ตอนที่1 https://th.readme.me/p/1848
ตอนที่2 @ Bagan https://th.readme.me/p/1864
ตอนที่3 @ Inle
https://th.readme.me/p/1871
ตอนที่4 @ Pyin Oo Lwin
https://th.readme.me/p/1872
ตอนที่5 @ Mandalay-Mingun https://th.readme.me/p/187
ตอนที่6 @ Bago-Kyaikh tiyo
คุยกันในนี้ได้นะครับ https://www.facebook.com/NotesfromBackpacker/
----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
Day 11 : Bago - Kyaikh tiyo
04.00 น. ถึง Bago รถจอดแถวตลาดเห็นมีร้านเดียวที่เปิดคือร้านกาแฟ พอลงรถก็มีมอไซค์รับจ้างมาคุยเรื่องพาทัวร์คิดเหมาที่ 10,000 จั๊ต คือรู้ว่าราคาแพงแต่ตอนนี้เพลียนอนไม่ค่อยหลับอีกอย่างแบกเป้ลูกใหญ่มาขี้เกียจเดินหาเลยเอาคันนี้เลยนัดกัน 6 โมงค่อยออกไปเที่ยวเพราะตอนนี้ยังเช้าเกิน
กินกาแฟร้านนี้ไปก่อนรอเวลาไปเที่ยว ค่ากาแฟ 300 จั๊ต โมฮิงก่า 400 จั๊ต
รูปคนขับมอไซค์ที่ตกลงราคากันไว้คนที่ใส่เสื้อลายขวางกระป๋าแดงนั่นแหล่ะครับ
6.20 น. เอากระเป๋าไปฝากที่ร้านขายตั๋วรถไปไจ๊ท์โถ่ตรงร้านที่คนขี่มอไซค์ยืนอยู่ แล้วซื้อตั๋วรอบ10.15 น. ราคา 6,000 จั๊ต เสร็จแล้วก็เดินทางเที่ยวต่อ
ที่แรกคือเจดีย์ไจ๊ปุ่นไปตั้งแต่เช้าเลยรู้สึกว่าจะเป็นคนแรกด้วยซ้ำเลยไม่เห็นมีใครมาเก็บหรือตรวจบัตรเข้าชมเมือง Bago
เจดีย์ไจ๊ปุ่น (Kyaikpun Pagoda)
ประวัติ นั้นมีอายุนาน 500 กว่าปีเป็นพระพุทธรูปปางมารวิชัยขนาดใหญ่ 4 องค์หันพระพักตร์ไปทุกทิศทาง เหตุผลที่ต้องสร้างหันไปทุกทิศนั้นก็ เพราะแทนความหมายถึงพระพุทธเจ้าทั้งสี่พระองค์ในภัทรกัปนั่นเองครับ ซึ่งก็มีตำนานที่เล่าขานกันมาดังนี้" พระราชธิดาทั้งสี่องค์ของกษัตริย์มอญที่อุทิศตนแด่พุทธศาสนาสร้างพระพุทธรูปแทนตนเองและได้สาบานไว้ว่าจะไม่ข้องแวะกับบุรุษเพศ ต่อมาน้องสาวคนสุดท้องกลับพบรักกับชายหนุ่มและแต่งงานกัน จึงเกิดอาเพศฟ้าผ่าพระพุทธรูปที่แทนตัวของน้องสาวคนสุดท้องพังทลายลงมาจนต้องมีการสร้างขึ้นมาใหม่ตามที่เห็นในปัจจุบันครับ โดยพระพุทธรูปองค์นี้จะมีลักษณะแตกต่างจากองค์อื่นๆคือ จะเป็นศิลปะแบบพม่าถ้าลองสังเกตุพระพุทธรูปองค์นี้จะเห็นว่าพระพักตร์จะเศร้ากว่าองค์อื่น
"ไจ๊" คือ พระ หรือ เจดีย์ "ปุ่น" คือ 4 ดังนั้นพระเจดีย์จุ่น คือ พระเจดีย์ที่มีพระ 4 ทิศ โดยพระพุทธรูปปางมารวิชัยขนาดใหญ่ 4 องค์อายุกว่า 500 ปีหันพระพักตร์ไปยัง 4 ทิศสร้างขึ้นโดย 4 สาวพี่น้องที่อุทิศตนแด่พุทธศาสนา จึงสร้างพระพุทธรูปเพื่อแทนตนเองและได้สาบานไว้ว่าจะไม่ข้องแวะกับบุรุษเพศนั่นเองครับ เมื่อมีการบูรณะวัดนี้ เมื่อ พ.ศ.2019 พระเจดีย์แห่งนี้ มีพระพุทธรูปปางประทับนั่งโดยรอบทั้ง 4 ทิศ อันได้แก่
สมเด็จพระสมณโคดมสัมมาสัมพุทธเจ้า หันพระพักตร์ไปทางทิศเหนือ
พระ พุทธเจ้าโกนาคมโน หันพระพักตร์ไปทางทิศใต้
พระพุทธเจ้ากกุสันโธ หันพระพักตร์ไปทางทิศตะวันออก
พระ พุทธเจ้ามหากัสสปะ หันพระพักตร์ไป ในทิศตะวันตก
ด้วยความที่ว่าเป็นพุทธสถานที่สร้างโดยผู้หญิงทำให้รายละเอียดต่างๆดูอ่อนช้อยงดงามและยิ่งใหญ่จริงๆครับถึงขนาดประตูทางเข้าของที่นี่ก็ยังเป็นสีชมพูสวยงาม
พระออกมาเดินบิณฑบาต
วัดชเวตาลยอง หรือชเวตาเลียว Shwethalyaung Buddha
ประวัติ เป็นปูชนียสถานศักดิ์สิทธิ์อันดับสองของ เมืองหงสาวดีรองจากพระมหาธาตุมุเตา และเป็นพระพุทธไสยาสน์ที่มีความยาว 181 ฟุต สูง 50 ฟุตสร้างโดยพระเจ้าเมงกะติปะ พ.ศ.1537 ในสมัยมอญเรืองอำนาจมีพุทธลักษณะงดงาม โดยจะวางพระบาทเหลื่อมพระบาทต่างจากพระพุทธไสยาสน์ของไทยที่นิยมวางพระบาท เสมอกัน เล่าขานว่าเป็นพระรูปสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าในคืนก่อนเสด็จดับ ขันธปรินิพพานด้านหลังพระองค์มีภาพวาดเล่าขานตำนานว่า มีพระราชาองค์หนึ่งไม่ศรัทธาพุทธศาสนาทรงลุ่มหลงบูชายักษ์ตนหนึ่งขนาดปั้น รูปไว้กราบไหว้ วันหนึ่งขณะที่พระราชาเสด็จประพาสป่าพร้อมพระโอรสและพระ โอรสไปพบสาวบ้านกำลังอาบน้ำอยู่ในลำธารก็เกิดความหลงรักถึงกับพากลับเข้า วัง แต่สาวเจ้าอันเชิญพระพุทธรูปไปบูชาในวังด้วยทำให้พระราชากริ้วมากถึง ขั้นสั่งให้ทหารจับพระโอรสและคนรักมัดรวมกันเพื่อจะประหาร แต่ชาวบ้านได้ ตั้งจิตอธิษฐานว่าถ้าพระพุทธเจ้ามีจริงก็ขอให้นางแคล้วคลาด ปรากฏว่าเชือก ขาดโดยพลันขณะที่รูปปั้นยักษ์แตกกระจายพระราชาถึงกับทรงหันกลับมานับถือพุทธ ศาสนาและขอไถ่บาปด้วยการสร้างพะพุทธไสยาสน์เป็นเครื่องเตือนสติ หลังจากที่ พระเจ้าอลองพญาทรงปราบมอญราบคาบเมืองหงสาวดีก็ถูกทิ้งร้าง พระพุทธไสยาสน์ ไม่ได้รับการดูแลจนกลายเป็นกองอิฐจมอยู่ในโคกดิน จนถึงปี พ.ศ.2424 เมื่ออังกฤษสร้างทางรถไฟสายพม่าจึงขุดพบพระนอนองค์นี้จากนั้น ปี พ.ศ.2491หลังจากพม่าได้รับเอกราชได้มีการบูรณปฏิสังขรณ์อย่างจริงจังและ ได้ทาสีและปิดทองลงชาดใหม่อย่างที่เห็นในปัจจุบัน
สำหรับที่นี่มีจุดจ่ายค่าเข้าชมเมืองที่นี่ราคา 10 usd และจ่ายค่ากล้อง 100 จั๊ตจาก 300 จั๊ต เพราะจ่ายแบงค์ใหญ่เค้าไม่มีทอนเค้าเห็นมีแบงค์ 100 จั๊ตเลยเอาแค่นั้น
ทางเช้าด้านหน้า
จุดขายตั๋วเข้าชมเมือง
ตั๋วเข้าชม ส่วนที่ใส่กับสายคล้องคอเตรียมไปจากไทย
องค์พระนอน ด้านล่างจะมีป้ายผู้บริจาคมีชื่อคนไทยเยอะพอสมควร
สัดส่วนขององค์พระฯ
Naung Daw Gyi Mya Tha Lyaung
อยู่ข้างๆกับวัดชเวตาเลียว องค์พระนอนเหมือนกันแต่อยู่กลางแจ้งและใหม่กว่า
เจดีย์ชเวมอดอว์ Shwemawdaw Pagoda
ประวัติ เจดีย์ชเวมอดอร์ หรือ พระธาตุมุเตา ตั้งอยู่กลางเมืองหงสาวดีซึ่งเป็นมหาเจดีย์ที่บรรจุพระเกศาธาตุรวม 2 เส้นมีอายุเก่าแก่กว่า 2,000 ปีเป็นที่เคารพสักการะของทั้งกษัตริย์ มอญ พม่า และไทย เช่น พระเจ้าราชาธิราชของมอญ พระเจ้าบุเรงนองของพม่า และสมเด็จพระนเรศวรมหาราชของไทย อีกทั้งยังเป็นพระธาตุเจดีย์ที่สูงที่สุดของพม่าด้วยความสูงถึง 374 ฟุต
พระธาตุมุเตาเคยพังทลายจากแผ่นดินไหวครั้งใหญ่มาแล้วถึง 4 ครั้ง โดยแผ่นดินไหวครั้งสุดท้ายเมื่อปี พ.ศ. 2473ทำให้ปลียอดของพระธาตุมุเตาหักพังลงมา แต่สิ่งที่น่าอัศจรรย์คือ องค์พระธาตุไม่หักลงถึงพื้น จึงเป็นความเชื่อกันว่าหากใครได้ไปกราบไหว้องค์พระธาตุแล้วเอาไม้ไปค้ำไว้กับยอดพระธาตุที่หักลงมาจากนั้นเอาหน้าผากไปแตะกับยอดองค์พระธาตุที่หักลงมาจะทำให้ชีวิตของคนคนนั้นไม่ว่าจะถึงช่วงชีวิตที่ตกต่ำยังไงก็จะไม่ตกต่ำถึงที่สุด ซึ่งเปรียบเหมือนยอดพระธาตุที่ต่อให้ตกอย่างไรก็ตกไม่ถึงพื้นและทำให้ชีวิตของคนนั้นมีความมั่นคงถาวร
ทั้งนี้ยอดขององค์พระธาตุมุเตาได้มีการบูรณปฏิสังขรณ์จนแล้วเสร็จในปี พ.ศ. 2497 และยอดของพระธาตุที่หักลงมาตั้งอยู่บริเวณลานทางทิศเหนือของพระธาตุองค์ใหม่ ซึ่งสถานตรงนี้เองได้กลายเป็นสถานที่อธิษฐานขอพร
ที่นี่ก็จนท.เดินมาสุ่มตรวจบัตรค่าเข้าชมด้วย และช่วงที่ไปอยู่ในการบูรณะพอดีเลยไม่ได้เห็นองค์พระเจดีย์เต็มองค์แต่ ไม้ไผ่ที่อยู่รอบๆก็ดูสวยไปอีกแบบนะ
พระราชวังบุเรงนอง หรือ พระราชวังกัมโพชธานี Kanbawzathadi Palace
ประวัติ พระราชวังกัมโภชธานี Kambawzathadi Palace พระราชวังแห่งเมืองหงสาวดี (พะโค) ของพระเจ้าบุเรงนอง เป็นพระราชวังที่ยิ่งใหญ่สมพระเกียรติ ตั้งอยู่ทางตอนใต้ของพระมหาธาตุเจดีย์ชเวมอดอ (พระธาตุมุเตา) สร้างขึ้นในปี พ.ศ. 2109 ซึ่งเป็นปีที่ 15 ของการครองราชย์ของพระองค์ ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่พระองค์เรืองอำนาจสูงสุด พระองค์ตัดสินพระทัยเผาพระราชวังเก่าไปเนื่องจากมีการกบฏ พระราชวังกัมโพชธานีสร้างขึ้นโดยใช้แรงงานจากประเทศราชต่าง ๆ และพระองค์โปรดให้ใช้ชื่อประตูต่าง ๆ ทั้งหมด 20 ประตู ตามชื่อของแรงงานประเทศราชที่สร้าง เช่น ประตูทางตอนเหนือปรากฏชื่อ ประตูโยเดีย (อยุธยา) ประตูตอนใต้ชื่อ ประตูเชียงใหม่ อีกทั้งยังมีพระตำหนักของพระสุพรรณกัลยา องค์ประกันที่ตกเป็นเชลยและกลายเป็นมเหสีองค์หนึ่งของพระองค์ด้วยพระราชวังกัมโพชธานีถูกเผาจนเหลือแต่เพียงซาก หลังจากการสวรรคตของพระเจ้าบุเรงนอง ด้วยกบฏยะไข่ พร้อม ๆ กับอาณาจักรตองอูที่เคยเรืองอำนาจเสื่อมลง จนกระทั่งในปี พ.ศ. 2533 รัฐบาลพม่าได้ขุดค้นพบซากของพระราชวังที่เหลือเพียงแค่ตอไม้ที่โผล่พ้นดิน ออกมาเท่านั้น และได้มีการเร่งสร้างพระราชวังจำลององค์ใหม่ขึ้นมา ฉาบด้วยสีทองทั้ง หลัง ทั้งที่พื้นดินบริเวณโดยรอบได้ขุดพบโบราณวัตถุต่าง ๆ มากมาย ซึ่งเชื่อว่ายังมีอยู่อีกจำนวนมากที่ยังไม่ถูกขุดขึ้นมา แต่ได้ถูกทางการสร้างพระราชวังทับลงไปแล้ว แต่ซากไม้ที่ใช้สร้างพระราชวังแต่ครั้งอดีตที่ยังหลงเหลืออยู่ได้ถูกจัดแสดง ซึ่งไม้แต่ละท่อนมีตัวอักษรจารึกอยู่ว่าเป็นผลงานของเมืองใด ภายในพระราชวัง มีพระราชบัลลังก์ที่มีชื่อว่า "บัลลังก์ภุมรินทร์" หรือ "บัลลังก์ผึ้ง" ซึ่งสร้างขึ้นมาจากคติเรื่องจักรวาลตามความเชื่อของศาสนาฮินดู
มาถึงที่นี่เวลา 8.10 น. แต่เค้าจะเริ่มเปิดให้นักท่องเที่ยวเข้าชมได้เวลา 9.30 น.เป็นต้นไปเลยต้องนั่งรออยู่ด้านหน้ารอไปสักครึ่งชม.จนท.ที่เจอตอนตรวจบัตรที่เจดีย์ชเวมอดอว์แกเรียกเข้าไปนั่งเก้าอี้ในป้อมด้านใน นั่งคุยกันไปก็สอนภาษาพม่าได้มา 2 คำคือ
สะพานอูเบ็ง พม่าพูดว่า อูเบ็ง ดหะ ดาห์ (ออกเสียงห.หีบ แหบออกมาด้วย)
จิ้มจุ่ม(ที่เสียบไม้ขาย) เค้าเรียกว่า หวะ ต๊า โดะ โทว์
9.10 น. จนท.ให้เข้าชมได้ก่อนเลยเดินตามเค้าไปเรื่อยๆ
ระหว่างรอเข้าชมดูบรรยากาศไปก่อน คนพม่าขึ้นรถประจำทางไปทำงานตอนเช้าๆกัน
ซากเสาของพระราชวังที่เหลืออยู่
พระราชวังผึ้ง Bee Throne Hall
เสาด้านในแต่เดิมเสาทุกต้นจะทำจากไม้สักแล้วทุกต้นจะมีชื่อเรียกเป็นชื่อเมืองต่างๆที่กษัตริย์บุเรงนองไปตียึดมาได้
ซากเสาไม้สักที่หลงเหลืออยู่
9.40 น. เดินทางกลับไปที่ฝากกระเป๋าเพื่อเดินทางไปจุดรอขึ้นรถ จริงๆจะต้องไปวัดไจ๊ควายเพื่อไปดูพระบินทบาตรพันองค์แต่ดูแล้วระหว่างนี้ต้องเสียเวลารอนานเกินไปถึงต้องซื้อตั๋วรอบ 10.15 น.เพื่อไปไจ๊ท์โถ่เลยเผื่อจะได้เดินทางไปถึงทันที่จะขึ้นไปสักการะพระธาตุอินทร์แขวนช่วงเย็น
รถมาจอดที่ริมถนนเพื่อรอขึ้นรถบัสที่จะผ่านไปไจ๊ท์โถ่คือดูแล้วการจองรถตั๋วนี่ต้องรอลุ้นว่ารถที่เค้าโบกให้เราจะมีที่นั่งว่างหรือไม่ แต่ที่ไม่โอเคเลยก็คือตอนที่คนขับรถมอไซค์ที่พาผมทัวร์+เชียร์ให้ซื้อตั๋วรถ พอมาถึงก็รอดูรถให้เราสักพักพอมีลูกค้าโบกรถแกรีบวิ่งไปรับแล้วหายไปเลย ไอ้เราก็ยืนเหวอว่าเมื่อไหร่รถจะมาซึ่งไม่รู้หรอกเพราะอ่านภาษาพม่าไม่ออก จนคนขี่มอไซค์อีกคนมาบอกว่าเดี๋ยวเค้าดูให้นี่แหล่ะ
10.45 น. รถมาถึงจุดรับ(โบกเอา) เลทไปครึ่งชม.ถึงมีรถที่จะผ่านไปไจ๊ทโถ่เป็นรถแอร์นะครับแต่คนที่ขึ้นเค้าเปิดหน้าต่างกันเลยได้ความเย็นแบบเย็นๆอุ่นๆอึนๆบอกไม่ถูก ^^ ผู้โดยสารมีผมคนเดียวที่เป็นต่างชาติส่วนที่นั่งว่างตรงไหนก็นั่งได้เลย ถึงตรงนี้เพลียมากเพราะเมื่อคืนเดินทางนอนไม่หลับมานั่งรถแบบนี้เจอลมโกรกเข้าไปหลับสลบไสล
จุดรอรถระดับvipของผม โถ...ชีวิต backpackerอย่างผม T_T
รถพัดแอร์ ????
ภายในโถงต้อนรับผู้โดยสาร พูดซะหรูเลย5555
12.00 น. จอดจุดพักเพื่อทานข้าวให้เวลาครึ่งชั่วโมง ที่นี่จะมีร้านอาหารเรียงอยู่หลายร้านเลือกเข้าได้เลย
มื้อนี่สั่งแกงไก่ เค้าจะเสิร์ฟข้าวมาให้ 2 จาน/ชุด เซทนี้ราคา 1,800 จั๊ต
13.10 น. ถึงเมืองไจ๊ท์โถ่ ( Kyaikh tiyo ) รถจะจอดให้ลงที่หน้าตลาด พอลงไปจะมีมอไซค์รับจ้างมาเสนอพาไปที่คินปุนเบสแคมป์ที่ราคา 3,000 จั๊ต แต่จากข้อมูลที่หามาจะมีรถสองแถวไปคินปุนเบสแคมป์ที่ราคา 500 จั๊ต พอเราบอกว่าข้อมูลเราแค่ 500 จั๊ตพวกมอไซค์เลยเงียบแล้วก็มีเด็กคนนึงที่มาพร้อมกับคนขี่มอไซค์นั่นแหล่ะ แหวกกลุ่มมอไซค์ออกมาบอกว่าเค้าเป็นเด็กรถสองแถวบอกให้เดินตามเค้าไป (ประมาณว่ารอให้มอไซค์ผู้ใหญ่เสนอกับเราก่อนถ้าเราไม่เอาค่อยถึงคิวเด็ก) จากจุดที่ลงรถก็เดินไปฝั่งซ้ายแค่ 20 เมตรจะเห็นรถสองแถวใหญ่จอดอยู่ถ้าใครมาให้เดินไปถามได้เลยว่าไปคินปุนเบสแคมป์หรือเปล่าแต่พอดีผมมีเด็กรถเตินมาส่ง จริงๆมองเห็นง่ายๆใกล้ๆ
คันนี้ครับ
ภายในรถเป็นที่นั่งแบบ hot seat ^_^
หลังจากนั้นรอประมาณ 10 นาทีรถก็ออกแต่วิ่งไป 5 นาทีก็เข้าไปจอดรอคนในวัดอีก จากตรงนี้จะรออีก 20-25 นาทีน่าจะได้สักพักมีคนมาเรียกให้ทุกคนเปลี่ยนไปขึ้นรถข้างๆแล้วออกเดินทางส่วนค่ารถก็จ่ายบนรถกับเด็กรถได้เลยที่ราคา 500 จั๊ต และตั้งแต่นั่งรถในพม่ามาคันนี้วิ่งซิ่งมากซิ่งจนคนในรถบ่นแถมเด็กเก็บเงินดันบ้วนหมากกระเด็นมาโดนเจ๊ตรงข้ามผมด้วย ระทึกแท้....
14.00 น. หลังจากนั่งรถประกอบฉาก Fast and Furious ซิ่งมาได้ 20 นาที(จากข้อมูลวิ่ง30นาที) ก็ถึงคินปุนเบสแคมป์รถจะมาจอดที่ถนนหน้าร้านที่ขายตั๋วรถบัสกลางตลาดหรือหน้าร้านอาหาร Seasar พอลงรถไปก็จะมีคนของ seasar hotel มาหาลูกค้าพอดีเลยเดินตามคำชวนเค้าไปดูห้องพัก แล้วตกลงพักตึกหน้าที่มี2ชั้นเป็นห้องพักเตียงเดี่ยวห้องน้ำในตัว+พัดลม+อาหารเช้าที่ราคา 15usd สภาพเก่าๆตามงบที่มี *_*
พอหลังจากที่เอากระเป๋าไปเก็บแล้วรีบเดินไปที่ท่ารถที่จะขึ้นไปพระธาตุอินทร์แขวน ซึ่งจากที่พักจะมีทางเดินทะลุไปที่ท่ารถได้เลยใกล้มากๆ 50 เมตรไม่เกินนี้ ไปถึงปั๊บเจอคนเย่อะมากพอรถมาจอดปุ๊ปคนก็ขึ้นเต็มเร็วมาก ซึ่งผมไปถึงแล้วต้องรอขึ้นคันที่ 3 ขึ้นไปเลือกที่นั่งหลังสุดริมสุดเผื่อจะได้ดูวิวด้วย รอแป็บเดียวคนก็เต็มแต่ไม่รู้เค้ารออะไรสักพักถึงจะออกซึ่งระหว่างนี้จะมีคนมาขายหมวก(กันแดด)และก็ขายพวกน้ำดื่ม,ตัวดูด
ขนส่งรถขึ้นไปบนพระธาตุอินทร์แขวน
รถแบบนี้เลยครับ คนไทยเรียกว่ารถขนหมู สภาพการนั่งมีระบบล็อคจากคนข้างๆเพราะอัดแน่นจนขยับไม่ได้เลย
มีของมาขายด้วย คนนี้มาขายหมวกแนะนำเลยว่าถ้าใครไปตอนที่ยังมีแดดอยู่ซื้อไว้ก็ดีครับ
ตัวดูดหรือหวาานเย็นราคาอันละ 100 จั๊ตแก้ร้อนได้ครับ
อยากขึ้นคันเดียวกับเจ๊คนนี้ ท่าทางจะกันแดดได้ทั้งคัน 555
สังเกตุเงาด้านซ้ายสีเข้มมาก แดดแรงจิง
เดินทางสักพักเค้าจะจอดจุดพักเพื่อให้ทำบุญนะครับน่าจะ 3-4 จุดได้คือจุดพักทำบุญนี่ดูเป็นทางการเลยนะครับมีเจ้าหน้าที่อยู่เป็นกลุ่มๆ ถ้าใครจะทำหรือไม่ทำก็ได้ไม่มีการบังคับถ้าทำแล้วเค้าจะออกใบอนุโมทนาบุญให้ และจากจุดจอดตรงนีเค้าก็จะมาเก็บเงินค่ารถคนละ 2,500 จั๊ต
15.30 น. ถึงจุดจอดที่พระธาตุอินทร์แขวนแล้วก็เดินขึ้นไปต่อ
มีบริการแบกให้ด้วยนะครับ
จุดขายตั๋วจะอยู่ติดถนนทางฝั่งขวามือเป็นป้อมเล็กๆเดินเข้าไปจ่ายเงินได้เลยคนละ 6 usd
จ่ายเงินแล้วเค้าจะให้บัตรคล้องคอมาเลย
เดินทางต่อใกล้ถึงหละอีกนิดสสสสสสสส์
มาถึงด้านบนพระธาตุฯมีคนพม่ามาจับจองพื้นที่เพื่อค้างคืนกันเต็มไปหมด
จากนั้นจะเข้าไปสักการะพระธาตุใกล้ๆแต่ตรงนี้เราไม่สามารถเอาของเข้าไปได้ไม่ว่าจะเป็นกระเป๋า,กล้อง,มือถือ จุดฝากของก็ไม่มีเลยขอจนท.ที่ตรวจตรงทางเข้านี่แหล่ะขอเค้าฝาก 5 นาทีขอแค่เข้าไปไหว้แป็ปเดียวเค้าก็ยอม ไหว้สักการะเสร็จก็เดินมาดูวิวรอบๆคนหนาแน่นทีเดียว
มีทางเข้าออกฝั่งนึงจะมีร้านค้าเย่อะมาก
สตรอออออออออออออง !!!!
17.30 น. พระอาทิตย์ตกแสงเกือบจะหมดแล้วเลยเดินลงมาไปจุดที่รถมาส่งเพื่อหารถกลับลงไปที่คินปุนเบสแคมป์ รถรอบสุดท้ายคือ 18.00 น. ส่วนค่ารถเท่าเดิมที่ราคา 2,500 จั๊ต ระหว่างทางลงก็จะจอดตามจุดต่างๆให้ทำบุญกัน ซึ่งตอนนี้เวลาประมาณหกโมงกว่าๆฟ้ามืดสนิทครับผมนั่งเงยหน้าเกือบตลอดทางเพราะด้วยความมืดนี่แหล่ะทำให้เห็นดาวชัดมากสวยที่สุด ใครมาก็ลองสังเกตุดูนะครับระยิบระยับๆ
19.00 น. ถึงคินปุนรถจอดข้างทางแถวตลาดไม่ได้เข้าไปจอดที่ท่ารถแต่เดินมาไม่ไกลมาก
มื้อเย็นมื้อนี่ 2,000 จั๊ต แถวๆนี้ร้านอาหารเยอ่ะมาก
มีของเล่นเด็กๆด้วยนะ
รอบๆมีแต่ร้านค้า ร้านอาหาร ร้านกาแฟ เต็มไปหมด
ในseasar hotel จะมีร้านอาหารของตัวเองเลยเข้าไปนั่งใช้บริการสักหน่อย สั่ง Myanmar beer ขวดใหญ่ราคา 1,800 จั๊ต
กินจนหมดขวดสักพักก็เดินไปฝั่งตรงข้ามจะมีร้านขายตั๋วรถบัสเพื่อหาตั๋วรถไปย่างกุ้งรอบเช้าพรุ่งนี้ ได้ตั๋วรถรอบ 8.00 น. เป็นรถแอร์ป.1 ราคา 7,000 จั๊ตเสร็จแล้วก็เข้าที่พักอาบน้ำนอนพักผ่อนยาวๆ
Notes from Backpacker
วันอาทิตย์ที่ 24 มกราคม พ.ศ. 2559 เวลา 13.51 น.