การเดินทางครั้งนี้มีโจทย์ว่า "ภูเขา นาข้าว งบน้อยและไม่ต้องลางาน" ข้อดีของการเที่ยวในหน้าฝนคือที่พักราคาถูก ธรรมชาติช่วงนี้สีเขียวเป็นพิเศษ เสี่ยงเปียกฝนไปบ้างแต่บรรยากาศหลังฝนตกก็ไม่เลว

จุดหมายปลายทางของเราคือ "อำเภอปัว จังหวัดน่าน" จะไปขี่มอเตอร์ไซต์เก็บความเขียว นอนสบายด้วยที่พักราคาหลักร้อย แถมมีร้านกาแฟที่แอบอยู่ใต้ดินวิวภูเขานั่ง Chill ได้ทั้งวัน ทริปนี้เวลาน้อยแต่ Check in ที่เที่ยวได้แบบรัวๆ

หมายเหตุ: เดินทางเข้าไปในพื้นที่ วันที่ 14-15 กรกฎาคม 2561 (ออกจาก กรุงเทพฯ คืนวันศุกร์ที่ 13 ก.ค. ถึงกรุงเทพฯ เช้าวันจันทร์ที่ 16 ก.ค.) ส่วนค่าใช้จ่ายคร่าวๆ จะใส่ไว้ให้ท้ายรีวิวนะคะ บอกก่อนเลยว่า 2,ุ600 บาทเอาอยู่!


การเดินทาง

รถทัวร์

รถทัวร์ของ บขส. ออกจากหมอชิตรอบ 20.30 น. มารับเราที่สถานีขนส่งรังสิตประมาณ 21.10 น. (เวลาขึ้นอยู่กับสภาพการจราจร แต่อยากให้เผื่อเวลามารอล่วงหน้า) ถึงสถานีขนส่งผู้โดยสารจังหวัดน่านประมาณ 07.20 น.

เพิ่มเติม

ถ้าใครไม่อยากขี่มอเตอร์ไซค์มีรถทัวร์ของ บขส. วิ่งผ่านอำเภอปัว และจากสถานีขนส่งผู้โดยสารจังหวัดน่านมีรถบัสพัดลมกับสองแถวไปปัวค่ะ

เช่ารถมอเตอร์ไซค์

เราใช้บริการเช่ารถมอเตอร์ไซค์จากร้านโตโน่ คาเร้นท์ @น่าน (Tono Carrent Nan) อยู่ห่างจากสถานีขนส่งฯ ประมาณ 300 เมตร สามารรถเดินไปได้ ให้โทรถามทางจากร้านห้ามเดินไปตาม Google map อ้อมโลกมากเดินมาแล้ว รถมอเตอร์ไซค์ที่เช่าเป็นรุ่น Honda Click พร้อมน้ำมันเต็มถัง ราคา 250 บาท/วัน มีค่ามัดจำ 1,000 บาท สามารถจองล่วงหน้าผ่านไลน์ได้ มีบริการส่งรถที่สนามบินและที่พักในเขตเทศบาลค่ะ

โทร: 0861956300 Line: June_manutsanun



เที่ยวเมืองน่าน 2-3 ชั่วโมง

เหตุผลที่เราไม่นั่งรถทัวร์ไปลงปัวโดยตรงเพราะว่าเราหลายใจ มาน่านทั้งทีอยากเที่ยวตัวเมืองด้วยเนื่องจากที่เที่ยวเยอะมาก แต่ด้วยเวลาที่มีประมาณ 2-3 ชั่วโมงเราจึงเลือกเฉพาะที่ที่เราอยากไปส่วนมากเป็นวัด มาดูกันดีกว่าว่าภายในระยะเวลาแค่นี้เราสามารถแวะที่ไหนได้บ้าง

ร้านข้าวซอยต้นน้ำ

อันดับแรกขอแวะเติมพลังกันก่อนที่ร้านข้าวซอยต้นน้ำเป็นร้านข้าวซอยขนาดร้านไม่ใหญ่มาก มีที่นั่งประมาณ 5-6 โต๊ะ บรรยากาศเป็นกันเองอยู่ใกล้วัดมิ่งเมือง ขายข้าวซอยไก่-เนื้อ เกาเหลา ก๋วยเตี๋ยว ขนมจีนน้ำเงี้ยว ข้าวหมูแดง เครื่องดื่มก็มี เราสั่งข้าวซอยเนื้อ ข้าวหมูแดงและแดงมะนาวโซดา ข้าวซอยอร่อยจริงสมคำล่ำลือ เนื้อเปื่อยนุ่มแบบไม่ปรุงก็อร่อยแล้วค่ะ แต่ขอเตือนว่าพริกของร้านเผ็ดมากใส่ทีละน้อยๆ นะคะ




วัดมิ่งเมืองและเสาพระหลักเมือง

อยู่ใกล้ร้านข้าวซอยต้นน้ำเดินไปก็ได้ประมาณ 100 เมตร เป็นวัดที่มีความวิจิตรสวยงามด้วยศิลปะปูนปั้นจากตระกูลช่างเชียงแสนสีขาวไปทั้งวัด มาที่นี่ได้ทั้งไหว้พระและเสาหลักเมือง เราใช้เวลาอยู่ที่วัดพอสมควรร้องว้าวไม่หยุดตลอดการชมงดงามมากๆ และเป็นช่วงเวลาที่แสงกำลังดีถ่ายรูปเพลินมากค่ะ

วัดหัวข่วง

คำว่าหัวข่วง หมายถึงลานกว้าง วัดหัวข่วงก็คือวัดที่อยู่ทางทิศเหนือของลานกว้าง เป็นวัดที่มีความสำคัญแห่งหนึ่งของเมืองน่าน เนื่องจากสิ่งก่อสร้างภายในวัดมีรูปแบบศิลปกรรมแบบล้านนาอย่างแท้จริง

ซุ้มลีลาวดี พิพิธภัณฑ์สถานแห่งชาติจังหวัดน่าน

เราถ่ายรูปกับซุ้มต้นลีลาวดีแล้วเอาลง Facebook ไม่ได้ Check in มีแต่คนถามว่าไปเที่ยวน่านหรอ? เป็นจุดถ่ายรูปยอดนิยมและทุกคนรู้จัก จะแวะนั่งพักเหนื่อยซุ้มไม้ก็ให้ความร่มรื่นได้ดี มีรถขายเครื่องดื่มชา กาแฟโบราณจอดอยู่ใกล้ๆ เสียดายที่เรามีเวลาไม่มากพอที่จะเข้าไปเที่ยวชมพิพิธภัณฑ์ฯ


วัดภูมินทร์

วัดนี้รู้จักตั้งแต่เรียนวิชาปฐมนิเทศฯ การท่องเที่ยวตอนเรียนมหาลัย ถ้าพูดถึงน่านสิ่งแรกที่วิ่งเข้ามาในหัวก็คือวัดภูมินทร์และตำนานกระซิบรักของปู่ม่านย่าม่าน วันนี้ได้มาเห็นของจริงกับตาตัวเองสักที ความแปลกไม่เหมือนใครของวัดนี้คือพระประธานจตุรพักตร์พระพุทธรูป 4 องค์ นั่งหันหน้าออกไปทางประตูทั้ง 4 ทิศ และอีกหนึ่งอย่างที่เป็นที่ขึ้นชื่อของวัดนี้คือ ภาพจิตรกรรมฝาผนังการกระซิบบอกรักกันของปู่ม่านและย่าม่าน

ก่อนมาน่านเราไปเผือก เอ้ย! หาข้อมูลมาแล้วว่าปู่ม่านย่าม่านเขากระซิบอะไรกัน เป็นกลอนบอกรักกันแบบชาวไทลื้อที่คนภาคกลางอย่างเราอ่านแล้วไม่เข้าใจ พอได้มาฟังน้องมัคคุเทศก์น้อยอ่านและแปลให้ฟัง บอกเลยว่าเหม็นความรักมากค่ะ ฮ่าๆ เป็นการบอกรักที่หวานและไพเราะมาก

วัดศรีพันต้น

ตอนแรกวัดนี้ไม่ได้อยู่ในแผน เราขี่รถผ่านด้วยความบังเอิญ จุดเด่นของวัดคือวิหารสีทองมีจิตรกรรมปูนปั้นที่สวยงามโดยเฉพาะพญานาคเจ็ดเศียร เป็นอีกหนึ่งวัดที่ไม่ควรพลาดเมื่อมาเที่ยวน่าน



เรา Check in ที่เที่ยวรัวๆ ในตัวเมืองน่านได้ 6 สถานที่ ไม่ใช่แวะไปถ่ายรูปแล้วออกมานะคะ เข้าไปทำบุญไหว้พระขอพร บางที่ก็แวะคุยกับคนพื้นที่บ้างแม่ค้าบ้าง เราชอบเมืองน่านตรงที่เป็นเมืองท่องเที่ยวที่ไม่วุ่นวาย ไม่จอแจ ไม่รวดเร็วเกินไป นอกจากสถานที่ด้านบนแล้วยังมีที่เที่ยวที่กินอีกเยอะมาก ถ้ามีโอกาสจะกลับมาเที่ยวอีกแน่นอน ไม่สิ ต้องกลับมาเที่ยวอีกแน่นอน

ข้อแนะนำ: ก่อนออกจาเมืองน่านเพื่อไปเที่ยวอำเภออื่นให้กดเงินไปให้เรียบร้อย ที่ปัวก็มีตู้ ATM แต่ระหว่างทางก็มีร้านกาแฟ ร้านขายผ้า ร้านอาหาร การเงินจะได้ไม่สะดุด


เส้นทางสีเขียวสู่ "เมืองปัว"

จากตัวเมืองน่านไปอำเภอปัวระยะทางประมาณ 70 กิโลเมตรหน่อยๆ สามารถไปได้สองทาง ใครชอบถนนที่ขี่รถง่ายไม่ต้องขึ้นเขาให้ไปเส้นท่าวังผา หรือถนนเส้น 101 ส่วนใครที่ชอบขี่รถลัดเลาะชมความเขียวและวิวสวยๆ แนะนำให้ไปเส้นสันติสุข หรือถนนเส้น 1081 เราเลือกเส้นสันติสุขเพราะตั้งใจมาเก็บความเขียว




อันเดรสบาร์ & ภูคาเม้าส์เท่นวิวรีสอร์ท

เราใช้เวลาประมาณ 2 ชั่วโมงก็มาถึงจุดหมายปลายทางในวันนี้ มองจากรูปด้านล่างหลายคนอาจจะคิดว่าเป็นเพียงจุดชมวิว แต่เดินลงไปจะพบกับที่พักหลักร้อยนอนสบาย มีเครื่องปรับอากาศ เครื่องทำน้ำอุ่น พร้อมอาหารเช้า มีร้านอาหารและบาร์ที่นั่งมองวิวสวยๆ ได้ทั้งวัน ที่นี่คือ "อันเดรสบาร์ & ภูคาเม้าส์เท่นวิวรีสอร์ท" ที่พักของเราในทริปนี้ค่ะ



"ภูคาเม้าส์เท่นวิวรีสอร์ท" เป็นที่รีสอร์ทขนาดเล็กมีห้องพักที่ลดหลั่นไปตามเนินจำนวน 4 ห้อง ห้องหมาย 2 ที่เราพักอยู่ใกล้ร้านอาหารและมองเห็นวิวได้กว้างสุด ช่วงนี้มี Promotion เป็นห้องพักพร้อมอาหารเช้าราคา 500 บาทสำหรับ 2 คน/คืน หารกันแล้วเหลือคนละ 250 บาทเองประหยัดไปได้เยอะมาก ในช่วง High Season ราคานี้จะไม่รวมอาหารเช้าหรือราคาแพงกว่านี้




วิวหน้าห้องพักหมายเลข 2 ตอนเช้าดูพระอาทิตย์ขึ้นได้ แต่ถ้าจะดูชัดๆ ต้องขึ้นไปบนลาดจอดรถ ช่วงที่เรามาอากาศไม่เป็นใจพระอาทิตย์ขี้อายเมฆเยอะเลยไม่ได้เก็บภาพมาฝากค่ะ


ห้องพักขนาดกระทัดรัด แต่สิ่งอำนวยความสะดวกที่จำเป็นมีครบค่ะ เครื่องปรับอากาศ เครื่องทำน้ำอุ่น ทีวี ตู้เย็น ผ้าขนหนูและสบู่ยาสระผมในราคาที่บอกไปข้างต้นคุ้มมากๆ แค่นี้ก็นอนหลับสบายแล้ว







"อันเดรสบาร์" เป็นร้านอาหารที่อยู่ติดกันกับรีสอร์ทเจ้าของเดียวกัน เราคิดว่าหายากและทำให้เราแปลกใจที่สุด ขนาดติดต่อมาล่วงหน้าขี่รถมาถึงยังงงเลยค่ะเพราะเห็นแต่ป้าย ต้องโทรฯ ถามถึงเข้าใจว่าอยู่ใต้ดิน เฮ้ย! แปลกใจเข้าไปอีก ตอนที่เราคุยโทรศัพท์นั่นคือเรายืนอยู่บนหลังคาร้าน! ที่จอดรถกว้างมีห้องน้ำสำหรับลูกค้าค่ะ





หน้าร้านหันเข้าดอยภูคาเป็นวิวที่สามารถนั่งมองได้ทั้งวัน หากจะไปเที่ยวดอยภูคาขับรถจากที่นี่ไปอีกประมาณ 30 กิโลเมตร




มีปลั๊กไฟไว้เสียบพัดลมในช่วงที่อากาศร้อนเป็นพัดลมตัวใหญ่ แต่ถ้าต้องการชาร์จแบตโทรศัพท์ก็สามารถชาร์จได้ค่ะ


ที่นั่งในร้านมีให้เลือกหลายแบบมีทั้งที่เป็นชิงช้า นั่งบนเบาะนุ่มๆ หรือจะไปนั่งกับน้องหมีที่เปลตาข่ายมุมนี้ถ่ายรูปออกมาสวยมาก








ทางร้านขายเครื่องดื่ม กาแฟ Smoothies ไปจนถึงเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ อาหารกินเล่นเมนูทอด ยำ ไปจนถึงกินแบบจริงจังอย่างเมนูกระทะร้อน ต้มซุปเปอร์เล้งฯ ตั้งแต่ช่วงบ่ายไปจนถึงพรุ่งนี้เช้าเราจะฝากกระเพาะไว้ที่นี่





ระหว่างรอเวลาอาหารเย็น เราเดินขึ้นไปด้านบนเพื่อหาจุดถ่ายรูป ช่วงเย็นสามารถนำเครื่องดื่มมานั่งดื่มข้างบนได้เพราะแดดไม่ร้อนแล้ว ตรงนี้เป็นอีกหนึ่งจุดที่ถ่ายรูปสวย ตอนเช้ามาดูพระอาทิตย์ขึ้นตรงนี้ได้







ได้เวลากินอีกแล้วเราให้น้องที่ร้านช่วยแนะนำเมนูอาหาร ซึ่งน้องแนะนำต้มซุปเปอร์ตีนไก่ เราสั่งหมูมะนาว ตำปูปลาร้าและโคขุนกระทะท้อนเพิ่ม บอกเลยว่าอาหารที่นี่รสจัดจ้านแซ่บโพด โดยเฉพาะส้มตำปูปลาร้ากับซุปเปอร์ตีนไก่ ตอนสั่งไม่ได้ดูเลยว่าเป็นเมนูเผ็ดทุกอย่าง ซุปเปอร์ตีนไก่อร่อยน้ำซุปแซ่บสะใจ ตีนไก่เปื่อยดูดเพลิน หมูมะนาวรสชาติเป็นมิตรที่สุดเผ็ดน้อยเปรี้ยวนำจัดจานได้น่ารัก โคขุนกระทะร้อนเนื้อแห้งไปหน่อยถ้าฉ่ำกว่านี้อร่อยเลิศชอบเนื้อที่ติดมันแบบนี้ ส่วนส้มตำปูปลาร้าอร่อยแต่เผ็ด เส้นมะละกอใส ปลาร้านัว เป็นการกินข้าวเย็นที่ใช้เวลานานมากเพราะกินไปนอนไป เบาะนั่งนุ่ม วิวดี พัดลมเย็นแทบเลื้อย






เครื่องดื่มแอลกอฮอล์มีให้เลือกเยอะมากค่ะ บางอย่างเราก็ไม่เคยเห็นมาก่อน ทริปนี้ว่าจะมาแบบไสยๆ สุดท้ายบรรยากาศมันพาไปห้ามใจไม่ได้จริงๆ


บรรยากาศร้านตอนกลางคืนไม่วุ่นวายมากนัก ทางร้านเพลงเบาๆ คลอไปกับบรรยากาศไม่ต้องตะโกนคุยกันให้คอพัง เหมาะกับการนั่งเล่นนั่งดื่มไปเรื่อย อากาศเย็น ยุงก็เยอะพอสมควร ดีที่ทางร้านเตรียมยาฉีดกันยุงไว้ให้






เรานัดเวลาทานอาหารเช้าไว้ตอน 09.00 น. คิดว่าห้องพักพร้อมอาหารเช้าราคาในราคา 500 บาท ต้องเป็นข้าวต้มไม่ก็ ABF อย่างใดอย่างหนึ่ง แต่ความเป็นจริงคือได้ทั้งสองอย่างแบบเลยค่ะ ^^





ยังไม่หมดแค่นั้นมีผลไม้จานโต ชา กาแฟ พร้อมขนมปังที่สามารถเลือกได้ว่าจะทาแยมสับปะรดหรือแยมสตอเบอร์รี่ ถ้าไม่ทาแยมก็มีเนยให้อีกหนึ่งตัวเลือก นอนหลับสบายตื่นมาได้กินอิ่มคุ้มสุดๆ


หากใครไม่ชอบกาแฟสำเร็จรูป สามารถสั่งเมนูกาแฟสดจากทางร้านได้ ต้องจ่ายเพิ่มราคาไม่แพง เราสั่งกาแฟเมนู "อันเดรสบาร์ คอฟฟี" เป็นเซตกาแฟที่มาพร้อมหม้อต้มให้เติมนมเติมน้ำตาลเอง กาแฟรสเข้มและหอมมากราคาไม่แพง 40 บาทเท่านั้น



สำหรับที่นี่เป็นการพักผ่อนที่คุ้มค่ามากๆ ร้านอาหารบรรยากาศดีมีจุดเด่นคือวิวสวย ด้วย Location ที่ไม่เหมือนใครอาจทำให้สังเกตยากไปหน่อย แต่ถ้ามาตาม Google map รับรองว่ามาถูกทางแน่นอนค่ะ เมนูอาหารถึงจะมีไม่มากแต่เป็นเมนูที่ครอบคลุม ราคาไม่แรง ได้อาหารเร็วรอไม่นานค่ะ เมนูจำพวกกระทะร้อนวางให้ห่างจากพัดลมน่าจะทำให้ร้อนได้นานขึ้น เพราะพัดลมตัวใหญ่จริงๆ บริการดี เรียบง่ายและเป็นกันเองค่ะ

เปิดทำการ: 10.00 - 22.00 น. (ครัวปิดสองทุ่ม)

สามารถติดต่อและสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่: https://www.facebook.com/Andresbarpua/


ตระเวนเที่ยวเก็บความเขียว "เมืองปัว"

หลังจาก Check in เมืองน่านรัวๆ เราก็พามา Check in เมืองปัวกันบ้าง

ต้นดิกเดียม วัดปรางค์

หาข้อมูลมาว่าวัดนี้มีต้นไม้แปลกเป็นต้นไม้อารมณ์ขันชื่อว่า "ต้นดิกเดียม" ความแปลกของต้นไม้ต้นนี้คือ เมื่อเอามือสัมผัสลูบไปมาบริเวณลำต้นกิ่งและใบไม้จะสั่นไหว เหมือนคนโดนจั๊กจี๊ที่เอวแล้วหัวเราะ

เมื่อมีความรู้ด้านทฤษฎีแล้วก็ต้องปฏิบัติ เราแวะวัดปรางค์เพื่อไปดูต้นไม้แปลกต้นนี้ รอจังหวะที่ลมไม่มีเอามือลูบบริเวณลำต้นทุกอย่างนิ่ง มีไหวบ้างเบาๆ ก็ไม่แน่ใจว่าเป็นเพราะลมหรือเปล่า ลูบไปสักพักสรุปว่าที่ขำคือตัวเราเองว่ามายืนลูบต้นไม้ในวัดทำไม ตัดสินใจส่งข้อความไปถามเพื่อนที่เคยมา เพื่อนบอกว่าต้นดิกเดียมต้นนี้แก่แล้ว มีต้นเล็กที่เพิ่งเพาะได้ไม่นานอีก 10 ปีค่อยมาลูบใหม่ เราเลยนั่งพักอยู่แถวนั้นก็เห็นมีคนแวะมาลูบเรื่อยๆ ลูบไปลูบมาขำกันเอง สรุปว่าที่ดิกเดียมไม่ใช่ต้นไม้แต่เป็นคน อีก 10 ข้างหน้าจะมาพิสูจน์อีกครั้ง

ช่วงนี้เป็นช่วงเริ่มทำนาระหว่างทางเห็นชาวนากำลังปลูกข้าวด้วยวิธีดำนา แตกต่างจากภาคกลางที่ส่วนใหญ่ใช้วิธีหว่านข้าว อากาศลดชื่นมากค่ะ


วัดภูเก็ต

ชื่อเหมือนจังหวัดที่อยู่ในภาคใต้ แต่ความจริงแล้วหมายถึงวัดที่อยู่ในหมู่บ้านเก็ต ด้วยพื้นที่ของวัดที่อยู่บนเนินเขาซึ่งทางภาคเหนือเรียกว่า "ภู" หรือ "ดอย" จึงเป็นวัดภูเก็ตที่ไม่ได้เกี่ยวกับจังหวัดภูเก็ตเลย สามารถขี่รถขึ้นมาจอดข้างบนได้เลยค่ะ ความแปลกผสมกับความน่ารักของวัดนี้คือภาพจิตรกรรมฝาผนังเรื่องพระเวสสันดรชาดกที่มีตัวการ์ตูนดังในสมัยปัจจุบันเข้าไปอยู่ในภาพวาดนั้นด้วย



เนื่องจากวัดภูเก็ตเป็นวัดที่อยู่บนที่สูงทำให้เป็นจุดชมวิวที่สวยงาม เป็นวิวทุ่งนาที่มีฉากหลังเป็นดอยภูคา ส่วนด้านล่างเป็นที่พัก ร้านขายของระลึกและร้านกาแฟ ชื่อตูบนาไทลื้อและตูบนากาแฟ แต่ช่วงนี้เป็นช่วง Low season จึงดบริการที่พักขายแต่เครื่องดื่ม

ร้านกาแฟบ้านไทลื้อ

ร้านกาแฟบ้านไทลื้อกับตูบนาไทลื้อ & ตูบนากาแฟ คนละที่กันนะคะ กาแฟบ้านไทลื้อเป็นร้านกาแฟที่อยู่ท่ามกลางทุ่งนา พื้นที่กว้าง มีกระท่อมให้นั่งหลายหลังเชื่อมด้วยสะพานไม้ไผ่ กาแฟรสชาติดีราคาไม่แพงแก้วละ 30 บาท ใกล้กับลำดวนผ้าทอแวะทีเดียวได้ทั้งดื่มกาแฟและซื้อผ้าทอพื้นเมืองสวยๆ

ฟาร์มเห็ดบ้านหัวน้ำ

เป็นฟาร์มเห็ดที่เปิดเป็นร้านอาหารและร้านขายของที่ระลึก สามารถนั่งในร้านชมวิวทุ่งนาหรือชอบแบบใกล้ชิดธรรมชาติก็นั่งในโซนสวนไผ่ เมนูส่วนใหญ่มีส่วนประกอบของเห็ดที่เป็นผลผลิตจากฟาร์ม เมนูเด็ดที่ต้องลองคือพิซซ่าเห็ด อร่อย แป้งบาง ชีสเยอะ กับส้มตำเห็ดทอดที่หน้าตาดูใสๆ แต่รสชาติจัดจ้าน

ขากลับเข้าเมืองน่านเราวิ่งเส้น 101 อย่างที่บอกไว้ข้างต้นว่าขี่รถง่ายกว่าเส้นสันติสุข ทำให้ใช้เวลาน้อยกว่าขาไป มีเวลาแวะหาของกินก่อนขึ้นรถทัวร์ อ่อ...ก่อนคืนรถอย่าลืมเติมน้ำมันให้เต็มถังนะคะ

ข้อแนะนำในการเที่ยวเมืองปัว: ช่วงหน้าฝนถือว่าเป็นช่วง Low Season ที่เที่ยวบางแห่งอาจปิดปรับปรุง เช่น วังน้ำปัว ให้ตรวจสอบข้อมูลก่อนไปนะคะจะได้ไม่เสียเวลาแบบเรา ถ้าเป็นร้านอาหารควรเช็คว่าร้านปิดกี่โมง หรือของที่ขายเพียงพอต่อลูกค้าไหม เช่น ร้านข้าวหลามป้าเพ็ญ ไปตาม Google map ทางโหดมากพอไปถึงข้าวหลามหมด เป็นต้น


อยู่น่าน...จนวินาทีสุดท้าย

กาดข่วงเมืองน่าน

เรามีเวลา 1 ชั่วโมงก่อนจะนั่งรถทัวร์ยาวๆ กลับบ้าน เราแวะหามื้อเย็นกินกันที่ถนนคนเดินหน้าวัดภูมินทร์ ของขายเยอะมากค่ะ ทั้งสองกิน เสื้อผ้า ของที่ระลึก เปิดช่วงเย็นของวันศุกร์ เสาร์ และอาทิตย์ เราลองชิมยำหมี่เมืองอร่อยและแปลกดีค่ะ ราคาไม่แพงด้วยถ้วยละ 25 บาท ถนนคนเดินที่นี่น่ารักตรงที่ใช้ลานกว้างหน้าวัดภูมินทร์ วางขันโตกไว้สำหรับให้คนที่ซื้อของกินจากถนนคนเดินมานั่งกิน มีดนตรีสดให้ฟังอีกต่างหาก


เรานำรถมอเตอร์ไซค์ไปคืนและรับเงินมัดจำ แพคกระเป๋า ล้างหน้าแปรงฟันก็ได้เวลาขึ้นรถทัวร์พอดี เป็นอีกครั้งที่เราใช้เวลาเที่ยวจนวินาทีสุดท้าย รถทัวร์ออกจากสถานีขนส่งผู้โดยสารจังหวัดน่าน วันอาทิตย์รอบ 19.00 น. ถึงรังสิต เช้าวันจันทร์เวลาประมาณ 05.15 น.


...สรุปและค่าใช้จ่าย...

เป็นทริปที่ประทับใจเกินคาด เข้าใจแล้วว่าทำไมคนที่มาน่านแล้วเขาอยากกลับมากันอีก ด้วยระยะเวลาที่จำกัดและงบประมาณที่ไม่มากสามารถทำให้มนุษย์เงินเดือนที่อยากหนีความวุ่นวายในเมืองสักพัก มาสูดอากาศดีๆ ได้ไกลถึงจังหวัดน่าน ย้อนกลับไปที่โจทย์ของทริปนี้ "ภูเขา นาข้าว งบน้อยและไม่ต้องลางาน" ทริปนี้ตอบโจทย์ทุกอย่างโดยเฉพาะที่พัก อันเดรสบาร์ & ภูคาเมาส์เท่นวิวรีสอร์ท เป็นทั้งที่นอน ร้านอาหาร คาเฟ่ บาร์และจุดชมวิว ทำให้การเดินทางในครั้งนี้จบอย่างสมบูรณ์ ชาร์จแบตให้ตัวเองได้อย่างเต็มที่ พร้อมกลับไปสู้กับงานและความวุ่นวายอีกครั้ง (แบตเราไม่ค่อยดีหมดเร็วมาก ต้องชาร์จบ่อยๆ ^^)

🚌 ค่ารถทัวร์ กรุงเทพ-น่าน (ไป-กลับ) 1944 บาท
🛵 ค่าเช่ารถมอเตอร์ไซค์ 500 บาท (ค่ามัดจำ 1000 บาท)
🍽 ข้าวซอยต้นน้ำ 195 บาท
(ข้าวซอยเนื้อ 2 ข้าวหมูแดง 1 น้ำแป๊ปซี่ 1 น้ำเปล่า 1 แดงมะนาว 1)
🚰 เติมน้ำมัน 60 บาท (ขาไปปัว)
🍽 พิซซ่าเห็ด + ส้มตำเห็ด + น้ำดื่ม 250 บาท
🛠 เติมลมยาง 5 บาท
🍼 น้ำอัดลมลม 30 บาท
☕️ กาแฟ 90 บาท
🍽ข้าวกลางวัน 330 บาท
☕️ กาแฟไทลื้อ*2 = 60 บาท
🚰 เติมน้ำมัน 70 บาท (ขากลับเข้าเมือง)
🍽 ของกิน @ถนนคนเดิน 100 บาท
🚕 Taxi เข้าบ้าน 130 บาท

@อันเดรสบาร์ & ภูคาเมาส์เท่นวิวรีสอร์ท
🏡 ค่าที่พัก+อาหารเช้า 500 บาท
🍺 เบียร์หมี *2 = 140 บาท
🍽น้ำ 2 แก้ว+ FF+ นักเก็ต 220 บาท
🍽 มื้อเย็น 448 บาท
(ซุปเปอร์ตีนไก่ 80 หมูมะนาว 79 โคขุนกระทะร้อน 149
ตำปูปลาร้า 40 ข้าวเปล่า*2 = 20 น้ำแข็ง+น้ำอัดลมใหญ่ 80)
☕️กาแฟ 40 บาท

รวม 5,112 บาท หาร 2 คน = 2,556 บาท


ติดต่อสอบถามข้อมูลที่พักได้ที่:

อันเดรสบาร์ & ภูคาเมาส์เท่นวิวรีสอร์ท

ติดตามการเดินทางของเราได้ที่:

KeepGoing Thailand

แป้งเจอนี่เจอนั่น

 วันอังคารที่ 31 กรกฎาคม พ.ศ. 2561 เวลา 05.03 น.

ความคิดเห็น