ทริปนี้เดินทาง 5-8 ก.พ.60 ลากยาวขึ้นเหนือ สู่แดนรัฐฉาน วันนี้เราจะข้ามประเทศกันอีกครั้ง
จากกทม.-เชียงใหม่-แม่ฮ่องสอน-ดอยไตแลง ระยะทางรวม 1847 km

หลังจากจบทริปลาวไป ในใจก็ค้างคา มีอาการคัน อยากหาทริปมันส์ๆลุยอีกสักที
จึงเกิดทริปนี้ขึ้น!! ไอ้เราก็ใจง่าย ไม่หาข้อมูลไรเลย ตอบตกลงทันที
พึ่งมารู้ว่าทริปนี้ ถนนหนทางก็ใช่ย่อย แต่เราจะค่อยๆฝอยไปทีละเสต็ปก่อน

วันแรก นัดเจอกันที่ ปตท.บางปะหัน 9 โมง ด้วยความที่เราเป็นคนตรง ก็มาก่อนเวลา 7.50 ก็มาถึงแล้ว
แต่ฝ่ายคนชวนกว่าจะโผล่มา ราวๆ 9 โมงครึ่ง - -" จะถึงเชียงใหม่กี่โมงกันละเนี่ย ลุยๆๆๆ

ระหว่างทาง กทม.-เชียงใหม่ รอบนี้ถือว่าทำเวลาได้ดี ออก 10 โมง ถึง 2 ทุ่ม
ใช้เวลาประมาณ 10 ชม. (พักรวมๆไม่เกิน 3 ชม.) มาถึงก็สุ่มหาของกินก่อน
อากาศหนาวๆต้องหาอะไรอุ่นๆกินให้อิ่มท้องและสายตา....

เเมนูนี้ชื่อว่า "หม่าล่า" ลักษณะเหมือนหมูปิ้งเสียบไม้ แต่เด็ดตรงที่ทาน้ำมันงาชั้นดี
และโรยเครื่องเทศนานาชนิด ให้รสชาติ เผ็ดแบบแสบๆปลายลิ้น
หลังหนังท้องตึง หนังตาเริ่มหย่อน ก็มองหาที่พักที่ไม่ไกลจากระแวกนั้นมาก พรุ่งนี้ตื่นเช้ามาลุยรัฐฉาน


ตื่นแต่เช้าตรู่ 8 โมง วันนี้เราจะออกเดินทางสู่ดอยไตแลง
โดยได้ผู้ร่วมทางพิเศษ มา 2 คนต่างวัย น้องต่อ (21) และลุงซ้ง (65)
เมื่อมากันครบ ก็ได้เวลาลุย โดยเราใช้เส้นทาง เชียงใหม่-แม่ริม 107 มุ่งสู่ ถนน 1095 แม่มาลัย-ปาย

ระยะทาง 200 กว่ากิโล บนทางเขาลาดชัน ฝ่าฟันอุปสรรคหลากหลายโค้ง

เมื่อมาถึงด่านตรวจก่อนเข้าปาย พี่ทหารแวะทักทายและแนะนำให้จอดพักก่อนด้วยความหวังดี

แวะถ่ายคู่เซเลปคนดัง คุยอะไรก็ไม่ตอบสักคำ เฮ้อ...

หลังจากมาถึงปาย เราก็แวะพักกินข้าวกันก่อน เหลือกัน 3 หน่อ
พราะลุงซ้งแกขับไปรออยู่ที่ ปางมะผ้า เรียบร้อยแล้ว (ซีซีน้อย แต่แซงทุกคัน)


ก่อนจะข้ามไปอีกฝั่ง เราต้องแวะมาทำเอกสารที่บ้านหลังหนึ่ง ซึ่งจะอยู่ช่วงโค้งที่จะไปวัดถ้ำลอด
(ซอยตรงป้ายเหลืองๆเข้าไปนิดเดียวเจอบ้านไม้เก่าๆ)

ด้านในจะมีจะมีเจ้าหน้าที่ SSA คอยแนะนำว่าต้องทำอย่างไรบ้าง
โดยเราต้องยื่นบัตรประชาชน ก็จะได้เอกสาร ให้เขียนชื่อ-นามสกุล-อายุ รุ่นรถที่ใช้ข้าม ทะเบียน

(เอกสารที่ใช้แต่ละปีไม่เหมือนกันดังนั้นควรเตรียมสำเนาเผื่อไว้ให้ครบดีกว่า)
เมื่อเขียนข้อมูลครบ ก็ยื่นให้เจ้าหน้าที่ประทับตรา ก็ถือว่าเสร็จสมบูรณ์
หลังจากได้เอกสารมาพร้อมแล้วก็ได้เวลาเดินทางต่อจุดหมายอยู่ไม่ไกล


ระหว่างทางก็ต้องผ่าน ร้านจ่าโบ ในตำนาน รอบนี้แอดมินมาเป็นครั้งที่ 2 แล้ว
แต่ด้วยที่เราต้องเร่งทำเวลา เลยได้แค่แวะถ่ายรูป เดี๋ยวขากลับจะแวะมากินกัน

หนทางนั้นบอกเลยไม่ง่ายอย่างที่คิด เส้นทางจากนี้ไป ต้องผ่านด่านทหารตรวจถึง 5 ด่าน
โดยถนนจะค่อยๆเปลี่ยนไป จากทางลาดยาวดีๆค่อยๆเปลี่ยนเป็นทรายฝุ่นแป้งหนาๆ ร่องหิน ร่องดิน
ออกตัวก่อนว่า แอดมินไม่ใช่สายนี้เลย โดนหลอกมาเชือดอีกแล้วสิเรา
ที่เห็นในภาพคือล้มกลิ้งมาแล้วทีนึง ทริคการขึ้นที่นี่ แนะนำใส่เกียร์ 1 รอบไม่เกิน 4000 ไปได้หมด


ช่วงนี้จอดรอกระบะหลายคันที่ติดแหง๊กขึ้นไม่ได้อยู่นานเหมือนกัน

ฝุ่นทรายหนามาก แค่เดินยังลำบากเลย ใครไปไม่ไหวก็ต้องค่อยๆเข็นไป

ตอนแรกก็สงสัย เห็นสายวิบากมากันหลายคัน ตอนนี้เก็ทละ...
ระยะทางไม่ไกล มีหลายๆคันล้มลุกคลุกคลานอยู่บ้าง เราใช้เวลาหลายชม ในที่สุดก็มาถึงซะที
"ดอยไตแลง" สูงสุดแดนรัฐฉาน


เรามาถึงลานกว้างหน้าโรงเรียน ก็จะเจอนักเที่ยวหลากหลายมากางเต็นท์กัน
มีทั้งมอไซค์ รถ กระบะ 4wd off-road มากันเพียบ จึงตั้งหลักปักฐานกางเต็นท์กันตรงนี้แหละ


อาหารแถวนี้ ก็จะมี ก๋วยเตี๋ยว ตามสั่ง อื่นๆตามปกติ แต่สังเกตว่าคนที่นี่จะนิยมใส่ผักกระหล่ำ
ลงไปด้วยเหมือนแถบภาคเหนือบ้านเรา แม่ค้าที่นี่พูดไทยได้นะ แต่ก็มีบางร้านฟังยากอยู่เหมือนกัน



ณ ตอนแรก กางเต็นท์อยู่ด้านบน แต่เจอกลุ่มบุคคลที่ตระเตรียมเครื่องเสียงพร้อมหน้าจอชุดใหญ่
เราก็เข้าใจว่าจะฉายหนังกางแปลน ที่ไหนได้ เพลงกระหึ่มยาวไปทั้งคืน
เลยขอลี้ภัยมานอนด้านล่างดีกว่า

สำหรับห้องน้ำจะอยู่ที่โรงเรียนด้านบน เนื่องจากคนมากันเยอะจะเข้าทีก็คิวยาวไป
ถึงทั้งตัวนี่มีแต่ฝุ่นเต็มตัว แต่ก็ยอมตัดใจ ซักแห้งนอนไปเลยละกัน

อยากเห็นทางโหดขนาดไหน ชมคลิปได้เลยจ้า

วันที่ 3 รีบจัดแจงเก็บของให้เรียร้อยเพื่อความสะดวก
วันนี้ถือเราจะมาชมพิธีสวนสนามฉลองวันชาติไทยใหญ่ ของครบรอบ 70ปี รัฐฉาน


ภายในงานก็จะมีการสวนสนามให้ได้ชมกัน


นอกนั้นก็จะมีแสดงโชว์เพื่อรำลึกถึงอดีต


แสดงทักษะการต่อสู้ระยะประชิด


สาวๆแต่งตัวชุดสีสันสดใสมาร่วมงาน


นอกจากนี้ก็จะมีพิพิธภัณฑ์ที่รวบรวมรูปถ่ายจากประวัติศาสตร์ไตยไว้ด้วย





หลังเยี่ยมชมงานได้สักพัก ก็ได้เวลาเดินทางกลับ แยกย้ายกันตั้งแต่ปากทางออกถ้ำแม่ละนา
เหลือ 2 หน่อต้องเร่งทำเวลา เพราะแพลนกันว่าคงวิ่งลากยาวจากที่นี่ไปถึงเมืองตากเลย โหดไปไหม!!

แต่ด้วยถนนหนทางที่ต้องเจอทั้งทางฝุ่นหนาเตอะ เมื่อพ้นมาก็เจอทางโค้งบนเขาอีกนับร้อย
แถมด้วยสภาพที่ไม่ได้อาบน้ำมาร่วมสองวัน และการวิ่งช่วงกลางคืนบนถนนที่ค่อนข้างมืดมิด
ประกอบกับอากาศทีึ่เย็นยะเยือก แถมเหนือ่ยมา่ทั้งวัน จึงตัดสินใจว่าแวะพักที่ลำปางดีกว่า
จึงได้มาพักที่โรงแรม นครเถิน ในราคาคืนละ 400 บาท หลังอาบน้ำเรียบร้อย หัวถึงหมอน ก็หลับเป็นตายกันเลยทีเดียว


วันที่ 4 วันนี้ได้ฤกษ์เดินทางกลับ กทม ซะที วันนี้พอมีเวลา เลยพาเที่ยวเมืองตากซะหน่อย
ขับจากที่พักมาไม่ไกล เราก็แวะมาจอดถ่ายรูปริมฝั่งแม่น้ำปิงกับวิวงามๆ

สำหรับผลการรีวิวการกินน้ำมันของทั้งสองรุ่นนี้

GPX CR5 และ GPX CR5 EFI

โดย Freeman ได้ขับเป็นตัว GPX CR5 (คาร์บู)
น้ำหนักคนขับ 75 kg + ติดปี๊บ 3 ใบ สัมภาระไม่เกิน 20 kg รวมน้ำหนักราวๆ 100 kg

และทางพี่ Omega ได้ขับเป็นตัว GPX CR5 EFI (หัวฉีด)
น้ำหนักคนขับราวๆ 100 kg
ในระยะทางพอๆกัน น้ำหนักคนขับ+สัมภาระ ใกล้เคียงกัน พบว่า

ทดสอบระยะทาง 180 km ทั้งทางดิน ทางดำ ทางเขา ทางราบ
GPX CR5 (คาร์บู) ใช้น้ำมันประมาณ 9 ลิตร

GPX CR5 EFI (หัวฉีด) ใช้น้ำมันประมาณ 7 ลิตร
ต่างกันราวๆ 2 ลิตร ซึ่งถือว่าไม่น้อยเลย
ส่วนปัญหาอื่นๆที่พบคือ เรื่องโซ่หย่อน ซึ่งก่อนหน้านี้เคยได้ลองเอาตัว GPX CR5 (คาร์บู)

ไปทริปเหนือยาวๆมาก็เจอปัญหานี้เหมือนกัน
แต่ก็ถือว่าทำได้ดีเลยทีเดียวสำหรับการเดินทางสายฝุ่น ที่ถนนหนทางลำบากขนาดนี้

ออกตัวก่อนครับว่าไม่ใช่สายนี้ แต่บอกได้เลยว่าคันนี้เอาอยู่จริงๆ
ขอจบการรีวิวแก่เพียงเท่านี้ครับ^^







Freeman Rider

 วันจันทร์ที่ 30 กรกฎาคม พ.ศ. 2561 เวลา 15.43 น.

ความคิดเห็น