แดดเริ่มร้อนขึ้น จนเหงื่อเริ่มตก ขณะที่ผู้เขียนกำลังยืนอยู่ที่เบื้องหน้าโบสถ์คริสต์หลังใหญ่ที่สร้างขึ้นมาด้วยสถาปัตยกรรมแบบโกธิคในยุคกลางที่รู้จักกันดีในหมู่ชาวมะละากว่าที่นี่คือโบสถ์อันศักดิ์สิทธิ์ของเซนต์ ฟรานซิส ซาเวียร์ นักบุญผู้เดินทางมาไกลแสนไกลจากบ้านเกิดเมืองนอนสู่ดินแดนแถบเอเซียเพื่อสอนศาสนาก่อนที่จะสิ้นชีพลงในสมัยเมื่อหลายร้อยปีที่ผ่านมา
โบสถ์หลังนี้เป็นโบสถ์ใหม่ที่เพิ่งจะสร้างขึ้นมาใหม่ เมื่อในสมัย พ.ศ.2392 หรือเมื่อ 151 ปีมานี้หลังจากที่นักบุญฟรานซิสได้เสียชีวิตไปนานแล้ว
โบสถ์เซนต์ฟรานซิส ซาเวียร์ นี้ตั้งอยู่ทางด้านหลังของดัตช์สแควร์ ถ้าหากจะเดินมาจากทางโบสถ์คริสต์สีอิฐแดง แต่ถ้าหากว่าต้องขับรถผ่านมาบนถนนวันเวย์ที่ตัดเข้าสู่หมู่ตึกประวัติศาสตร์ของดัตช์หรือที่เรียกว่า ดัตช์สแควร์นั้น โบสถ์ดังกล่าวนี้จะถึงก่อนหน้าที่จะเข้าสู่หมูตึกสีแดง เพียงแค่มีถนนซอยเล็กคั่นอยู่
เดินตามถนนที่ตัดผ่านตึกแห่งประวัติศาสตร์ที่สร้างด้วยอิฐแดงไปยังด้านหน้าซึ่งเป็น “ดัตช์สแควร” แลเลยขึ้นไปทางด้านบนซึ่งมีประตูเขียนชื่อติดอยู่มุมเดียวกับหมู่ตึกแดงว่า “ STADTHUYS” นั้นคือเส้นทางที่จะนำพาทุกคนขึ้นไปยังเนินเขาที่อยู่สูงขึ้นไป อันเป็นดินแดนแห่งความศักดิ์สิทธิ์ในอดีตของมะละกาที่เรียกกันว่า “โบสถ์เซนต์ปอล” ซึ่งเล่ากันว่าบรรดาชาวคริสต์ในมะละกาสร้างขึ้นมาเพื่อเป็นที่สักการะดวงวิญญาณของของนักบญฟรานซิส เมื่อครั้งที่ได้นำศพของท่านมาขึ้นฝั่งที่นี่
มีเรื่องเล่ากันว่า เมื่อสมัยที่เหล่ามิชชันนารีออกเผยแพร่คริสตศาสนานั้น นักบวชคนหนึ่งซึ่งชื่อว่า เซนต์ ฟรานซิส ซาเวียร์ ได้เดินทางออกจากประเทศสเปนบ้านเกิดเมืองนอนมาสอนศาสนายังเอเซียตะวันออกเฉียงใต้ แล้วเดินทางไปยังประเทศจีนจนสิ้นชีวิตที่นั่น
ก่อนหน้านั้นเล่ากันอีกว่า นักบุญฟรานซิสนั้นท่านมักจะปรารภอยู่เสมอกับบรรดาศิษยานุศิษย์ที่ติดตามท่านว่า ถ้าหากท่านเสียชีวิตลงเมื่อไหร่ก็ให้นำศพของท่านไปฝังเอาไว้ที่เมือง โกอา ( GOA ) ซึ่งเป็นเมืองท่าทางตอนใต้ของอินเดีย
ในครั้งกระนั้นเมื่อท่านเสียชีวิต บรรดาศิษย์ทั้งหลายจึงได้นำร่างของท่านลงเรือสำเภาล่องไปสู่อินเดีย แต่เมื่อแล่นไปในกลางทะเลปรากฏว่าเกิดปาฏิหาริย์ขึ้นมา เมื่อปรากฏว่าเรือสำเภาลำดังกล่าวนั้นถูกพายุพัดกระหน่ำจนลอยลำกลับมาจอดเทียบท่าที่เมืองมะละกาซึ่งท่านเคยมาพำนักอยู่ระยะหนึ่ง
มีเรื่องเล่าย้อนกันไปตามประวัติศาสตร์ที่ถูกบันทึกเอาไว้เมื่อสมัย พ.ศ. 2054 ว่าหลังจากที่โปรตุเกสยึดเมืองมะละกาได้แล้วนั้นอัลบูเคิร์ก ได้จัดให้ทหารและบรรดาทาสทั้งหลายไปนำเอาหินส่วนหนึ่งมาจากเกาะ ปูเลา บาตู ซึ่งเป็นเกาะที่ฝังพระศพของสุลต่านมาสร้างเป็นป้อมปราการขึ้นมาจนแน่นหนาแข็งแรง หันหน้าออกสู่ทุ่งราบชายทะเลและตั้งชื่อป้อมแห่งนี้ว่า ฟาโมซา ( A FAMOSA ) ซึ่งหมายถึงว่าเป็นป้อมปราการแห่งเกียรติยสของชาวโปรตุเกสทั้งหมดนั่นเอง
ป้อมดังกล่าวนี้ ถูกทำลายลงเมื่อครั้งที่ดัตช์เข้าปิดล้อมและโจมตีมะละกาจนกระทั่งสามารถเอาชนะโปรตุเกสได้ และพยายามที่จะทำลายป้อมปราการดังกล่าวนี้ลงให้สิ้นซาก โชคดีที่เซอร์สแตมฟอร์ดซึ่งเป็นข้าหลวงอังกฤษในสมัยนั้นได้ปักษ์รักษาเอาไว้จนกระทั่งเหลือภาพอย่างที่เห็นในปัจจุบัน
เล่ากันว่าเมื่อครั้งที่พวกมลายูเมืองอะแจะส่งกองกำลังมาสู้รบกับโปรตุเกสที่เมืองมะละกานั้น โปรตุเกสเองในยามนั้นมีเรือสำเภาลำเล็กๆอยู่เพียงสองลำเท่านั้น ด้วยว่ากองกำลังส่วนใหญ่ยังมาไม่ถึง ซึ่งในครั้งนั้นนักบุญฟรานซิสยังมีชีวิตอยู่ และท่านก็ได้มาสอนศาสนาอยู่ที่เมืองมะละกาแห่งนี้
ด้วยการปลุกปลอบใจของท่าน ทำให้ทหารโปรตุเกสตัดสินใจนำเอาเรือเล็กๆทั้งสองลำนี้ ออกทะเลไปเพื่อสู้รบกับกองทัพเรือของชาวอะแจด้วยเชื่อในคำทำนายของนักบุญฟรานซิส ที่บอกว่าพวกเขาจะสามารถพิชิตศัตรูได้ด้วยพลังของตัวเอง
เรือสำเภาของโปรตุเกสหายออกไปอยู่ในทะเลเป็นเวลานานจนใครๆต่างก้คิดว่าผู้คนบนเรือคงจะเสียชีวิตกันไปหมดแล้ว มีเพียงแต่นักบุญฟรานซิส ซาเวียร์เท่านั้นที่ยืนยันกับทุกคนขณะที่ท่านเทศนาอยู่ในโบสถ์ว่าพวกเขาจะต้องกลับมาพร้อมกับชัยชนะ ซึ่งในที่สุดก็เป็นไปจริงๆตามนั้น ทำให้ผู้คนในเมืองมะละกาต่างก็นับถือและศรัทธาในตัวท่านเป็นอันมาก
ดังนั้นเมื่อศพของท่านบนเรือสำเภาถูกพายุพัดมาจอดเกยตื้นอยู่ที่เมืองมะละกาอีกครั้ง ชาวเมืองจึงถือว่าท่านเดินทางกลับมาเพื่อที่จะบอกลาพวกเขา ดังนั้นเหล่าชาวเมืองทั้งหลายจึงได้พากันออกไปต้อนรับและกัปตัน DuarteCoelho ได้จัดให้สร้างโบสถ์ขึ้นมาบนเนินเขาเหนือป้อมฟาโมซา แล้วฝังร่างของท่านเอาไว้เป็นการชั่วคราว ณ ที่แห่งนั้นจนกระทั่งถึงวันที่จะเดินเรือต่อไปยังเมืองโกอา
ปรากฏว่า เมื่อวันที่ชาวเมืองได้ขุดศพของท่านขึ้นมา เพื่อที่จะนำไปฝังที่เมืองโกอาตามประสงค์เดิมของท่านนั้น ปรากฏว่าร่างของท่านหาได้เปื่อยเน่าไม่ สร้างความแปลกใจให้กับผู้คนที่ได้พบเห็นยิ่งนัก บรรดาศิษยานุศิษย์จึงได้ทำการตัดข้อมือข้างหนึ่งของนักบุญฟรานซิส เพื่อส่งไปยังกรุงโรม เพื่อขอสิทธิ์ในการเป็นเซนต์ตามข้อบัญญัติของศาสนาคริสต์
แต่ปรากฏว่าทุกคนก็ต้องพบกับความประหลาดใจอีกครั้ง เมื่อทันที่ตัดข้อมือของท่านออกจากกันนั้น พลันก็ปรากฏว่าได้มีเลือดพุ่งออกมาจากมือข้างนั้น นับเป็นปรากฏการณ์ที่น่าประหลาดอย่างยิ่ง ซึ่งชาวเมืองมะละกาเชื่อกันว่า นักบุญฟรานซิสนั้นท่านเป็นสาวกของพระคริสต์ที่มีความศักดิ์สิทธิ์น่าเลื่อมใสเป็นอย่างยิ่ง
ดังนั้นในกาลต่อมา หลังจากที่มะละกาเริ่มพัฒนาเจริญรุดหน้าขึ้นมา จึงได้มีการสร้างสร้างโบสถ์เซนต์ฟรานซิส ซาเวียร์ขึ้นมาเพื่อที่จะได้เป็นอนุสรณ์ในการรำลึกถึงท่าน และในขณะเดียวกัน ก็ได้อนุรักษ์โบสถ์เซนต์ ปอล ที่บนเนินเขาซึ่งเคยฝังร่างของท่านเอาไว้ และได้สร้างรูปปั้นของท่านขึ้นมาเหกนือยอดเนินแห่งนั้นเพื่อให้เป็นอนุสรณ์สถานอันศักดิ์สิทธิ์
แต่แล้วสิ่งที่ทุกคนไม่เคยคาดคิดมาก่อนก็เกิดขึ้นอีกครั้ง เมื่อปรากฏว่ารูปปั้นของท่านที่หน้าวิหารเซนต์ปอลนั้น ก็ได้ถูกฟ้าผ่าจนกระทั่งข้อมือข้างหนึ่งขาดตกลงมา เหมือนกับศพของท่านที่มีการตัดข้อมือส่งไปยังวิหารในกรุงโรมไม่มีผิดเพี้ยน
ในวันที่ผู้เขียนเดินขึ้นไปบนเนินเลียบไปตามถนนสายเล็กที่ตัดสู่วิหารเซนต์ปอลนั้น บริเวณวิหารได้รับการปรับปรุงภูมิทัศน์ จากเดิมที่เคยลำบากในการปีนป่ายขึ้นมา จนมีบันได เดินขึ้นลงอย่างสบาย และรอบๆวิหารก็ทำเส้นทางเดินเที่ยวที่สามารถ ใช้เป็นทางลัดในการท่องเที่ยวจากดัตช์สแควร์ ข้ามเนินเขาไปยังป้อมฟอร์โมซาที่อยู่ทางด้านกลังได้อย่างสบาย
ในวันนั้น ได้มีนักท่องเที่ยวมากมายที่เดินทางมาจากแดนไกล เพื่อที่จะได้สักการะหลุมฝังศพของท่านที่อยู่กลางวิหารแห่งนี้ด้วยความศรัทธา
ซึ่งจากจุดเดียวกันนี้ เมื่อเราเดินทางขึ้นมาจนถึงด้านบนของวิหารเก่าแก่ของเมืองมะละกา ถ้าหากมีเวลา เราก็จะสามารถยืนชมวิวจากจุดนี้ที่สามารถแลเห็นออกไปได้ไกลถึงในท้องทะเลอันกว้างใหญ่ และที่อยู่เบื้องต่ำลงไปจากวิหารอีกด้านหนึ่งของเนินเขานั้นก็คือ ป้อม ฟาโมซา ที่ตั้งอยู่เบื้องหน้าของเมืองใหม่แห่งมะละกา ที่เรียกกันว่า “มะละการายา” นั่นเอง….
ขอขอบคุณ
- TOURISM MALAYSIA
- บริษัท อินฟินิตี้ พลัสเทรดดิ้ง จำกัด
- FOTOPRO THAILAND สนับสนุนอุปกรณ์ถ่ายภาพ
- บริษัท BMC TRAVEL กัวลาลัมเปอร์ โทรฯ(603)2161
อาร์ม อิสระ
วันอาทิตย์ที่ 5 สิงหาคม พ.ศ. 2561 เวลา 21.39 น.