สวัสดีปีใหม่ครับ ก่อนอื่นออกตัวก่อนเลยครับ ทริปนี้เป็นทริปคู่นะครับ
และต้องขอบคุณมาก ๆ ครับสำหรับรีวิวเส้นทางรถไฟก่อนหน้านี้ที่ได้รับความสนใจ
https://th.readme.me/p/1739
จนใครหลายคน ลองเที่ยวตามที่เคยเขียนเอาไว้ เเต่ว่า ครั้งที่เเล้วผมเขียนเเค่เส้นทางในไทย
นั้นคือเส้นทางสาย ปาดังเบซาร์ - หาดใหญ่ และเมื่อวันที่ 30 ธันวาคมที่ผ่านมา ผมนั่งไป Kuala Lumpur ครับ
โดยครั้งนี้ ผมจะรีวิว การเดินทางด้วยรถไฟฟ้าด่วน ETS ที่สถานีปาดังเบซาร์ ไปยัง Kuala Lumpur
อย่างละเอียด พร้อม รีวิวการร่วม เคาท์ดาวน์ ปีใหม่ที่ ถนน Bukit Bintang ย่านเศรษฐกิจของ Kuala Lumpur
เเละการท่องเที่ยว ตลอด 3 คืน 4 วัน ในช่วงเทศกาลปีใหม่ ไม่ว่าจะเป็นการรอคิวเพื่อกินอาหารร้าน YutKee ร้านดัง
การหลงไปในย่านลิตเติ้ลอินเดีย เเละการรีวิวอาหาร ถ้าพร้อมเเล้ว ลุย !!!!!!
กล้องที่ถ่ายในทริปนี้นะครับ
Canon 60D + Lens 50mm f1.8 + 18-55
Contact
instagram @iddekfilm
https://www.facebook.com/Isarapabc-153377218149435/
DAY 1 // วันพุธที่ 30 ธันวาคม 2558
ออกเดินทางจากปาดังเบซาร์ มุ่งหน้า KL Sentral // เข้าที่พัก Hotel 1915 ย่าน มัสยิดจาเม็ก // เดินทางไป Central Market Kuala Lumpur // หลงรถไฟฟ้าย่านสถานีรถไฟ Kuala Lumpur // เเวะชมความงาม Petronas Twin Towers
ต้องบอกก่อนเลยว่า เราตื่นเต้นมากครับ ที่หาดใหญ่มีขบวนรถด่วนของมาเลเซีย
เทียบท่าอยู่ชายเเดน พร้อมที่จะพาเราไปทุกเมืองในมาเลเซีย // เเถวยังไปสิงคโปร์ได้ด้วย ทริปนี้ เอาหน่อยเราเลย
เลือกที่จะเดินทางด้วย รถไฟฟ้าด่วน ETS ที่วิ่งได้ 140 กิโลเมตรต่อชั่วโมงจากสถานีรถไฟปาดังเบซาร์
ผมทำการจองตั๋วรถไฟผ่านเว็บไซต์
http://www.ktmb.com.my
วิธีการจองง่ายมากครับ เเค่มีบัตรเครดิตหรือเดบิต หรือ ^{amp;$%*^& นั้นเหละครับ
หรือถ้าจองไม่เป็น ก็สามารถดูวิธีการจองอย่างละเอียดผ่านทาง
http://pantip.com/topic/33929563
ก็ได้ครับ ก็เลยเลือกจองจากปาดังเบซาร์ ไปลงสถานี KL Sentral ในราคาคนละ 80 Rm // ประมาณ 800 บาท
ด้วยความตื่นเต้น ผมเลือกเวลาเช้าเลยครับ กลัวจะไปถึง KL สาย เลยจองรอบ 07.45 น. คิดว่ามาซัก 7 โมงคงทัน
ที่ไหนได้ครับ !!! ราคาในตั๋วระบุว่าเป็นเวลา มาเลเซีย (เร็วกว่า 1 ชั่วโมง) ก็เลยต้องรีบเเต่ฟ้าไม่สว่าง เพื่อมาสถานีครับ
จองผ่านระบบเเล้ว ก่อนขึ้นรถไฟอย่าลืมพิมพ์ตั๋วมานะครับ
ลักษณะของตั๋ว รถไฟฟ้าด่วน ETS
บรรยากาศตรงด่านจ๊อบพาสปอตของมาเลเซียครับ มาถึงประมาณ 05.30 น. เงี๊ยบเงียบ
เเต่ก็มีเจ้าหน้าที่รอตรวจกระเป๋าสัมภาระ เเละ จ๊อบออกอยู่นะครับ เดินมาอีกนิดก็จะเจอสถานีรถไฟปาดังเบซาร์ครับ
ผมไปถึงสถานีก็เดินทางเชื่อมเพื่อไปรอที่ชานชลาครับ บรรยากาศที่สถานีก็จะเจอร้านอาหารพื้นเมือง ซึ่งเปิดเพลงท้องถิ่นเสียงดังเพื่อไม่ให้พนักงานหลับครับ ใครที่หิวก็สามารถสั่งอาหารทานก่อนรถไฟฟ้ามายังสถานีได้ครับ // สำหรับกลุ่มคนเล็ก ๆ ในภาพคือพนักงานรถไฟฟ้าด่วน ETS ครับที่มารอกินข้าว จุดสังเกตุง่าย ๆ ครับเราจะไม่ได้ยินเสียงสัญญานเรียกขึ้นรถ ดูพนักงานนี้เหละครับ เค้าลุกเมื่อไหร่ก็เดินตามไปเลยครับ
เเละพระเอกของเราก็มาถึงครับ เราก็ดูเลขที่นั่งจากตั๋วที่เราจองเเล้วก็ดูขบวนรถ และไปนั่งประจำที่ได้เลยครับใครจะไปคิดครับ บรรยากาศเช้า ๆ ที่สถานี ดีใช่ย่อยนะ ^^
หลังจากนั้นเราก็ไปที่ตู้ D เเล้วเลือกที่นั่งของเรานั้นคือ 7A และ 7B ครับ
โดยถ้าเราจองผ่านเว็บเราก็สามารถเลือกที่นั่งได้ครับ โดยการจัดเก้าอี้จะเรียงเป็นแถวเดียวกัน
เเต่จำมีจุดตัดสลับทิศทาง ที่เเถว 7 ครับ (ถ้าทุกท่านงง แสดงความคิดเห็นเดียวผมจะวาดภาพให้ดูนะครับ)
ที่สำคัญ รถออกตรงเวลาครับ คือ 07.45 น. (อันนี้ตื่นเต้นที่สุดครับเพราะไม่เคยเจอในบ้านตัวเอง 555)
เนื่องจากรถไฟฟ้าด่วน ETS เป็นรถที่ใหม่ เบาะและความสะอาดจะดีมากเลยครับ ในขบวนจะมีพนักงาน
ดูเเลความสะอาด ที่บริการเราตลอด เวลา โดยเก้าอี้ สามารถปรับได้นิดโหน่ยยย (ถ้าเต็ม 10 ปรับเอนได้ประมาณ 3 เปอร์เซนต์) เเละความนุ่มนวลของที่นั่ง (ถ้าเต็ม 10 ปรับเอนได้ประมาณ 2.5 เปอร์เซนต์) เพราฉนั้น สายงีบ อย่าลืมเอาหมอนรองคอมานะครับ ที่สำคัญ ที่นั่งด้านหน้า สามารถดึงโต๊ะเล็ก ๆ ไว้สำหรับรับประทานอาหารได้ครับ
ตลอดเส้นทาง รถไฟฟ้าด่วน ETS จะมี LCD เล็ก ๆ เปิดภาพยนตร์ให้ดูครับ โดยจะเปิดแฮรี่พอตเตอร์ ตัดสลับ MR.BEAN พร้อมเสียงบรรยากาศทุกสถานีที่รถไฟจอด /// สลามัตดาตัง %^#^%$(* เรื่อย ๆ ตลอดเส้นทางครับ
ปล. หนังที่เปิดจะไม่เปิดเสียงนะครับ จะให้เราอ่านซับ Eng เอาเอง ^^
หลังจากนั้นจะมีพนักงานของ รถไฟฟ้าด่วน ETS เดินมาหาเราเเล้วพูดว่า ติ๊กเก็ต ๆ (สำเนียงมาเลเซีย)
ก็ให้เค้าเช็คตั๋วไป ก็แอบถามเค้านะครับ ว่าสมมุติเราซื้อตั๋วไปลงอิโป เเล้วเราอยากนั่งไปลง KL Sentral ได้ไหม
เค้าบอกว่าได้ครับ ก็ซื้อตั๋วบนรถไฟ เเต่อาจจะต้องเปลี่ยนที่นั่งครับ ครับ เเล้วเราก็นั่งยาว ๆ ไป KL Sentral
ผมคิดว่าหลายคนคงอยากเห็นห้องน้ำบนรถไฟฟ้าด่วน ETS แฮร่ !! ผมถ่ายมาด้วยครับ จะบอกว่าสะอาดมากครับ
ระบบจัดการกลิ่นเเละน้ำ ดีเยี่ยมเลยครับ ไม่ต้องกลัวน้ำหมด ประตูปิดไม่ได้เหมือนที่บ้านผม
ตลอด 2 ข้างทางรถไฟฟ้าด่วน ETS ผมตื่นเต้น ตลอดเส้นทางเลยครับ มันทำให้ผมเกิดความรู้ใหม่ มา 1 อย่างครับ
ผมสงสัยตลอดว่าทำการเดินรถไฟของมาเลเซียนั้น ควบคุมเวลาได้ มันก็เฉลยเมื่อผมมาลองนั่งนิเหละครับ
คือเส้นทางรถไฟ จะเเยกจากตัวเมืองชัดเจน ที่สำคัญ ไม่มีทางถนนตัดผ่านเส้นทางรถไฟ (ที่บ้านผมตัดเกือบทุกเส้น 55)
รถไฟฟ้าด่วน ETS จึงทำเวลาได้ตลอดเส้นทางครับ (รถไฟขับอยู่ที่ความเร็ว 140 กิโลเมตร/ชั่วโมง
รถไฟออกจากสถานีปาดังเบซาร์ คนจะขึ้นจากสถานีนี้ค่อยข้างน้อยนะครับ เเต่เมื่อรถจอดสถานีที่ 2 สถานีที่ 3 ก็จะเริ่มมีคนทยอย ขึ้นมาเต็มรถครับ ก็จะมีพี่ ๆ อินเดีย ขึ้นมาเยอะ ถ้าใครเเพ้น้ำหอมผมเเนะนำเอาผ้าเล็ก ๆ ขึ้นไปด้วยนะครับ เพราะพอคนเริ่มเยอะ บรรยากาศก็คล้าย ๆ กับรถไฟบ้านเราเหมือนกันครับ สำหรับการบริการบนรถไฟฟ้าด่วน ETS ก็จะมีตู้อาหารครับ ใครที่ติดกาเเฟเหมือนผม ก็มีบริการอยู่ที่ 3 เหรียญ รถชาติเหมือนโอเลี้ยงร้อนบ้านเราครับ เเล้วมีบริการอาหารอยู่ที่ 8 เหรียญ (อาหารก็คล้ายไก่ผัดเครื่องเเกงมัสมัน แบบเค็มระดับ 8 ครับ 555 ที่สำคัญเครื่องเทศค่อนข้างเยอะ ถ้าไม่หิวมากเเนะนำไม่กินดีกว่าครับ)
ตู้อาหารจะอยู่ขบวน E ครับ จะอยู่ถัดจากห้องน้ำไปนิดหนึ่ง
นี่เลยครับอาหารที่ผมพูดถึง
เเล้วประมาณ 10.45 เราก็มาถึงสถานี IPOH ใครที่ต้องการเที่ยวอิโป ก็ลงสถานีนี้ เเล้วก็ต่อรถเมล เข้าไปในเมืองอิโป ได้เลยครับ (นั้นคือเป้าหมายของผมในช่วงวันหยุดเดือนกุมภาพันธ์ที่จะถึงครับ) ใครจะลงสถานีนี้ ค่าตั๋วอยู่ที่ 54 Rm ครับ ( x 8.33บาทไทย)
++ ขออภัยที่ต้องให้รอหลายวันนั้นครับ เจอฤทธิ์สัปดาห์เเรกของการทำงาน ต่อกันเลยนะครับ ++
หลังจากนั้น รถไฟก็เข้าสู่ KL ครับ จุดสังเกตุง่าย ๆ นั้นคือ สองข้างทางรถไฟจะมีชุมชนข้างทางรถไฟ บรรยากาศเหมือนนั่งรถไฟเข้าหัวลำโพงเลยครับ พอดูเวลาก็ประมาณ 12.43 น. จะบอกว่าตรงเวลามาก ๆ ครับ
ข้อดีของการเดินทางโดยรถไฟ มายังมาเลเซียคือเราสามารถควบคุมเวลาได้ครับ ก่อนหน้านี้ไม่กี่เดือนผมเคย
รีวิวการเดินทางด้วยรถทัวร์เข้าตัวเมือง Kuala Lumpur ผมติดอยู่บนถนน นานมากครับ
http://pantip.com/topic/34297633 ลักษณะท้องถนนของ Kuala Lumpur นั้น รถติดไม่ต่างไปจาก กรุงเทพมหานครของเราเลยครับ 555 ถึงอย่างไร ใครจะมา วางเเผนการเดินทางให้ดี ๆ นะครับ
12.45 น. เราก็มาถึงสถานี KL Sentral ครับ // เป้าหมายเเรก หา Simcard ก่อนครับ
เมื่อมาถึงสถานี KL Sentral สำหรับคนไหนที่มาครั้งเเรก ตั้งสติให้ดี เพราะสำหรับครั้งเเรกของผม เมื่อมาถึง จะเจอบรรยากาศ ของความวุ่นวายของมนุษยชาติครับ ไม่ว่าจะเป็นในขบวนรถไฟที่ทุกคนลงสถานีนี้เยอะมาก ตั้งสติเเล้วลุยกันต่อเลยครับ
หลังจากนั้น ผมก็ใช้เวลากับการหา Simcard อยู่ซักพักใหญ่เลยครับ ก็เดินตรงไปที่ร้านมือถือที่สถานี ด้วยความที่ภาษาอังกฤษ ไม่เเข็งเเรงเท่าไหร่ ก็เลยบอก น้องที่ร้านมือถือไปว่า เราจะถึงที่มาเลประมาณ 4 วันและต้องการเล่นอินเตอร์เน็ต เด็กที่ร้านก็พูด อะไรก็ไม่รู้ครับ 555 เเล้วก็หยิบซิมมือถือมา ผมก็บอกไปว่า ไม่ต้องเดิมเงินใช่ไหม เค้าก็บอกว่า yes
(ปล.ผมพูดภาษาอังกฤษงูๆปลาๆของผมนะครับ ส่วนใหญ่จะเน้นภาษามือมากกว่า 55) เเล้วเราก็ได้ซิมมาในราคา 40 Rm ซึ่ง เเพงมากกก !!! มันเป็นของ U Net ครับ หลังจากนั้น เราก็หาเส้นทางไปโรงเเรม โรงเเรมเราอยู่เเถว Masjid Jamek ครับ การเดินทางเลยต้องนั่งรถไฟฟ้าสายสีเเดง (Kelana Jaya (Putra) Line) ไปลงสถานี Masjid Jamek ซึ่งก็เดินหลงอยู่นานครับ กว่าจะเจอทางไปรถไฟฟ้า เเล้วก็ซื้อตั๋วเพื่อลงสถานีดังกล่าว (ตู้ขายตั๋วลักษณะจะคล้าย MRT บ้านเราเลยครับ) เเล้วเราก็มุ่งหน้าสู่โรงเเรม
เเล้วเราก็มาถึงโรงเเรมครับ HOTEL 1915 ผมจองผ่าน Agoda ราคาอยู่ที่ประมาณ 80 Rm/คืน ครับ ตอนเเรกใน Agoda ระบุว่า จะอยู่ย่าน China Town ซึ่งงงงงงง !!!! มันไม่จริง ๆ 555 ผมอยู่ในย่านอินเดียครับ กลิ่นธูป สีสันของดอกไม้เต็มไปหมด เเต่ขอบอก เลยครับว่า ใครที่ต้องการไปเที่ยวอย่างสะดวก ราคาประหยัด ที่นี้ค่อนข้างดีเลยครับ หลังจากนั้นก็เชคอิน เข้าห้องพักไปเก็บของ เเล้วลุยกันต่อครับ !!!!!
บรรยากาศในโรงเเรมครับ สำหรับวันเเรกของผมที่วางโปรแกรมไว้ก็จะไป Central Market, China town และตึกแฝดครับ ก็คิดว่าเราจะไปทาน ข้าวเที่ยงที่ Central Market เพราะติดตามจากรีวิวอื่น ๆ ที่นั้นจะมีร้าน The Oldtown White Coffee อยู่เราก็เริ่มเดินทางกันเลยครับ
จากโรงเเรม ผมสามารถเดินไปยัง Central Market ได้เลยครับ โดยใช้เวลาไม่นาน บรรยากาศ 2 ข้างทางก็เต็มได้ด้วย
พี่ ๆ อินเดีย ให้ข้อมูลนิดหนึ่งสำหรับการข้าวถนนที่นั้น ถ้ามีสัญญาน ก่อนสัญญานข้ามหรือรอสัญญานก่อนนครับ เเต่ !!!!
ต้องดูพี่ ๆ มอเตอร์ไซต์ด้วย เพราะพี่ไม่เคยจอดเลย !!! เเละห้ามม !!! ข้ามตามพี่ ๆ อินเดียเค้านะครับ เพราะส่วนใหญ่
มนุษย์เราถ้าเห็นคนอื่นวิ่งข้ามถนน ก็จะคิดว่าช่วงเวลานั้นปลอดภัยเเล้ว ซึ่งมันไม่จริง 555 ดูเองข้ามเองดีที่สุดครับ
ผมชอบประเทศมาเลเซีย ตรงที่ทุกผนังของบ้านเค้า จะมีการวาดภาพ โดยศิลปินท้องถิ่นครับ ทำให้ทุกมุมเมือง สามารถที่จะ ถ่ายรูปได้ ที่สำคัญเอกลักษณ์ของบ้านเมือง เป็นแบบซิโนโปรตุกีส เหมาะเเกการถ่ายแบบชิค ๆ เป็นไหน ๆ 5555
และเราก็มาถึง Central Market ครับ สำหรับ Central Market ก็เหมือนตลาดขายของที่ระลึกพื้นเมืองทั่วไปครับ มีเสื้อผ้า สิ่งทอ ของขายค่อนข้างเยอะ พร้อมทั้งมีร้านอาหาร งานศิลป์ ให้เราได้ช็อปกันนะครับ เอาภาพบรรยากาศมาให้ดูกันครับ
เนื่องจากเราติดกาเเฟมากครับ ถ้าไม่ได้กินค่อนข้างปวดหัวกันเลยทีเดียว เเละใน Central Market ก็มีร้าน The Oldtown White Coffee ที่หลายท่านพูดกรอกหูผมมาตลอดว่ามันอร่อยมาก เราก็ต้องลอง พร้อมทั้งจัดการข้าวเที่ยงที่นี้ เลยครับ /// ผมถ่ายรูปมื้อนี้น้อยมากครับ 555 เป็นเพราะว่าหิว เลยได้กาเเฟมารูปเดียว ///
หลังจากนั้นก็มุ่งหน้าสู่ China Town หลังจากที่อิ่มท้องเราก็เดินทางต่อไป China Town ครับ ด้วยข้อมูลที่ว่า อยู่ถัดจาก Central Market ไม่นานครับ เเล้วเราก็มาถึงย่าน China Town ครับ (ซึ่งเราก็จินตนาการว่าจะมี อาตี๋ อาหมวย เต็มตลาด เเต่ !!! ไม่จริงครับ นิมันตลาดอินเดียชัดๆ) ซึ่ง ซึ่งที่นี้เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการ Shop ของเกรด B ทั้งหลายครับ ทุกอย่างในตลาด (ในความรู้สึกของผมคือ Copy ทั้งหมด) 555 บางทีก็คิดเหมือนกันครับ ถ้าเป็นที่ไทย เเล้วมีตำรวจจับลิขสิทธิ์มา คงสนุกน่าดูเลยหล่ะ
สำหรับ China Town ถ้าผมเเนะนำในการซื้อของคือ เราสามารถต่อรองราคาได้ 50 เปอร์เซนเลยครับ ที่สำคัญ พ่อค้าส่วนใหญ่จะ ฟังภาษาไทยรู้เรื่องครับ ก่อนต่อรองราคา จะเเซวอะไรกันก็ระวังนิดครับ 555 (ผมโดนมาเเล้ว) ที่สำคัญย่าน China Town ยังมี อาหารท้องถิ่นที่ราคาถูกครับ ใครที่ชอบอาหารจีนราคาถูก ที่นี้เป็นที่ที่ผมเเนะนำเลยครับผม
เเละเนื่องจากเป็นวันเเรก เเละต้องการเดินทางต่อไปตึกแฝด เราเลยไม่ได้ซื้ออะไรเลยครับ โดยคิดว่าจะกลับมาอีกครั้งวันสุดท้ายหลังจากนั้น เราก็ต้องการที่จะไปทานข้าวเย็นที่ Suria KLCC กันครับ เราก็เริ่มที่จะเดินเล่นเพื่อไปต่อรถไฟฟ้าสายสีเเดง (Kelana Jaya (Putra) Line) ไปลงสถานี KLCC เเต่ขอเดินต่ออีกนิดเพื่อถ่ายรูปบรรยากาศ 2 ข้างทางครับ
ทั้ง 2 เส้นทางเดินผมตื่นเต้นกับผนังกำเเพงสวย ๆ มากเลยครับ เพราะจะมีมุมให้ผมถ่ายรูปเต็มไปหมด อย่างที่บอกไปครับ
เเล้วเราก็เดินมาถึงบริเวณสถานี Pasar Seni ซึ่งจะมีทางเดินข้ามเเม่น้ำบริเวณนั้น ก็เก็บงานกราฟฟิตี้มาให้ชมกันครับ
เเล้วเราก็เดินทางมาถึงสถานีรถไฟเก่าของกัวลาลัมเปอร์ครับ ซึ่งเป็นสำนักงานใหญ่ของ KTM เเล้วเราก็เดินกลับไปยังสถานี Pasar Seni เพื่อต่อรถไฟไปลงสถานี KLCC ครับ
หลังจากนั้นเราก็มาลงสถานี KLCC ครับ คนเยอะมากครับ เเละสถานที่ก็เตรียมจัดเพื่อรับงานปีใหม่วันพรุ่งนี้
เราก็ได้เก็บภาพบรรยากาศมาให้ชมกันครับ สำหรับมื้อค่ำคืนนั้น เราก็ซื้อ ซูชิ จาก Super Market มากินที่ห้องพัก
อ๋อ ลืมบอกไปครับ ทริปนี้ พวกเรา พามาม่าคัฟมาเยอะมากครับ 55 เพราะมาเลเซียดีเกือบทุกเรื่อง ยกเว้นอาหารพื้นเมือง เน้อออ
วันเเรกของเราจบไปครับ วันที่ 2 มีโปรแกรมเดินทางไป Bukit Bintang เเล้วก็รอเคาท์ดาวน์ที่นั้นยาว ๆ เลยครับ ^^
DAY 2 // วันพฤหัสบดีที่ 31 ธันวาคม 2558
ชิมอาหารร้าน YUTKEE ร้านเก่าเเก่และขึ้นชื่อของ KL ตามรอยเรย์ แมคโดนัลด์ // เที่ยวห้างย่าน Bukit bintang //
เคาท์ดาวน์บริเวณ Bukit bintang
บรรยากาศบริเวณ Lobby โรงเเรมเเละหน้าโรงเเรมครับ
ตี๊ดดดด !!! วันสิ้นปีของเราก็มาถึงครับ โปรแกรมเดินทางวันนี้คือการตามรอยรายการ 48 ชั่วโมงของ เรย์ แมคโดนัลด์ นั้นคือร้านอาหารที่เปิดมานานเเล้วครับ เค้าว่ากันว่าต้องรอคิวเดินรอกันเลยทีเดียว (ซึ่งเป็นเรื่องจริงครับ) ร้านชื่อว่า Yut kee restaurant เป็นร้านอาหารจีนครับ ร้านนี้น่าจะเป็นร้านดังของ KL เลย ที่สำคัญจากที่ผมอ่านรีวิวร้านจากใครหลาย ๆ คนบอกว่า ไมโลเย็นที่นี้อร่อยมาก จะบอกว่า ไม่จริงครับ 555 เพราะเมนูน้ำถ้าสั่งเย็น จะเป็นลักษณะการชงร้อน เเล้วเทลงบนน้ำเเข็ง ซึ่งต้องรอน้ำเเข็งละลายนานมากครับ เมนูน้ำถึงจะเย็น ก็สั่งทีเด็ดของร้าน 2 จานนั้นก็คือ Chicken Chop ค่อยข้างดีเลยครับ อยู่ที่จานละประมาณ 95 Rm หรือประมาณ 90 บาทครับ
บรรยากาศในร้านและเจ้า Chicken Chop ที่บอกว่าเป็นทีเด็ดของร้านครับ
การเดินทางมาร้าน Yut see restaurant ก็ไม่ยากครับ นั่ง KL Monorail มาลงสถานี Medan Tuanku เเล้วเดินเข้าซอยไปอีกนิดครับ บรรยากาศ 2 ข้างทางมีร้านกาเเฟ ร้านอาหารเต็มไปหมดครับ หลังจากทานอาหารเที่ยวเสร็จ ก็เดินออกมาเพื่อเดินทางต่อไปยัง สถานี Bukit bintang เพื่อที่เราจะไปเคาท์ดาวน์ที่นั้นกันในคืนนี้ครับ เเต่ก่อนที่เราจะไปยังสถานี Bukit bintang ก็เเวะไปเดินเล่นที่ห้าง Quill City Mall บริเวณสถานี Medan Tuanku ซึ่งเป็นห้างค่อนข้างใหญ่เลยครับ ที่สำคัญไม่ว่าผมจะไปที่ไหน ผมจะเจอ H&M ทุกที่เลย 555
เเล้วก็ได้เวลาที่เราจะเดินทางไปยัง Bukit bintang ครับ โดย KL Monorail ซึ่งการเดินทางสะดวกมากครับ เเต่ก็มีเหตุการณ์เล็ก ๆ น้อย ๆ เกิดขึ้น หลังจากที่เราขึ้นไปบนรถ KL Monorail ซัก 10 นาที ผมก็สงสัยทำไมรถไม่ออกจากสถานี หลังจากนั้นก็มีเสียงประชาสัมพันธ์เป็นภาษามาเลเซีย อะไรซักอย่าง สรุปเเล้ว รถเสียครับ รอการซ่อม ก็เสียเวลาประมาณ 20 นาที ก็ไปต่อได้ครับ ^^
หลังจากนั้นก็มุ่งหน้าไปยัง Bukit bintang ครับ ก่อนอื่นต้องบอกก่อนเลยว่า ในความคิดก่อนเดินทาง เราจะไปเคาท์ดาวน์ที่ตึกแฝดครับ เเต่ดูจากประสบการณ์เเล้ว กลัวว่าคนจะเยอะ เเระหลายท่าน (เจ้าถิ่น KL) ให้คำเเนะนำว่า Bukit bintang จะดีกว่าก็เลยเลือกมา ฉลองกันที่นี้ ก็จัดเลยครับ หลังจากนั้น เราก็มาถึง Bukit bintang บรรยากาศเหมือนสยาม บ้านเราครับ ที่สำคัญ บริเวณห้าง Pavilion KL ตกเเต่งบรรยากาศรับเทศกาลได้อย่างสวยงามจริง ๆ ครับ ก็เดินเล่นอยู่บริเวณนั้น เพื่อรอเวลา 12.00 น. คืนนี้ครับ
หลังจากนั้น เราก็เดิน Shop เเละทานข้าวเย็นบริเวณ food court ที่ห้าง Pavilion KL ครับ มีร้านอาหารไทยอยู่ ราคาไม่เเพง ก็เลยกินไปซะเยอะเลย สำหรับบริเวณ Bukit bintang มีห้างเยอะเเยะไปหมดครับ ใครชอบ Shop งานนี้สนุกครับ 555
หลังจากนั้น เราก็ไปนั่งจิบเบียรราคาเเพง เพื่อรอเคาท์ดาวน์กันครับ ซึ่งราคาเบียรที่นั้นถ้าใครทราบ ราคาเเพงมากครับ Carlsberg กระป๋องเล็ก ประมาณ 13 Rm หรือประมาณ 130 บาท เราก็นั่งบริเวณลานอาหารของห้าง Pavilion ครับ
ก็สั่งเบียรไป 2 เเก้ว พร้อม โค้กอีก 1 เเก้วเช็คบิลมาอยู่ที่ปรมาณ 89 Rm ครับ บวกภาษีอีกนิดหน่อย ๆ ซึ่งเเพงมากครับ 55 เเต่เพื่อบรรยากาศเราก็ยอม หลังจากนั้นเราก็รอเวลา 12.00 น. ครับ ซึ่งผู้คนทยอยมาที่นี้กันเยอะมากครับ เรามีภาพบรรยากาศมาฝากกันครับ
บรรยากาศที่นี้ ช่วงเวลาเคาท์ดาวน์ เต็มไปด้วยเสียงนกหวีด เสียงเเตร่ลม ที่สำคัญที่ต้องระวัง นั้นคือสเปย์สายรุ้งครับ เพราะทุกคนจะหยิบมาเเล้วฉีดใส่หัวเราอย่างไม่สนใจใยดี 5555 เหนียวไปหมดทั้งตัวครับ เเต่เนื่องจากทริปนี้ เรากลัวคนจะวุ่นวายมากในช่วงเคาท์ดาวน์ครับ ก่อนอื่นขอบอกก่อนเลยครับใครที่ต้องการรอเคาท์ดาวน์ เเล้วกังวรเรื่องรถไฟฟ้า วันนั้น รถไฟฟ้าจะเปิดบริการถึง ตี 2 ครับ ^^ หลังจากนั้น เราก็เคาท์ดาวน์กันที่นี้ครับ ^^
เเล้วเราก็กลับมาถึงโรงเเรม เที่ยงคืน 20 โดยรถไฟฟ้าครับ เคาท์ดาวน์ครั้งนี้เราตื่นเต้นกับบรรยากาศมากเลยครับ เเต่ถ้าเบียรราคาถูกกว่านี้ จะดีมากเลยครับ 5555 สรุปเเล้วประทับใจครับ
DAY 3 // วันศุกร์ที่ 1 มกราคม 2559 (( วันเเรกของปี 2559 ))
ทานอาหารเช้าที่ China Town // เเวะชม Mahkamah Perusahaan และ Gallery Kuala Lumpur // เเวะ Petronas Twin Towers อีกครั้ง
วันเเรกของปี ตื่นสายครับ 555 มื้อเช้าของเราเริ่มเวลา 11.00 น. โดยวันนี้เราคิดว่าจะทานข้าวเช้าที่ China Town ครับ เพราะน่าจะถูกปากเรามากที่สุด เราก็เริ่มเดินจากที่พักไปยัง China Town ครับ โดยวันนี้ต่างจากวันอื่น ๆ เพราะพี่ ๆ อินเดีย เต็มท้องถนนเลยครับ สอบถามจากคนบริเวณนั้นก็เลยทราบว่าวันนี้เป็นวันหยุด เดินไปไหนมาไหน เพื่อนร่วมทางเยอะเลยครับ 555
บรรยากาศ 2 ข้างทางที่มาเลเซีย สะอาดมากครับ ที่สำคัญทุกมุมสามารถถ่ายรูปได้อย่างสวยงามเพราะสายไฟฟ้าลงดิน (ซึ่งแปลกใจทำไมบ้านเราไม่คิดที่จะทำอะไรแบบนี้) เเละทุกตึกถ้ามีพื้นที่ว่าง ก็จะมีงานศิลป์ดี ๆ ตลอด 2 ข้างทาง ถ้ามีเวลามากกว่านี้ จะเดินอีกเยอะเลยครับ เเล้วเราก็มาถึง China Town เมนูมื้อเช้าเเรกของปี 2559 นั้นคือเป็ดย่างครับ 555
อาหารที่นี้รสชาติดีมากครับ ไม่เหมือนกับที่อื่น ๆ ที่เคยกิน ที่สำคัญราคาถือว่าถูกครับ เเต่ที่ทราบกันครับ ย่านชาวจีน สิ่งที่เราหลีกเลี่ยงไม่ได้คือ เสียงดัง ไร้มารยาท (ที่เจอมาคือดึงเก้าอี้เราไปโดยที่ไม่ถามว่าเรานั่งไหม และเเซงคิวครับ เสียงดัง ##น้ำลาย เยอะเเยะ 555) ที่สำคัญทริปนี้ ต้องขอบคุณน้ำพริกนรก ที่ผมพกมาตลอดทริปครับ 555 อย่างที่บอกไปครับ มาเลเซีย ดีหมด ยกเว้นอาหารกับห้องน้ำ เเล้วเราก็เดินต่อในย่านนั้นเพื่อซื้อขนมกินกันครับ
เเล้วเราก็เดินทางต่อครับ ไปที่ Gallery Kuala Lumpur ครับ (ตามรอย 48 ชั่วโมงอีกครั้ง) มาถึงก็จะเจอนักท่องเที่ยวรอคิวถ่ายรูปกับ โลโก้ Gallery Kuala Lumpur ครับ
Kuala Lumpur City Gallery เป็นเหมือนสถาที่จัดแสดงโมเดลจำลองเมือง KL ภายในไม่ใหญ่มาก เราสามารถเรียนรู้ประวัติของอาคารหลายๆอาคารในบริเวณจตุรัสเมอเดก้า Merdeka Square ไฮไลท์ของที่นี่คือห้องแสดงโมเดลจำลองของเมือง KL ที่มีการแสดง Multimedia ประกอบแสงสีเสียงเป็นฉากหลัง ใช้เพียวเวลาสั้นก็สื่อให้เข้าใจถึงมาเลเซียในอดีตปัจจุบันและอนาคต บัตรเข้าชมราคา 5 ริงกิต สามารถนำไปใช้แทนเงินสดในส่วนร้านขายของที่ระลึกและร้านกาแฟครับ
ห้ามพลาดครับ ที่นี้ดีมากจริง ๆ เดินต่อมาอีกนิดก็จะเจอจัสตุรัสเมอร์เดก้า.
เป็นอีกสถานที่หนึ่งที่ใครชอบถ่ายเเนว Life ก็จะเห็นผู้คนจำนวนมากทั้งนั่งเล่นนอนเล่นเต็มไปหมด ^^ หลังจากนั้นเราก็เดินทางต่อไปยังสถานีรถไฟฟ้าเพื่อเดินทางต่อยังตึกแฝดอีกครั้งเพื่อซื้อของเเละชมบรรยากาศก่อนกลับไทยในวันพรุ่งนี้ครับ
DAY 4 // วันเสาร์ที่ 2 มกราคม 2559
[[ เดินทางไปสนามบิน KLIA2 // เดินทางกลับหาดใหญ่ ]]
ก่อนอื่นต้องบอกก่อนครับว่า ตอนเเรกอยากจะกลับโดยรถไฟครับ เเต่ทุกขบวน ทุกรอบเต็มหมดเลยครับ ก็เลยลองจองตั๋ว AirAsia ดู เเล้วเราก็ได้ตั๋วเครื่องบินที่ถูกกว่าตั๋วรถไฟครับ 555 ดวงดีมาก ก็เลยจอง ทริปหน้าสัญญาว่าจะทั้งไปทั้งกลับเลยครับ เราเริ่มเก็บของออกจากโรงเเรมประมาณ 11 โมงครับ เนื่องจากเราต้องถึงสนามบินก่อนบ่าย 3 เลยต้องไปทานอาหารที่สนามบินเลย ตอนแรกก็หาเส้นทางการเดินทางไปยังสนามบิน จากการอ่านรีวิวก็ทำให้เราทราบว่า อย่าเสี่ยง กับการนั่งรถเลย เพราะรถจะติดมากหารถไฟดีกว่า ก็มีรถไฟ KLIA Ekspres ซึ่งเป็นเส้นทางตรงไปสนามบินได้เลย โดยต้องไปขึ้นรถไฟที่ KL Sentral ครับ เเต่เมื่อเราเช็คราคาเเล้ว เเพงมากกก !!! นั้นคือคนละ 55 Km หรือประมาณ 550 บาท ก็เลยลองอ่านรีวิวใน Pantip ดูเเล้วก็ต้องขอบคุณจริง ๆ ครับ เพราะเรามีวิธีทำให้มันถูกลงโดยการนั่ง KLIA Transit ทำให้เราประหยัดไปประมาณ 250 x 2 ครับ
เรานั่ง KLIA Transit ไปแวะที่ Putrajaya ก่อนครับ เเล้วค่อยต่อจาก Putrajaya ไป KLIA2 โดยเมื่อลงสถานีก็ต้องรอขบวนต่อไปอีกประมาณ 30 นาที (วิธีนี้เหมาะสำหรับคนไม่รีบนะครับ ถ้ารีบก็เเนะนำ KLIA Ekspres ยาว ๆ จะดีกว่าครับ) ราคาอยู่ที่ 9.4+14 RM x 2 ก็คนละประมาณ 23.4 Rm ถูกกว่า 31.6 Rm ซึ่งเยอะมาก ลองดูนะครับ เพราะรถไฟที่นี้ ตรงต่อเวลามาก ๆ ครับ
เเล้วเราก็มาถึงสถานี Putrajaya จริง ๆ ถ้าเรามีเวลา เราก็สามารถต่อรถบัสไปเที่ยวได้ที่สถานีนี้ครับ เเละมีเวลาอีกประมาณ 30 นาทีที่เราจะรอต่อขบวนก็เลยเลือกที่จะเดินเล่นบริเวณสถานี Putrajaya ก็เเวะกินโดนัท พร้อมกาเเฟ (จืดมาก) ก่อนจะรอขึ้นรถไฟต่อไป KLIA2 ครับ
หลังจากนั้นเราก็มาถึง KLIA2 ครับ มีเวลาอีกเยอะมากสำหรับการรอขึ้นเครื่อง เลยเเวะหาอะไรทาน ก็เจอร้านนี้เลยครับ รอกินมานานสำหรับ Nando's ซึ่งผมคิดว่าถ้ามาเปิดที่ไทย (ไม่ทราบว่าเปิดเเล้วยังนะครับ 555) น่าจะดี ก็เข้าไปสั่งอาหารทานกันครับ
รสชาติดีเลยครับ เเต่เนื่องจากเมนูมันงง ๆ ก็เลยสั่งไปชิ้นเดียวครับ หลังจากนั้นก็มีเวลาเดินเล่นบริเวณสนามบิน ก็มีร้านรองเท้าที่ทรมานจิตใจมาก เเต่ก็ต้องงดไปเพราะปีนี้หลายคู่มากเเล้วครับ หลังจากนั้นเราก็เดินไปเช็คอิน เพื่อรอขึ้นเครื่องครับ บริเวณสนามบินประดับไปด้วยโฆษณาภาพยนตร์เรื่องสนูปปี้ (ซึ่งแฟนผมชอบมาก) 555 เลยถ่ายรูปไปเยอะเลยครับ
ก่อนจ๊อบพาสปอตก็มีเวลาเดินเล่นบริเวณข้าง ๆ เเละก็เก็บบรรยากาศมาให้ชมกันครับ ผมชอบที่นี้นะ เพราะมีพื้นที่ให้ผมยืนดูเครื่องบินนอกสถานที่ด้วยเเล้วก็รอจ๊อบพาสปอตครับครับ ซึ่งค่อนข้างนาน เเระก็เจอพี่ ๆ ชาวจีนโวยวายเเล้วก็เเซงคิว จนผมอยากทราบเหมือนกันครับว่า เค้าเป็นแบบนี้กันทุกคนเหรอ เเต่ก็ไม่ได้โวยอะไรเพราะนิสัยยิ้มอยู่เเล้ว
หลังจากนั้นเราเดินทางมาถึงท่าอากาศยานหาดใหญ่ จบทริปเคาท์ดาวน์ปีใหม่ครับ
การเดินทางที่ KL สะดวกมากครับ เเทบจะมีรถไฟไปถึงทุกสถานที่ เเละที่สำคัญสำหรับรถไฟจากหาดใหญ่ก็สะดวกมากด้วยครับ ใครอยากสอบถามอะไรเพิ่มเติม ถ้าผมช่วยได้ผมยินดีครับ และ อาหารทุกมื้อ ส่วนใหญ่จะบวกเพิ่มอีก 7 เปอร์เซนต์ครับ ถ้ากินในห้างก็ค่อนข้างเเพงอยู่เหมือนกัน วางแผนการใช้เงินดี ๆ นะครับ
สุดท้ายนี้ ขอขอบคุณคนข้างกายที่ร่วมเดินทางในครั้งนี้ครับ อุ่นใจทุกครั้ง
Thanks : 2 หนุ่มจากทริปที่เเล้วที่มาส่งเเต่เช้า Nat Natjadee & Wanicbut Wattanamatiphotขอบคุณทุกท่านที่ติดตามผลงานผมนะครับ ถ้าเป็นส่วนหนึ่งที่ช่วยให้เป็นประโยชน์ของการเดินทางของคุณผมดีใจมากครับ
ทริปหน้าจะไปไหน รอติดตามนะครับ สำหรับผลงานเก่า ๆ ของผมสามารถเข้าไปอ่านได้นะครับตามลิงค์
[CR]ชิค ๆ กับรถไฟสายหาดใหญ่-ปาดังเบซาร์ [มาเลเซีย]
https://th.readme.me/p/1739
สรุปค่าใช้จ่ายนะครับ
ค่ารถไฟปาดังเบซาร์ - KL = 1439.53 บาท
ค่าโรงเเรม Hotel1915 3 คืน = 2937.78 บาท
ค่าเครื่องบินKL - หาดใหญ่ = 1686.58 บาท
ค่าใช้จ่าย 4 วัน 3 คืน 2 คนประมาณ = 7000.00 บาท
ทั้งหมดประมาณ 13,000 บาท เเต่มันสามารถเที่ยวให้ถูกกว่านี้ได้ครับเเต่อยากจะลดเรื่องค่าโรงเเรม ^^
ขอบคุณทุกท่านที่อ่านถึงตรงนี้ครับ ^^ พบกันใหม่ทริปหน้าครับ
Isarapab Chumruksa
วันเสาร์ที่ 16 มกราคม พ.ศ. 2559 เวลา 22.20 น.