Hi!!!!!!! สวัสดีเพื่อนๆชาวพันทิปอีกครั้ง หลังจากต้นปีเพิ่งไปเสียเงินเสียทรัพย์ที่มัลดีฟท์มา อยู่ดีๆ ก็มีทริปงอกขึ้นมาแบบเฉยๆ จากพี่ๆน้องๆ ที่อยากจะไปไต้หวัน เลยมากล่อม ชักชวน หลอกล่อ จนจองตั๋วตามพวกนางไปในที่สุด แต่พวกนางไป 19 – 25 เมษา โอ๊ยคุณพระ 7 วัน ซึ่งดูแล้ว เราเนี่ยไม่น่าลางานได้แน่นอน หัวหน้าคงได้ฉีกอกทิ้งเป็นแน่แท้ เลยอะ ขอบินกลับก่อนละกัน เราไปแค่ 19-23 เมษา ก็พอ เอาแค่พอกรุบกริบ เที่ยวแต่ในเมืองไทเปก็ได้ ก็จองตั๋วเครื่องบินตามไปเลยคร้า สายการบินนกๆ นั่นเอง แค่สายการบินก็บ่งบอกสถานะแล้วค่ะ ว่าบินไปกับนกก็คงนกผู้ เป็นแน่แท้ ราคาตั๋วพอดีเจอโปรวันศุกร์ของนาง ไปกลับรวมโหลดกระเป๋าขาละ 20 กิโลกรัม ประกันการเดินทาง (สายนกนี่เทบ่อย) และอาหารบนเครื่อง ตกเป็นเงินราวๆ 6,953 บาท ราคานี่รับได้ค่ะ
ก่อนจะเริ่มเรื่องราวเที่ยวอันวายป่วงของเรา ขอฝากกระทู้เก่าซักนิด เผื่อใครมีกะใจเอานิ้วกดตุ่มถูกใจให้เรานะคะ
1.รีวิว ฮ่องกง 3 วัน 2 คืน ตามประสาครับ : http://pantip.com/topic/32090888
2.เวียดนามใต้ไม่ไปไม่รู้ แต่ถ้ารู้อาจไม่อยากไป : http://pantip.com/topic/33104901
3.รีวิว เที่ยวอุบลราชธานี คนเดียว ฉบับตุ๊ดสู้แดด : http://pantip.com/topic/33575529
4.ไปเที่ยว Okinawa 3 วัน 2 คืน แบบสั้นๆ ประหยัดๆ ตามประสาคนวันลาหมด : https://pantip.com/topic/37223799
5.มัลดีฟท์ (Maldives) จากตั้งเป้า 15,000 เที่ยวไปเที่ยวมาเสียหายกว่า 3 หมื่น : https://pantip.com/topic/37345684
และอีกอย่างขอขอบคุณแหล่งข้อมูลจากห้องบลูแพลนเน็ต และ
1.https://www.talontiew.com/taiwan/
2.http://www.1000milesjourney.com/
เป็นอีก 2 เว็บที่ข้อมูลแน่นมาก
ก่อนจะไปเที่ยวตอนแรกก็ตกลงกันว่า เดี๋ยวคงเที่ยวด้วยกันวันที่ 19-21 เมษา และคนที่เหลือ อีก 5 คน จะไปเที่ยวต่อกันเอง เราก็โอเคค่ะ เที่ยวเองวันอาทิตย์ที่ 22 เมษา และจันทร์ 23 เมษา กลับไทย เราเลยขอแผนคร่าวๆจากน้องไป อ่อลืมบอก ทริปนี้มีคนไต้หวันด้วย 1 คน ก็เป็นเพื่อนของน้องคนไทยในทริปนั่นเอง ชื่อไฮเดน ชื่อเก๋ซะไม่มี น้องไฮเดนก็จัดแผนมาให้ แล้วเราก็มาจัดลง แผนตัวเอง 3 วัน แบบขอรู้ข้อมูลบ้างก่อนไป ไมงั้นกลวง หลงแน่ๆ เราเลยจัดแผนตัวเองมาตามนี้ คือแผนแน่นมาก จนเราถามอีกทีว่าตอนแรกที่น้องให้ที่เที่ยวมาเนี่ย เที่ยวหมดจริงๆใช่ไหม น้องไฮเดนบอกว่าได้ อะ ได้ก็ได้คร้า แต่ขอบอกเลยค่ะ แผนคือแผนจริงๆ วันจริงเปลี่ยนค่ะ 555 เอาแผนที่เราจัดไปดูแก้เหงาละกัน
แต่พอวันจะบินน้องคนไทย มาบอกกลัวเราเหงาอีกวัน เลยจะแทรกแผนพาเราไปเที่ยว Taroko อยู่เป็นเพื่อนเราวันนึง เราก็ได้เลย ซึ่งตอนนั้นยังไม่รู้เลยค่ะ ว่าอี Taroko นี่คืออะไร ไปก็ไปค่ะ
วันเดินทางเราก็เดินทางคืนวันที่ 18 เมษา หรือก็คือเวลา 02:15 น. ของวันที่ 19 เมษา นั่นเอง ก็มาเช็คอินตามปกติคนเข้าคิวเยอะมาก เข้ามาก็ตีตั๋วนอนยาวไปถึงไทเปตอนเจ็ดโมงเช้า แต่ ตม. ก็คือ ตม. คร้า หลุดมาเกือบแปดโมงครึ่ง ที่ช้าเพราะทัวแต่ซื้อเหล้าค่ะ เห็นราคาถูก เช่น Gold ขวดละ พันนิดๆ ถือว่าถูกกว่าเมืองไทยมาก ดังนั้นเราจึงซื้อมาเพื่อเตรียมปาร์ตี้กัน
สำหรับเวลาไต้หวันเร็วกว่าไทย 1 ชั่วโมงนะคะ เรทแลกเงินมา 1 ดอลล่าร์ไต้หวัน= 1.07 บาทไทย ดังนั้นตีเป็นเท่ากันเลยนะคะ จะได้จำง่ายๆ
อ่อเราสามารถกรอกใบ ตม. ออนไลน์ก่อนมาได้นะ คือไม่ต้องกรอกบนเครื่อง แต่ยังไงก็ต้องเข้าแถวอยู่ดี ก็วิธีตามลิ้งนี้เลย
http://www.1000milesjourney.com/taiwan-visa-exempt-arrival-card/
อะออกมาจาก ตม. ก็เจอเพื่อนชาวไต้หวัน รออยู่ ก็อย่างแรกคือไปซื้อซิมเลยค่ะ ราคาและเรทเอาตามสะดวกใช้งานเลย นี่อยู่แค่ 5 วันเลยเลือก Type B มาราคา 300 บาท และมีคนแนะนำให้ใช้ของเจ้า Chunghwa เราเลยได้ของเจ้านี้มา ต้องใช้พาสปอร์ตในการลงทะเบียนนะคะ สามารถใช้ของเราแล้วลงทะเบียนให้เพื่อนได้ทั้งหมดเลย ลองดูตามลิ้งค์นี้เลย : http://www.taiwanandi.com/taoyuan-airport/
และการนั่งรถเข้าเมืองของเราตอนแรกจะเลือกนั่งรถไฟไปลง Taipei Main Station เที่ยวละ 160 บาท และต่อรถไปสถานีแถวที่พักอีก 20 บาทได้ ดังนั้นเราคุยกันจึงเลือกเหมารถ VIP 7 ที่นั่ง 1,400 บาท ต่อเที่ยวแทน เพื่อความสะดวก ความสวย และรวยของเพื่อนร่วมทริปของอิฉัน สมเป็นไทยเปย์ จริงๆ
มาถึงที่พักก็จะสิบโมงละ ห้องพักดีงามคร้า เป็นอพาร์ทเม้นท์ 4 ห้อง 3 คืน หารกันแล้วตกคนละ 3,200 บาท มาถึงนี่ง่วงนอนกันมาก ทุกคนขอนอนพักค่ะ เลยเท The Maokung Gondola ออกไปเนาะ ขอจัดของอาบน้ำ เปลี่ยนเสื้อผ้าจะได้ถ่ายรูปกันสวยๆ เพราะต่างคนต่างงัดเสื้อผ้ามาประชันสุดฤทธิ์ ก็มีแต่คนเยอะๆอะเนาะ มีใครยอมใครที่ไหน
พอถึงเวลาค่ะ ที่แรกที่เราจะไปคือกินข้าว เพราะหิวมากกกกกกกก ก็ให้อีน้องไต้หวัน ไฮเดน นี่ละพาไป ในทริปก็มีทั้งกินหมูไม่ได้ กินเนื้อไม่ได้ เรื่องเยอะกันเหลือเกิน นี่ก็ให้ไฮเดนสั่งๆกับข้าวให้ อีด-ก เอ๊ย สั่งเกี๊ยวกับเส้นให้ดิฉันชามใหญ่มากราคา 85 บาท กินสองคนน่าจะไม่หมด นี่นั่งข้างน้องชะนีที่ไปด้วยกันละบ่นกินไม่หมดแน่ๆ หันไปดูของอีไฮเดนเอง อุทาน อีด-ก อีกรอบ ของตัวไฮเดนเองสั่งข้าวชามเล็กๆ แบบเล็กมุ๊งมิ๊งน่ารักมาก ของพวกฉันชาม ใหญ่กว่านี้ก็รางข้าวหมูละคะ สรุปคือกินไม่หมด เท อ่อ แล้วร้านนี้ไม่มีน้ำนะคะ ต้องไปซื้อชานมไข่มุกมาดื่มเอง รสชาติอาหาร จืดดดดดดด อาจไม่ถูกปากคนไทยที่ต้องการความจัดจ้าน เราต้องปรุงเพิ่ม สำหรับ เกี๊ยวหมู รสชาติเหมือนกินหมูสับก่อนๆที่อยู่ในโจ๊กอะค่ะ ส่วนเกี๊ยวผัก ก็ผั๊กผัก จริงๆ ก็กินได้ค่ะ โอเคอยู่ ผ่าน
กินเสร็จ ไปอนุสรณ์สถานเจียงไคเช็กกัน แต่ก่อนไป เราซื้อ IC Card 300 บาท เพื่อใช้ในการเดินทางของเรา ราคา 300 บาทแต่จะมีเงินในบัตร 200 บาทนะ ใช้แทนตั๋วได้ทุกที่ ทั้ง MRT รถบัส Local Train แค่แตะเข้าออกแต่นั้น ขึ้นบัสก็เหมาจ่าย 15 เหรียญแค่นั้น ดีงามจริงๆ เราก็นั่ง MRT ไปลงสถานี เจียงไคเช็กเลยค่ะ สถานที่ยิ่งใหญ่ดีนะคะ เป็นจุดที่ทุกคนควรมาถ้ามาไทเป เดินเยอะพอสมควร ดีว่าวันนี้เราหนีบแตะมา เพื่อให้เข้ากับชุดอาม่าย้อมสีผ้า ข้างวัด 5555 เราเลยไม่ปวดเท้า นี่แต่ละคนก็ถ่ายรูปเพลินเลย ไฮเดนพยายามอธิบายประวัติ แต่อิฉันหาได้ฟังความไม่ ถ่ายรูปรัวๆๆๆๆๆ ซึ่งคนก็เยอะ ต้องหามุม หาที่ถ่ายเอาเอง
และโชคดีคร้า ไปทันดูเขาเปลี่ยนเวรทหารพอดี พิธีการเปลี่ยนนานมากค่ะ ยอมใจ กว่าจะเปลี่ยนเวรได้
เดินเที่ยมชมภายในพอสมควรก็เดินกลับ เจอแดดแรงก็เพลียแถม เดินจนปวดขาไปเลยคร้า
อะ มาต่อๆ ที่เที่ยวของเรา ไป Longshan Temple วัดชื่อดังของไทเป เราก็นั่งต่อไปลงสถานี Longshan Temple Station ทางเดินก่อนเข้าวัดจะมีคนแบบ Homeless อยู่เยอะ ไฮเดนก็บอกให้เดินเลี่ยงๆ หน่อย พอถึงวัดก็ถ่ายรูปกันรัวๆ และ เหมือนเดิม ไฮเดนพยายามอธิบายเทพเจ้าในวัด นี่ก็ตั้งใจฟังบ้างไม่ฟังบ้าง แอบสงสารนาง เพราะนางทุ่มเทกับการนำเที่ยวมาก แต่ฉันนี่แหละไม่ได้สนใจนางเลยแอบสงสาร ภายในวัดก็บรรยากาศวัดจีนอะนะ ผู้คนเยอะแยะเช่นเคย ไหว้พระ ทำบุญ ได้เครื่องรางเสร็จ และมาช่วงเขากำลังสวดมนต์พอดีด้วย ตามรูปตามคลิปเลยค่ะ
อันนี้เครื่องรางนะที่บูชามา คือแต่ละอันนี่ต่างกันแบบช่วยเรื่องความรัก การงาน งานเงินนี้ ไม่ต้องกลัวว่าจะไม่รู้ว่าอะไรคืออะไร ทางวัดจะมีแผ่นภาษาไทยมาให้ อันนี้หมายเลขอะไร เกี่ยวกับอะไร แล้วเราก็จดหมายเลขพร้อมจำนวนส่งให้ทางวัด เขาก็จะจัดมาให้เรา
พอออกจากวัดหลงซานเสร็จเราก็ไปเดินกันต่อที่เขาบอกเป็นตลาดเก่าของแถวๆนี้ ก็แอบเป็นตลาดร้าง ถ่ายรูปไปหามุมเอา ถ่ายรูปกันจะล้านรูปได้ 5555 ได้รูปจนพอใจทุกคนก็คุยกันว่า เราไป Wu fen pu กันเถอะ เพราะจะเย็นแล้ว
พอไปถึง Wu fen pu ก็อยากจะร้องอุทาน โอ๊ย ประตูน้ำจริงๆค่ะ มันคือตลาดเสื้อผ้า รองเท้า กระเป๋า ครบครัน สายช้อปคงเพลิน คือทุกคนในทริปที่มาด้วยกันเอาเสื้อผ้ามาไม่พอ เลยมาหาเพิ่ม แต่นี่ อีนี่ขนเสื้อผ้ามาเต็มแล้วจ้า พอเนาะ เลยได้แค่เดินผ่านๆดูๆ ก็ราคา และ แฟชั่นก็ไม่ได้ต่างจากบ้านเรานัก ในความรู้สึก แต่ก็มาได้นะ ไม่ผิดอะไรถ้าอยากช้อป เผื่อมีแนวถูกใจใคร ส่วนมากที่นี่ก็ขายส่งและปลีกไปด้วย ต่อราคาได้บางอย่าง แต่แบบอีกเรื่องคือผู้ไต้หวันดีงามนะคะ ยิ่งคนขายเนี่ยอาหารตาชั้นดี เลยทีเดียว เดินไปมองไปเนื้อตัวสั่นระริกตามจังหวะกล้ามเนื้อผู้แต่ละคนเลยละค่ะ แต่ระวัง นี่พี่กะน้องที่ไปด้วยกันเม้าท์แอ๊วผู้ คนขาย แต่คนขายลูกครึ่งไทยจ้า ฟังออก ก็ฮากันไป
เดินช้อป ได้ของกันมาคนละหลายชิ้น และที่เพิ่งรู้คือ หาถังขยะยากมาก นี่ซื้อน้ำกิน ต้องถืออีแก้วน้ำหลายชั่วโมง ดังนั้นใครคิดจะหาถังขยะนี่ยากจริงๆค่ะ เอาละเดินกันจนเหนื่อย มันก็ต้องหิวซินะ เลยให้ไฮเดนพาเราไปหาอะไรกิน ทุกคนเลยบอก ไปกิน ชาบูหมาล่า ละกัน ให้พาไปแบบเจ้าดังนะ อยากกินแบบอร่อยๆ ไฮเดนเลยจัดให้ ไปแถวๆ ตึก 101 นั่นแหละ นางพานั่งรถบัสไป ก็เอาละไปตามนางก็ได้ เพราะไม่รู้ทางละ แผนที่ทำมา เทค่ะ เดินตามคนไต้หวันนี่ละง่ายดี และเราก็เดินมาถึงร้าน.... ร้านนี้จะไม่ใช่บุฟเฟต์นะ เป็นแบบสั่งชุดๆมากิน แต่คือ รสชาติน้ำซุปดีงามมาก จากที่ไม่ค่อยอินกับหมาล่าเท่าไหร่นัก วันนี้ยอมให้เพราะอร่อย ราคาก็เฉลี่ยมาคนละ 500 บาท ก็อืม ราคาเอาเรื่องนะคะ แต่รสชาติดีงามเรายอม
แล้วไฮเดนบอก เราไปเดินตลาดกลางคืนไหม ชื่อ Roane Night Market พวก เราก็เฮ้ยไปซิ ก็เดินกันไปด้วยความอ่อนระโหยโรยแรง
และพี่อีกคนก็ปวดเท้าพยายามหารองเท้าแตะ แต่ก็เจอแต่ราคาแพงๆ เลยไม่ไหว และอีกลิ่นที่ทำให้ฉันแทบเป็นลมคือ กลิ่นเต้าหู้เหม็น อ ด เหม็นมาก แ-กกันไปได้ยังไง นี่คือผ่านนะ ขอไม่กิน รับกลิ่นไม่ไหวจริงๆ จะอ้วกอะ หลังจากเดินกันซักพัก จะกลับที่พัก ไฮเดนจ้า บอกว่าเดินกลับที่พักได้ เราก็อืมๆ แต่น้องบีชะนีหนึ่งเดียวของเราก้แอบสงสัยว่า มันจะเดินไปได้เหรอ เพราะเรานั่งรถกันมาไกลนะ เลยพยายามถามไฮเดนซ้ำไป นางยืนยันค่ะว่าได้ พวกเราเลยซื้อของจาก 7-11 พวกข้าวกล่องกลับไปแบกพะรุงพะรังเลย สรุป เดินไปไม่ได้ค่ะ ดูแผนที่ใหม่ ต้องนั่งรถบัส ซึ่งก็งงๆ หลงๆ กว่าจะหาคันที่ไปถึงที่พัก พอไปถึงแถวที่พัก หลงอีก จำตึกไม่ได้ เดินวนกันไปคร้า กลายเป็นหลงกันไปหมด ฮากันไป 555 กว่าจะเจอที่พัก คราวนี้เลยต้องลงพิกัดจุดอีกรอบเพื่อป้องกันการหลง
กลับมาถึงที่พัก แทนที่จะได้พัก ก็พากันปาร์ตี้กันยันดึก เหนื่อยและเพลียกันไปอีก
รุ่งเช้าวันที่ 2 ของเรา จาก plan ตอนแรกจะไป ตึก Taipei 101 ไฮเดนเปลี่ยนแผนอีกค่ะ จะพาไป Tamsui ก่อนแทน เราก็โอเค แต่ก่อนไปก็ต้องหาข้าวเช้ากินก่อนนะคะ กองทัพต้องเดินด้วยท้อง แต่ด้วยความที่มันเช้า ร้านค้าไม่ค่อยจะเปิดเลยไปจบที่ร้าน Sukiya (ถ่อมากินยันไต้หวัน) แล้วอีร้านนี้มีแต่เมนูเนื้อค่ะ นี่เลยต้องกินข้าวแกงกะหรี่หมูไปแบบงงๆ เช้ามาเข้าปากเลยทีเดียว กลิ่นอบอวลทั้งวันแน่ กินเสร็จก็เดินทางกันต่อ จากสถานี Zhongxiao Fuxing ของเรามาเปลี่ยนสายรถไปสีแดงที่ Taipai main station แต่พอมาถึงสถานีนี้พวกเราไปซื้อตั๋วไว้สำหรับไป Taroko พรุ่งนี้ บอกแล้วแผนมีเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา ก็ได้ตั๋วกันมาแล้วเลยเดินทางต่อ กันยาวๆ ไป Tamsui กันเลยค่ะ ไปสุดสายเลยที่ Tamsui นั่งรถไฟกันเกือบชั่วโมง ก็มาถึงจุดหมายกันแล้ว สถานีใหญ่ สวยงาม
และเราก็เดินมาถนนคนเดินของ Tamsui ที่ไม่ใช่ติดริมทะเลนะครับ สองข้างทางมองข้าวของกันไป เยอะมาก เจอร้านขนม ของฝาก ของใช้ เดินเพลินกันไปเลย นี่ร้านขนมอะไรไม่รู้ ไม่อร่อยเลย แต่ก็ไปถ่ายกันมา 555 และเดินจนมาเจอร้านเสี่ยวหลงเป่าที่มีคนแนะนำ อยู่ตรงสามแยก จะเห็นชัดเลย ร้านนี้เขาอุ่นให้ทุกเข่งนะคะ ต้องรอกันหน่อย แต่ขอบอกรสชาติดีงามอร่อยมาก นี่ปลื้มมาก กัดทีน้ำแตกเต็มปาก
พวกเราก็เดินไปถ่ายรูปกันไป และไปรอเรือเพื่อข้ามไปยังฝั่งที่เขาเรียก Bali แล้วยังไงคะ มาปั่นจักรยานคร้า ดูโลกสวยวิ่งในทุ่งลาเวนเดอร์มาก ปั่นท่ามกลางอากาศร้อนๆ ก็ดูบรรยากาศกันไป ขึ้นเรือนี่ใช้บัตร IC แตะได้เลยนะ หรือซื้อตั๋วก็ได้ สะดวกดีค่ะ
ขากลับก็เดินไปเรื่อย ดูร้านของฝาก มีร้านนมทอด อันนี้ก็อร่อย
และบอกเลยเดินไปแวะชิมทุกร้านได้เลยนะคะ อิ่มปลาหมึกแน่นอน 555 แต่สุดท้ายเราก็แวะซื้อปลาหมึกชุบแป้งทอดตัวใหญ่ ที่ร้านแถวๆสตาร์บัค เราซื้อทั้งตัวมาถ่ายรูปเสร็จแล้วขอให้ร้านตัดให้หน่อย นางบอก 15 ดอล โอ๊ย แม่คุณงกมาก ปลาหมึกก็เหนี่ยวมากเช่นกัน เหนียวกว่าที่ไทยมากมาย ไม่ผ่านค่ะร้านนี้
ขากลับตอนแรกเราจะไป Shilin Night Market กัน แต่มีการเปลี่ยนแผนอีกแล้วค่ะ ทริปนี้แผนสามารถเปลี่ยนได้ตลอดเวลา เราไปดูตึก Taipei 101 กันค่ะ แต่ๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ เขาจะrาฉันไปขึ้น เขา Xiangshan โอ๊ยก็นั่งรถยาวๆเลยค่ะ นี่ยืนมาตลอดทางเป็นชั่วโมงได้ เพราะคนเยอะมาก มาลงสถานี Xiangshan แล้วเดินผ่านสวนสาธารณะ แล้วตามกระทู้นี้เลยค่ะ https://pantip.com/topic/33995816 ไปตามนี้เลยง่ายดี
โอ๊ยแล้วไงคะ? พาตุ๊ดอ้วนมาเดินขึ้นเขา เดินเป็นกิโลๆ ลำพังอยู่บ้านเดินไปหยิบน้ำแ-กที่ตู้เย็นยังขี้เกียจเลยค่ะ แล้วนี่เดินมาด้วยกระเป๋าที่หนักพอสมควร ซื้อน้ำดื่มมาอีกขวด แถมเสื้อคลุม หมวก แว่น ฯลฯ คือเป็นคน Accessories เยอะ เดินขึ้นเขาไปน้ำตาไหลไป ได้แต่ขึ้นกูมาเที่ยวพักผ่อนนะ ทำไมต้องลำบากขนาดนี้ ทำไมฉันต้องมาทรมานตัวเองแบบนี้ ขนาดเดินกลางคืน แดดไม่มี แต่ร้อนมาก อีด-ก เหงื่อออกทั้งตัว อยากเหวี่ยงกระเป๋าถือและเครื่องแต่งตัวออกให้หมด
นี่พักเป็นระยะๆ คือพักบ่อยมาก มองไม่เห็นปลายทางซะที แต่คนร่วมทริปคือเดินนำลิ่วๆ นี่ท้อใจมาก อยากนั่งรอมันกลางทางนี่แหละ แต่ก็กัดฟันขึ้นด้วยความมานะบากบั่นไปจนถึงข้างบน ทุกคนบอกเห็นวิวแล้วจะหายเหนื่อย ไม่ ไม่หายค่ะ!!!! อีด-ก กูไม่หาย สวยค่ะใช่ แต่ไม่หายเหนื่อย นี่หอบยิ่งกว่าหมากลางเดือนเมษาอีก จะถ่ายรูปคนก็เยอะ เมคอัพที่แต่งมาหลุดไปกับเหงื่อหมดแล้ว ไม่เป็นไรค่ะ ยังไงก็ต้องถ่ายรูป แต่งรูปเอาก็ได้ จังหวะนั้นต้องเบียดแย่งกะคนจีน คนชาติอื่น ชาติไหนไม่รู้ แต่ฉันต้องได้รูป แบกสังขารอ้วนๆมาถึงข้างบนแล้ว ก็ถ่ายรูปได้จนพอใจ ขาลงใครว่าไม่เหนื่อย เหนื่อยค่ะ ชันอีกต่างหาก และพอกันที จะไม่เดินขึ้นเขานี้อีกแล้ว
ขากลับทุกคนจะไปทานข้าวเห็นว่าค่ำพอสมควรเลยไปที่ Ximenting กัน ตอนแรกจะพาไปกินติ่มซำ ซูชิ อะไรนี่แหละ แต่คนเต็ม ทุกคนเลยพาดิฉันไปกินร้านไหนรู้ไหมคะ? CoCoIchibanya ค่ะ โอ๊ย อีด-ก อีกรอบ เช้าก็ ก ะ ห รี่ เย็นก็ ก ะ ห รี่ แต่ก็ทานได้ค่ะ เพราะเอาจริงๆก็เป็นคนชอบทางข้าวราดแกงกะหรี่อยู่แล้ว แต่ราคาที่ไต้หวันแพงกว่าไทยนะคะ พอสมควรเลย รสชาติไม่ต่างกันมาก กินที่ไทยก็ได้ค่ะ
ทานเสร็จ กลับถึงที่พัก จะได้พักไหม ไม่ค่ะ ตุ๊ดผู้น้องและตุ๊ดผู้พี่จะไป G-Star ไต้หวันค่ะ มันคืออะไร ผับเกย์ นี่ละคะ ซึ่งมันสามารถเดินไปจากที่พักได้เลย
และด้วยความน้องในกลุ่มมีเพื่อนเป็นชะนีไต้หวัน เลยให้นางไปเอาโต๊ะให้ก่อน พวกเราตามไปประมาณ 5 ทุ่มได้ พอพวกเราไปถึงก็ต้องยื่นพาสสปอร์ตให้ดูและเสียค่าเข้าคนละ 500 ดอลล่าร์ไต้หวัน แต่ ชะนีเสีย 800 นะคะ น้องบ่นอุบเลย ชะนีเป็นชนกลุ่มน้อยจริงๆ สงสาร เข้ามาก็เจอการ์ดหน้าเข้มจะไม่ให้เราเข้า ถามว่าใครมาจองโต๊ะไว้ จนต้องตามเพื่อนชะนีไต้หวันออกมารับ ในร้านคือก็ร้านไม่ใหญ่มาก บรรยากาศพอใช้ได้ ไปถึงโต๊ะ เบียร์มาเต็มโต๊ะเลย คือเพื่อนชะนีไต้หวันมาเปิดโปรเบียร์ไว้ นี่ฟังไม่ค่อยรู้เรื่องโปรอะไร แต่ถ้าไม่กินเราเอาเบียร์ 4 กระป๋องไปแลกดริ๊งค์ได้ 1 ดริ๊ง ใครเคยไปสีลมซอย 2 หรือร้านแบบคอกเทลน่าจะเข้าใจ แถมช่วง 5 ทุ่มถึงตี 2 มั้ง ซื้อ 1 ดริ๊งค์แถม 1 ดริ๊งค์ไปอีก สูบบุหรี่ในร้านได้ด้วยนะ ตอนเราโพสต์ว่าไปใน FB มีน้องมาเม้นต์บอกว่าไปร้านเร็วเกินไปนะพี่ ควรไปซักตี 1-2 พอเรานั่งซักพัก ก็เออจริง คนบางตา แถมเพลงเบามาก กว่าจะมีโคโยตี้บอยมาเต้น ก็จะตี 2 และ แถมเต้นเพลงสองเพลง โคโยตี้ไปละ จบ ที่เหลือเปิดฟลอร์เต้นกันเอง จะคึกคักดึกๆนี่ละ แล้วนี่ก็นึกว่าอยู่เกาหลีคร้า เพลงเกาหลีแทบทั้งคืน บรรยากาศ G-Star แบบไทยๆ ที่มีคนขึ้นเวทีไปคัฟเวอร์เพลงมาเต็ม นี่ไปวนๆรอบฟลอร์ 2-3 รอบก็ลงมา ไม่ไหวแทรกตัวกับบรรดาตุ๊ดเด็ก ที่พวกนางเต้นไปกระโดดไป นี่ว่าถ้าเอาเพลงเต่างอยมาเปิด พวกนางคงสามารถเด้งสู้และตีลังกาได้อย่างแน่แท้
อะมาว่าเรื่องเกย์ผู้ไต้หวัน ก็ในร้านก็มีงานดีตามสไตล์ ไต้หวัน มองได้กรุบกริบ แต่การแสดงออกเสียงดังโพงพางไปนิด คือส่วนมากเล่นใหญ่ กอดทักทาย ดูรัชดาลัยกันไปหน่อย ส่วนตุ๊ดผู้น้องผู้พี่ ก็เดินวนเปย์ดริ๊งค์ ดูผู้เพลิน จนเราไม่ไหวจะขอกลับก่อน แต่ 2 คนยังติดลม ซึ่งเราก็ดูแล้วว่าเมานะ แต่พวกนางไม่ยอมกลับ เลยมีการแยกกลุ่มกันกลับก่อนคือเรา น้องชะนีและแฟนนาง และตุ๊ดผู้พี่ผู้น้องกับไฮเดนอยู่ร้านต่อ กลุ่มอยู่ร้านนี่สายเปย์ คืออยู่ไทยเวลาไปสีลมก็เปย์ ไปไทเป ก็ไทยเปย์จริงๆค่ะ แอ๊วแล้ว เปย์บาร์เทนเดอร์ที่ร้าน คือทิปจะมากกว่าค่าดริ๊งค์ละ เห็นมีการบอกสัญญากับเขาจะไปต่ออีกวันด้วย แต่ปัญหาตอนแยกกลุ่มคือ ตายละเอากุญแจประตูมาอันเดียว พวกเราที่มาก่อนต้องไขแล้วเอาไปซ่อนไว้ในกระถางหน้าบ้าน ถ่ายรูปส่งไปให้ตอนเมาๆ มาถามตอนเช้าก็คือกว่ากลุ่มหลังที่กลับมาจะหากุญแจเจอ ก็คนเมาอะ ประคองสติมาได้ก็ดีละ และเห็นว่าเอาเงินไปหลายพันหลักหมื่น เหลือกลับหลักร้อย 555 ยอมใจสายเปย์
เช้าวันต่อมา คือเราจะไป Taroko แล้วคือต้องเช้ามาก เพราะรถไฟรอบ 8 โมง มีบางคนงอแงจะไม่ไปบอกทิ้งฉันไว้ที่พัก แต่ก็ลากกันไปแบบอากาศเมาค้าง อึนๆกันไป เราไปขึ้นรถไฟที่สถานี Taipei Main Station ไปยังสถานี Hualien ก่อนไปก็หาซื้อของกินไปกินบนรถไฟได้นะ เพราะนั่งไป 2 ชั่วโมงได้ ไกลมาก นี่ซื้อซูชิที่สถานีไปกิน รถชาติไม่อร่อยเลย แข็งมาก ไม่น่าซื้ออะ
ไปถึงเราก็เจอคุณลุงแท็กซี่มาเสนอนำเที่ยว คือเราก็ต่อไปประมาณ 2500 NT หาร 6 คนก็ตกคนละ 400 กว่าๆ คือที่จริงเราจะนั่งรถบัสก็ได้ คนละ 250 NT แต่เราเลือกสบาย และคุณลุงแท็กซี่ก็พาเราไปตามแต่ละจุด จุดแรกก็ประตูทางเข้า พวกเราก็แวะทานข้าวแถวๆนี้ เดินไปหาร้านที่ขายเป็นชามนะ อย่าไปสั่งแบบเป็นชุดๆ คือแพงมาก
พอทานเสร็จคุณลุง Taxi ก็จะพาเราไปปล่อยเป็นจุดๆ ที่ต่อมาคือ “Shakadang Trail” มีสะพานสีแดงใหญ่ยักษ์ และเป็นเส้นทาง Trail ด้วย ฮืออยากจะร้อง เมื่อวานยังปวดขาอยู่เลย นี่ต้องมาเดินอีกแล้ว แต่ดูทุกคนสดใสกับธรรมชาติมาก นี่เราไม่ค่อยอิน สังขารไม่อำนวย ก็เดินไปถ่ายรูปกันไปเพลินเชียว หึ ปวดขาค่ะ
อะจุดต่อมาพามา อุโมงค์เก้าโค้ง Tunnel of Nine Turns แต่เห็นเขาเรียกถ้ำนกๆ อะไรนี่แหละ นี่ก็เดินไกล ทริปนี้เดินมากกว่าเดินที่กรุงเทพทั้งเดือนอีกมั้งคะ? แถมต้องใส่หมวกนิรภัยด้วย กันหินตกใส่ นึกในใจฉันมาเที่ยวพักผ่อนหรือผจญภัยอะไรขนาดนี้เนี่ย เดินจนเหนื่อยค่ะ มองตามทางไปเรื่อยๆ วิวก็สวยแหละ ธรรมชาติมาก ถ้าคนอินน่าจะชื่นชอบ และคุณลุงก็มารอรับปลายทาง
เสร็จพาไปต่อที่ ศาลบรรพชนฉางชุน (Eteranal Spring Shrine) นี่ก็มีคนเดินไปค่ะ ส่วนเราขอพัก ปวดขาไม่ไหวแล้วยอม ถ่ายรูปไกลๆเอาแทนเนาะ ก็เป็นเหมือนศาลเจ้าเล็กๆ มีร้านกาแฟตรงที่จอดรถบัสนะคะ ถ้าจะไปถึงตัวศาลเจ้าก็เดินอ้อมละคะ
พอเสร็จก็พาเราไปชายหาด Qi Xing Tan เป็นหาดหินสีดำ คลื่นและลมแรงมาก ไม่น่าเล่นน้ำเลย ก็ได้แค่เดินเล่น (เดินอีกละ) นอนเล่นพักกาย นอกจากนั้นก้เดินไปดูตลาดปลา จะได้เห็นปลาพระอาทิตย์ เห็นการมาซื้อปลาสดๆจากชาวประมงแถวนั้น
พอจบเสร็จก็พาเรามาปล่อยที่สถานีรถไฟ ซึ่งเหลือเวลาอีก 1-2 ชั่วโมงก่อนรถไฟกลับ พวกเราก็หาอะไรกินรองท้อง จนได้กินที่เขาเรียกว่า .... ตามคลิปเลย ชื่อเรียกฮามาก แบบเราก็ไม่มีให้สะบัดกับเขาอะนะ ได้แต่หัวเราะคิกคักกันไป เป็นแบบลูกชิ้นปลาน้ำใสประมาณนั้นอะ และอาหารอย่างอื่นก็น่าทานมาก ข้าวหน้าหมูงี้ อร่อย
พอทานอะไรเสร็จ ก็ได้เวลานั่งรถไฟกลับค่ะ นั่งตูดชากันไปเลย 2 ชั่วโมง คือใครอยากเที่ยว Taroko ก็ควรมาซัก 2 วันนะคะ จะได้ไม่เหนื่อยมาก นี่เดินทางไปกลับ เหนื่อยเอาเรื่อง
มาถึง Taipei ก็ไปเดินอีกคร้า เดินทั้งวันยังไม่พอ ไปเดินต่อตลาดกลางคืนที่วัดหลงซาน คือของกินเยอะมาก เลือกเอาตามใจชอบเลย เดินหาของกินไปจนเจอร้านนึง คนเข้าคิวเยอะมาก มันคือลูกชิ้นปลาใส่ไข่ต้มข้างใน ชิ้นละ 10 NT ให้ราดซอสบาร์บีคิวหรือซอสวาซาบิ คือเลยต่อแถวซื้อ
โอ๊ยอร่อยมาก เพิ่งเคยกิน เขาแบบทำให้กินสดๆกันเลย ตามคลิปเลยค่ะ
เดินจนอิ่มหน่ำสำราญพร้อมอาการขาล้า พวกเราก็กลับที่พักเพื่อจัดกระเป๋าเตรียมเช็คเอ้าต์วันรุ่งขึ้น เพราะเราจองที่พักถึงแค่วันนี้ อีกวันไปจองโรงแรมแถวสถานีไทเปไว้ เป็นอีกวันที่เหนื่อยล้ามากค่ะ เพลีย
ตอนเช้าก็เช็คเอ้าต์ไปฝากกระเป๋าที่พักใหม่และเดินทางไปหมู่บ้านแมวกัน ไปกันด้วยรถไฟธรรมดา ซึ่งสามารถกินอาหารบนรถไฟได้ เราก็ซื้อข้าวไปกิน แต่คือไม่มีที่นั่งค่ะ คนเยอะมาก เลยไม่ได้กิน ต้องไปกินตอนลง ก็รสชาติ น ร ก อีกแล้ว ซึ่งเรายืนขาแข็งไปตลอดทางจนหมู่บ้านแมว สถานีที่เราไปลงคือ Houtong ลงไป ฝั่งสถานีเป็นพวกร้านค้ากับพิพิธภัณฑ์เล็กๆ กับอาหารขุดเหมืองเก่า ถ้าข้ามฝั่งไปก็ยังหมู่บ้านแมว ซึ่งหมู่บ้านแมวเล็กมากค่ะ เดินแป๊บๆ ทั่วแล้ว แถมคนเยอะกว่าแมวอีก นี่เจอแมวน้อยกว่าที่บ้านที่เลี้ยงไว้ 10 กว่าตัวอีกค่ะ แต่ก็ได้บรรยากาศหมู่บ้านเล็กๆน่ารักๆ มีคาเฟ่ มีของฝากเกี่ยวกับแมว ถ้าใครชอบแมวก็ลองไปก็ได้ครับ แต่อาจไม่ฟินซักเท่าไหร่นัก ก็ดูรุปกันไป ราคาของฝากแพงเอาเรื่อง แต่นี่เราอะเอาชุดคลุมแบบเกล็ดสะท้อนแสงมาใช่ไหม ใส่ถ่ายคนก็มอง อายนะ แต่อยากใส่ ตอนแรกมีชุดเพชรด้วย แต่ทุกคนบอกเยอะไป ไม่งั้นใส่ละ 555
พอเที่ยวหมู่บ้านแมวจนพอใจกันละ ก็ต้องพอละ มีแค่นี้ 555 ต่อมาเราก็นั่งรถไฟไปลงสถานี Ruifang แล้วต่อแท็กซี่ไป Jiufen คือคนเยอะมาก และก็เดินขึ้นเขาอีกแล้ว ฮือปวดขา พวกเราก็เลือกโรงน้ำชาไปนั่งชั้นบน ถ่ายรูป ไปหากินขนม เดินไปจนสุด แต่มุมมหาชนก็เบียดตัวเข้าไปถ่ายรูปยากมาก ร้านที่ต้องเข้าไปเพื่อถ่ายรูปให้ได้ตามที่เขาถ่ายมาคือต้องเสียค่ากาแฟเข้าไปกิน และคนก็เยอะ โดยเฉพาะคนญี่ปุ่น คาดว่ามาตามรอย อนิเมะ เรื่อง spirited away ซึ่งก็จะมีของฝากจากเรื่องนี้อยู่ตามร้านที่ผ่านไป ใครจะมาควรมาค้างแถวนี้ หรือเลี่ยงวันหยุดไม่งั้น จะเจอแบบเรา คนเยอะ เพลียมาก เบียดเสียดจนอยากตบชะนีที่มาเดินชน และราคาของที่นี่ไม่ถูกนะคะ แพงทุกอย่าง ไม่ไหวอะ คือถ่ายรูปอะสวยจริงๆ แต่ใครเข่าหรือข้อเสื่อมก็พอเถอะคะ ดูรูปเอา นี่เดินเสร็จสงสารขาตัวเองมาก มาทริปนี้ใช้งานหนักสุดๆ
พอเสร็จเราก็กลับด้วยรถบัสไปลงสถานีรถไฟ Ruifang แล้วกลับไปในเมืองอีกครั้ง
คือเราเนี่ยต้องกลับไทยก่อนในวันพรุ่งนี้ เลยขอไปหาของฝากที่ Ximenting อีกครั้ง ก็แยกย้ายกันซื้อของกันไป และอย่างที่บอกรองเท้าที่นี่ถูกมากจริงๆ ตามแต่ละร้านคือราคาดีงาม เห็นแล้วอดใจแทบไม่ได้
พอช้อปจนได้ของกันจนพอใจเราก็ไปต่อกับที่บุฟเฟ่ต์ชาบูหมาล่าที่ขึ้นชื่อของย่าน Ximenting นั่นก็คือ Mala Yuanyang Hotpot ในราคาประมาณ 600-700 NT ได้ คือของเยอะมาก ใครชอบกินเนื้อคือคุ้มเลยละ สำหรับเราไม่ได้กินเนื้อ แต่พวกเนื้อหมูเนื้ออื่นๆก็โอเคเลย ร้านเปิดยันตี 4 อะ ดีงาม นี่เราไปก็จะเที่ยงคืนละ กินกันไปยาวๆ สั่งเนื้อมาได้เรื่อยๆ แต่อย่างอื่นต้องเดินไปตักเองนะคะ กินให้เขาจดจำคนไทยกันไปค่ะ สั่งเนื้อรัวๆ น้ำจิ้มมีให้เลือกหลายหลาย พยายามปรุงกันเอานะคะ เครื่องดื่มก็มีให้เลือกเยอะมาก ไอศกรีมของฮาเกนดาซ ของหวาน ผลไม้อีกเพียบ แต่เราแอบคิดว่าของหวาน หวานน้อยไปนิดค่ะ ออกแนวจืด ก็กินกันไปยาวๆ เสร็จกลับที่พัก เราก็เตรียมเดินทางกลับวันรุ่งขึ้น ปล่อยคนอื่นเที่ยวต่อ เห็นมีแพลนจะไปปีนเขากันอีก ขอบายแล้วค่ะ ไม่ไหวแล้วจริงๆ ยอม!!!!!!!
เช้ามาก็ลากกระเป๋าไปสถานีรถไฟไปสนามบินเลยค่ะ ขากลับเดินทางคนเดียว การเดินทางก็ไม่ยากเลย ยากตรงลากสังขารกับขาตัวเองเดินไปขึ้นรถไฟนี่แหละ มาเช้าก่อน 6 โมงนี่คือประตูไม่เปิดนะคะ เดิมอ้อมไกลมาก สำหรับการนั่ง Taoyuan Airport MRT ราคา 160 NT ถึงสนามบินเร็วมาก ของฝากในสนามบินแพงนะคะ ควรหลีกเลี่ยงมาซื้อที่นี่
สำหรับไต้หวัน เราถือว่าชอบมากเลยอะ จะกลับมาอีกแน่นอน แต่คงไม่ใช่สายธรรมชาติเดินเขาแบบครั้งนี้แน่ เพราะเข็ด ทริปนี้ก็หมดค่าใช้จ่ายไปประมาณ17,000-18,000 บาท ได้ คือครั้งนี้แทบไม่ได้จดรายละเอียดค่าใช้จ่ายแต่ละที่ แต่คือจ่ายค่าตั๋วเครื่องบินไป 7 พัน ค่าที่พัก 3,800 และแลกเงินไป ประมาณ 7000 กว่าบาท ไว้ไปครั้งหน้าจะรีวิวให้ละเอียดกว่านี้นะคะ แต่ถ้าใครอยากตามแพลนเก่าที่จัดไว้ก่อนเปลี่ยนแผนก็ได้นะคะตามข้างบนเลย อาจพอเป็นไกด์ได้เล็กๆน้อยๆคร้า ขอบคุณที่ติดตามรีวิวอีก ไว้เจอกันใหม่ทริปหน้าค่ะทุกคน
ปล.ชานมใน 7-11 คืออร่อยสุด
ไกรสุวิทย์ ศรีสวัสดิ์
วันพุธที่ 20 มิถุนายน พ.ศ. 2561 เวลา 13.07 น.