ตอนที่ 1 : https://th.readme.me/p/1948




Day 4 : บ้านแม่กำปอง - โฮมสเตย์บ้านดินโยฮัน


ตื่นมารีบอาบน้ำแต่เช้า เพราะกลัวรถเค้าจะมารับก่อนเวลา เดี๋ยวจะไม่มีเวลากินข้าว(เห็นแก่กินล้วนๆ)
มื้อนี้แม่ศรีทับทำกับข้าวง่ายๆตามที่ตกลงกันไว้คือ ข้าวไข่เจียว คือโปะไข่เจียวไปเลย ขอไข่ลูกเดียว แต่สิ่งที่ได้คือ

ข้าวไข่เจียว 3 ฟอง เอิ่มมมม….. นึกว่ามาแข่งกินจุของทีวีแชมป์เปี้ยน คือแม่กลัวไม่อิ่มไง ตอนนั้นคิดอย่างเดียวว่าถ้ากินไม่หมดเค้าจะหาว่าเรารังเกียจหรือป่าว แต่ถ้าเรากินหมดแล้วจะพุงแตกตายหรือป่าว??? 555 กินแล้วมันล้นออกมามันก็จะดูไม่ดีหรือป่าว คิดไปคิดมากินก็กิน อิ่ม+จุกมากตอนกินไปได้ครึ่งนึง แต่เป็นเพราะน้ำใจเยอะมามากผมเลยต้องจัดตอบแทน หมดสิครับไม่ตายด้วย 5555 แต่ต้องเขยิบเข็มขัดอีก 1 รู กินอิ่มปั๊ปรถมารับพอดี ตรงเวลามากเลยร่ำลาแม่ศรีทับกับอาร์ต ไว้มีโอกาสเจอกันใหม่ครับ

Bye Bye T_T


รถออกเดินทางออกจากหมู่บ้าน ปกติชอบนั่งหลังงอๆ แต่ตอนนี้นั่งตัวตรงสง่าเลย ข้าวไข่เจียวค้ำพุงอยู่ จุกๆๆ

7.25 น. ถึงจุดจอดรถสองแถวหน้าตลาดสหกรณ์ รถสองแถวสายนี้จะเริ่ม 7.00 น. รถออกทุกครึ่งชั่วโมง มีรถจอดรออยู่แล้ว 1 คันและฝนเริ่มตกปรอยๆเลยรีบขึ้นรถ รอแค่ไม่กี่นาทีรถก็ออกนั่งให้อากาศเย็นๆตีหน้าสบายๆ


ตลาดสหกรณ์ที่รถสองแถวจอดอยู่ข้างๆครับ



9.00 น. รถจอดที่ปากทางเข้าขนส่งอาเขต ต้องเดินเข้าไปอีก 2-300 เมตร เดินไปจะเห็นขนส่งมี 2 ฝั่ง รถของ Green bus ที่จะไปเชียงรายอยู่ฝั่งขวา


เดินไปกดบัตรคิวรอซื้อตั๋ว รอบตั๋วเร็วสุดคือรอบ 10.10 น. เป็นรถvipแบบแถวละ 3 ที่นั่ง(ซ้าย2ขวา1)ราคา 263 บาทรถจะวิ่ง 3 ชม.จะถึงขนส่งเชียงราย จริงๆเกินงบที่ผมตั้งไว้เพราะจะนั่งแบบรถธรรมดาแต่ว่ามีรอบ 11.00 น. ขี้เกียจรอ อีกอย่างต้องทำเวลาด้วยเพราะต้องต่อรถอีกหลายต่อเลยวันนี้


รถคันนี้ครับ ใหม่เอี่ยม


ภายในรถครับ นั่งสบายมาก


พอรถออกจะมีพนักงานมาสอบถามปลายทางจากผู้โดยสารแต่ละคน ซึ่งสำหรับที่ที่เราจะไปคือลงสถานีขนส่งเก่า


13.10 น. ถึงขนส่งเชียงราย(เก่า) ลงปุ๊ป เห็นรถเมล์คันนึงตรงหน้าเป็นรถเมลล์เล็กๆสีเขียวเข้ม เขียนป้ายเป็นรถเมล์สาย "เชียงราย-แม่สาย"


รีบเข้าไปถาม พอได้คำตอบว่าผ่านอำเภอแม่จันพอดีรีบวิ่งเอาของขึ้นรถไปนั่ง

โอ้โห......แคบมาก ภาวนาคนอย่าเต็มนะ ไม่รุ้จะเอาสบ้าเข่าไปวางไว้ตรงไหน


นั่งทรมาน เป็นรถพัดลม วิ่งตอนฝนตก ต้องปิดหน้าต่าง แต่พัดลมพวกพี่ไม่เปิด กัวผมหนาวกันหรอครับลวกเพ่......

แต่ช่างเห่อะ เพราะสักพักพี่แกเปิดเพลงหมอลำ โอ้…..บรรยากาศมา เข้าถึงๆๆๆ รถออกมาสักพักกระเป๋ารถเมล์ก็เดินเขย่ากระบอกตั๋ว ก๊อกๆๆๆๆ มาเก็บค่าตั๋ว 20 บาท(แล้วแต่ระยะทาง)


14.10 น. ถึงตลาดแม่จัน บอกพี่กระเป๋าว่าให้จอดที่จุดจอดรถสองแถวไปแม่สลอง ซึ่งจะเลยตลาดมาไม่เกิน 100 เมตรเดินสบายๆ

เดินไปเจอรถไปสองแถวสีเขียวเข้มสาย เชียงราย-กิ่วสะไต-แม่สลอง หลังจากสอบถามแล้วรอบนี้จะไปสุดปลายทางแค่จุดจอดรถกิ่วสะไตจะไม่ไปถึงหมู่บ้านหล่อโย ซึ่งที่จริงจะต้องไปต่อรถที่กิ่วสะไตอีกที จะให้รอรถรอบถัดไปจะเป็นรอบที่ผ่านหมู่บ้านหล่อโยไปถึงปลายที่ที่แม่สลองแต่ก็เสี่ยงที่ผู้โดยสารน้อยรถอาจจะไม่ออกอีก ไปรอบนี้แหล่ะปกติแล้วถ้าเราไปลงถึงหน้าหมู่บ้านหล่อโย แล้วต้องโทรให้โยฮันเจ้าของที่พักมารับหน้าที่ทางเช้าหน้าหมู่บ้าน แต่วันนี้โชคดีที่โยฮันมาทำธุระพอดี เลยนัดแวะรับที่จุดจอดรถที่กิ่วสะไตซะเลย รอสักพักรถออกตามเวลาคิว ค่ารถ 30 บาท วิ่งประมาณ ชม.นึง


15.30 น. ถึงท่ารถกิ่วสะไตเป็นท่ารถเล็กๆ เหมือนที่เคยเห็นตามชนบททั่วๆไป


เนื่องจากมื้อเที่ยงยังไม่ได้กินเลยท้องร้องดังมาก เลยมานั่งกินร้านข้าวที่ท่ารถ
นี่แหล่ะ เป็นร้านก๋วยเตี๋ยวหมูน้ำใส ชามละ 30 บาท

มันคือก๋วยเตี๋ยวลูกชิ้นหมูนะครับ แต่โดนหมกอยู่ข้างล่าง เห็นตอนแรกก็ตกใจเหมือนกันนึกว่ามีแต่เส้น (แอบเรียกเมนูเตี๋ยวหมูซ่อนหา) อิอิ


กินก๋วยเตี๋ยวไม่ทันเสร็จโยฮันมาถึงมาพอดี จากตรงนี้ไปถึงหมู่บ้านหล่อโยและที่พักประมาณ 20 นาที วิวสวยๆตลอดทาง แต่ไม่ได้ถ่ายไว้ แหะๆ

สักพักก็ถึงที่พัก เอาของไปเก็บที่พัก แล้วมานั่งปูเสื่อชมวิวริมระเบียง สำหรับที่นี่มีห้องพัก 2 ชั้น รวม 8 ห้อง ชั้นละ 4 ห้อง ชั้นบนเป็นห้องพักแบบห้องน้ำรวม คืนละ 400 บาท ส่วนชั้นล่างเป็นห้องพักที่มีห้องน้ำในตัว คืนละ 500 บาท ทุกห้องเป็นห้องพัดลม ไม่ต้องกลัวร้อนครับ เย็นตลอด เนื่องจากตอนนี้กำลังปรับปรุงที่พักชั้นล่างอยุ่เลยเข้าพักได้เฉพาะข้างบน ชั้นล่างจะเสร็จทันช่วงไฮฯ ปีนี้ แต่ไม่เป็นไรเพราะตอนนี้พร้อมลำบากทุกอย่าง

พอเอาของเก็บเสร็จ ก็ขอเสื่อโยฮันมาปูที่ระเบียงส่วนกลางมานั่งเสพวิวข้างหน้า โอ้โห.....ฟิน อากาศก็ดี๊ดี......ส่วนโยฮันขอตัวไปทำงานตกแต่งห้องข้างล่างก่อน


นั่งหลับสักพักก็ถึงตอนเย็นพอดี ตอนนี้จากหมอกที่อยู่ที่เขาด้านหน้าค่อยๆวิ่งมาที่ที่พักเร็วมาก
แป็บเดียวรอบตัวผมหละ คือเป็นครั้งแรกที่เห็นหมอกวิ่งมาโอบกอดร่างกาย เพราะปกติเคยเจอแต่เห็นหมอกเต็มอยุ่แล้ว ตื่นเต้นๆๆๆๆ


นั่งตื่นเต้นจนถึงมื้อเย็นก็เจอเรื่องตื่นเต้นอีกแล้ว เพราะอาหารที่เสิร์ฟมาให้หน้าตาไม่คุ้นตา แต่น่าติดตามมากกกก เพราะอาหารของที่นี่เตรียมไว้แต่ละมื้อจะเป็นชุดขันโตกมาให้ ไม่มีตามสั่งเป็นจานๆอาหารขึ้นอยู่กับว่าที่พักจะทำอะไรให้ ซึ่งส่วนใหญ่ถ้าเป็นผัก และข้าว จะมาจากสวนที่ปลูกกันเอง สดมาก แหล่ะนี่คืออาหารวันนี้นี่เองงงงงงงงงง

สวย อลังการ Local มากๆ ก่อนกินถามไปซะเกือบสิบนาที ชอบจิงๆ แถมอร่อยมากๆ
คือรสชาติเข้มข้นไม่จืดอย่างที่กังวล เอ๋ะ?? หรือลิ้นมันปรับตัวตามโซน ^^ เชื่อว่าหลายๆคนยังไม่เคยกินอาหารแบบนี้ เห็นแบบนี้เลยต้องยอมให้อาหารมื้อนี้เปิดบริสุทธิ์ต่อมรับรสที่ลิ้นซะหน่อย อิอิ พอมื้อเย็นเรียบร้อยแล้ว นั่งเล่นสักพัก แล้วค่อยไปอาบน้ำ ซึ่งโยฮันให้ใช้ห้องน้ำของห้องพักข้างล่างเพราะในส่วนของห้องน้ำทำเสร็จแล้ว ซึ่งพอเห็นแล้วคิดว่าตอนเสร็จแล้วน่าจะสวย น่าพักมากๆ วัสดุเน้นจากธรรมชาติล้วนๆ เตียงทำจากไม้ไผ่ ห้องน้ำก็ทำจากดิน กับไม้ไผ่ สวยๆๆ ไว้คราวหน้ารอเสร็จจะหาเวลามา


อาบน้ำเสร็จก็มานั่งเล่นที่ระเบียงเหมือนเคย นั่งจดบันทึก ฟังเพลง อากาศเย็นๆ คุยกับโยฮันสักพักก็เข้านอนเพราะเพลียจากการเดินทางท้าาาาง วันนนน

ห้องพักที่นี่ครับ

ห้องพักที่นี่ทำจากดินล้วนๆครับ เฟอร์นิเจอร์จากไม้ไผ่ในหมู่บ้าน แล้วตกแต่งผนังด้วยขวดสีสันต่างๆแทนกระจกโมเสคสวยๆ ครีเอทมาก ออกแบบจากโยฮันทั้งหมด พออาบน้ำเสร็จเจอห้องแบบนี้ เป็นตามที่ต้องการจริงๆ

ถึงตอนนี้ Good night ครับ


==================================================================================


Day 5 : โฮมสเตย์บ้านดินโยฮัน


ตื่นเช้ามาอาบน้ำ จ๊าาาาาาาาากกกกก หนาวเหน็บเย็นมาก เพราะไม่มีเครื่องทำน้ำอุ่น
แต่พออาบน้ำเสร็จอุ่นมาก สงสัยเลือดลมสูบฉีด สะใจ…


นี่คือมื้อเช้าของวันนี้ น่ากินมั้ยครับ

มีน้ำพริกอาข่า กับผักต้ม , ต้มฝักแม้วหมู , หมูผัดไข่ใส่พริก พร้อมกับข้าวดอยร้อนๆ ล้างปากด้วยน้ำชาจากกระบอกไม้ไผ่ รวมๆอร่อยครับ พอทานเสร็จก็ออกไปเดินดูหมู่บ้านเล็กๆกะทัดรัด ที่นี่คือ “ หมู่บ้านหล่อโย “

เล้าหมู+สวนผักของชาวบ้านที่นี่ เห็นหลังคานั่นแหล่ะเล้าหมู


ไก่ก็มีเลี้ยงแบบปล่อยๆ เนื้อตัวแน่นเชียว มันน่านัก...อิอิ


วิวรอบๆ


หมู่บ้านเล็กๆ มีไม่กี่หลังกันเอง


มีเจ้าตูบ 2 ตัวนี้ตามมาจากที่พักคอยอารักขา ดันทะลึ่งไปกัดหมาบ้านคนอื่นอีก


เจอพี่ชาวอาข่าคนนึงเดินผ่านมาแกยิ้มให้เลยขออนุญาติ 1 แช๊ะ.. ตาพี่แกพริ้มมมม หวานเชียว ^_^


มีรถสองแถวมาถึงนี่นะครับ แต่เป็นรถเหมาจากนักท่องเที่ยว


กลุ่มนี้ไง แหม่…..อาหารตา ^^


เจ้าของร้านขายของฝาก handmade นางแบบ ณ ที่นี่..... พร็อพมาเต็ม


ดอกไม้ริมทาง


แล้วก็กลับมากินเข้าวเที่ยง มี ต้มฟักแม้ว , ต้มจืดผักกาดดอย , ลาบหมู , น้ำพริกอาข่า+ผักสดๆ

กรอบๆ กรุบๆกรับๆ และอร่อยยย


ช่วงบ่ายก็นั่งอ่านหนังสือ ฟังเพลง และเพื่อนใหม่ที่เดินเที่ยวด้วยกันเมื่อกี้คือเจ้าตูบ 2 ตัวนี้
ตัวใหญ่ชื่อเจ้าแรมโบ้ ตัวเล็กชื่อเจ้าโดนทิ้ง สงสัยกลัวแขกเหงาเลยมานอนอยู่ใกล้ๆตลอดเวลา ^__^


มื้อเที่ยงเรียบร้อยก็เดินถ่ายรูปเล่นในที่พักซะหน่อย

ที่พักถ่ายจากระยะไกลครับ


บรรยากาศรอบๆ


เครื่องครัว ดูจากสีรอบๆภาชนะบ่งบอกประสบการณ์อันโชกโชน เครื่องมือแห่งความอร่อย


พิพิธภัณท์ที่โยฮันสร้างไว้ที่นี่ครับ (ลืมถ่ายด้านใน พลาดๆ)


จริงๆกิจกรรมที่นี่จะมีพาทัวไปแม่สลอง เดินป่า แต่รู้สึกไม่ค่อยอยากไปไหนอยากหาที่นั่งอ่านหนังสือ ฟังเพลง นิ่งๆมากกว่า เลยขอนั่งที่ระเบียงนี่แหล่ะ ก็วิวมันน่านอนเน๊อะ


จากเมื่อกี้แดดจ้าๆ ตอนนี้ฝนตกมาชุ่มฉ่ำทีเดียว มีหมอกแต่ไม่ค่อยหนา และไม่ไหลมาในที่พักเหมือนเมื่อวาน อดตื่นเต้นอีกรอบเลย ^^


ระหว่างวันถ้าโยฮันว่างจะเดินมาคุยด้วยเป็นระยะครับ แต่ดูแล้วท่าจะยุ่งจริงๆเพราะกำลังเร่งปรับปรุงที่พักให้เสร็จทันหน้าไฮฯในเดือนตค นี้
และแล้วก็ถึงมื้อเย็น ซึ่งมื้อนี้ขอเข้าไปยุ่งช่วยหยิบจับเป็นลูกมือ แม่-พ่อครัว ซึ่งก็คือคุณพ่อกับคุณแม่ของโยฮัน


นี่ครับมื้อเย็น มีผัดฟักทองดอย (ทีแรกนึกว่าเป็นมะละกอ) อร่อยดี , ไข่เจียวหมูสับ , ผัดเต้าหู้ทรงเครื่อง(อันนี้อร่อยมาก)

พอกินเสร้จ ก็ไปอาบน้ำแล้วก็ทำเหมือนเดิมมานั่งจดบันทีกที่ระเบียงต่อ สักพักโยฮันกับเพื่อนก็มานั่งคุยเล่นกันจนถึงดึกๆจึงขอตัวแยกย้ายกันไปนอน เท่าที่คุยกับโยฮันจะเห็นถึงความตั้งใจทำที่พักแห่งนี้มากๆ แววตามุ่งมั่นตลอดเวลาที่สนทนากันโยฮันจะแชร์ความคิดเรื่องการตกแต่งที่พักตลอด ว่าถ้าทำอย่างไหนแขกจะชอบบ้าง ซึ่งถ้าลูกค้ามีไอเดียอะไรก็บอกได้เพราะเค้าก้อยากได้ไอเดียหลากหลายบ้างครับ

สักพักก็เข้านอน Good Night หมู่บ้านหล่อโย

ส่วนค่าใช้จ่ายไว้จ่ายทีเดียวพรุ่งนี้ตอน check out


====================================================================================


Day 6 : โฮมสเตย์บ้านดินโยฮัน - ปาย



ตื่นอาบน้ำท่ามกลางอากาศเย็น และน้ำเย็นๆ สะใจมากก วันนี้ต้องทำเวลาหน่อยเพราะต้องเดินทางหลายต่อเพื่อให้ทันรถไปถึงปายไม่ดึกมากเพราะไม่ได้จองที่พัก ต้องเผื่อเวลาเดิน walk in หาที่พักสัก 2-3 ที่


พอทานมื้อเช้าเสร็จ ซึ่งมื้อนี้ทานร่วมกับโยฮัน แล้วก็จ่ายเงินก็ออกเดินทางครับ สักพักแม่โยฮันเอากำไรที่ถักจากผ้าและวัสดุท้องถิ่น เลยบอกว่าเดี๋ยวจะเอาไปให้แม่พอแม่โยฮันรู้ว่าจะเอาไปให้แม่เลยเอามาให้อีกเส้นเพื่อให้ผมใส่ช้อมือเอาไว้ และแม่โยฮันก็เอาเส้นที่ผมเลือกไว้มาผูกใส่ข้อมือให้เอง พร้อมพูดเป็นภาษาอาข่าที่ผมไม่เข้าใจ แต่จากสายตาและการกอดอำลาคงเป็นการอวยพรให้ ซึ่งโยฮันก็มาแปลให้อีกทีว่าอวยพรว่าอะไร


เวลา 8.10 น. โยฮันขับรถออกไปจอดรถเพื่อดักโบกขึ้นรถไปท่ารถกิ่วสะไต ระหว่างนี้โยฮันก็จะรอเป้นเพื่อนจนกว่าจะได้รถ รอ 20 นาทีรถก็มา


เป็นรถสองแถวสีเหลืออ๋อย สายท่าตอน-แม่สลอง วิ่งไปสักพักก็ถึงท่ารถกิ่วสะไต ซึ่งรถคันนี้แวะมารับผู้โดยสารแค่ 5 นาที แล้วจะขับไปที่ท่าตอนต่ออีกที ซึ่งค่ารถอยุ่ที่ 50 บาท


เดินทางไปอีกเกือบชั่วโมงก็ถึงท่ารถท่าตอน ซึ่งจากที่นี่เราจะต้องต่อรถสองแถวไปที่อ.ฝาง พอไปถึงปุ๊บรถกำลังจะออกพอดีเลยรีบวิ่งขึ้นเอากระเป๋าไปไว้บนรถ รถที่ขึ้นเป็นรถสองแถวสีเหลือง สายฝาง-ท่าตอน จากที่นี่รถจะวิ่งไปอีกเกือบชั่วโมง ค่ารถ 23 บาท


เวลา 10.40 น. ถึงท่ารถฝาง ลงไปก็จะเห็นรถบัสจอดอยุ่ข้างหน้าเด่นๆเลย เป็นรถบัสสีส้มสายเชียงใหม่-ท่าตอน เป็นรถบัสพัดลม รอบ 11.00 น. ค่ารถ80บาทไปลงที่ขนส่งช้างเผือก จ.เชียงใหม่ ใช้เวลาเดินทางเกือบ 3 ชม.


ระหว่างทางจะมีจุดตรวจบัตรเป็นระยะๆประมาณ 3-4 จุด


14.25 น. มาถึงขนส่งช้างเผือก รีบลงรถทำเวลาสุดๆ ออกไปด้านหน้าขนส่ง
ขึ้นรถสองแถวแดงที่จอดรออยู่เพื่อไปขนส่งอาเขตอีกต่อหนึ่ง ค่ารถ 10 บาท


14.50 น. ถึงขนส่งอาเขต รถจะเข้ามาจอดถึงขนส่งเลยนะครับ จากนั้นก็เดินไปหาซื้อตั๋วรถตู้ของเปรมประชาไปปาย ซึ่งตอนนี้จุดขายตั๋วจะเป็นช็อปเล็กๆอยู่ตรงข้ามจุดจอด(ชานชาลา)รถของเปรมประชา สวย สะอาด มีระบบ แอร์เย็น นั่งรอได้นะครับในนี้ แต่ตอนนี้หิวหล่ะ เลยกินก๋วยเตี๋ยวข้างๆที่ขายตั๋วนี่แหล่ะ ส่วนรอบรถเร็วสุดที่ได้คือเวลา 15.30 น. ค่ารถ 150 บาท

15.30 น. รถออกเดินทาง ผู้โดยสารเต็มคัน ระหว่างทางฝนตกหนักมาก เล่นเอาเสียวเลยเพราะทางไปปายนี่โค้งถี่ยิกๆ มันส์หละงานนี้

19.00 น. ถึงปาย รถจะจอดที่ขนส่งเปรมประชากลางถนนคนเดิน ลงรถมาก็เดินเลี้ยวซ้ายจากท่ารถไปหาที่พัก เดินมาจนสุดถนนคนเดินแล้วเลี้ยวขวาไปอีก 50 เมตร จนถึง Villa de pai ที่นี่จะมีห้องพัก 3 แบบ คือ Dormคืนละ 80 บาท ,บังกะโลด้านในคืนละ 300 บาท ,บังกะโลที่อยู่ริมแม่น้ำคืนละ 400 บาท ผมเลือกห้องริมแม่น้ำเพราะได้วิวกว่า ค่าที่พักจ่ายตอน check in นะครับในห้องจะมีห้องน้ำในตัว พัดลม ทีวี และที่สำคัญมีเปล ^^


เก็บของเสร็จออกไปหาอะไรง่ายๆกิน จบที่ก๋วยเตี๋ยวเรือ ซดอะไรร้อนๆ สดชื่น เจ้มจ้นเลยชามนี้ เล็ก เนื้อ น้ำตก 40 บาทหน้าตาฮาร์ดคอว์มาก เลือดงี้....เข้มเลย


เสร็จแล้วเดินแวะหาอะไรสดชื่นดื่มสะหน่อย ที่ร้านนี้ครับ " ประถม1 "เมื่อก่อนร้านนี้คือร้าน All about coffee แต่เพิ่งเปลี่ยนเจ้าของมา แต่ยังคงสไตล์การตกแต่งแบบเดิมเอาไว้
สั่งน้ำมะม่วง+มะนาวปั่น 50 บาท เข้มข้นมาก สดชื่นๆ


นั่งละเลียดดื่มจนอิ่มชื่นใจเสร็จ ได้เวลากลับไปพักผ่อน ระหว่างเดินผ่านถนนคนเดิน ไม่ได้ดูอะไรมากไว้คืนต่อไปหละกัน

ถึงที่พักก็อาบน้ำ เสร็จแล้วมานอนแกว่งเปลเล่น สักพัก ซ๊าาาากก พากกก หลับสิครับ

Good Night



=====================================================================================


Day 7-10 : ปาย


ขอนอนตื่นสายๆเลยเพราะมาปายไม่มีโปรแกรมเที่ยวไหนอยู่แล้ว เพราะเที่ยวมาหมดแล้วเมื่อปีที่แล้ว ในส่วนที่ปายผมอยู่ 6 วัน ไม่ทำไรมากครับเดินไปเช่าจักรยานปั่นเล่นไปนู้นนี่ กินข้าว นอนเปล ฟังเพลง อ่านหนังสือ ในส่วนของปายคงไม่รีวิวเป็นรายวันนะครับขอรวมตั้งแต่ day 7 ถึง day10 เป็นรูปมาให้ดูยาวๆเลยหล่ะกัน ^^

ภาพที่พักถ่ายเพิ่มเติมช่วงเวลากลางวัน


เปลที่ห้องพัก ส่วนตัวไม่มีใครแย่งเหมาะกับการนอนอ่านหนังสือมาก


บ้านหลังที่พักครับ


สนามหญ้าติดกับที่พักเลย ตรงต้นไม้หนาๆเป็นแม่น้ำปาย


อันนี้บรรดาร้านที่เข้าไปกินแล้วไม่ลืมถ่ายรูป เอามาฝากครับ

ร้าน Pai siam อยู่ถนนคนเดิน


ร้านกาแฟ madame ju coffee

อยู่สีแยกเดียวกับร้านอาหารน้องเบียร์ อยู่มุมตรงข้ามกันเลย ตกแต่งวินเทจสวยๆ


ร้าน Medio de pai


ร้าน i'p Burger & Grill

จากถนนคนเดินเข้าซอยวันเฉลิมไปแค่ 5 เมตร ร้ายอยู่ซ้ายมือ จริงๆมองเห็นจากถนคนเดินได้เลย เมนูที่สั่งทีแรกจะกินเบอร์เกอร์เนื้อนกกระจอกเทศแต่หมด เลยเปลี่ยนเป็นเบอร์เกอร์เนื้อจรเข้ครับ
ไม่เคยกินเนื้อแบบนี้เลยลองดู สั่งรวมโค้กกระป๋อง ราคา 105 บาท

หลังจากลองกินแล้วอร่อยดี ไม่เหม็นสาป ไม่เหนียว ไม่เลี่ยน ไม่เอาอีกแล้ว เอ้ยยยย....ล้อเล่นๆๆๆ อร่อยดีครับชอบๆ


ร้าน " ประถม ๑ "

เปลี่ยนชื่อจากร้านเดิมคือ ร้าน All About Coffee ชอบเครื่องดึ่มที่นี่เข้นข้นดี


อันนี้น้ำบีทรูทปั่นเข้มข้นเหมือนกัน แอบตกใจตอนมาเสริฟนึกว่าเลือด


ร้าน Lemon Thyme cafe

อยู่ข้างๆกับที่พัก Villa De Pai เลย เป็นร้านเล็กๆน่ารัก


แนะนำเลยเมนูนี้ น้ำมะม่วง+เสาวรสปั่น ข้นสะใจและเหลือเม็ดเสาวรสให้เคี้ยวกรุบกรับด้วย อร่อยและเพลินฟัน


บรรยากาศระหว่างเดินเล่น หรือปั่นจักรยานระหว่างวัน

เมืองนี้มันเหมาะจริงๆกับการปั่นจักรยานมีอะไรให้ดูเย่อะแยะ รักจริงๆ " นครอาร์ต " ของผม ^_^


ส่วนอันนี้คือ landmark ที่สำคัญของคนที่มาที่นี่ คือถนนคนเดินครับ


=====================================================================================

Day 11 : ปาย


หลังจากอยู่ได้ 5 วัน เงินจะหมดเลยต้องแพลนกลับในวันรุ่งขึ้น เมื่อวานก็เลยโทรไปจองตั๋วรถบัสของ นครชัยแอร์ ที่เบอร์ 1624 แล้วทางนั้นจะแจ้งเลขการจองมาให้เราไปจ่ายเงินที่ 7-11 ซึ่งจองรอบ 12.05 น. ไปถึงกรุงเทพ 21.30 น. เป็นชั้น First Class ราคา 778 บาท แต่ช่วงนั้นมีโปรโมชั่นพอได้ได้ส่วนลดเหลือ 628 บาท ลดไป 150 บาทเท่ากับว่าลดไปเท่ากับค่าตั๋วรถตู้จากปายไปเชียงใหม่พอดีเลย อิอิ อ่อ…..ราคานี้ไม่รวม ค่าธรรมเนียมที่ไปจ่ายกับเคาท์เตอร์เซอร์วิสอีก 25 บาทนะครับ

จากนั้นปั่นจักรยานไปจ่ายเงินค่าตั๋วนครชัยแอร์ ซึ่งต้องเก็บ slip ใบเสร็จเอาไว้ไปยื่นที่เคาท์เตอร์ของนครชัยแอร์ที่ขนส่งอาเขตพรุ่งนี้


เสร็จแล้วก็ไปจองตั๋วรถตู้ของเปรมประชากลับเชียงใหม่พรุ่งนี้รอบ 7.00 น. ค่าตั๋ว 150 บาท เก็บ slip ไว้ให้ตอนขึ้นรถพรุ่งนี้เช่นกันครับ


อันนี้เป็นตารางเดินทางของรถตู้เปรมประชาจากปายนะครับ


=====================================================================================

Day 12 : ปาย - เชียงใหม่ - กทม


รีบตื่นมาแต่เช้า อาบน้ำ เก็บของบางส่วนที่เหลือ แล้วเดินออกมาเอากุญแจไปคล้องที่ประตูที่เคาท์เตอร์ของที่พัก

แวะกินโจ๊กรองท้องไว้ก่อน ราคา 30 บาท เพราะถ้าท้องว่างเดี๋ยวระหว่างทางจะเมารถ

7.00 น. ออกเดินทาง

10.00 น. ถึงขนส่งอาเขต เดินไปฝากกระเป๋าที่ร้านกาแฟเล็กๆหน้าบริษัทนครชัย
แต่เนื่องจากยังมีเวลาอีกพอสมควรเลยออกไปเดินหากาแฟกินที่ห้างข้างๆ นั่งกินกาแฟที่ร้านกาแฟวาวีระหว่างรอรถสักพักก้อเดินกลับไปที่เคาท์เตอร์ขายตั๋วของนครชัย เอา slip ใบเสร้จไปยืนยันเพื่อรับตั๋วจริง เสร็จแล้วก็ไปเอากระเป๋าที่ไปฝากไว้ ค่าฝาก 20 บาท

12.05 น. รถออกเดินทาง ระหว่างทางก็จะมีอาหารให้ 1 มื้อนะครับ เพราะรถของนครชัยจะไม่จอดทานข้าวเหมือนบริษัทอื่นๆ

ภายในรถครับ


อาหารที่เตรียมไว้ให้ครับ


21.30 น. ถึงกทม ภายในรถตอนดึกๆนี่เปิดเพลงตี๊ดๆหน่อยนี่ใช่เลย ^ ^


ตอนผมไปเป็นหน้าฝนยังสุขได้ขนาดนี้ ตอนนี้หน้าหนาวลองไปกันดูครับ หาเวลาว่างๆพาร่างกายไปพักผ่อน สูดอากาศบริสุทธิ์ ลองเที่ยวและเดินทางแบบนี้ดูระหว่างทางมันมีอะไรให้ดูให้เจอเย่อะแยะครับ

จบเรียบร้อยแล้วครับทริปนี้ หวังว่าข้อมูลจะเป็นประโยชน์สำหรับคนที่กำลังหาที่เที่ยวภาคเหนือบางที่นะครับ


เจอกันทริปหน้า ขอบคุณครับ


Notes from Backpacker

 วันพฤหัสที่ 28 มกราคม พ.ศ. 2559 เวลา 09.55 น.

ความคิดเห็น