ตอนที่1 https://th.readme.me/p/1848

ตอนที่2 @ Bagan https://th.readme.me/p/1864

ตอนที่3 @ Inle https://th.readme.me/p/1871

ตอนที่4 @ Pyin Oo Lwin https://th.readme.me/p/1872

ตอนที่5 @ Mandalay-Mingun https://th.readme.me/p/1873

ตอนที่6 @ Bago-Kyaikh tiyo https://th.readme.me/p/1874


ตอนที่7 @ Yangon https://th.readme.me/p/1875



คุยกันในนี้ได้นะครับ https://www.facebook.com/NotesfromBackpacker/


---------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

Day 12 Kyaikh tiyo - Yangon

ตื่นมาตั้งแต่ 7 โมงเช้าเพื่อให้ทันอาหารเช้าก่อนออกเดินทาง

อาหารเช้าของที่พักจะมีขนมปังปิ้ง 3 ชิ้น , กาแฟหรือชาร้อน , ไข่ดาว/เจียว/ต้ม เลือกได้1อย่าง


รถบัสที่ได้จะจอดที่หน้าร้านขายตั๋วจากที่พักเดินมาใกล้นิดเดียวเพราะร้านขายตั๋วอยู่ตรงข้ามกับร้านอาหารของที่พักเลย


ภายในรถนั่งสบายๆไม่แคบมากและแอร์เย็นตอนจองตั๋วเลือกที่นั่งขวาสุดเพราะดูจากแผนที่แล้วเดินทางช่วงเช้านั่งฝั่งนี้ไม่เจอแดด



หลังจากออกเดินทางแล้วก็จอดรับคนระหว่างทางเป็นระยะจนต้องดึงเก้าอี้ที่พักไว้มาเป็นที่นั่งเสริมตรงกลาง

รถออกเดินทาง 8.10 น. จนมาถึงจุดจอดพักที่เวลา 11.30 น. เพื่อให้ทานข้าวเที่ยงจุดนี้ให้เวลาครึ่งชั่วโมง

มื้อนี้สั่งแกงไก่ 2,000 จั๊ต



12.40 น. ถึงย่างกุ้งรถจะจอดที่ขนส่งอองมินกาลาหลังจากเดินทางมาประมาณ 4 ชั่วโมงและแดดที่ย่างกุ้งก็แรงแผดเผามากเหมือนเดิม พอลงจากรถไปก็จะมีพี่ๆลุงๆ taxi มารุมล้อม จากราคาที่หามาถ้าจะไปลงแถวสุเลราคาจะประมาณ 6,000 จั๊ต ซึ่งแต่ละคนจะเปิดราคามาที่ 8,000 จั๊ต หรือ 10,000 จั๊ต(เปิดแอร์) แต่ผมอยากได้ที่ 5,000 จั๊ตต่อไปก่อนเผื่อได้ ซึ่งต่อไปต่อมาราคาที่เค้าลดมาให้ได้คือ 6,000 จั๊ตตามที่หาข้อมูลมา แต่พอจะตัดสินใจผีงกเข้าสิงเลยเดินออกมาจากขนส่งแล้วข้ามถนนไปขึ้นรถเมล์สาย 43 เหมือนเดิมดีกว่าถูกกว่ากันเย่อะเลย เดินมารอรถไม่ถึง 5 นาทีรถมาพอดีคราวนี้จำรถได้เลยสบาย

ขึ้นไปนั่งริมซ้ายครับแดดไม่ส่องแต่ค่ารถเที่ยวนี้ทำไมคิด 400 จั๊ตหว่าาาา ???



14.00 น. ลงที่เจดีย์สุเลพญา แล้วเดินไปที่ถนน Anawratha Rd. เดินไปประมาณ 200 เมตรจะเจอซอย 30 ให้เดินเลยไปห้องที่ 4 จะมีป้ายเล็กๆของที่พักชื่อว่า 30th corner boutique hostel ที่พักที่อยู่ใน list ของผมจริงๆอยู่ในอันดับกลางๆแต่ถึงก่อนเลยขอแวะดูที่นี่ เดินไปชั้นที่ 2 จะมีเคาท์เตอร์ให้ติดต่อ ซึ่งไปดูห้องแล้วตกลงพักห้องดอร์มแบบ 4 เตียงราคา 10 usd ส่วนราคาห้องอื่นๆก็แบบSingle bed 25usd ห้องdouble bed 35 usd จากทำเลที่พักสามารถเดินไปตลาดสก๊อต 500 เมตร เดินไปเจดีย์สุเลพญา 500 เมตร และเดินไป china town 1.1 km ของกินเยอะแยะครับตรงนี้

ปากซอย30 เดินเลยไปอีก3ห้องก้จะเจอทางขึ้น


ห้องที่4จากด้านซ้ายมือทีมีป้ายเขียวใหญ่ๆอยู่ด้านบน สังเกตุด้านล่างจะมีป้ายสีขาวๆเล็กๆเขียนชื่อที่พักอยู่เดินขึ้นไปได้เลย


เคาท์เตอร์ที่ติดต่อ


น้ำดื่มฟรีขวดสวยด้วย


โถงทางเดินส่วนกลาง


ห้อง Dorm แบบ 5 เตียงคืนละ 10 usd เป็นห้องแอร์ห้องใหม่สะอาด ส่วนห้องน้ำอยู่ด้านนอกแชร์กัน ราคานี้รวมอาหารเช้าด้วยครับ


มีตู้ให้เก็บของด้วย



หลังจาก check in เรียบร้อยแล้วก็ออกไปเดินเล่นๆจนถึงเจดีย์สุเลพญาข้างๆกันมีสวนสาธารณะเลยแวะไปดูเห็นมีคนมาเยอะดี

Mahabandula Garden สวนสาธารณะและมีอนุเสาวรีย์อยู่วันนี้เป็นวันเสาร์เลยมีคนมาเย่อะหน่อยคึกคักดี


มีสวนเด็กเล่นด้านในด้วย


ตึกสไตล์ยุโรปได้รับอิทธิพลจากที่อังกฤษเคยมาปกครองที่นี่


เจอฝรั่งนั่งดูดวงริมรั้วสวนสาธารณะสงสัยจะแม่นถึงกับเดินทางไกลมาดูเลย 555


เจดีย์สุเลพญาอยู่ติดกับสวนสาธารณะฯ พอดีเดินดูวิวจากด้านบนสะพานเลยและเจอทางเข้าพอดีเลยเข้าประตูนี้เลยค่าเข้า 4,000 จั๊ต แต่ข้อมูลที่หามาแค่ 2 usd


ชาวบ้านกำลังช่วยกันกวาดลานรอบๆเจดีย์


หลังจากนั้นเดินย้อนไปตลาดสก๊อต ระหว่างทางเดินผ่านซอยแต่ละที่ก็จะมีที่พักตึกแถวเบียดๆกันเป็นสีลูกกวาดเต็มไปหมด เท่าที่ดูหน้าตาคนแถวนี้ออกแขกๆหน่อย


ตึกหลัคาแดงๆนั่นคือตลาดสก็อตหรือตลาดโบโจ๊กอองซาน


ผ้าสีสันแสบสวยงาม


เห็นนั่งยองๆกันแบบนี้ คือนั่งส่องซื้อขายพลอยกันอยู่นะเนี๊ยะ



พอตกเย็นก็เดินไปที่ย่าน China town อยู่บนถนน Mahabandula (ขนานกับถนน Anawratha rd.) ซึ่ง china town จะมีของขายเย่อะสุดที่บริเวณซอย 15-19 แต่วันนี้เดินดูแป๊ปเดียว

แวะกินอาหารตามสั่งใน china town สั่งเมนูตามคนข้างๆเลยเป็นผัดผักรวมกับวุ้นเส้นเรียกว่า มาลาเฮ๊ มื้อนี้ 2,000 จั๊ต มาเย่อะมาก


เสร็จแล้วก็กลับที่พักไปนั่งเล่นที่ Lobby อ่านหนังสือเล่นแล้วก็เข้าที่พักซึ่งวันนี้ห้องทั้งห้องมีผมพักคนเดียวสบายเลย 555


---------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

Day 13 Yangon

ตื่นมา 8โมงกว่า อาบน้ำและเก็บของใส่กระเป๋าให้เรียบร้อยเพราะไม่รู้ว่าระหว่างวันจะมีคนมาพักที่ห้องเพิ่มหรือป่าวเสร็จแล้วไปกินอาหารเช้าที่ที่พักเตรียมไว้ให้

เป็นโรตีเปล่าๆให้กินกับกาแฟ ง่ายมากๆ ^^ เสร็จแล้วลงไปจ่ายค่าห้องเพิ่มอีก 1 คืน 10 usd และให้ที่พักหา Taxi มารับวันพรุ่งนี้ตอนตี 5 เพื่อไปสนามบินเค้าคิดราคา 8,000 จั๊ต อันนี้ไม่อยากหาเองข้างนอกอาจจะได้ราคาถูกกว่าที่พักหาให้แต่กลัวนัดแล้วไม่มาเลยให้ที่นี่หาให้ชัวร์ๆดีกว่า พอทุกอย่างเรียบร้อยก็เดินออกไปในซอย 26 เพราะซอยนี้ตอนเช้าๆจะมีตลาดสดทั้งซอยมีของมาวางพื้นขายตลอดตั้งแต่ปากทางของซอยทางฝั่งถนน Anawratha Rd. ไปจนสุดปากซอยอีกด้านที่ติดกับถนน Mahamandula


ระหว่างทาง


ที่พม่าก็กินปลาร้าเหมือนบ้านเรานะครับ ในถังนั่นหล่ะ


หลังจากนั้นเดินออกมาที่ถนน Mahamandula หาTaxi ไปวัดโปต๊ะทาวน์เพื่อไปสักการะเทพทันใจ


รถที่ได้ครับค่ารถ 2,000 จั๊ต



เจดีย์โปต๊ะทาวน์ Botahtaung Pagoda

ประว้ติ เจดีย์โบดาทาวน์ แปลว่า เจดีย์นายทหาร 1000นาย ตามตำนานเล่าขานว่า เมื่อราว 2000 ปีก่อน พระเจ้าโอกะลาปะ กษัตริย์มอญทรงบัญชาให้นายทหารระดับแม่ทัพตั้งแถวถวายสักการะแด่พระเกศาธาตุ ที่นายวาณิชสองพี่น้องอัญเชิญมาทางเรือและมาขึ้นฝั่งเมืองตะเกิงหรือดากอง ณ บริเวณนี้ จึงสร้างเจดีย์โบตะทาวน์ไว้เป็นที่ระลึก พร้อมทั้งแบ่งพระพุทธเกศา 1 เส้น มาบรรจุไว้ ก่อนนำไปบรรจุในมหาเจดีย์เวดากองและเจดีย์สำคัญอื่นๆ เจดีย์โบดาทาวน์จึงเป็นหนึ่งในมหาบูชาสถานของชาวมอญและพม่าเรื่อยมา จนกระทั่งเกิดสงครามโลกครั้งที่2 เครื่องบินฝ่ายสัมพันธมิตรได้ทิ้งระเบิดถล่มย่างกุ้ง ทำให้เจดีย์โบดาทาวน์องค์เดิมถูกทำลายพินาศ แต่ในระหว่างการบูรณะได้ค้นพบผอบทรงสถูปบรรจุพระเกศธาตุและพระบรมสารีริกธาตุ

ครั้นเมื่อเจดีย์โบดาทาวน์องค์ใหม่ สร้างเสร็จในปี พ.ศ. 2496 จึงนำพระเกศธาตุมาบรรจุในมณฑปครอบแก้วใส ประดิษฐาน ณ ใจกลางเจดีย์ และทำช่องทางให้พุทธศาสนิกชนเดินเข้าไปดูและสักการบูชาได้อย่างใกล้ชิด

นอกจากนี้ยังมีสิ่งที่นาชมในอาณาบริเวณเจดีย์โบดาทาวน์คือ พระพุทธรูปทองคำ ประดิษฐานในวิหารด้านขวา ซึ่งเป็นพุทธรูปปางมารวิชัยที่มีพุทธลักษณะงดงามยิ่งนัก ตามประวัติว่าเคยประดิษฐานอยู่ในพระราชวังมัณฑะเลย์ ครั้นเมื่อพม่าตกเป็นอาณานิคมอังกฤษในปี พ.ศ. 2428 ถูกเคลื่อนย้ายไปยังพิพิธภัณฑ์กัลกัตตาในอินเดีย ทำให้รอดพ้นจากระเบิดของฝ่ายสัมพันธมิตรที่ถล่มวังมัณฑะเลย์ ต่อมาในปี 2488 พระพุทธรูปองค์นี้ถูกจัดไปแสดงที่พิพิธภัณฑ์วิกตอเรียและแอลเบิร์ต นอกจากพระพุทธรูปทองคำแล้ว ยังมี พระเขี้ยวแก้ว ซึ่งเก็บรักษาไว้ในตู้กระจก อยู่ใกล้ๆกับวิหารพระทองคำ และด้านซ้ายมื้อจะมีรูปปั้น นัตโบโบจี หรือ เทพทันใจ ซึ่งชาวมอญและพม่านิยมมากราบไหว้บูชา ด้วยเชื่อว่าอธิษฐานขอสิ่งใดแล้วจะสมปรารถนาทันใจ

ค่าเข้า 3 usd หรือจะจ่ายเป็นจั๊ตก็ 4,000 จั๊ต ซึ่งเปิดแอพอัตราแลกเปลี่ยนเงินแล้วจ่าย usd ถูกกว่านิดหน่อยแต่ก็ยังเลือกจ่ายเป็นจั๊ตเพราะต้องการใช้


แบงค์จั๊ตให้หมด

พอเข้าไปก็ต่อแถวได้เลยครับ เป็นแถวที่จะเข้าไปไหว้สักการะพระธาตุฯ


พระเกศาธาตุ


ด้านในมีคนมานั่งสวดมนต์ตามมุมต่างๆในห้องสีทอง ทั้งสวยทั้งสงบ



หลังจากนั้นก็เดินตามทางไปเรื่อยๆก็จะออกไปเจอทางออกติดกับเจดีย์โปต๊ะทาวน์จากตรงนี้เดินไปก็จะเจอทางเดินสะพานข้ามสระน้ำเล็กๆในวัด ศาลาตรงนี้จะมีเทพทันใจอยู่ ระหว่างนี้ซื้อชุดเครื่องไหว้สักการะชุดเล็ก 3,000 จั๊ต แล้วก็ยืนต่อแถวรอไหว้ขอพรเทพทันใจได้เลยขั้นตอนไม่ยาก ก็ม้วนแบงค์ไป 2 ใบ(แต่ถ้าจะเอาไปฝากคนอื่นด้วยก็ทำเผื่อไป ซึ่งผมจะเอาไปฝากอีก2คนเลยต้องทำทั้งหมด 3 คู่ และแต่ละคู่ต้องซ้อนกันไว้ ) พอถึงคิวเราก็ยกเครื่องไหว้ไปถวายแล้วเอาแบงค์ที่ม้วนไปสอดไว้ในมือข้างขวาของเทพทันใจ(มือที่ชี้) จากนั้นเอาหน้าผากเราไปแตะที่ปลายนิ้วที่ชี้ของเทพทันใจแล้วพนมมือขอพร 1 ข้อ พอขอเสร็จก็เอาแบงค์ที่ซ้อนด้านบนออกมาเก็บไว้เพื่อเป็นมงคล จากนั้นก็เอาผ้าสะใบที่อยู่ในถาดเครื่องไหว้ออกมาห่มที่

เดินออกมาทางเดิมที่เข้าไปสักการะพระธาตุจะมีอาคารฝั่งตรงข้ามเพื่อสักการะเทพกระซิบ


จากนั้นก็เดินออกมาจากวัดที่ปากทางจะมีรถ Taxi เลยเข้าไปสอบถามราคาไปวัดงาทั๊ตจีราคาที่เค้าเสนอมาคือ 5,000 จั๊ตแพงเกินไปเลยเดินข้ามถนนไปแล้วรอโบกแท็กซี่ได้ที่ราคา 2,500 จั๊ต ถูกกว่าตั้งครึ่งนึงแหน่ะ ใช้เวลาเดินทางแค่ 10 นาทีก็ถึง



วัดงาทั๊ตจี Nhg Htat Gyi Pagoda

สำหรับที่นี่เข้าฟรีครับ

ประวัติ หลวงพ่องาทัตจี แปลว่า หลวงพ่อที่สูงเท่าตึก 5 ชั้น เป็นพระพุทธรูปปางมารวิชัยที่แกะสลักจากหินอ่อน ทรงเครื่องแบบกษัตริย์ เครื่องทรงเป็นโลหะ ส่วนเครื่องประกอบด้านหลังจะเป็นไม้สักแกะสลักทั้งหมด และสลักป็นลวดลายต่างๆ จำลองแบบมาจากพระพุทธรูปทรงเครื่องสมัยยะตะนะโบง (สมัยมัณฑะเลย์)

จากนั้นข้ามถนนมาแล้วเดินขึ้นไปอีก 400 เมตรก็ถึงวัดเจ๊าทั๊ตจี Chauk Htat Gyi จากข้อมูลที่หามาที่นี่เสียค่าเข้า 2 usd แต่ผมไม่เห็นมีจนท.มาเก็บและไม่เห็นป้อมเก็บเงินด้วยก็เลยปล่อยเลยตามเลย ^^



วัดเจ๊าทั๊ตจี Chauk Htat Gyi

ประวัติ วัดเจ๊าทัตจี หรือ พระพุทธไสยาสน์เจาทัตยีหรือพระนอนตาหวาน เป็นพระนอนปางพุทธไสยาสน์องค์ใหญ่มีความยาวกว่า 70 เมตร อยู่ในเมืองย่างกุ้งซึ่งเป็นพระนอนที่ใหญ่ที่สุดในประเทศพม่าคนไทยเรียกพระนอนตาหวาน เพราะนอกจากดวงพระเนตรของพระพุทธรูปที่วาดไว้อย่างสวยงามแล้วยังมีขนตางอนงามอีกด้วยส่วนลูกนัยน์ตาทำด้วยแก้วที่สั่งผลิตเป็นพิเศษจากประเทศญี่ปุ่น ทำให้มองดูแล้วเหมือนมีชีวิตราวกับมีน้ำหล่อเลี้ยงอยู่ภายใน นอกจากนี้จีวรยังได้รับการตกแต่งให้ดูพลิ้วสวยงามเหมือนผ้าครองจริง ๆ ใต้พระบาทที่วางไว้ไม่เสมอกันนั้น มีการวาดลวดลายสวยงาม ว่าด้วยสิ่งที่เป็นมงคล ประกอบด้วย ธรรมจักร มงคล 108 ประการ แสดงโลกทั้ง 3 คือเครื่องหมาย 59 ประการ แสดงถึงอากาศโลก เครื่องหมาย 21 ประการ แสดงถึงสัตว์โลก และเครื่องหมาย 28 ประการ แสดงถึงสังขารโลก และยังมีเครื่องหมายพระเจ้าจักรพรรดิ์รวมอยู่ในนั้นด้วย

ทางเข้า


กลางฝ่าพระบาทและล้อมด้วย รูปมงคล 108 ประการ


ตามฉายาว่าเป็นพระนอนตาหวาน แต่ผมดูแล้วหน้าหวานมากกว่านะ


ในรูปจะเป็นองค์เดิม


วันนั้นที่ไปมีการแสดงด้วย ไม่รู้ว่ามีทุกวันหรือวันที่ไปเป็นวันพิเศษอะไร


เสร็จแล้วเดินข้ามมาจะมีเต็นท์ขายข้าวอยู่มื้อนี้ 1,500 จั๊ต หลังจากมื้อเที่ยงเรียบร้อยแล้วก็เดินข้ามถนนมาหน้าวัดโบก Taxi ไปลงตลาดสก็อตคิดราคา 2,500 จั๊ต ใช้เวลาไม่ถึง 20 นาทีก็ถึง

ก่อนถึงตลาดสก็อตมีโบสถ์ที่อยู่ติดกันเลยขอลงตรงนี้แล้วเดินเข้าไปดู ที่นี่คือ Holy trinity anglican Church ตอนเข้าไปเข้ามีพิธีพอดี

เดินขึ้นมาเป็น ตลาดสก๊อต Scott Market หรือตลาดโบโจ๊กออกซาน Bogyoke Aung San Market


ประวัติ ตลาดสก๊อต (Scott Market) หรือเรียกอีกอย่างว่า ตลาดโบยกอองซาน (Bogyoke Aung San Market) ตลาดสก๊อต หรือ ตลาดโบยกอองซาน สถานที่ช็อปปิ้งที่มีชื่อเสียงมากที่สุดในประเทศพม่า เป็นแหล่งศูนย์รวมของฝากทุกชนิด เป็นตลาดที่มีสินค้าหลากหลายมาก ตั้งแต่อาหารนานาชนิด เสื้อผ้า ของที่ระลึกต่างๆ เครื่องเงิน, อัญมณี , ไม้แกะสลักพระพุทธรูปเทวรูปที่ทำด้วยไม้จันทน์, เครื่องแกะสลัก, เครื่องลงรักปิดทองต่างๆ, ถ้วยชามกังไสจีนโบราณ, โคมไฟแก้ว และแจกันเจียระไนโบราณ, นาฬิกาข้อมือเก่า, ผ้าไหมลายต่างๆ ไปจนถึงบรรดาว่านต่างๆเช่น ว่านหงสาวดี ภาพวาดสีน้ำมันรูปทิวทัศน์ของพม่า, สินค้าจากชนกลุ่มน้อย ฯลฯ ตลาดนี้สร้างโดยนายสก๊อต ชาวอังกฤษ ตลาดสก๊อต เป็นตลาดที่ใหญ่ที่สุด มีอาคารหลายหลังเชื่อมต่อกันหลายหลัง มีสินค้าวางขายแทบทุกชนิด

หลังจากเดินหาผ้าห่มที่แม่ฝากซื้อแต่ไม่เจอเลยเดินออกไปตึกข้างๆคือห้าง Parkson ด้านหน้าห้าง Parkson จะมีร้านกาแฟ 2 ร้าน เข้ามาร้านขวามือร้านตกแต่งสวยดีชื่อร้าน Barboon Dutch Deli Espresso bar ขอนั่งพักในร้านสวยๆสักหน่อยคนนั่งเต็มร้านส่วนใหญ่จะเป็นนักท่องเที่ยวเกือบทั้งหมด สั่งเอสเพรซโซ่ปั่นแก้วใหญ่ 3,300 จั๊ต(140 บาท) ราคาพอได้เลยนะ ^^


ฝั่งตรงข้ามมี KFCที่แวะกินที่มาพม่าวันแรก



นั่งสักพักใหญ่ก็เดินกลับไปที่พักเพื่อเอาแบตฯกล้องไปชาร์จเพราะตอนเย็นจะต้องไปเจดีย์ชเวดากองต่อด้วยเดิน china town ต่อ พอไปถึงที่พัก พนง.ที่เคาท์เตอร์แจ้งว่าเค้าย้ายกระเป๋าผมไปอีกห้องนึงเพราะว่าห้องที่พักเมื่อวานแบบ 5 เตียงวันนี้มีคนมาพักพอดี 4 คนมาเป็นกรุ๊ปเป็นผู้หญิงเค้าเลยกลัวเราอึดอัดเลยย้ายของมาให้พักเป็นแบบห้อง Twin bed กับผู้ชายด้วยกัน (รู้ได้ไงว่าอึดอัดชอบจะตาย ไม่ถงไม่ถามก่อนเล้ยยย 555 )

ห้องใหม่ครับแบบ Twin bed เอาของเก็บแล้วก็รีบชาร์จแบตฯกล้อง นอนรอสักงีบนึง



16.00 น. เดินลงไปหา Taxi ไปเจดีย์ชเวดากองได้ที่ราคา 2,000 จั๊ต เป็นครั้งแรกในพม่าที่ได้นั่ง Taxi เปิดแอร์เย็นฉ่ำไม่อยากให้ถึงเร็วๆเลย สักพักรถก็มาจอดทางเข้าเจดีย์ฝั่งที่มีลิฟท์แต่ไม่ได้ขึ้นลิฟท์ไป เดินขึ้นบันไดไปปกติแล้วจะเจอป้อมขายตั๋วค่าเข้าชมจ่ายค่าเข้าคนละ 8,000 จั๊ตและวันนี้ใส่กางเกงขาสั้นมาแล้วดันลืมพกลองยีมาด้วย แต่พอดีที่ป้อมเค้ามีลองยีขายหรือยืมก็ได้ ผมเลือกอย่างหลังแต่ต้องเสียค่ามัดจำ 5,000 จั๊ต เงินมัดจำจะได้ตอนคืนลองยี


Shwedagon Pagoda

ประวัติ พระมหาเจดีย์ชเวดากอง เป็นศาสนสถานและสิ่งศักดิ์สิทธิคู่บ้านคู่เมืองของชาวพม่า ตั้งอยู่บริเวณเนินเขาเชียงกุตระ เมืองย่างกุ้ง ประเทศพม่า เชื่อกันว่าเป็นมหาเจดีย์ที่บรรจุพระเกศาธาตุของพระพุทธเจ้าจำนวน 8 เส้น โดยความหมายคำว่า ชเว แปลว่า ทอง, ดากอง เป็นชื่อเดิมของเมืองย่างกุ้ง เรียก ตาโกง แปลรวมว่า ทองแห่งเมืองดากอง

พระ มหาเจดีย์ชเวดากอง มีประวัติศาสตร์เก่าแก่ยาวนานกว่า 2,500 ปี ตั้งแต่ครั้งของนครย่างกุ้งยังเป็นของชาวมอญ ตามตำนานเล่าว่า มีพ่อค้าชาวมอญ 2 คน ชื่อว่า ตผุสสะ และ ภัลลิกะ ได้เดินทางไปค้าขายยังประเทศอินเดีย ทั้งสองได้มีโอกาสเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้า ซึ่งกำลังประทับอยู่ใต้ต้นพระศรีมหาโพธิ์ และได้ถวายภัตตาหารแด่พระองค์ หลังจากเสวยเสร็จแล้ว พระพุทธเจ้าได้ประทานพระเกศาให้ 8 เส้น เมื่อ ตผุสสะ และ ภัลลิกะ เดินทางกลับ พระราชาแห่งอเชตตะได้ขอแบ่งพระเกศธาตุไป 2 เส้น พญานาคขอไปอีก 2 เส้น เมื่อเดินทางกลับถึงเมืองอสิตันชนะ พระเจ้าโอกกะละปะก็ได้ทรงประกอบพิธีต้อนรับพระเกศธาตุอย่างยิ่งใหญ่

และได้ทรงคัดเลือกสถานที่บนเขาสิงฆุตตระ นอกประตูเมืองอสิตันชนะ ให้เป็นที่สร้างพระเจดีย์ เพื่อบรรจุพระเกศธาตุ แต่ขณะที่กำลังทำการขุดดินก่อสร้างนั้น ก็ได้ค้นพบพระบริโภคเจดีย์ของอดีตพระพุทธเจ้าองค์อื่น ๆ อีก 3 พระองค์ด้วย คือ ไม้ธารพระกร ภาชนะสำหรับใส่น้ำ และสบง จึงได้บรรจุของทั้งหมดนี้ในพระเจดีย์พร้อมกับพระเกศธาตุด้วย แต่ก่อนที่จะบรรจุก็ค้นพบด้วยว่า พระเกศธาตุกลับมี 8 เส้นดังเดิม พระเกศธาตุได้บรรจุไว้ภายในเจดีย์ทอง เงิน ดีบุก ทองแดง ตะกั่ว หินอ่อน และเหล็กตามลำดับ เสร็จแล้วจึงสร้างเจดีย์อิฐสูง 9 เมตรทับไว้ในชั้นแรก

ต่อมาพระยาอู่แห่งเมืองหงสา ได้ต่อเติมเจดีย์ให้สูงขึ้น 22 เมตร พระเจดีย์ได้ถูกซ่อมแซมเรื่อยมา จนมามีความสูง 120 เมตร ในสมัยพระเจ้ามังระใน พ.ศ 2473 ได้เกิดแผ่นดินไหวอย่างหนัก ทำให้ยอดของพระเจดีย์หักถล่มลงมา รัฐบาลพม่าและประชาชนช่วยกันบริจาคยกฉัตรขึ้นใหม่ดังที่เห็นปัจจุบัน

ทั้งนี้ ภายในเจดีย์ชเวดากอง จะมีลานอธิษฐานสมปราถนา (ภายในกระเบื้องรูปดาว) ที่ชาวพม่าเชื่อกันว่าถ้าได้มานั่งอธิษฐานขอสิ่งใดก็จะสมปราถนา มีเจดีย์รายล้อมเจดีย์ชเวดากอง ซึ่งผู้ที่เข้ามานมัสการหรือเยี่ยมชมจะต้องถอดรองเท้าทุกครั้ง และเมื่อมาถึงทางเข้า ให้เดินตามเข็มนาฬิกา ขึ้นอยู่กับดวงวันเกิดของผู้เข้าที่จะดูตาม 12 นักษัตร รอบ ๆ พระเจดีย์ก็มีศาลเจ้าเล็ก ๆ อยู่รายรอบ

ทางเข้า


ตั๋ว


ทองอร่ามสวยงาม ชอบจริงๆ


ตักน้ำสรงที่องค์พระประจำวันเกิดจำนวดเท่ากับอายุ+1 เล่นเอาซะเมื่อยแขนเลย ^^


ที่เจดีย์ชเวดากองมาแล้วอบอุ่นครับเจอคนไทยเย่อะมากๆ ^^


ใครมาที่ชเวดากองแนะนำว่ามาตอนบ่ายแก่จนถึงหัวค่ำจะได้เห็นวิวตั้งแต่ฟ้ายังสีฟ้าจนมืดเปิดไฟสวยถือว่ามาคุ้มเลยทีเดียวครับ



หลังจากอยู่ตั้งแต่บ่าย 4 จนถึงเกือบ 2 ทุ่มก็เดินออกมาทางเดิมและตรงบันไดก็มี Taxi จอดรถอยู่เลยเข้าไปตกลงราคาได้ที่ 2,000 จั๊ตไปลงที่ china town คันนี้ก็เปิดแอร์เย็นฉ่ำอีกเช่นเคยแต่คราวนี้นั่งคุ้มเงินเพราะรถติด เดินทาง 30 นาทีจนถึง china town ขอลงแถวๆปากซอย 19 เพราะซอยนี้จะมีบาร์บีคิวพม่าขายเย่อะกว่าที่อื่นๆ

สั่งมา 6 ไม้มี หนังหมูไม้ละ 600 จั๊ต , บาร์บีคิวหมูสามชั้นไม้ละ 600 จั๊ต , ไส้กรอก 500 จั๊ต , กุนเชียง 500 จั๊ต , กระเจี๊ยบไม้ละ 200 จั๊ต แล้วสั่งต้มเลือดหมูร้านตรงข้ามกับข้าวเปล่ามาอีก มื้อนี้รวมทั้งหมด 4,200 จั๊ต รสชาติอร่อยแบบพอกินได้แต่บรรายากาศได้เต็มๆ ^^



เดินกลับย้อนมาเพื่อกลับที่พักเจอร้านขายของหวานเลยลองแวะกินสั่งเมนูฟารูดะ ( Faluda )แก้วละ 1,300 จั๊ต หอมอร่อยมากคลายร้อนได้ดีเลยเป็นไอศครีมนมสดทรงเครื่องเลย มีคัสตาร์ท,วุ้น โปะด้วยไอศครีมแล้วราดด้วยนมสด ใส่น้ำแข็ง2ก้อนแล้วคนให้เย็นๆ ค่อยๆตักกินสดชื่นมากๆ

พอกินไอศครีมเสร็จแล้วเดินกลับมาที่พักคุยกับเพื่อนร่วมห้องคนใหม่สักหน่อยเป็นหนุ่มจากญี่ปุ่นแบ็คแพคมาเที่ยวเริ่มจากไทยแล้วนั่งบัสจากไทยเข้าพม่าจนถึงย่างกุ้งแล้วจะต่อรถไปเที่ยวอินเลกับพุกามต่อแล้วจะนั่งบัสจากที่นั่นผ่านรัฐฉาน(ไทยใหญ่)แล้วเข้าลาวไปเลยไม่ผ่านไทย ซึ่งพอฟังแล้วเลยแนะนำให้ไปถามพนักงานที่เคาท์เตอร์ดีกว่านะจะแนะนำเส้นทางให้ได้เพราะน้องแกไม่มีข้อมูลเลย ปรากฏว่าหลังจากไปขอคำแนะนำจากพนง.แล้วเค้าไม่แนะนำให้ไปเพราะต้องนั่งรถผ่านพื้นที่ที่มีข้อพิพาทระหว่างชนกลุ่มน้อยกับทหารพม่าค่อนข้างอันตราย เลยช่วยกันแนะนำให้ใช้เส้นทางเดิมกลับไทยก่อนแล้วค่อยเข้าลาวอีกที ไม่รู้จะฟังหรือเปล่าหวังว่าคงโชคดี หลังจากนั้นผมก็ให้ข้อมูลรถที่ไประหว่างมัณฑะเลย์,อินเล,พุกามกับน้องจากญี่ปุ่นต่อเสร็จแล้วก็ขอตัวไปอาบน้ำนอน เพราะพรุ่งนี้ต้องตื่นแต่เช้าไปสนามบิน


---------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

Day 14 : Yangon - Bkk

04.30 น. ตื่นมาอาบน้ำเก็บของแล้วรีบลงไปที่เคาท์เตอร์มองไปที่หน้าต่างเห็นมีแท็กซี่จอดอยู่ถามพนง.แล้วใช่คันนี้แน่นอนเลยลงไปขึ้นรถระหว่างทางคนขับเห็นฝรั่งยืนรอโบกรถอยู่พี่แกจอดรับซะงั้น และขับซิ่งมากถนนโล่งๆมันส์เท้าเค้าหล่ะ

05.15 น.ถึงสนามบินย่างกุ้งจ่ายเงินเท่าเดิม 8,000 จั๊ต พอเดินเข้าตัวอาคารจะมีจอด้านในบอกสถานะของแต่ละไฟลท์ ในส่วนไฟลท์ของผมยังไม่เปิดให้ check in เลยเอากระเป๋าไปสแกนติดแท็กทั้งเป้ใหญ่และเป้เล็กเสร็จแล้วก็เดินไปนั่งรอด้านในได้เลยรอเวลาเปิดให้check in

credit : yangon.net


เคาท์เตอร์ check in ของนกแอร์จะอยู่ขวามือสุดเลย


6.05 น. check in ใช้เวลาแค่ 5 นาทีเสร็จคนก็น้อยๆสบายๆ หลังจากนี้ก็เดินไปทางซ้ายมือจะมีบันไดเลื่อนให้ขึ้นไปชั้นบนจะเป็นร้านค้าขายของต่างๆ หลังจากแวะเข้าห้องน้ำเสร็จแล้วก็ไปหากาแฟกิน ใกล้ๆแถวนั้นจะมีร้านน่านั่งอยู่ร้านนึงชื่อร้าน Expace cafe เข้าไปสั่งคาปูชิโน่ร้อนราคา 5 usd แพงตามคาดเลยนั่งไปพักใหญ่แล้วก็เดินไป scan กระเป๋าแล้วก็เข้าไปนั่งรอใน Gate ที่นั่งใหญ่สบายแอร์หนาวมาก ภายในGateจะไม่มีร้านค้าเหมือนสนามบินบ้านเราเพราะฉะนั้นถ้าใครจะกินมื้อเช้าก็ให้เรียบร้อยก่อนเข้า Gate นะครับหรือไม่ก็มากินที่ไทยเลย และตอนยื่นเอกสารขาออกจากข้อมูลเราจะต้องเสียค่าธรรมเนียมขาออก 10 usd แต่ผมไม่เจอการเรียกเก็บเลยสงสัยจะเลิกเก็บไปแล้วมั้งครับ

เอกสารกรอกให้ครบ


หากาแฟดื่มตอนเช้าๆระหว่างรอ


ที่นั่งรอใน Gate credit : Myanmar.net



7.40 น. ขึ้นเครื่องถึงจะเป็นไฟลท์เช้าแต่ผู้โดยสารเต็มครับ

10.00 น. ถึงสนามบินดอนเมือง



หวังว่าข้อมูลจะมีประโยชน์สำหรับท่านที่เข้ามาอ่านนะครับ

จบสมบูรณ์แล้วสำหรับทริปนี้เดี๋ยวว่างๆจะหาเวลากลับไปใหม่นะ

ขอบคุณพม่านะที่มาตั้งอยู่ใกล้ๆกันให้ไปเที่ยวได้ง่ายๆไม่เหนื่อยเดินทาง

ขอบคุณชาวพม่านะที่หลายๆคนคอยช่วยเหลือตอนเหวอๆเอ๋อๆ

ขอบคุณสมุด+ปากกา+กล้องที่ช่วยกันบันทึกสิ่งต่างนะ

Thank you and see you Myanmar ^^

Notes from Backpacker

 วันอาทิตย์ที่ 24 มกราคม พ.ศ. 2559 เวลา 13.52 น.

ความคิดเห็น