะวิ่งระหว่างโตเกียว โยโกฮามา นาโงยา และโอซาก้า
และก็จะมีขบวนให้เลือกใช้บริการตามความเร็วอีก นั่นคือ ถ้าเร็วสุด จะจอดไม่กี่สถานี คือขบวน Nozomi แต่ “บัตรเบ่ง” หรือ JR Pass ของเราจะขึ้นไม่ได้ ที่ขึ้นได้จะเป็นขบวนที่มีความเร็วเป็นอันดับสองคือขบวน Hikari จะจอดมากสถานีขึ้นมาหน่อย และถ้าเป็นไปได้ เราจะไม่เลือกขึ้นขบวนที่ช้าสุดหรือจอดทุกสถานีอย่างขบวน kodama ดังนั้นเราจึงเดินทางด้วยขบวน Hikari
สำหรับความสะดวกสบายภายในรถไฟก็อย่างที่เห็น แนะนำว่าให้จองที่นั่ง (Reserved seat) ทุกครั้งที่เดินทาง เพื่อให้มั่นใจว่าเราจะมีที่นั่งทุกครั้ง เพราะการจองก็ไม่ได้เสียเวลาและค่าใช้จ่ายเพิ่มอะไรเลย ยิ่งนั่งไกลๆ ยิ่งจำเป็นค่ะ การเดินทางจากโตเกียวไปยังสถานีชินโอซาก้าใช้เวลาประมาณ 150 นาที สามารถเตรียมอาหารกล่องแบบที่เรียกว่า เบนโตะ (Bento) ไปทานระหว่างทางได้ด้วย เรียกว่าไปถึงก็เที่ยวได้ทันที
ไม่นานเราก็ถึงโอซาก้ากันแล้ว
เมื่อมาถึงโอซาก้าก็เที่ยวสถานที่สำคัญของเขาเสียหน่อย ทั้งๆ ที่ตามแผนเราจะเที่ยวที่นี่น้อยมาก แค่ใช้เป็นฐานที่มั่นเพื่อนั่งรถไฟไปยังเมืองอื่นๆ เสียเป็นส่วนใหญ่
เราพากันมาที่วัดชิเทนโนจิ (Shitennoji Temple) เพราะที่นี่นับเป็นวัดพุทธแห่งแรกของประเทศญี่ปุ่น ที่นี่จะดูเหมือนใหม่ แต่วัดแห่งนี้มีอายุกว่า 1,400 ปี ซึ่งนอกจากจะเป็นอารามพุทธแห่งแรกของประเทศญี่ปุ่นที่ได้มีการบันทึกไว้แล้ว ยังถือเป็นหนึ่งในวัดที่เก่าแก่ที่สุดของประเทศญี่ปุ่นด้วย ถูกสร้างขึ้นในปี ค.ศ. 593
ภายในอาณาเขตมหาวิหารชั้นในของวัดนั้นประกอบไปด้วย
เจดีย์ห้าชั้นแบบญี่ปุ่น (Gojunoto)วิหารทองคำ (Kondo) ที่ประดิษฐานรูปเคารพของพระโพธิสัตว์เนียวไร (Nyorai Kannon) และหอธรรม (Kodo) โดยทั้งหมดเรียงตัวเป็นเส้นตรงจากทิศเหนือสู่ทิศใต้และโอบล้อมด้วยกำแพงระเบียงทางเดินสามด้านที่มีประตูแต่ละทิศ 3 ประตู คือ ประตูเทพ (ทิศใต้), ประตูทิศตะวันตก, ประตูทิศตะวันออก ซึ่งการสร้างวัดแบบนี้ได้รับอิทธิพลมาจากประเทศจีน และวัดแห่งนี้ถือว่าเป็นต้นแบบสถาปัตยกรรมที่เก่าแก่แห่งหนึ่งของญี่ปุ่นเลยทีเดียว
ตัววัดที่เห็นในปัจจุบันนั้นไม่ใช่อาคารเก่าแก่ดั้งเดิม เพราะถูกทำลายจากสงครามจนไม่เหลือซากไปหลายต่อหลายครั้ง ซึ่งวัดในปัจจุบันนั้นได้รับการบูรณะขึ้นใหม่ตามโครงสร้างและสถาปัตยกรรมดั้งเดิมทุกประการ โดยการบูรณะครั้งล่าสุดสร้างแล้วเสร็จเมื่อปี ค.ศ.1963
นับเป็นวัดสำคัญและน่าแวะมาสักครั้งหากมาเยือนค่ะ
และเมื่อมาโอซาก้าขาช้อปทั้งหลายไม่ควรพลาดแหล่งช้อปปิ้งที่มีมากมายหลากหลายหมวด ถ้าใครตั้งใจไปละลายเงินเยนก็จดลงลิสต์ แล้วก็ไปเดินให้ครบเลยค่ะรับรองได้ของครบครัน แต่สำหรับเราผู้ไม่นิยมการช้อปปิ้ง ขอพาเดินลัดเลาะชมบรรยากาศความคึกคักบางแหล่งพอเป็นกระสัยค่ะ
ถนนสายช้อปปิ้งอย่าง Sennichimae Doguyasuji นับเป็นหัวใจของเมืองอาหารการกินอย่างโอซาก้าเลยทีเดียว ถนนสายนี้ตั้งขึ้นตั้งแต่ปี ค.ศ. 1970 ตลอดเส้นทางทั้งสองด้าน เต็มไปด้วยร้านค้าที่จำหน่ายอุปกรณ์ทำอาหาร ไม่ว่าจะเป็น อุปกรณ์ทำครัวทั่วไป วัตถุดิบ ภาชนะ เครื่องแบบ ผ้ากันเปื้อน หรือจะเป็นของจิปาถะอย่าง ร้านผ้าม่าน ร้านโคมไฟ ป้ายร้านอาหารและสินค้าอื่นๆ ที่น่าสนใจ พวกคุณแม่บ้านทั้งหลายจะชื่นชอบถนนเส้นนี้กันมาก เพราะมีแต่ของน่าซื้อ
ส่วน Ebisubashisuji Shopping Street ถนนคนเดินซึ่งเป็นที่นิยมแห่งหนึ่งในย่าน Dotonbori แม้จะไม่ใช่ถนนสายช้อปปิ้งที่ยาวที่สุด แต่ก็เต็มไปด้วยร้านค้ามากมายที่คนไทยโปรดปราน สินค้าในแบบที่คน ทั้งกระเป๋า รองเท้า เสื้อผ้า สินค้าไอเดียต่างๆ และเท่าที่ดูราคาไม่ต้องกังวลเลยเท่ากันร้อละ 90 ดังนั้น ถ้าเจอสีเจอแบบถูกใจ มีไซส์มีเบอร์ ไม่ต้องคิดเดินหาไม่เช่นนั้นกลับมาอาจพลาดหรือหาร้านไม่เจอ
ป้ายไฟนีออนกูลิโกะแมน (Glico Man Billboard) นั้นกลายเป็นสัญลักษณ์อันสำคัญแห่งหนึ่งของโอซาก้าไปแล้ว ป้ายไฟอันโด่งดังนี้ตั้งอยู่บริเวณริมแม่น้ำบริเวณสะพาน Ebisubashi Bridge สะพานเล็กๆ ที่เชื่อมต่อระหว่างย่าน Shinsaibashi กับย่าน Dotonbori อันถือเป็นแหล่งช้อปปิ้งและแหล่งท่องเที่ยวยอดนิยมของโอซาก้านั่นเอง
อันแรกนั้นถูกติดตั้งครั้งแรกเมื่อปี ค.ศ.1935 โดยมีรูปร่างคล้ายปรอทและมีกูลิโกะแมนตัวเล็ก (ในแบบโลโก้ดั้งเดิม) อยู่ที่ด้านบนสุด หลังจากนั้นมีการปรับเปลี่ยนป้ายเรื่อยมาจนกระทั่งถึงรุ่นที่ 6 นี้ซึ่งเป็นภาพกูลิโกะแมนวิ่งอยู่บนลู่วิ่งในแบบปกติ แต่ด้านหลังตัวกูลิโกะแมนจะมีจุดวงกลมสีแดงอันใหญ่ซึ่งเป็นสัญลักษณ์แห่งธงชาติญี่ปุ่นอันหมายถึงพระอาทิตย์อยู่ตรงกลาง ส่วนด้านหลังนั้นไม่มีสัญลักษณ์ใดๆ เป็นป้ายที่สะอาดเรียบง่าย แต่ดูโดดเด่นสวยงามเลยทีเดียว โดยในช่วงเวลากลางวันนั้นจะไม่มีการปิดไฟใดๆ โชว์แค่ป้ายผ้าใบที่มีสีสันแสนคลาสสิก แค่มาถ่ายรูปกับป้ายนี้ก็ถือได้ว่ามาถึงโอซาก้าล่ะ
และหากเป็นอีกคนที่ชอบทาน 'ทาโกะยากิ' อย่าพลาดที่จะไปต่อคิวร้าน 'Takoyaki Dotonbori kukuru' ที่ริมคลองที่จะเห็นเจ้าปลาหมึกยักษ์สีแดงสดอยู่หน้าร้าน เพราะเป็นร้านอร่อยที่เขาว่าห้ามพลาดหากมาเยือนถึงถิ่น ใกล้กันมีร้านขายสินค้าปลอดภาษีอย่างดองกิโฮเต้ (Don Quijote)" หรือที่คนไทยชอบเรียกกันว่า "ดองกี้" ด้วย ใครชอบก็อย่าพลาดเชียว
เที่ยวกันให้พอ ช้อปกันให้เสร็จ เดี๋ยวจะพาไปเที่ยวเมืองอื่นบ้างแล้วละ
ว่างๆ แวะไปทักทายกับพี่ใหญ่และหนูเล็กกันได้ค่ะที่ https://www.facebook.com/TravelWithPiyaiAndNoolek/
Piyai&Noolek
วันอาทิตย์ที่ 6 พฤษภาคม พ.ศ. 2561 เวลา 15.10 น.