วันนี้เป็นวันที่พวกเราเตรียมพร้อมสำหรับการเข้าวังค่ะ ใช่แล้วค่ะ เราจะไปเที่ยวพระราชวังเครมลิน (Moscow Kremlin : Моско́вский Кремль ) กัน เนื่องจากเรายังไม่มีตั๋วก็ต้องไปซื้อตั๋วกันก่อน สถานีรถไฟใต้ดินที่ใกล้จุดจำหน่ายตั๋ว (Ticket Office) ที่บริเวณ Alexander Garden ที่สุดก็คือ Alexandrovsky Sad (Алекса́ндровский сад ) จุดนี้จะเป็นทั้งสถานที่ที่รับจองตั๋วล่วงหน้า แลกตั๋ว และ ขายตั๋วในวันที่จะชม สามารถซื้อตั๋วได้ทุกประเภทไม่ว่าอยากจะชมอะไรรวมทั้ง Diamond Fund (Алмазный фонд) ด้วย ในช่วงที่เรามาถือเป็นช่วงฤดูร้อน เขาจะเปิดทำการตั้งแต่เวลา 09.00 – 16.30 น. เราเดินทางมาถึงในเวลา 09.30 น. ค่ะ

จุดจำหน่ายตั๋วเข้าชม Moscow Kremlin

เมื่อมาถึงเราก็กระจายกำลังกันในการไปจองตั๋วโดยแถวที่ยาวที่สุดจะเป็นอะไรไปไม่ได้นอกจากThe Armoury Chamber (Оружейная палата) เพราะระบุรอบเข้าชม มีทั้งหมด 4 รอบต่อวัน (10.00 am, 12.00 pm, 2.30 pm, 4.30 pm) จำกัดรอบละ 100 คนเท่านั้นอีกต่างหาก หน้าเคาน์เตอร์ระหว่างรอซื้อตั๋วจะมีตัวเลขให้เห็นเลยว่ารอบนั้นๆ เหลืออีกกี่คน คือยืนต่อแถวไปก็ลุ้นไปว่าจะถึงเราหรือไม่ เพราะบางทียืนต่ออยู่คนเดียวแต่ซื้อทีเป็นสิบใบเลยทีเดียว The Armoury Chamber ค่าเข้าชมคนละ 700 RUB ตอนที่เราไปถึงนั่นเป็นรอบบ่ายสองโมงครึ่งแล้วค่ะ

ช่องที่ 9 และ 10 เป็นช่องที่ต้องลุ้นที่สุดแล้ว

อีกแถวหนึ่งสำหรับการซื้อตั๋วเข้าชม Architectural complex of the cathedral square ซึ่งจะสามารถเข้าชมโบสถ์ต่างๆ ที่อยู่ภายในพระราชวังเครมลิน ได้แก่ The Assumption Cathedral (Успенский Собор) The Archangel Cathedral (Архангельский собор) The AnnuciationCathedral (Благовещенский собор) The Church of Laying our Lady’s Holy Robe (Церковь Ризоположения) The Patriarch’s Palace with the twelve Apostles’ Church (церковь Двенадцати Апостолов) ซึ่งกลุ่มโบสถ์เหล่านี้ไม่ระบุรอบเข้าชม จะเข้าชมโบสถ์ใดก็แค่แสดงตั๋วเท่านั้น แถวตรงจุดนี้จึงสั้นค่ะ ค่าตั๋วคนละ 500 RUB แต่การเข้าชมห้ามถ่ายภาพด้านในโดยเด็ดขาด

ส่วนอีกแถวถัดไปก็คือตั๋วสำหรับการเข้าชม Diamond Fund หรือพิพิธภัณฑ์เครื่องเพชร สิ่งของมีค่าต่างๆ ราคาคนละ 500 RUB ซึ่งก็มีเป็นรอบๆ เหมือนกัน ซึ่งเราสามารถแจ้งเจ้าหน้าที่ได้ค่ะว่าจะเอารอบไหนเพื่อไม่ให้ชนกับรอบของ The Armoury Chamber ซึ่งจริงๆ แล้วทางเข้าเดียวกัน แต่ด้านในไปคนละทางเท่านั้นเองค่ะ สำหรับตั๋วเข้าชม Ivan the Great Bell- tower (Колокольня Ивана Великого) และ Museum of history of Kremlin Architecture ที่อยู่ภายใน tower นั้นก็มีรอบเข้าชมเหมือนกัน แต่พวกเราไม่สนใจจะชมก็เลยไม่ได้เก็บรายละเอียดอันนี้มาเลยค่ะ

หลังจากกระจายกำลังกันไปทำหน้าที่ สุดท้ายที่ต้องไปช่วยลุ้นกันสุดๆ ก็คือ The Armoury Chamber เพราะรอบบ่ายสองโมงครึ่งที่เรายืนต่อแถวอยู่และอีกประมาณสี่คิวก็จะถึง หมดลงต่อหน้าต่อตา นั่นหมายความว่า รอบต่อไปที่เราจะดูได้นั่นคือ 16.30 น. OMG !!! นั่นแปลว่าเราต้องใช้ชีวิตอยู่ที่นี่กันทั้งวันเลย ถ้าคิดจะไปไหนก็ต้องวนกลับมาอีก แต่ทำไงได้ มารัสเซียไม่ได้มาได้บ่อยๆ บินมาแล้วก็ต้องเที่ยวไป

ได้ตั๋วรอบสุดท้ายของวันกันเลยทีเดียว

หลังจากมีบัตรเข้าสถานที่ต่างๆ ครบตามต้องการพวกเราก็เดินออกไปที่ด้านนอกเพื่อไปต่อแถวเข้าชมพระราชวังกัน ทางเข้าชมจะอยู่ตรง Troitskaya Tower (Троицкая башня) แถวค่อนข้างยาวพอควร แต่จริงๆ แล้วที่ยาวๆ นั้นเป็นพวกกรุ๊ปทัวร์ค่ะ เรามากันเองเดินชิดซ้ายไปเลยไปจะเป็นพวกมากันเอง พวกเราก็เลยเดินดิ่งกันไปเลย พอไปถึงก็ยื่นตั๋วส่งให้คุณลุงเจ้าหน้าที่ที่ประตูทางขึ้นบันได แต่โดนเบรกเสียก่อน โดยมีเสียงว่า “Big Bag, Big Bag!!” ใช่เลย รีบกันจนลืมสนิทว่าต้องฝากสัมภาระ คุณลุงพูดเสียงดังไม่พอ มือก็ชี้ไปด้านหลังที่ใต้บันได ตรงนั้นเป็นห้องฝากสัมภาระค่ะ เราจะต้องเอากระเป๋าสัมภาระขนาดใหญ่ไปฝากไว้ ส่วนกล้องและเสื้อหนาวสามารถนำเข้าไปได้ ไม่เสียค่าบริการอะไรทั้งสิ้นค่ะ จากนั้นเราก็เอาตั๋วมายื่นใหม่ ก็จะได้ขึ้นไปยังด้านบนซึ่งจุดนี้จะมีเครื่องสแกนกระเป๋า สัมภาระและอาวุธหลายช่อง ถือว่าค่อนข้างเร็วพอสมควร เพราะจากที่อ่านมา หากเข้าอีกทางเข้าหนึ่งคือ Borovitskaya Tower (Боровицкая башня) จะมีจุดสแกนน้อยกว่า แถวจะยาวกว่า เพียงประเดี๋ยวเดียวเราก็เข้ามาด้านในพร้อมที่จะเดินเข้าสู่เขต Moscow Kremlin กันแล้ว

เมื่อมีตั๋วแล้วเดินมาขึ้นมาที่จุดตรวจตั๋วแล้วเดินขึ้นบันไดไปสแกนที่จุดนี้ ส่วนกระเป๋าฝากห้องใต้บันไดนี้

จริงๆ แล้ว Kremlin (Кремль) ไม่ใช่พระราชวังค่ะ ในภาษารัสเซียแปลว่า ป้อมปราการ ภายในป้อมปราการประกอบไปด้วยพระราชวัง ศาสนสถาน และที่ทำการของรัฐบาล ดังนั้น Moscow Kremlin ก็เป็นป้อมปราการของเมืองมอสโคว์นั่นเอง ซึ่งก่อนการย้ายเมืองหลวงจากที่นี่ไปที่เซนต์ปีเตอร์สเบิร์กในสมัยพระเจ้าปีเตอร์มหาราช Moscow Kremlin เคยเป็นที่ประทับของกษัตริย์มานานกว่า 300 ปี แต่ภายหลังเมื่อมีการปฏิวัติรัสเซียก็ได้ย้ายเมืองหลวงจากเซนต์ปีเตอร์สเบิร์กกลับมาที่มอสโคว์อีกครั้ง ปัจจุบัน Moscow Kremlin ใช้เป็นที่ทำการของประธานาธิบดี ที่รับรองแขกระดับประมุขของประเทศ มีพื้นที่ทั้งหมด 28 เฮกตาร์ มีหอคอย 19 แห่ง แนวกำแพงยาว 2,235 เมตร สถานที่แห่งนี้ได้รับการอนุรักษ์ไว้โดย UNESCO เพราะเป็นสถานที่ที่รวมศิลปวัฒนธรรมต่างๆ ของรัสเซียไว้มากมายหลายอย่างที่มีอายุยาวนานหลายร้อยปี Moscow Kremlin ตั้งอยู่บนเนินเขา Borovitskaya ซึ่งมีตลิ่งติดอยู่กับลำน้ำ Moskva กับลำน้ำ Neglinnaya ที่เชื่อมติดกัน เนินเขานี้ปัจจุบันเรียกกันสั้นๆ ว่า เนินเขา Kremlin

ทางเข้าหลักของ Moscow Kremlin คือทางเข้าที่ Troitskaya Tower ซึ่งเป็นหอคอยที่สูงที่สุดของที่นี่ และถือเป็นป้อมปราการหลักของวัง แต่ก่อนจะมีนาฬิกาอยู่บนยอดของหอคอย แต่เมื่อเกิดการรุกรานของชาวสวีเดน จึงได้เอาออกและเปลี่ยนเป็นติดตั้งปืนใหญ่ทดแทน เมื่อยกข้อมือดูนาฬิกาทำให้เห็นว่าอีกเพียงสิบนาทีจะถึงรอบเข้าชม Diamond Fund ของพวกเราแล้ว ว่าแต่จะเดินไปทางไหนกันล่ะ ตอนทำการบ้านมาก็เหมือนจะไม่งง แต่พอเข้ามาในสถานที่จริง ทำไมมันงงแบบนี้

Troitskaya Tower

จริงๆ แล้วเมื่อเราดูจากแผนที่มีถนนเส้นหนึ่งที่สามารถเดินทะลุไปยัง The Armoury Chamber และ Diamond Fund ได้เลย แต่เมื่อเราเริ่มก้าวเดินเจอพี่ทหารของท่านปูตินเป่านกหวีดปรี๊ดๆ ใส่ทันที แล้วทำมือไม้บอกให้เราเดินอ้อมไป สรุปว่าเส้นทางนี้เป็นเส้นทางต้องห้าม ผ่านไม่ได้ นั่นหมายความว่า เราจะต้องกึ่งเดินกึ่งวิ่งไปทางจัตุรัสวิหารเพื่อไปออกยังถนนอีกฝั่งหนึ่งที่เข้ามาจากทางประตูฝั่ง Borovitskaya Tower ย้อนกลับมาจนถึงถนนเส้นที่ห้ามผ่าน จะมีเจ้าหน้าที่ยืนอยู่คนหนึ่ง รอตรวจบัตรคนผ่านเข้า-ออก ซึ่งทางเข้าสู่ห้องชม Diamond Fund และ Armoury Chamber โดยไม่ผ่านจุดจำหน่ายตั๋วสามารถเข้าทางนี้ได้อีกทางหนึ่ง ซึ่งตรงจุดนี้มีคนยืนต่อแถวอยู่สามสี่คน และที่มือของพวกเขาเป็นรอบเข้าชมเวลา 10.30 น. หมายความว่าคนที่ชมรอบเดียวกับเราเขาเข้ากันไปหมดแล้ว เราทำได้แค่รอรอบต่อไปค่ะ

ประตูฝั่ง Borovitskaya Tower

เมื่อยื่นรอไปได้สักพักเจ้าหน้าที่ก็ปล่อยให้พวกเราเข้าไป เมื่อเข้าไปด้านในเขาจะให้เราไปฝากเสื้อหนาวตัวใหญ่ที่ห้องรับฝากสัมภาระด้านล่างกันก่อน ส่วนกล้องถือเข้าไปได้แต่ห้ามถ่ายภาพโดยเด็ดขาด เมื่อฝากสัมภาระเรียบร้อยเขาจะขอตรวจบัตร สแกนอาวุธ จากนั้นก็จะให้เราไปยืนหน้าประตูห้องที่ปิดทึบห้องหนึ่งแล้วจึงเปิดให้เราเข้าไป โดยมีเจ้าหน้าที่เดินตามดูเราห่างๆ ตลอดการเดินชม ที่นี่เป็นที่รวบรวมเพชรและอัญมณีล้ำค่าต่างๆ ห้องแรกเป็นห้องที่รวบรวมเพชรและอัญมณีต่างๆ ที่รัสเซียรวบรวมอยู่ ส่วนอีกห้องเป็นเครื่องประดับเพชรต่างๆ ที่มีคุณค่าทางประวัติศาสตร์และมีมูลค่ามหาศาล จนดูเหมือนว่าไม่น่าจะประเมินค่าได้เอาเลย อลังวังเวอร์สุดๆ เดินดูไปตาค้างไป แสบตาไป ที่เด่นสุดน่าจะเป็นเพชรตัด 3 ด้าน Shah Diamond ที่ขึ้นชื่อว่าเป็น Legendary Diamond และมงกุฎเพชรของราชวงศ์ Romanov ที่ประดับด้วยมุก ทับทิม และเพชรนับพันๆ เม็ด ซึ่งตลอดการเดินชมเจ้าหน้าที่จะเดินประกบเราตลอดค่ะ ทำยังกับว่าเราจะขโมยออกมาได้ง่ายๆ อย่างนั้นล่ะ และคุยกันเสียงดังก็ไม่ได้นะคะ เพราะเห็นอีกกลุ่มหนึ่งชื่นชมเพชรเสียงดังไปหน่อยเจ้าหน้าที่เข้ามาเตือนค่ะ

หลังจากเดินกันอย่างอึดอัดภายใต้สายตาที่ถูกจับจ้องกันจนรู้สึกว่าไม่ไหวล่ะ ก็พากันออก เจ้าหน้าที่ก็ดูเหมือนจะโล่งใจเวลาที่แต่ละกลุ่มที่เข้าไปชมกันเสร็จๆ ไปเสียที เพราะคุณพี่แกต้องคอยเดินตามหลายกลุ่มทุกฝีก้าว ถ้ามากกลุ่มนักแกเดินตามดูไม่ไหว เจ้าหน้าที่จะเปิดให้เราออกมาอีกประตูหนึ่งค่ะ อีกทางหนึ่งเป็นทางเดินไปสู่การเข้าชม The Armoury Chamber แต่เรายังต้องรอถึงเวลา 16.30 น. ซึ่งเป็นรอบสุดท้ายของวัน ในขณะที่ตอนนี้เพิ่งจะสิบเอ็ดโมงกว่าๆ พวกเราก็เลยเดินลงไปที่ห้องด้านล่างที่รับฝากของ ตั้งใจว่าไปเอาข้าวของแล้วเดินไปชมกลุ่มวิหารกันก่อนก็แล้วกัน จากนั้นค่อยคิดกันอีกทีว่าจะเอายังไงกันต่อไป

เมื่อเดินลงไปด้านล่าง ไปเจอเจ้าหน้าที่กำลังตรวจตั๋วกลุ่มทัวร์คนไทยที่กำลังจะเข้าชม The Armoury Chamberพอดิบพอดี ด้วยมาเป็นกลุ่มเธอจึงไม่ให้ใช้เครื่องสแกนบัตร ดังนั้น พอเราไปยืนมองๆ อยู่เธอจึงเรียกพวกเราเข้าไปด้วยเพราะเข้าใจว่าอยู่ในกลุ่มทัวร์เดียวกันนี้ พวกเราต่างก็งง เพราะจู่ๆ เธอก็เรียกหาตั๋วแล้วก็เอาไปฉีก แล้วก็ไล่เราให้เดินตามๆ พวกข้างหน้าไป ดังนั้น กลับกลายเป็นว่าจากเดิมที่จะต้องเข้าชมในเวลา 16.30 น. ก็เลยได้ชมในทันทีโดยไม่ได้เจตนา OMG !!! บางทีโชคชะตาก็เล่นตลกกับเราแบบไม่ทันตั้งตัวเอาจริงๆ

The Armoury Chamber (Оружейная палата) เป็นพิพิธภัณฑ์ที่เก่าแก่ที่สุดของรัสเซียที่พระเจ้าอเล็กซานเดอร์ที่ 1 สร้างขึ้น จัดแสดงสมบัติที่ล้ำค่าของรัสเซียมีจำนวนกว่า 4,000 ชิ้น ทั้งเครื่องราชกกุธภัณฑ์ ฉลองพระองค์ของกษัตริย์ พระราชินีและพระบรมวงศานุวงศ์หลายพระองค์ เครื่องประดับล้ำค่า ของราชบรรณาการจากนานาประเทศ ผ้าทอที่มีลวดลายต่างๆ เครื่องใช้สอยในราชสำนัก เครื่องเงินเครื่องทองในราชสำนักชั้นสูง เครื่องราชอิสริยาภรณ์ อาวุธยุทโธปกรณ์ ชุดเกราะของทหาร อัศวิน รวมทั้งเครื่องทรงม้าที่ใช้ในการสงคราม เครื่องเทียมม้าและราชรถ ทั้งหมดมีการจัดแสดงแบ่งไว้เป็นห้องๆ เป็นหมวดหมู่ เดินชมอย่างละลานตา เป็นเรื่องน่าเสียดายที่ภายในห้ามถ่ายภาพเพราะเป็นสิ่งล้ำค่า จดจำได้ไม่หวาดไหว และมีแต่ข้าวของเครื่องใช้ล้ำค่าสวยๆ งามๆ ทั้งนั้นเลย

หนูเล็กอาศัยเดินเกาะกลุ่มไปกับกรุ๊ปทัวร์ไทยที่เราได้อานิสงส์เข้ามากับพวกเขา ก็เลยได้ฟังประวัติข้าวของเครื่องใช้บางอย่างไปด้วยนิดๆ หน่อยๆ บ้างก็เดินไปฟังกับกรุ๊ปทัวร์ฝรั่งบางกลุ่ม ฟังเท่าที่พอรู้เรื่อง ก็ได้ความรู้ดีเหมือนกัน

ไม่แปลกใจค่ะว่าทำไมการมาเที่ยว Moscow Kremlin จึงไม่ควรพลาดการมาชม The Aromoury Chamber เพราะมีแต่ข้าวของล้ำค่าควรเมืองทั้งนั้น ของแต่ละสิ่งมีประวัติความเป็นมามากมาย ได้มาเห็นสักครั้งก็นับเป็นกำไรชีวิตแล้วถ้าเทียบกับค่าเข้าชมเพียง 700 RUB หรือคิดเป็นเงินไทยเพียง 350 บาท ถือว่าคุ้มค่ามากค่ะ

เมื่อเสร็จจากที่นี่เราออกไปทางเดิม เดินกลับไปยังกลุ่มวิหาร บริเวณนี้เมื่อเรามีบัตรแล้วสามารถเข้าได้ทุกโบสถ์ แต่ด้านในห้ามถ่ายรูปทั้งหมดค่ะ

เมื่อเดินไปถึง Archangel’s Cathedral ปิดให้เข้าชมพอดีค่ะ เนื่องจากมีทำพิธี หากจะเข้าชมต้องรอช่วงบ่ายๆ อีกที ก็เลยได้แค่ถ่ายภาพด้านนอกเท่านั้นไม่ได้เข้าไปชมด้านในที่นี่จะเป็นที่เก็บพระศพของกษัตริย์ผู้ปกครอง 46 พระองค์ตั้งแต่คริสตศตวรรษที่ 14 จนถึงก่อนพระเจ้าปีเตอร์มหาราชย้ายเมืองหลวงไปที่เซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก

Archangel’s Cathedral

หันรีหันขวางไปเห็นว่า Annunciation Cathedral (Благовещенский собор) กำลังมีคนต่อแถวเข้าและแถวก็ไม่ยาว หนูเล็กก็เลยถือบัตรไปต่อแถวกับเขาบ้าง โบสถ์แห่งนี้เป็นโบสถ์ส่วนตัวพระเจ้าซาร์และพระราชวงศ์ ด้านบนจะมีโดมทองคำ 9 ยอด มีโดมขนาดใหญ่ที่สุดอยู่ตรงกลาง บนยอดโดมมีไม้กางเขน ด้านในมีผลงานศิลปะของศิลปินชื่อดังชาวรัสเซียตกแต่งอยู่มากมายหลายชิ้น บางภาพมีอายุกว่าห้าร้อยปี บริเวณโถงกลางปูด้วยหินโมราซึ่งเป็นของกำนัลจากกษัตริย์เปอร์เซีย

Annunciation Cathedral

โบสถ์ที่เหลือคือ Assumption Cathedral (Успенский Собор) เป็นโบสถ์ที่เก่าแก่และสำคัญที่สุดในรัสเซีย ใช้ในงานพิธีกรรมที่สำคัญ เช่นการประกอบพิธีบรมราชาภิเษกของพระเจ้าซาร์ เป็นการก่อสร้างทับลงโบสถ์เดิม และถูกใช้เป็นที่เก็บโลงศพของสังฆราชของคริสต์ศาสนานิกายออร์โธด็อกซ์ด้วย

ส่วนที่เหลือที่โดดเด่นและไม่พูดถึงไม่ได้ก็คือ Ivan the Great Bell Tower (Колокольня Ивана Великого) โบสถ์ที่สูงที่สุดใน Kremlin สูง 81 เมตร สร้างขึ้นในปี ค.ศ. 1508 ถือเป็นสิ่งก่อสร้างที่สูงที่สุดในยุคนั้น มีระฆังอยู่ทั้งหมด 22 อัน ใครจะขึ้นไปเขามีบัตรจำหน่ายค่ะ แต่ต้องซื้อตั้งแต่ตอนซื้อตั๋วค่ะ

เมื่อเก็บภาพบริเวณนี้กันเรียบร้อย เราเดินไปชมปืนใหญ่และระฆังยักษ์ Landmark ที่ใครๆ ก็ต้องขอมาเก็บภาพกันเลยทีเดียว Tsar Cannon (Царь-пушка) ปืนสำริดขนาดใหญ่ ยาวถึง 5.9 เมตร สร้างขึ้นในปี ค.ศ. 1586 แต่ไม่เคยถูกใช้งานจริง

กับ Tsar Bell (Царь–колокол) ระฆังขนาดใหญ่ที่อยู่ถัดมาจากปืนใหญ่ สูง 6.14 เมตรและมีเส้นผ่านศูนย์กลาง 6.6 เมตร และหนักถึง กว่า 100,000 กิโลกรัม

จากมุมนี้เมื่อมองไปไกลๆ ผ่านลานกว้างๆ จะเห็นอาคารสีเหลืองๆ นั่นคืออาคารที่ทำการของประธานาธิบดี นี่ละเป็นที่ทำงานของท่านวลาดิเมียร์ ปูติน ผู้นำที่มีบทบาทมากในโลกปัจจุบัน นักท่องเที่ยวทุกคนได้แต่มองไกลๆ ถ่ายรูปไกลๆ อย่าคิดที่จะเดินเลยเถิดเข้าไปยังบริเวณนั้นค่ะ เพราะจะมีเสียงนกหวีดเป่าปรี๊ดๆๆๆ ดังลั่นไปหมด เพราะเป็นพื้นที่หวงห้าม นักท่องเที่ยวทุกคนต้องเดินในพื้นที่ที่กำหนดเท่านั้น

ที่ทำการประธานาธิบดี

Spasskaya Tower

การเที่ยวชม Moscow Kremlin ของเราจบสิ้นลงแบบเร็วๆ ในเวลาเที่ยงสี่สิบห้าเท่านั้น เร็วกว่าที่คิดและที่ควรจะเป็นมากมาย ทำให้เรามีเวลาเหลือเฟือเลยทีเดียวค่ะ ตอนนี้เราเหลือแค่กลับไปเอาสัมภาระที่ฝากไว้ตรง Troitskaya Tower ซึ่งถ้าดูจากจุดนี้ต้องนับว่าไกลทีเดียว และเราก็ยังไม่อยากหอบหิ้วสัมภาระกันเลย ดังนั้น เราขอใช้เส้นทางทะลุมิติออกไปจากที่นี่กันก่อนดีกว่า ขอเดินเล่นแบบไม่มีสัมภาระพะรุงพะรังกันสักพัก คิดได้ดังนี้จึงเดินผ่านที่ทำการท่านประธานาธิบดีไปยังประตูทางออกทาง Spasskaya Tower (Спасская башня) ซึ่งเมื่อออกทางนี้จะนำเรามาสู่จัตุรัสแดง (Red Square) ค่ะ เป็นทางลัดที่พาเรากลับออกมาสู่โลกแห่งความจริงอีกครั้งหลังจากด้านในกำแพงนั้นพาเราย้อนอดีตไปหลายร้อยปีเหลือเกิน

ช่วงที่เราไปเยือนบริเวณจัตุรัสแดงมีการจัดกิจกรรมทำให้ลานกว้างๆ ดูแคบไปถนัดตา เราคิดถึงรสอร่อยๆ ของไอศกรีมของห้าง GUM จึงพากันเดินเข้าไปในห้าง GUM กันอีก

ทำให้ไปพบกับคลื่นมหาชนหนาแน่นห้างไปหมด หาข้อมูลว่าวันนี้มีงานอะไรในห้างจึงทำให้รู้ว่าวันนี้คือวันที่ 1 มิถุนายน ซึ่งห้าง GUM กำหนดให้เป็น Ice Cream Day ดังนั้น จึงมีการแจกไอศกรีมโคนฟรี ผู้คนจึงเข้าคิวเป็นแถวยาวแน่นห้างไปหมดเพื่อรอรับไอศกรีมฟรี ส่วนไอศกรีมแท่งก็ลดราคาลงครึ่งหนึ่งเลย ดังนั้น มีหรือที่พวกเราจะพลาด จากที่ต้องจ่ายเงิน 50 RUB เราจ่ายกันเพียง 25 RUB เท่านั้นเอง

เมื่อได้อร่อยกับไอศกรีมกันแล้ว คราวนี้เดินกลับไปเอาสัมภาระที่ฝากไว้กันได้เสียทีค่ะ เราพากันเดินผ่าน Alexander Garden กลับไปเอาสัมภาระที่ฝากไว้

จากนั้นก็พากันเดินเลาะถนนเส้นนั้นเส้นนี้ไปเรื่อยๆ เพื่อไปยังถนน Arbat (Арба́т) เนื่องจากอยากจะไปดูบรรยากาศและตั้งใจที่จะไปหาร้านนาฬิกาสัญชาติรัสเซียบนถนนเส้นนั้นกัน

ถนน Arbat เป็นถนนเส้นเก่าแก่เส้นหนึ่งของมอสโคว์ มีมาตั้งแต่ศตวรรษที่ 15 ในสมัยศตวรรษที่ 16 สมัยกษัตริย์อีวานจอมโหด ถนนสายนี้เป็นที่อยู่อาศัยของตำรวจลับ ต่อมาในศตวรรษที่ 17 เป็นที่อยู่อาศัยของชนชั้นขุนนางและศิลปิน แต่พอมาศตวรรษที่ 20 เริ่มมีการสร้างตึก 2 ชั้น และ 3 ชั้น

ถนน Arbat

โดยตึกเหล่านี้เป็นอพาร์ทเมนท์ที่อยู่ร่วมกันหลายครอบครัวของชนชั้นกรรมกร เมื่อเข้าสู่ยุคสหภาพโซเวียต ที่นี่กลายเป็นที่พักของสมาชิกระดับสูของพรรคคอมมิวนิสต์ จนกระทั่งปี ค.ศ.1985 ถนน Arbat ได้กลายมาเป็นถนนคนเดินที่ยาวที่สุดในมอสโคว์ที่มีความยาวถึง 1.8 กิโลเมตร และค่อยๆ เป็นที่นิยมในที่สุด เพราะกลายมาเป็นแหล่งรวมของศิลปิน จิตรกร ร้านขายของที่ระลึก ร้านอาหาร ร้านกาแฟ โรงละคร และศูนย์วัฒนธรรมต่างๆ

พวกเราเดินลัดเลาะไปเรื่อยๆ จนถึง อาจเป็นเพราะเรามาแต่วันไปสักนิด บรรยากาศของถนนที่ว่า “ชิคๆ” เลยยังไม่ค่อยมีให้เห็น แต่อย่างไรก็ตาม ตลอดระยะทางที่เดินไปนั้น ก็พอจะได้เห็นกลิ่นอายของความนิยมของผู้คนที่มักจะมารวมตัวกันที่นี่ ทั้งมานั่งตามร้านอาหาร มาเดินเล่น และมาสรรหาของที่ระลึกของฝาก

หลังจากเดินเก็บบรรยากาศกันสักพัก เราพากันเดินต่อไปยังอีกสถานที่หนึ่งที่คิดว่าไม่ควรจะพลาดด้วยประการทั้งปวง นั่นคือ The Cathedral of Christ the Savior (Храм Христа Спасителя) สถานที่พวกนี้อยู่ไม่ไกลกันค่ะสามารถเดินไปหากันได้ เราเดินผ่านสวนแห่งหนึ่งไป เพียงนิดเดียวก็ถึงแล้ว

สวนสาธารณะที่เราเดินผ่าน

จริงๆ แล้วถ้าใครคิดจะมาโดยการนั่งรถไฟใต้ดินก็ได้ เพียงแค่นั่งรถไฟใต้ดินมาเพียงไม่กี่นาทีมาลงที่สถานี Kropotkinskaya (Кропо́ткинская) ก็เดินต่อมาอีกนิดเดียวก็ถึงแล้ว

Cathedral of Christ the Savior

เมื่อเดินมาถึงยอมรับเลยว่า สิ่งก่อสร้างที่เห็นตรงหน้ายิ่งใหญ่มาก ยิ่งเมื่อได้เดินเข้าไปชมที่ด้านในความรู้สึกนั้นยิ่งมากเป็นเท่าทวีคูณ Cathedral of Christ the Savior เป็นมหาวิหารออร์โธด็อกซ์ที่สูงที่สุดในโลก มีความสูงถึง 103 เมตร ด้านในจึงดูโปร่งและกว้างขวางมาก จิตรกรรมและรูปเคารพต่างๆ คล้ายๆ กับมหาวิหารที่หนูเล็กได้เคยเห็นๆ มา คงไม่อาจแยกแยะได้มากนักว่างดงามมากน้อยกว่ากันเพียงใดเพราะไม่ได้นับถือคริสต์

การเข้าชมมีกฎแค่ว่า ห้ามถ่ายภาพด้านในโดยเด็ดขาด การเดินชมต้องสำรวม ห้ามส่งเสียงดัง เพราะยังมีผู้เลื่อมใสศรัทธาเข้ามาขอพรจากนักบุญและเข้ามาสวดมนต์อยู่ นักท่องเที่ยวผู้หญิงหลายคนที่เข้ามาชมมักนำผ้าคลุมศีรษะเพื่อให้เป็นไปตามธรรมเนียมปฏิบัติของคริสต์ศาสนานิกายนี้

เมื่อออกจากมหาวิหาร เราเดินเล่นไปที่ด้านหลัง ซึ่งจะมีสะพานข้ามแม่น้ำMoskva ซึ่งนับเป็นสะพานที่สวยมากแห่งหนึ่ง เมื่อมายืนบนสะพานจะได้ชมวิวไกลๆ ของ Moscow Kremlin ที่เราเพิ่งจากมาเมื่อช่วงเช้าฝั่งหนึ่ง ส่วนอีกฝั่งหนึ่งก็ได้เห็นอนุสาวรีย์ Peter the Great ที่ริมน้ำ

Peter the Great

หลังจากเราเก็บภาพความยิ่งใหญ่และความงดงามของที่นี่กันจนเต็มอิ่ม สมาชิกหลายคนเริ่มหมดแรงค่ะเพราะวันนี้เราใช้กำลังขาค่อนข้างมาก โปรแกรมทัวร์วันนี้คงจะต้องสิ้นสุดลงกับที่นี่ ได้เวลาเดินทางกลับที่พักกันเสียที จากที่นี่เราสามารถใช้รถไฟใต้ดินที่สถานี Kropotkinskaya ออกเดินทางกลับกันได้เลย

แต่สำหรับหนูเล็ก วันนี้ ยังมีพละกำลังเหลือพอที่จะไปเที่ยวต่อค่ะ ดังนั้น จึงขอแยกกับสมาชิกขอไปฉายเดี่ยวทัวร์สถานีรถไฟใต้ดินเสียหน่อย เพราะเขาว่ากันว่าสถานีรถไฟใต้ดินหลายสถานีสวยจับจิต ก็เลยอยากไปนั่งรถไฟชมสักชั่วโมงก่อนเข้าที่พัก ว่าแล้วจึงไปกระโดดขึ้น-ลงรถไฟใต้ดินแวะเก็บภาพสถานีต่างๆ โดยเน้นสาย Koltsevaya Line (Кольцева́я ли́ния) หรือสายวงกลมสีน้ำตาล เพราะว่าเป็นสถานีที่สร้างขึ้นหลังจากได้รับชัยชนะในสงครามโลกครั้งที่ 2 เป็นช่วงที่ประชาชนมีแต่ความสุขที่สงครามจบลง ความสงบสุขคืนกลับมาในฐานะผู้ชนะสงคราม จึงกลายเป็นช่วงที่ศิลปะเฟื่องฟู ไม่เว้นแม้แต่สถานีรถไฟใต้ดินซึ่งเป็นหัวใจสำคัญในการเดินทาง พรรคคอมมิวนิสต์เชื่อว่า ประชาชนของเขาก็สามารถมีสิ่งดีๆ ไว้ใช้ไม่แพ้ประชาชนในโลกเสรีนิยมเช่นกัน นอกจากนั้นยังสร้างประโยชน์ในการสัญจรไปมาอีกด้วย รถไฟสายนี้ถือเป็นสายที่สำคัญที่สุดสายหนึ่ง เนื่องจากเป็นสายรถไฟที่เชื่อมต่อกับสายรถไฟสายอื่นๆ ทุกสายในกรุงมอสโคว์

สถานี Komsomolskaya (Комсомо́льская) น่าจะเป็นสถานที่สวยที่สุด และหนาแน่นมากที่สุดด้วย สถานีใช้ธีมสีเหลือง ตกแต่งด้วยโมเสกและหินมีค่า จิตรกรรมภายในสถานีเป็นเรื่องราวประวัติศาสตร์ของการต่อสู้เพื่ออิสรภาพ ผนังถูกสร้างจากหินอ่อน ใช้เพดานสูง และมีแชนเดอเลียร์ขนาดใหญ่ เปรียบเสมือนพระราชวังของประชาชน (Palaces for the People)

สถานี Komsomolskaya

ส่วนสถานี Prospekt Mira (Проспе́кт Ми́ра) ตัวสถานีเป็นโทนสีขาวเพราะทำด้วยหินอ่อน ภาพศิลปะสื่อถึงการเกษตรที่หลากหลายของรัสเซีย ที่ผนังของสถานีจะตกแต่งด้วยหินอ่อนสีแดงเข้มจากเทือกเขา Ural ส่วนที่พื้นจะเป็นลายตารางหมากรุก ซึ่งทำด้วยหินแกรนิตสีเทาสลับกับดำ ที่แปลกตาคือโคมไฟที่ติดตั้งไว้ซึ่งจะเป็นทรงกระบอกหลายๆ อัน

สถานี Prospekt Mira

ถัดไปเป็นสถานี Novoslobodskaya (Новослобо́дская) ซึ่งสถาปนิกมีความตั้งใจจะใช้เทคนิกการตกแต่งสถาปัตยกรรมที่ใช้ Stained glass หรือการใช้กระจกหลายๆสี ในการตกแต่งสถานีแบบที่เราเห็นในโบสถ์ ร่วมกับการตกแต่งแบบโมเสค ทำให้สถานีมีสีสันสดใสงดงามมากเลย

สถานี Novoslobodskaya

สถานี Belorusskaya (Белору́сская)เป็นสถานีที่แสดงถึงความสัมพันธ์กันของของเมืองพี่เมืองน้อง รัสเซียและเบลารุส

สถานี Belorusskaya

ส่วนสถานีที่ดูเผินๆ เหมือนจะคล้ายกันคือ Krasnopresnenskaya (Краснопре́сненская) ซึ่งมีภาพเหตุการณ์ทางประวัติศาสตร์และการปฏิวัติรัสเซียในปี 1905 และในการปฏิวัติเดือนตุลาคมของปี 1917 กับสถานี Kiyevskaya (Ки́евская) ที่มีภาพวาดที่ประดับประดาตามผนังทั้งหมด 73 ภาพมาจากการประกวดที่ยูเครน โดยมีภาพโมเสคขนาดใหญ่แสดงถึงความเป็นเอกภาพของรัสเซีย

สถานี Krasnopresnenskaya


สถานี Kiyevskaya

ที่งดงามไม่แพ้กันก็ Park Kultury (Парк культу́ры) ซึ่งสถาปนิกที่ออกแบบสถานีนี้เป็นคนเดียวกันกับที่ออกแบบ Luzhniki Stadium โดยสถานีนี้ถูกออกแบบในรูปแบบ “Classic Sport” ซึ่งได้รับแรงบันดาลใจจากชาวกรีกโบราณ โดยตามผนังจะเป็นรูปปั้น 26 อันที่แสดงถึงการเล่นกีฬา และกิจกรรมต่างๆของเด็กๆ ชาวรัสเซีย

สถานี Park Kultury

อีกสถานีที่มีรูปลักษณ์แบบสวยหวานก็ต้อง Taganskaya (Тага́нская) ซึ่งภายในสถานีจะเล่าเรื่องราวทางประวัติศาสตร์ของกองทัพแดง ซึ่งเข้ามาทำหน้าที่ต่างๆ ในกองทัพ เช่น นักบิน คนขับรถถัง คนขับเรือรบ เป็นต้น

สถานี Taganskaya

หนูเล็กมุดขึ้น-ลงสายวงกลมจนเมื่อยขา มาคิดได้ก่อนกลับว่าขอแวะไปสถานีที่เขาว่าเป็น a must ของอีกหนึ่งสายก็แล้วกัน นั่นคือ สถานี Ploshchad Revolyutssi (Пло́щадь Револю́ции) ตกแต่งด้วยรูปแกะสลัก 76 ชิ้น เป็นเรื่องราวของนักเดินทางบนเส้นทางชีวิต จากเด็กสู่นักกรีฑา จากนักเรียนสู่ชาวนา จากคนงานสู่ทหาร และที่เป็นไฮไลท์คือ รูปปั้นทหารพร้อมสุนัขคู่ใจ ซึ่งคนที่เดินผ่านไปผ่านมาส่วนใหญ่จะมาลูบจมูก ลูบขา เพื่อความโชคดี

สถานี Ploshchad Revolyutssi

และนี่ล่ะคือสาเหตุที่หนูเล็กต้องมาสถานีแห่งนี้ละ และอาจเพราะเหตุผลนี้ทำให้สถานีนี้มีนักท่องเที่ยวแวะเวียนมาไม่ขาดสาย

วันนี้หนูเล็กเที่ยวตั้งแต่เช้า ตอนนี้หมดแรงแล้วจริงๆ ได้เวลาเดินทางกลับไปพักบ้างแล้วค่ะ พรุ่งนี้ยังมีกิจกรรมรออยู่ ไว้มาตามเที่ยวกันต่อ ยังมีต่อค่ะ

อยากได้ข้อมูลเพิ่มเติมหรือจะแวะไปทักทายกับพี่ใหญ่และหนูเล็กก็ได้ค่ะที่ https://www.facebook.com/TravelWithPiyaiAndNoolek/

Piyai&Noolek

 วันอังคารที่ 31 กรกฎาคม พ.ศ. 2561 เวลา 22.31 น.

ความคิดเห็น