“ฝนมาแล้วเที่ยวเหอะ” รุ่นน้องสายเที่ยวชักชวน “ที่ไหนล่ะเลือกมา” ผมตอบกลับง่ายๆ “เขาเทวดาไหมพี่ ไม่ได้ไปสักที” เขาว่า และแน่นอนผมตอบโอเค เพราะได้ยินชื่อเสียงมานมนาน ว่าจะไปก็หลายที สุดท้ายจนถึง พ.ศ. นี้ก็ยังผิดนัดไม่ได้ไปเยือน ต้นฤดูฝนแบบนี้มันจึงถึงเวลาสมควรแล้วล่ะ

ใครไม่ถนัดเรื่องอุทยานฯ บอกสักนิดครับว่าเขาเทวดาเป็นยอดเขาสูงสุดของอุทยานแห่งชาติพุเตย 1,123 เมตร เหนือระดับน้ำทะเล อยู่ในพื้นที่อำเภอด่านช้าง สุพรรณบุรี เป็นป่าที่เชื่อมต่อมาจากห้วยขาแข้ง เรียกว่าเป็นโซนท้ายๆ ของผืนป่าตะวันตกบ้านเรา

ที่นี่เดินทางถึงด้วยรถที่ต้องสมบุกสมบันสักหน่อย รถยนต์เล็กหมดสิทธิ์ สามารถเที่ยวได้ตลอดปี ไปกางเต็นท์ค้างแรมตรงหน่วยพิทักษ์ฯ ตีนเขา แล้วเดินตัวเปล่า 800 เมตร ขึ้นยอดเขา

โทรศัพท์ครั้งแรกถามอุทยานฯ ได้ความว่า ราคารถเหมาเจ้าหน้าที่ 2,000 บาท ไป-กลับ นัดเจอกันที่ที่ทำการอุทยานฯ หากเป็นรถกระบะสามารถขึ้นเองได้ไม่จำเป็นต้องถึงกับเป็นโฟร์วีล เราเลยตกลงว่าจะเอากระบะไปเอง อีกวันโทรไปถามอีกครั้งเพื่อความชัวร์ เจ้าหน้าที่บอกว่าหากขับรถเองไม่ต้องมาที่ทำการฯ ให้ไปหน่วยพิทักษ์ฯ ตะเพินคี่ได้เลย

ถึงเวลาเดินทาง สามชีวิตออกจากกรุงเทพสายๆ จนใกล้เขตอุทยานฯ “ไปตะเพินคี่เลยนะไม่ต้องไปที่ทำการฯ มันคนละทาง” ผมว่า ยึดจากข้อมูลที่เจ้าหน้าที่บอก “แต่ผมอ่านรีวิวมามันบอกว่าไปทางที่ทำการฯ นะพี่” รุ่นน้องและเจ้าของรถบอก

เอ่อ... โอเค ไปที่ทำการฯ ก่อนแล้วกัน ที่เหลือว่ากันทีหลัง

บ่ายสองสิบห้าจอดรถเอี๊ยดถึงหน้าด่านหน่วยพิทักษ์ที่ 1 ทางต่อไปยังที่ทำการอุทยานฯ เจ้าหน้าที่บอกว่าขึ้นทางนี้ถนนเละน่าจะลำบาก ให้ย้อนออกไป 5-6 กิโลเมตร จะมีป้ายบอกเลี้ยวไปเขาเทวดา ใช้ทางนั้นขึ้นง่ายกว่า

ปิ๊งป่อง สรุปว่าผมชนะยกนี้ (ฮา...)

เอาเป็นว่าทางที่ขึ้นเขาเทวดาง่ายที่สุดคือไปทางอำเภอบ้านไร่ อุทัยธานี แล้วจะตัดกลับเข้าด่านช้าง สุพรรณบุรี อีกครั้ง มีป้ายบอกเป็นระยะ ช่วงลูกรังขึ้นเขาระยะทางราว 15 กิโลเมตร ใช้เวลาชั่วโมงนิดๆ ช่วงเข้าหน้าฝนถือว่ายากพอสมควร แต่รถกระบะธรรมดาไปได้ครับ

16.20 น. เรามาถึงที่จอดรถหน่วยพิทักษ์ฯ ตะเพินคี่ ซึ่งตั้งอยู่ก่อนเข้าหมู่บ้านตะเพินคี่ มีเจ้าหน้าที่ประจำหน่วยคอยดูแลความเรียบร้อย มีของขายเล็กๆ น้อยๆ พวกไข่ มาม่า ประมาณนี้ สำคัญที่สุดคือจ่ายค่าธรรมเนียมอุทยานฯ ตรงนี้ ผู้ใหญ่ 20 บาท รถสี่ล้อ 30 บาท ค่ากางเต็นท์ 30 บาท ต่อคน ต่อคืน



ลานกางเต็นท์กว้างขวางและวิวดีพอสมควร ล้อมด้วยหมู่บ้านกับพื้นที่เกษตร มีเจ้าถิ่นคอยทำตาละห้อยขออาหารและนอนเป็นเพื่อนอยู่หลายตัว มองเห็นยอดเขาเทวดาอยู่ไม่ไกล พวกเรารีบจัดแจงกางเต็นท์เพราะกลัวฝนจะตก ซึ่งแน่นอนว่ามีแค่สามหลังสบายๆ ไปไม่ต้องเกรงใจใคร



เขียว เหลือง แดง สามสีเป็นบุดดาเบลสเลยทีเดียว (ฮา...)



ห้องน้ำมีอยู่หลายห้องครับ ความสะอาดสะอ้านโอเคอยู่



แต่ที่ไม่มีคือสัญญาณโทรศัพท์ ไม่รู้ค่ายอื่นมีหรือเปล่า แต่ AIS บอดสนิทตั้งแต่เข้าถนนลูกรังมาไม่นาน จะมีสัญญาณน้อยๆ อีกทีก็ตอนขึ้นไปอยู่บนยอดเขาเทวดา

เห้ย... 15 องศาเลยเรอะ เปล่าหรอกครับเจ้าหน้าที่ไม่ได้เปลี่ยนมาตั้งแต่ช่วงหน้าหนาวแล้วครับ

พวกเราชิลๆ สบายๆ ทำอาหารที่เตรียมมากินกันแบบง่ายๆ ท่ามกลางความเงียบสงบจนเข้าขั้นเงียบสงัด ซึ่งเป็นอะไรที่ชอบอยู่แล้วล่ะ

สับปะรดลูกนี้แอบตัดมาจากไร่ชาวบ้าน ไม่สิ... เก็บได้ระหว่างทางขึ้นมาครับ รถขนของชาวบ้านทำหล่นไว้ลูกนึง เสร็จโจรสินะ


นั่งเม้าส์มอยกันจนฟ้าเริ่มมืดทุ่มนิดๆ เห็นอะไรแว้บๆ วับๆ โอ้โห... หิ่งห้อยจากทีละตัวสองตัวเริ่มเยอะจนเป็นสิบตัวและหลายสิบตัว เกาะกันอยู่ต้นไม้ไม่ไกลจากเต็นท์พวกเรา พยายามถ่ายภาพได้มาแค่นี้เองครับ


คืนนี้เราเข้านอนค่อนข้างเร็วเพราะไม่มีดาวให้ดู เมฆเยอะฟ้าปิด สำคัญคือสัญญาณโทรศัพท์ก็ไม่มีเล่นเน็ตไม่ได้ (ฮา...) ผมตื่นทีนึงตอนเที่ยงคืนเศษๆ เปิดเต็นท์ออกมาดูปรากฎว่าหมอกขาวโพลนฟุ้งไปทั่ว แอบอมยิ้มนอนต่อว่าได้ลุ้นทะเลหมอกตอนเช้าพรุ่งนี้ล่ะ แต่พอตีสามสี่สิบห้าตื่นอีกรอบ หมอกหายไปไหนหมดนะ

เหลือทิ้งไว้แค่สิ่งนี้... กรี๊ดแตกเลยทีเดียว รีบตะโกนบอกเพื่อน “เห้ย ช้างๆๆๆ” เป็นอีกครั้งที่ได้เห็นทางช้างเผือกด้วยตาเปล่าแบบสวยสุดใจ

หลังเปรมปรีดิ์กับทางช้างเผือกก็ได้เวลาเหนื่อยกับยอดเขาเทวดา เจ้าหน้าที่บอกไว้ตั้งแต่เย็นวานแล้วว่าให้ขับเข้าไปในหมู่บ้านจะมีบ้านรับฝากรถอยู่ปากทางเดินขึ้น แต่ ณ ตอนนี้ทางมืดๆ มองป้ายไม่ค่อยเห็น... หลงสิครับ ต้องถามทางชาวบ้านที่ออกมากรีดยางอยู่สองสามรอบกว่าจะถึงที่หมาย

แนะนำถ้าไปถึงเร็วลองขับรถสำรวจทางดูก่อนก็ได้นะครับ

พอถูกทางแล้วก็เริ่มเลยสิ เสียเวลาทั้งกับทางช้างเผือกและหลงทางมาเยอะแล้ว ช่วงแรกเราเดินผ่านไร่สับปะรดกับสวนยางของชาวบ้าน สักพักก็เจอป้ายให้เลี้ยวขวา นั่นจึงเป็นจุดเริ่มต้นของจริง

ระยะทาง 800 เมตร ขึ้นและขึ้นตามสไตล์ไต่สู่ยอดเขา เส้นทางชัดเจนมาก เดินได้เองโดยไม่ต้องกลัวหลง ฟ้าเริ่มสว่างสักประเดี๋ยวเราก็มาถึงพระเจดีย์องค์นี้ เป็นสัญลักษณ์ว่าถึงยอดเขาเทวดาเรียบร้อย เบ็ดเสร็จใช้เวลา 45 นาที

มารู้เมื่อถึงที่หมายนี่แหละครับว่าเดือนนี้ไม่เห็นมุมพระอาทิตย์ขึ้นเพราะต้นไม้บังเรียบซะงั้น



แต่ถึงไม่เห็นพระอาทิตย์ขึ้นก็ไม่มีอะไรให้ผิดหวัง เพราะสายหมอกถือว่าโอเคเลยล่ะ ไม่ถึงกับทะเลหมอกทว่าก็สวยใช่เล่น ถ่ายรูปรัวๆ แบบสนุกมือเลยเชียว





มองจากจุดชมวิวลงไป เห็นเต็นท์สามสหายบุดดาเบลสของเราลิบๆ และเห็นสภาพโดยรอบของพื้นที่บ้านตะเพินคี่ด้วย



“ทำไมที่นี่ไม่อยู่ในลิสต์พิชิตยอดเขาเวลาเพจสายป่าทำกันวะ” ผมตั้งคำถามกับเพื่อนรุ่นน้อง “มันง่ายมั้งพี่ รถเข้าถึง เดินขึ้นมานิดเดียว ตัวเปล่าอีกต่างหาก” น้องคนหนึ่งตอบ “ผ้าห่มปกก็รถถึง เดินตัวเปล่าเหมือนกัน” ผมแย้ง หมายถึงดอยผ้าห่มปกของเชียงใหม่

“ไม่เป็นไร ถ้าไม่มีใครใส่ในลิสต์ เดี๋ยวพี่ใส่ในลิสต์ของพี่เอง” ผมฟันธงกับตัวเอง เพราะวิวที่เห็นวันนี้ ยอดเขาเทวดาน่ามาเยือนสักครั้งจริงๆ

เราสามคนใช้เวลาบนยอดเขาจนใกล้เจ็ดโมงเช้าค่อยเดินลง พอได้แสงสว่างแล้วถึงเห็นว่าไอ้ที่เดินขึ้นมานี่มันชันไม่ใช่เล่นเลยล่ะ

รูนี้แหละครับ เป็นจุดที่เราเข้าไปพิชิตยอดเขากัน

ขับรถมา ถ้าเจอป้ายนี้ให้จอดรถได้เลย เป็นทางเดินเข้าในช่วงแรกจากบ้านที่รับฝากรถ ค่าฝาก 20 บาท แต่วันธรรมดากลางหน้าฝนแบบนี้ไม่มีใครมาเก็บเราหรอกครับ

กลับถึงลานกางเต็นท์เราทำกับข้าวกิน เก็บข้าวของ อาบน้ำอาบท่า และโบกมือลาเขาเทวดาแบบง่ายๆ เป็นทริปเปลี่ยนที่นอน เปลี่ยนที่เดินเล่น เปลี่ยนที่ชมวิว ที่ต้องใช้คำว่าสบายดีไม่หยอก แล้วมีโอกาสจะกลับมาเยี่ยมเยือนใหม่นะ เขาเทวดา

หมายเหตุ : จริงๆ บริเวณบ้านตะเพินคี่ยังมีสถานที่ท่องเที่ยวอีกหลายแห่งครับ ทั้งน้ำตกและถ้ำต่างๆ ซึ่งเราสามารถไปชมได้ ในหมู่บ้านก็มีภาพวิถีชีวิตผู้คนชาวกะเหรี่ยง เพียงแต่ครั้งนี้เราขอข้ามไปก่อน นอกจากนี้ขาลุยสามารถติดต่ออุทยานฯ เดินเส้นทางศึกษาธรรมชาติจากน้ำตกตะเพินคี่ใหญ่ด้านล่างขึ้นมาถึงลานกางเต็นท์ได้ด้วยเช่นกัน ค่าเจ้าหน้าที่นำทาง 600 บาท หากไม่มีรถขึ้นมาเหมาจากอุทยานฯ ไป-กลับ 2,000 บาท โทรสอบถามอุทยานฯ 035446237, 0819342240


ติดตามเรื่องราวการท่องเที่ยวเดินทางของผมได้อีกช่องทาง

http://www.facebook.com/alifeatravelle

ความคิดเห็น