จากขุนเขาน้อยใหญ่ ห่างออกไปไม่ไกล เมืองเล็กๆเมืองนึง ที่มีน้อยคนจะเข้าถึง
นามว่า บ้านอีต่อง-ปิล็อค อ.ทองผาภูมิ จ.กาญจนบุรี อากาศที่นี่เย็นตลอดทั้งปี
ซึ่งถือเป็นโอกาสอันดี ที่ได้รับเลือกให้ทดลองขับขี่กับ Himalayan ในตำนาน
ต้องขอบคุณทีมงาน Royal Enfield ที่ให้โอกาสได้มาเข้าร่วมทดสอบในครั้งนี้ด้วยครับ
Day 1
เราออกเดินทางจากศูนย์ Royal Enfield ทองหล่อ ด้วยรถตู้ที่ทางทีมงานจัดมาให้
มุ่งหน้า กทม.-นครปฐม-ราชบุรี-กาญจนบุรี-สังขละบุรี
ปลายทางสำหรับวันนี้จะไปพักกันที่เหมืองปิล๊อก...
หมู่บ้านเล็กๆในหุบเขา ที่อาจไม่มีแสงสีเสียงแบบในเมืองกรุง นิ่งๆเงียบๆ ไม่ผ่านการปรุงแต่ง
บรรยากาศที่นี่ ฟินดีจริงๆ เหมือนเวลาที่นี่จะไหลผ่านไปอย่างช้าๆ รู้สึกได้ถึงความสงบ เหมาะแก่การนั่งทบทวนชีวิตอย่างช้าๆ
สำหรับกิจกรรมในค่ำคืนนี้ จะมีการบรีฟข้อมูลเกี่ยวกับตัวรถ HIMALAYAN
รวมถึงเส้นทางที่จะใช้ทดสอบในวันพรุ่งนี้ กันที่ ครัวเจ๊ณี
นอกจากอากาศที่เย็นสบายตลอดทั้งปี สิ่งที่ทำให้น่าแปลกใจอีกอย่างคือ "อาหารทะเล"
ด้วยพื้นที่ของหมู่บ้าน ติดกับช่องมิตรภาพ ไทย - เมียนมาร์(ทวาย) ซึ่งติดทะเล
ถือว่าฟินสุดๆ ถึงจะอยู่ในหุบเขา แต่เราก็มี ซีฟู๊ด พร้อมเสร็จสรรพ แถมแต่ละตัวที่มาขนาดไม่ใช่เล่นๆเลย
ระหว่างรับประทานอาหาร เราก็มาบรีฟเส้นทางการเดินทางในวันพรุ่งนี้ พร้อมเล่าประวัติความเป็นมาและข้อมูลตัวรถ พรุ่งนี้แล้วสินะ จะได้ควบเจ้าHimalayanซักที...แต่คืนนี้ พักผ่อนกันก่อน
Day 2
เช้านี้อากาศเย็นสบายดี เหมาะแก่การขี่รถจริงๆ เราตื่นมาเช็คคนและรถ เตรียมตัวให้พร้อม
จุดหมายแรกในวันนี้คือ "เนินช้างศึก"
เราใช้เส้นทางออกจากหมู่บ้านอีต่อง ขึ้นเนินช้างศึก ถือเป็นการวอร์มอัพการขึ้นลงทางชันไปในตัว
จากยอดเนินช้างศึกที่อากาศเย็นกำลังดี เราได้ขี่ลัดเลาะตามเส้นทางสู่น้ำตกจ๊อกกระดิ่น
ด้วยระยะทางกว่า 60 KM. อุณหภูมิตอนนี้เริ่มร้อนขึ้นมาบ้างละ
เราใช้เวลาอยู่ที่น้ำตกประมาณ 1 ชม. จากนั้นแวะทานมื้อเที่ยงกันที่ ร้านครัวแปดริ้ว
และวิ่งกันไปยาวๆอีก 70km จุดหมายคือ สังขละบุรี
เส้นทางช่วงนี้เป็นทางดำสบายๆ หากแต่มีโค้งหลากหลายให้เราได้เล่นกันเพียบ
เรามาถึงที่สังขละประมาณ 16.00 น. ก็ไม่พลาด ที่จะมาเช็คอินยังสถานที่ยอดฮิต "สะพานมอญ"
อากาศช่วงนี้เริ่มร้อน เราพักเหนื่อยริมน้ำ พร้อมกับทำกิจกรรมถ่ายรูปไปตามอัธยาศัยของแต่ละคน
จากนั้นเราแวะทานมื้อเย็นกันที่ร้านที่พิเศษหน่อย ไม่ใช่ใครจะมาทานกันง่ายๆ
"โต๊ะเดียว" เป็นร้านที่เปิดบริการเพียงวันเดียวโต๊ะเดียว เท่านั้น!
นอกจากบรรยากาศงามๆของที่นี่ รสชาติอาหารก็ดีไม่แพ้วิวเช่นกัน
กุ้งตัวเท่าแบงค์ยี่สิบ
ขาหมูจานนี้เด็ดมาก!
หลังทานมื้อเย็นเสร็จ เรามาพักกันที่นี่ สังขละคีรีรีสอร์ท
ห้องพักเป็นแบบสไตล์ลอฟท์ กว้าง นอนสบาย มองจากด้านหน้าห้องพักเห็นวิวภูเขามุมกว้าง ใกล้ชิดธรรมชาติ โดยรวมๆแล้วถือว่าดีงาม คืนนี้พักผ่อนตามอัธยาศัย
รุ่งเช้าวันนี้ เราเดินทางเยี่ยมชมสะพานมอญ ชมบรรยากาศพระอาทิตย์ขึ้นยามเช้า พร้อมกับทำบุญตักบาตรกันที่ตลาดฝั่งมอญ พร้อมกับหามื้อเช้าเบาๆ
ตลาดที่นี่ก็มีของกินเล่นให้เลือกกันมากมาย ไม่ว่าจะเป็น โจ๊ก ปาท่องโก๋ กาแฟ ไข่ลวก ซาลาเปา ข้าวราดแกงโรตี โอวัลติน ฯลฯ
จากนั้นเราไปล่องเรือชมบรรยากาศสองฝั่งริมน้ำ สะพานมอญ และเยี่ยมชมวัดใต้น้ำ
เช้าๆแบบนี้ หมอกที่นี่หนาตามาก เรียกได้ว่า นั่งเรือทะลุหมอกมาเลย^^
หลังล่องเรือ เราเทียบฝั่งมาเดินชม วัดสมเด็จ(เก่า) ตั้งอยู่ตรงข้ามกับเมืองบาดาล เป็นอุโบสถของวัดสมเด็จ (เก่า) ที่ถูกทิ้งร้าง เมื่อคราวย้ายเมืองสังขละบุรี.......
ภายในอุโบสถมีพระประธานสภาพยังค่อนข้างสมบูรณ์ รอบตัวโบสถ์มีต้นไทรใหญ่ปกคุลมดู ขลัง และเก่าแก่
มีการเรียงหินเรียงรายเต็มไปหมด ว่ากันว่า เป็นการต่ออายุ.... ซึ่งจริงๆแล้ว ความเชื่อนี้ไม่มีอยู่จริง
แนะนำว่า อย่าไปทำเลยครับ การกระทำเหล่านี้ ถือเป็นการทำลายวัตถุ สิ่งปลูกสร้าง เพราะไปงัดหิน จากเศษซาก สถานที่มาเรียง
เรากลับมาสะพานมอญอีกครั้ง ระหว่างเดินพบเด็กๆกลุ่มนึงกระโดดสะพานเล่นน้ำ ด้วยความสูงขนาดนี้
ถือว่าใจกล้าสุดๆ แต่เห็นแบบนี้ อย่าคิดว่าโดดกันแบบเล่นๆนะ เพราะ ด้วยสิ่งนี้ ทำให้เด็กๆมีรายได้จากการโดดน้ำด้วย^^
ก็ถือเป็นการจบเรื่องราวทริปเดินทาง ในครั้งนี้ สำหรับใครที่สนใจรถ อ่านรีวิวในครึ่งหลังได้ฮะ
"Himalayan" ชื่อนี้ถูกถอดมาจากเทือกเขา หิมาลัย แน่นอนว่ามันถูกออกแบบมา
ใช้งานเหมาะสมกับสภาพภูมิประเทศที่เต็มไปอุปสรรคหลากหลาย
ไม่ว่าจะทางดินลูกรัง หรือทางดำติดฝุ่น ดูเอนกประสงค์สมชื่อจริงๆ
Royal Enfield Himalayan ตัวนี้ ถูกออกแบบมาในสไตล์ Classic Touring Adventure
มากับเครื่องยนต์ 1 สูบ ขนาดกระบอกสูบ 411cc. SOHC ระบบหัวฉีดมีออยคูลเลอร์ในการช่วยระบายความร้อนของน้ำมันเครื่อง น้ำหนักตัวรถอยู่ที่ 191 kg (wet weight)
ระดับความสูบจากพื้นถึงเบาะอยู่ที่ 800 mm ตัวผู้ขับขี่สูง 175 cm ขาสองข้างพอดีพื้น ไม่มีเขย่ง เบาะนั่งนุ่มสบาย ตั้งแต่ขับมายังไม่มีออกอาการเมื่อยให้เห็นเลย
เบาะคนซ้อน ก็ยังนั่งได้สบายๆ ตำแหน่งพอดี ไม่มีเบียด
แฮนด์กว้าง ควบคุมง่าย ดีไซน์ไฟหน้ากลม คลาสสิคตามสไตล์ ชิวหน้าสูงระดับอก
ช่วยลดแรงปะทะลมขณะขับขี่ได้เยอะเลยทีเดียว
ในส่วนของหน้าปัด ถูกออกแบบมาได้อย่างมีเอกลักษณ์และโดดเด่น
ค่อนข้างครอบคลุมทั้งตัวบอกอุณหภูมิ นาฬิกา เกียร์ วัดรอบ เกจน้ำมัน ไฟสัญญาณต่างๆ
นอกจากนี้ยังมีเข็มทิศเพิ่มมาให้ด้วย
ส่วนควบคุมแฮนด์ซ้าย-ขวา ปกติทั่วไป ตำแหน่งใช้งานง่าย สังเกตว่ามีคันโยกด้านบน
คือ โช๊ค มาให้ด้วย ใช้กรณีเครื่องเย็นให้ดึงโช๊คตอนสตาร์ท พอรอบเครื่องเริ่มเข้าที่ เครื่องเริ่มร้อนค่อยปิด
ขนาดยางด้านหน้า 90/90 - 21 นิ้ว ด้านหลัง 120/90 - 17 นิ้ว
ระบบดิสก์เบรกด้านหน้าจานเบรกเดี่ยวขนาด 300mm และด้านหลัง 240mm
พร้อมด้วยยาง Pirelli MT60
ตำแหน่งตัวท่อยกสูง ดูแล้วสามารถลุยน้ำได้ระดับนึง ให้เสียงทุ้มนุ่มๆแบบไม่รำคาญหู
นอกจากนี้ตำแหน่งยังง่ายต่อการเปลี่ยนยางอะไหล่ด้วย
ถังน้ำมันความจุอยู่ที่ 15 ลิตร อัตราการกินน้ำมันอยู่ที่ราวๆ 28-30 กิโลลิตร ถือว่าประหยัดสุดๆ
ทรงถังดูเพียวรับกับสรีระ ขาหนีบถังได้อย่างพอดี
ในส่วนของไฟท้ายเป็น LED แถมมีแลคหลังติดมาให้พร้อมจากโรงงาน
นอกจากนี้ ในตัว Touring Edition มีติดตั้งปี๊บข้างมาให้แบบสวยงาม แข็งแรงทนทาน
น่าใช้เลยทีเดียว ลงรายละเอียดตัวรถกันไปคร่าวๆแล้ว คราวนี้เรามาพูดถึงการขับขี่กันบ้าง
แรกเริ่มเดิมที Freeman เคยลองขับขี่แบรนด์นี้รุ่นก่อนๆ ในสนามมาสั้นๆ
รู้สึกว่าทำไมแฮนด์มันสั่นสะท้านขนาดนั้น ขับได้แป๊บเดียวมือชา
แต่ต้องบอกว่าไม่ใช่เลยสำหรับเจ้า Himalayan ตัวนี้!
โดยเส้นทางที่เราใช้ทดสอบ เริ่มต้นจาก หมู่บ้านอีต่อง สู่ อ.สังขละบุรี
โดยช่วงแรกๆ จะเป็นทางดำที่ลัดเลาะไปด้วยโค้งมากมาย และบางช่วงของถนนมีหลุมอยู่เป็นช่วงๆตลอดทาง สัมผัสแรกที่ขับ กลับรู้สึกได้ถึงความนุ่มนวล ผิดคาดจากที่คาดไว้
การสั่นสะเทือนที่เคยเจอในรุ่นก่อนๆ แทบไม่พบในตัวนี้เลย ด้วยการปรับเปลี่ยนและพัฒนา
เครื่องยนต์ LS410 รุ่นใหม่ ที่ให้แรงบิดสูงในรอบต่ำ ทำให้มีการขับขี่ที่ราบรื่น แม้ว่าจะเลือกใช้เกียร์สูงในย่านความเร็วต่ำ ง่ายต่อการขี่ขึ้นเขาหรือแม้แต่ขับขี่ลัดเลาะผ่านการจราจรในเมืองก็ไม่มีปัญหา
การเข้าโค้งด้วยยางกึ่งวิบาก Pirelli MT60 ช่วยในการยึดเกาะถนนได้อย่างดี บวกกับจุดศูนย์ถ่วงต่ำ ทำให้เข้าโค้งได้อย่างมั่นใจ เจอหลุม เจอเนินตามเส้นทางบ้าง ก็ยังสามารถซับแรงกระแทกได้อย่างดี
จากการขับขี่ในทางฝุ่น ที่เส้นทางเป็นหินดินทรายสลับกันเป็นระยะ
ทดสอบแล้วช่วงล่างสามารถซับแรงกระแทกได้อย่างดี
ตำแหน่งตัวถังถูกออกแบบมาได้เหมาะเจาะรับกับสรีระ ท่วงท่าการยืนขับขี่ก็ทำได้ง่าย
แต่ในจังหวะที่บีบเบรคแรงๆ อาจมีเขวๆไปบ้าง แต่ก็สามารถควบคุมสมดุลกลับมาได้แบบไม่ยากเย็น
ระบบเกียร์ 5 Speed ให้กำลังสูงสุดในรอบเครื่องที่ต่ำ ให้แรงม้ามาสูงสุดที่ 24.5 BHP ที่ 6,500 รอบ การขึ้นลงเนินใช้เกียร์ 2-3 ไปได้แบบสบายๆ ในส่วนของ Top speed เท่าที่ทำได้อยู่ที่ 130 km/hr หากแต่อัตราเร่งช่วงปลายอาจดูเอื่อยๆไปบ้าง แต่ก็ไม่เป็นปัญหาอะไรสำหรับใครที่ชอบไปแบบสบายๆไม่เร่งรีบ
สรุปสำหรับเจ้า Himalayan ตัวนี้ สำหรับรถเดิมๆทำได้ในระดับนี้ ถือว่าที่ดีงามกว่าที่คิด
ช่วงล่างที่ซับแรงกระแทกได้อย่างนุ่มนวล อาการสะท้านสะเทือนไม่มีให้เห็นอีกต่อไป
ติดปัญหาในเรื่องความเร็วปลายไปบ้าง ที่ดูไม่จัดจ้าดเท่าไหร่
แต่ด้วยสไตล์รถ และลักษณะการใช้งาน ที่เน้นลุยในทางเนินทางชันก็เหมาะสมอยู่
เน้นขับหล่อๆ ให้คนมอง ดีกว่ารีบแล้วนอนกองให้คนเก็บนะฮะ
สำหรับเจ้า Himalayan ตัวนี้ เปิดราคาในรุ่น Street Edition ที่ 169,800 บาท
และ รุ่น Touring Edition ในราคา 186,300 บาท
รีวิวการขับขี่แบบคลิป
Freeman Rider
วันจันทร์ที่ 6 สิงหาคม พ.ศ. 2561 เวลา 16.45 น.