ตอนที่1 https://th.readme.me/p/1848

ตอนที่2 @ Bagan https://th.readme.me/p/1864

ตอนที่3 @ Inle https://th.readme.me/p/1871

ตอนที่4 @ Pyin Oo Lwin https://th.readme.me/p/1872

ตอนที่5 @ Mandalay-Mingun https://th.readme.me/p/1873

ตอนที่6 @ Bago-Kyaikh tiyo https://th.readme.me/p/1874

คุยกันในนี้ได้นะครับ https://www.facebook.com/NotesfromBackpacker/


--------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

ประวัติพุกาม Bagan

พุกามได้ชื่อว่าเป็นเมืองแห่งทะเลเจดีย์ หรือ ดินแดนแห่งเจดีย์สี่พันองค์ เพราะในสมัยรุ่งเรืองเคยมีเจดีย์มากมายถึง 4,446 องค์ ปัจจุบันเหลือแค่เพียง 2,217 องค์ เจดีย์แห่งแรกของพุกามคือ เจดีย์ชเวสิกองสร้างโดยพระเจ้าอโนรธามังช่อ ปฐมกษัตริย์แห่งอาณาจักรพุกาม โดยธรรมเนียมการสร้างเจดีย์เจดีย์องค์ใหญ่สุดจะเป็นเจดีย์ที่กษัตริย์ทรงสร้าง และองค์ที่มีขนาดเล็กถัดมา เป็นการสร้างโดยเหล่าขุนนาง อำมาตย์ ลดหลั่นลงมาตามบรรดาศักดิ์ในรัชสมัยพระเจ้าจานสิตา กษัตริย์องค์ที่ 4 แห่งราชวงศ์พุกาม เป็นสมัยที่พระพุทธศาสนาจริญรุ่งเรืองถึงขีดสุด มอญที่อยู่ยังหงสาวดีทาง ตอนใต้ ได้ทำสงครามชนะพุกามและครอบครองดินแดนของพุกามไว้ได้ พระองค์จึงรวบรวมชาวพม่าและชาวมอญบางส่วนตีโต้คืน จึงสามารถยึดพุกามกลับมาไว้ได้พุกามเจริญรุ่งเรืองถึงขีดสุดทางด้านศิลปวิทยาการในสมัยพระเจ้าอลองสิธู ใน พ.ศ.1687 พระองค์ได้โปรดให้สร้างเจดีย์ชื่อ "ตะเบียงนิว" (แปลว่า เจดีย์แห่งความรู้) ซึ่งเป็นเจดีย์ที่สูงที่สุดในพุกามไว้ด้วย
กษัตริย์องค์สุดท้ายแห่งราชวงศ์พุกาม คือ พระเจ้านรสีหบดี สร้างเจดีย์องค์สุดท้ายแห่งพุกามเสร็จเมื่อปี พ.ศ.1819 และเมื่อสร้างเจดีย์องค์นี้เสร็จ ได้มีผู้ทำนายว่า อาณาจักรพุกามจะถึงกาลอวสาน ซึ่งต่อมาก็เป็นจริงดังนั้น เมื่อกองทัพมองโกลยกทัพเข้ามาบุกในปี พ.ศ.1827 และพุกามถึงคราวล่มสลายในปี พ.ศ.1830 รวมระยะเวลาแล้ว 243 ปี มีกษัตริย์อยู่ทั้งหมดทั้งสิ้น 11 พระองค์



Day 2 @ Bagan

3.50 น. ถึงขนส่งที่Baganลงจากรถมาสะลึมสะลือเหมือนละเมอลงรถพอเท้าแตะพื้นก็เจอกลุ่มคนขับรถทั้ง Taxi , มอไซค์พ่วงข้าง เป็นสิบคนมาล้อมผู้โดยสารที่ไม่มีรถมารับไปที่พัก ซึ่งผมก็คือหนึ่งในนั้นรู้สึกป๊อปมีคนมารุมกรี๊ด คิดอีกทีเหมือนโดนซอมบี้มารุมล้อมเหมือนกันนะ 555 จากที่ฟังข้อเสนอระหว่างถูกรุมล้อมเค้าเสนอราคามาที่ มอไซค์พ่วงข้าง 5,000 จั๊ด ส่วน Taxi เสนอมาที่ 5 usd(แพงกว่าประมาณ40บาท)
หลังจากเดินแหวกแหกกลุ่มออกมาได้ขอมานั่ง restart สติ ก่อนว่าจะเอาอย่างไงต่อ เปิดสมุดที่จดข้อมูลมาเพื่อหาข้อมูลค่ารถไปที่พักที่หาไว้ แต่พอหลังจากตูดแตะเก้าอี้ได้ไม่ถึง 10 วิ ก็มีคนขับมอไซค์มาประกบติดพร้อมยิ้มสังหารอยู่ใกล้ๆ เลยบอกว่าขอเวลาผมคิดแป็บนึง เค้าเลยถอยออกไปห่างให้สบายใจจำนวน 1 ก้าวถ้วน (ช่วยได้เยอ่ะเลยนะคร้าาาาบ) สักพักเค้าก็มาเสนอราคาที่ 5,000 จั๊ตเท่าเดิมเลยต่อขอที่ 3,000 เค้ายันราคาที่ 4,000 เลยบอกไปว่าราคาไม่ค่อยต่างกับแท็กซี่เลยแถมแท็กซี่นั่งสบายกว่าอีก เลยโดนการบลั๊ฟจากคนขับมอไซค์ประมาณว่า ถ้าไปนั่งแท็กซี่จริงๆไม่ใช่ 5 usd หรอกอาจจะโดนเก็บ8,000 จั๊ตด้วย ขึ้นของเค้าดีกว่า แหน่ะ......เอางี้เลยหรอ
หลังจากจบคำพูดของคนขับมอไซค์ผมเลยเดินออกมาข้างนอกจะลองไปต่อราคา Taxi ที่จอดอยู่เพื่อได้ราคาลงอีกนิดแต่ก็ได้ราคาเดิมที่ 5 usd งั้นก็เลยเอาตามนี้ ระหว่างเดินไปขึ้นรถไปเจอคนเอเซียอีกคนนึงเดินเอ๋อๆมา ผมเลยแกล้งถามว่ากำลังหารถไปโซนเดียวกับที่ผมจะไปหาที่พักหรือเปล่า คำตอบที่ได้เล่นเอาสบายใจเลย คือเค้าจะไปที่พักแถวโซนเดียวที่ผมจะไปพอดีเลยเสนอให้มาคันเดียวกันมาแชร์ค่ารถกัน “Yesss" คือคำตอบที่สบายหูมากๆในตอนนั้น
หลังจากขึ้นรถมาก็เลยคุยกันนิดหน่อยสรุปว่าคนเอเชียคนนี้มาจากแคนาดาชื่อฮิวอี้ น่าจะเป็นรุ่นน้าผมได้แกบอกว่ามาครั้งที่ 2ละที่นี่มาตั้งแต่ตั๋วเข้าชมเมืองราคา10usd ตอนนี้ราคา20usd(ซึ่งเก็บตอนไหนผมจำไม่ได้ลืมจริงๆ แต่คิดว่าน่าจะเก็บตอนที่ขึ้นแท็กซี่ไปนี่แหล่ะคงจอดให้จ่ายสักที่ แต่ลืม ^^ )
มาได้สักพักรถก็มาจอดที่หน้าที่พักที่ผมหาข้อมูลไว้คือที่ Eden motel ตอนจ่ายเงินฮิวอี้ให้ผมจ่ายแค่ 2 usd เพราะเค้าอยู่ไกลกว่าเค้าขอจ่ายที่ 3 usdสบายตัวเลย 55555 สำหรับที่Bagan มีที่พักหลักๆ 3 โซนคือ Old Bagan , New Bagan และ Nyaung U ซึ่งที่ผมพักจะอยู่โซน Nyaung U จะเป็นโซนที่เป็นที่พักของBackpacker มีร้านค้าเยอ่ะ และใกล้ตลาดสด ของกินหาง่ายมาก

4.30 น. ถึงที่พักคนขับรถไปเรียกพนักงานให้ซึ่งพนักงานก็นอนติดประตูนั่นแหล่ะนอนรอเผื่อลูกค้ามาcheck in เนื่องจากเวลายังทันสำหรับนั่งรถม้าไปดูพระอาทิตย์ขึ้นเลยติดต่อให้ที่พักหาคนขับรถม้าให้ได้ราคาแบบทั้งวันที่ 25,000 จั๊ต ตั้งแต่พระอาทิตย์ขึ้นยันพระอาทิตย์ตก ตอนติดต่อให้หารถม้าให้ก็บอกเค้าไปว่าขอราคาถูกๆนะครับทริปนี้ผมจัดหนัก 14 วันผมกลัวตังค์หมดก่อนนะครับ นะนะนะนะ ไม่รู้ว่าราคาที่ได้ 25,000 จั๊ตนี่มันถูกหรือเปล่าแต่คิดว่าไม่นะ555สักพักเอากระเป๋าเป้ขึ้นไปเก็บที่ห้องชั้นบนสุด(ชั้น3มั้ง)เป็นห้องดอร์ม คือเอามาฝากวางไว้ก่อนระหว่างรอห้องเดี่ยวcheck out ออกตอนเที่ยง

ห้องดอร์ม ราคาประมาณ 8-10 usd นี่แหล่ะจำไม่ได้เป็นห้องน้ำรวมครับ


5.30 น. รถม้ามารับพร้อมลุยคนขับที่ได้วันนี้ชื่อ ทุนรื่อ(ไม่รู้เรียกถูกหรือเปล่าเพราะแกพูดไปเคี้ยวหมากไปฟังยากกว่าปกติอีก)ส่วนม้าผู้นำพาชื่อ Ramboอายุ 6 ขวบ เท่าที่ถามแล้วน่าจะเป็นชื่อตั้งใหม่ๆสดๆร้อนๆของม้าตัวนี้เลย เพราะตอนถามทุนรื่อว่าม้าชื่ออะไร แกนึกนานมาก 5555 ระหว่างทางที่นั่งรถม้ามาดาวบนท้องฟ้าสวยมากกก


5.50 น. ถึงเจดีย์บูเรทีทางเข้าเป็นทราย เจอฝรั่ง2สาวขี่จักรยานไฟฟ้ามาพอดี ทุนรื่อเลยเตือนให้ขี่ระวังเพราะพื้นทรายจะทำให้รถล้มเอาได้ หลังจากเตีอนเสร็จรถม้าวิ่งไปไม่ถึง 20 เมตร ล้มทันที เห็นม่ะบอกไม่เชื่อ สักพักก็ถึงเจดีย์บูเรทีอีกจุดที่ชมพระอาทิตย์ขึ้น ซึ่งวันนี้ผมถึงคนแรกเลย มืดตึ๊บมากๆต้องใช้ไฟฉายส่องตอนขึ้น แต่ขึ้นสบายๆไม่สูงมากน่าจะประมาณตึก 5 ชั้น จากนั้นก็เริ่มมีคนมาเป็นระยะและก็เจอกลุ่มคนไทยมาด้วยกันเป็นกลุ่มเลยและเจอพี่ผู้หญิงอีกคนมาจากไทยคนเดียวคุยกันสักพักรู้ว่าแกอยู่พรุ่งนี้อีกวันเลยนัดกันเช่า E-bike ไปดูเจดีย์อีกเส้นทางนึง เพราะเส้นทางที่รถม้าจะพาไปจะเหมือนกัน มันยังเหลืออีกเส้นทางนึงที่ต้องขี่รถไปเอง สักพักไม่นานเริ่มมีแสงแรกของวันออกมา ฉากหลังเป็นเจดีย์องค์ด้านหน้า สวยงาม


6.40 น. Balloon ที่รอคอยเริ่มลอยมาจากพื้นซึ่งวันนี้นับได้ 22 ลูก ไม่รู้ว่าปกติจะมีกันกี่ลูกแต่เท่าที่เห็นก็ชอบละ มากันครบเลยทั้งแสงแรก,เจดีย์,บอลลูน

7.30 น. ลงจากเจดีย์ขึ้นรถม้าเดินทางต่อแต่ระหว่างทาง ทุนรื่อถามว่าจะให้ไปต่อหรือจะให้ไปส่งที่ที่พักก่อนเพื่อพักทานข้าวเช้า เลยเลือกอย่างหลังแล้วนัดให้มารับอีกทีตอน 9.30 น.



เจ้า Rambo พาเที่ยวครับ



7.50 น. ถึงที่พักมานอนพักที่ห้องดอร์มซึ่งไม่มีลูกค้าพักอยู่เลย สบายยย หลับไปสักพักก็ตื่นมาอาบน้ำ เป็นน้ำแรกหลังจากอาบครั้งล่าสุดจากไทยหลังจากอาบน้ำเสร็จแล้วเดินออกจากที่พักไปหาอะไรกินให้ท้องอุ่นๆก่อน ไปเจอร้านขายกาแฟคนนั่งเย่อะดีน่าจะอร่อยเลยสั่งกาแฟร้อนมากินกับซาโมซ่า(แป้งห่อไส้พวกมันฝรั่ง,หอม,เครื่องเทศแล้วเอาไปทอด) เคี้ยวซาโมซ่าไปซดกาแฟตามไปล้างคอ โอ้ยย ฟิน ราคาก็แสนถูก ค่ากาแฟร้อน500 จั๊ตซาโมซ่าชิ้นละ 100 จั๊ต จัดไป 2ชิ้นก็ 200 จั๊ต รวมมื้อนี้ 700 จั๊ต(20บาท)


เสร็จแล้วเดินไปที่ตลาดเช้าเพื่อหาซื้อลองยี(โสร่ง) อันนี้ลืมซื้อมาจากตอนไปตลาดโบโจ๊กที่ย่างกุ้ง เลยทำใจได้เลยว่าโดนราคาแพงแน่ๆ ซึ่งต้องซื้อเพราะกลัวว่าเวลาเข้าไปเจดีย์แล้วเค้าจะไม่ให้เข้าเพราะใส่กางเกงขาสั้นมา สรุปได้ลองยีที่ตลาดที่ราคา6,000 จั๊ต ที่รู้ว่าแพงมากเพราะตอนเอาไปลองใส่ที่ที่พักพอพนักงานรู้ว่าได้มาราคานี้ทำปากร้องว่า โอ้ววววววว นั่นไงโดนหละ 555


9.20 น.รถม้ามารับเดินทางต่อแต่ตอนนี้หลังจากท้องรับของอุ่นมาแล้วเริ่มง่วง แต่ทำไงได้มาแล้วเด่วเที่ยวไม่คุ้ม ไปๆๆๆ

สำหรับเจดีย์ที่รถม้าพาไปวันนี้ก็เรียงตามนี้ครับ

1..เจดีย์ต่าจ๊าเฮ้ ที่แรกเป็นเจดีย์เล็กๆครับประวัติหาไม่เจอจริงๆ รูปก็หาย

2..เจดีย์ต่าจ๊าโป่ว อยู่ใกล้กับเจดียืต่าจ๊าเฮ้แค่ 50 เมตรเดินไปได้สบายรูปร่างคล้ายๆกัน

3..เจดีย์ติโลมินโล ( HtiloMinlo )

credit : www.leoncanerotphotography.com


ติโลมินโล แปลว่า “เจดีย์ฉัตรตั้ง" จัดเป็นประเภท “เจดีย์วิหาร" สร้างในสมัยพระเจ้านาตองมยา เป็นเจดีย์ที่มีความเป็นมาแปลกกว่าเจดีย์องค์อื่นๆ ด้วยในสมัยพระเจ้านรปติซีตู ทรงมีราชบุตรหลายพระองค์ ทั้งที่เกิดแต่อัครมเหสีและพระชายา เมื่อทรงจะตั้งองค์รัชทายาทสืบราชบัลลังค์ ก็ไม่อาจตั้งราชบุตรในอัครมเหสีได้ทันทีเพราะทรงเคยรับปากพระชายาองค์หนึ่ง ซึ่งคอยบริบาลพระองค์ขณะประชวรอย่างดียิ่งว่า จะทรงพิ่จารณาราชบุตรจากชายาให้ขึ้นครองราชย์ด้วย เมื่อไม่อาจคืนคำที่ให้ไว้ จึงตัดสินพระทัยเรียกราชบุตรทั้งห้าพระองค์มานั่งล้อมวง แล้วตั้งฉัตรอันเป็นสัญลักษณ์กษัตริย์ไว้ตรงกลางหากฉัตรล้มลงแล้วปลายฉัตรชี้ไปที่ราชบุตรองค์ใดก็จะทรงแต่งตั้งเป็นกษัตริบ์ สืบจากพระองค์ ปรากฏว่าปลายฉัตรชี้ไปที่เจ้าชายชัยสิงห์ (พระเจ้านาตองมยา) ซึ่งเป็นราชบุตรอันเกิดแต่ชายองค์ที่บริบาลพระเจ้านรปติซีตู ชาวพม่าจึงเรียกนาตองมายาว่า “กษัตริย์ฉัตรตั้ง" และเมื่อทรงขึ้นครองราชย์จึงสร้างเจดีย์ขึ้นเป็นอนุสรย์ ณ บริเวณที่พระราชบิดาเอาฉัตรเสี่ยงทาย เรียกกันว่า “เจดีย์ติโลมินโล" อย่างไรก็ตามนักปราชญ์ชาวพม่าบางรายตีความว่า

“ติโลมินโล" อาจเพี้ยนเสียงมาจาก “ติโลกมีงคลา" หรือ “ผู้ได้รับพรอันเป็นมลคลจากสามโลก"


4..เจดีย์อุ๊ปาลิเต็ง ( Upali thein )

credit : www.virtualtourist.com


วิหารอุ๊ปาลิเต็ง (Upalithein) คำว่าอุบาลี หมายถึงพระภิกษุในรัชกาลพระเจ้านันดวงมยา ส่วนคำว่า "เต็ง" แปลว่าอุโบสถ สิม หรือสีมา รวม ๆ แล้วหมายถึง สีมาแห่งพระอุบาลี ลักษณะโครงสร้างของวิหารแห่งนี้เป็นอาคารสี่เหลี่ยมผืนผ้า มีเจดีย์ทรงระฆังขนาดเล็กประดับอยู่ตรงกลางหลังคา ภายในประดิษฐานพระพุทธรูปปูนปั้นปางมารวิชัย ส่วนผนังและเพดานตกแต่งด้วยจิตรกรรมที่งดงาม โดยเล่าเรื่องพระอดีตพุทธเจ้า 27 องค์ รวมถึงพระโคตมพุทธเจ้าซึ่งเป็นพระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบัน


5..เจดีย์เคมินก่อ ( Khay Min Gha Temple )

credit : www.flickr.com


6..เจดีย์โอจ่อง เป็นซากเจดีย์ ตั้งบนเนินซึ่งถ้าขึ้นไปแล้วจะเห็นแม่น้ำอิยะวดีได้ ที่นี่เจดีย์ดูไม่ออกหรอกเพราะเป็นซากจริงๆ อยู่ท่ามกลางป่าและทุ่งหญ้า ที่นี่นอกจากรูปในกล้องerror แล้วพยายามหาในเนตก็ไม่มีครับ T_T

7..เจดีย์วิหารมหาบดี ( Mahabodhi Temple )

credit : www.flickr.coom


วัดมหาโบดี หรือชื่อไทยว่า วัดมหาโพธิ์ (Mahabodhi Temple) สร้างขึ้นในช่วงรัชสมัยของสมเด็จพระเจ้านันต่าวมยา (ช่วงปี ค.ศ. 1210-1234) วิหารเป็นรูปทรงเรือนยอดแบบพิระมิด จำลองแบบมาจากวัดพระศรีมหาโพธิ์ที่พุทธคยาในรัฐพิหาร ประเทศอินเดีย ยอดทำเป็นทรงปรางค์อย่างที่นิยมกันมาก

ในสมัยคุปตะของอินเดีย ดังนั้นรูปทรงเจดีย์นี้ลักษณะจะดูออกไปทางอินเดียมาก รูปทรงออกคล้ายๆที่อยู่ตรงข้างบนหน้าทางเข้าของวัดฮินดู ซึ่งวัดนี้ได้รับความเสียหายจากแผ่นดินไหวครั้งใหญ่เมื่อปีค.ศ.1975 จนต้องบูรณะขึ้นมาใหม่


8..เจดีย์มิงกาลา ( Mingala Zedi )

credit : en.wikipedia.org


ในรัชสมัยของ “พระเจ้านรสีหปติ" กษัตริย์ในลำดับที่ 12 แห่งราชวงศ์พุกาม ประวัติศาสตร์จารึกไว้ว่า พระองค์มีพระอุปนิสัยดุร้าย และไม่เลื่อมใสในพุทธศาสนา แต่ก็ทรงบัญชาให้สร้าง “มิงกาลาเจดีย์" หรือ “มงคลเจดีย์" ตามโบราณราชประเพณี โดยสร้างเลียนแบบมหาเจดีย์ชเวสิกอง ในสมัยพระเจ้าอโนรธามหาราชพระองค์โปรดให้จารึกไว้ที่เจดีย์แห่งนี้ว่า พระองค์ทรงเป็นจอมทัพผู้บังคับบัญชาไพร่พลขนาดมหึมาถึง 36 ล้านคน เสวยแกงกะหรี่วันละ 300 จาน และทรงมีนางสนม 3,000 คน ในขณะนั้น “กุบไลข่าน" จอมทัพแห่งมองโกลก็กำลังแผ่อิทธิพลลงมาทางจีนตอนใต้ เพื่อผนวกแคว้นยูนนาน พร้อมเรียกร้องให้พุกามส่งบรรณาการไปถวายจอมจักรพรรดิที่ปักกิ่ง แต่ทางพุกามปฏิเสธ มิหนำซ้ำยังสั่งประหารคนนำสารอีกด้วย

ครั้นเมื่อพระเจ้านรสีหปติ ทรงสร้างมิงกาลาเจดีย์ ก็เกิดมีคำทำนายว่า หากสร้างเสร็จจะเกิดหายนะ แต่เมื่อทรงยุติการก่อสร้างไว้ถึง 3 ปี ก็มีเสียงร่ำลือว่าการสร้างเจดีย์ไม่เสร็จถือเป็นอัปมงคลแก่แผ่นดินยิ่งนัก …ท้ายที่สุด พระเจ้านรสีหปติ ทรงดำเนินการก่อสร้างต่อจนเสร็จ ระหว่างนั้นทรงรู้อยู่แก่ใจว่า มองโกลต้องลงโทษพระองค์ จึงทรงเตรียมการก่อสร้างกำแพงป้องกันเมืองถึง 3 ชั้น เพราะต้องสร้างอย่างรีบเร่ง พระองค์ถึงกับบัญชาให้รื้ออิฐจากเจดีย์หลายแห่งมาก่อกำแพง ซึ่งแน่นอนว่า พระองค์ไร้ซึ่งความนับถือศรัทธาจากอาณาราษฎรของพุกาม

พุทธศักราช 1826 กองทัพมองโกลรุกเข้าตีอาณาจักรพุกามแตก โดยกำแพง 3 ชั้นมิอาจจะช่วยอะไรได้ พระเจ้านรสีหปติเสด็จหนีออกจากพุกาม จนประชาชนขนานนามว่า “ตโยกะปเยมิน" หรือ กษัตริย์ผู้วิ่งหนีจีน

* ขอขอบคุณข้อมูล oknation.net ที่ได้นำเรื่องราวจากหนังสือ ท่องเจดีย์ไพรใน พุกามประเทศ โดย คุณธีรภาพ โลหิตกุล


9..เจดีย์ Gaw daw palin phaya

credit : www.flickr.com


สร้างเพื่อเป็นอนุสรณ์สถานที่แสดงความเคารพต่อบรรพกษัตริย์ ในสมัยต้นพุทธศตวรรษที่ 18 สูงเป็นอันดับที่ 2



ถึงเวลาเที่ยงพอดีรถม้าพากินข้าวเที่ยงน่าจะเป็นร้านประจำที่คนขับรถต่างๆพาลูกค้ามากินประจำ เพราะชวนคนขี่รถม้ามานั่งด้วยแกไม่ยอมมานั่งแต่จะไปนั่งกินที่ทางร้านจัดไว้ให้สำหรับคนที่พาลูกคัามาโดยเฉพาะเลยต้องนั่งกินคนเดียว สำหรับอาหารมื้อนี้เค้าขายเป็นเซตทุกคนทุกโต๊ะกินเหมือนกันราคาเซตละ 4,000 จั๊ด(ประมาณ 120 บาท)มีกับข้าวมาให้ 4 อย่างคือแกงไก่,แกงเนื้อ,แกงหมู่ และปลาทอดมาอย่างละชิ้น2ชิ้นแต่ที่อลังการชุดใหญ่คือเครื่องเคียงมาด้วยอีก 10 อย่าง+ผักสด 1 จาน และข้าวเติมไม่อั้นแล้วตบท้ายด้วยแตงโม1จาน+เวเฟอร์1จาน สำหรับน้ำดื่มจ่ายแยก เป็นมื้อแรกสำหรับอาหารพม่าทั้งอิ่มทั้งสับสนวุ่ยวายไปหมดรสชาติโดยรวมอร่อยกินไม่ยากเลยแต่มันมาเย่อะเกินแต่ชิมเครื่องเคียงข้าวก็หมดไปเกือบครึ่งจานละยังไม่เริ่มกินกับข้าวหลักๆเลย คิดว่าหลายๆคนที่กินอาหารพม่าอาจจะเจอปัญหาเดียวกัน 555 มื้อนี้ 3 ผ่านแบบสับสนๆครับ



นี่ไงอาหารวันนี้ไม่รู้จะกินอะไรก่อนหลังดีหลายอย่างมาก กินข้าวหมดไปครึ่งจานยังกินไม่ครบเลย



หลังจากเรียบร้อยมื้อเที่ยงไปแล้วก็เดินทางต่อ



10..เจดีย์บูพยา Buphaya Pagoda

คือพระเจดีย์ที่ตั้งอยู่ริมฝั่งแม่น้ำอิระวดีในเมือพุกาม บูพะยา แปลว่า "เจดีย์น้ำเต้า" ตามลักษณะของพระเจดีย์ ตำนานได้เล่าขานไว้ว่าสร้างในช่วงพุทธศตวรรษที่ 8 ในสมัยอาณาจักรศรีเกษตร หรืออาณาจักรปยู โดยพระเจ้าปยูซอที แต่บ้างก็ว่าน่าจะสร้างในช่วงพุทธศตวรรษที่ 16 เนื่องจากรูปทรงขององค์พระเจดีย์ พระเจดีย์ที่เห็นกันอยู่ในปัจจุบันเป็นพระเจดีย์ที่สร้างขึ้นใหม่ในปี พ.ศ.2518 เพราะพระเจดีย์องค์เก่านั้นพังทลายลงมาอันเนื่องมาจากแผ่นดินไหว



11..เจดีย์ชเวกูจี Shwe gugi Temple

สร้างโดยพระเจ้าอลองสิธู ชเวกูจีแปลว่า "ถ้ำทอง" แต่เนื่องจากสร้างอยู่หน้าพระราชวังพุกามโบราณ จึงมีชื่อเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า นันดอพยา (Nandaw Temple) แปลว่า "วัดหน้าวัง" ตำนานกล่าวว่าฐานรากสร้างด้วยอิฐก้อนใหญ่ถึง ๑๒ ฟุต จึงสามารถสร้างได้รวดเร็วภายในเวลาเพียง๗ เดือน ๗ วัน ที่นี่มีพระพุทธรูปองค์ใหญ่ และสามารถขึ้นไปชั้นบนเพื่อชมซากวังโบราณและทะเลเจดีย์ในพุกามได้



12..เจดีย์สัพพัญญู Thatbyinnyu Temple

ตั้งอยู่ใจกลางเมือง ถัดจากวัดอนันดา มาทางตะวันตกเฉียงใต้ 500 เมตร เป็นที่รู้จักกันในนาม “ วัดสัพพัญญู" จัดเป็นวัดที่สูงที่สุดในเมืองพุกาม (61 เมตร)ตั้งอยู่ภายในเขตกำแพงเมือง ถือเป็นแม่แบบของสถาปัตยกรรมพม่า พระเจ้าอลองสิทธู (King Alongsithu) ทรงสร้างวัดนี้ขึ้นในกลางศตวรรษที่ 12 รูปทรงคล้ายวัดอนันดาแต่แผนผังยาวกว่าด้านอื่นๆ ตัววิหารชั้นบนนั้นสร้างเป็นทรงสี่เหลี่ยมขนาดเล็ก ด้านใน “กลวง" ซ้อนอยู่ บนวิหารชั้นล่างที่มีขนาดใหญ่กว่า นับเป็นเอกลักษณ์ของวัดพม่าโดยเฉพาะ ต่างจากวัดมอญที่นิยมสร้างเป็นวิหารชั้นเดียว แกนกลางชั้นล่างนั้นก่อเป็นแกนทึบเพื่อเป็นฐานรากรองรับโครงสร้างของวิหาร ชั้นบนซึ่งเป็นที่ประดิษฐานพระประธาน องค์พระหันหน้าไปทางทิศตะวันออกวิหารแต่ละชั้นมีหน้าต่างสองแถวซ้อนกันทำเป็นซุ้มภายในจึงสว่างและมีลมพัดผ่านเข้ามาได้ วิหารสองชั้นแรกเคยเป็นที่พำนักของบรรดาพระภิกษุ ชั้นสามเป็นที่ประดิษฐานพระพุทธรูป ชั้นสี่ทำเป็นหอพระไตรปิฏก ส่วนยอดที่ทำเป็นสถูปองค์ปรางค์นั้นใช้เป็นที่บรรจุพระบรมสารีริกธาตุ ถ้าต้องการขึ้นไปชั้นบนต้องใช้บันไดด้านในขึ้นไปยังลานทักษิณชั้นบนสุดสามชั้นที่รองรับปรางค์ยอดสิงขรและองค์สถูป มองออกไปจะเห็นวัดอนันดาและ ทิวทัศน์อันงดงามตระการตา



13..เจดีย์สุลามณี (Sulamani Phaya)

สร้างโดยพระเจ้านรปติสิทธู เมื่อ พ.ศ. 1706 ตอนที่ท่านกำลังเสด็จไปไหว้พระเจดีย์ที่บนเขาตูรินตวง ท่านมองเห็นลำแสงสะท้อนขึ้นมาจากพื้นดินตรงที่ตั้งของวัด จึงให้ทหารค้นหาที่มาของลำแสงพบว่า มาจากทับทิม อัญมณีเม็ดเล็กๆ พระองค์เห็นเป็นอัศจรรย์ว่าคงเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ มีเทวดาดลใจให้ท่านเห็นลำแสงนี้จึงให้สร้างวิหารบนตำแหน่งที่พบทับทิมแห่ง นี้ ท่านให้เตรียมพื้นที่ในการก่อสร้างโดยใช้ช้างเหยียบย่ำบริเวณที่ตั้งวิหาร เพื่อปรับพื้นดินให้แน่น เมื่อสร้างเสร็จแล้วยังกัลปนาข้อความได้จากจารึกที่ตั้งอยู่ทางมุขด้านทิศ เหนือ วิหารสุลามณีเป็นเจดีย์วิหารที่มีสองชั้น เหนือวิหารแต่ละชั้นมีหลังคาชั้นซ้อนอีกสามชั้นแสดงสัญลักษณ์ความเป็นปราสาท เหนือหลังคาชั้นสุดท้ายเป็นเจดีย์ทรงศิขระ ประดับด้วยเจดีย์รายที่มุมทั้งสี่ ตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ของเมืองพุกามโบราณ ในกลุ่มวิหารธรรมยางยี



14..เจดีย์ธรรมยางจี Dhammayangyi phaya

ลักษณะเจดีย์มีความสวยงามมากและได้ชื่อว่าเป็นเจดีย์ที่ยิ่งใหญ่และแข็งแรงที่สุดในพุกาม เพราะสร้างขึ้น ด้วยอิฐสีแดงเป็นเอกลักษณ์วัดนี้มีเจดีย์ที่สร้างขึ้นคล้ายเจดีย์อนันดา คือ มีลักษณะอาคารทรงสี่เหลี่ยมจัตุรัส มีมุขยื่นออกมาสี่ด้าน สร้างขึ้นโดยกษัตริย์นราธุ (King Narathu)ด้วยทรงปริวิตกว่าผลกรรมจากการกระทำปิตุฆาตจะติดตามพระองค์ไปในชาติภพหน้า พระองค์จึงสร้างวัด แห่งนี้ขึ้นเพื่อล้างบาป ปัจจุบันวัดธรรมยางจี เป็นวัดที่ได้รับการอนุรักษ์เอาไว้ดีที่สุดในพุกาม มีแผนผังคล้ายวัดอนันดาแต่ความประณีตกลมกลืนเทียบวัดอนันดาไม่ได้ สะท้อนถึงบรรยากาศอันดำมืดมัวหม่นในยุคนั้น แต่ฝีมือการก่อศิลาต้องนับว่าเป็นเอก พระเจ้านราธุทรงควบคุมดูแลการก่อสร้างด้วยพระองค์เอง ถ้าช่างวางเรียงศิลาให้มีช่องพอให้สอดเข็มเข้าไปได้แม้สักเล่มหนึ่ง ก็จะมีรับสั่งให้ประหารช่างผู้นั้นทันที แต่วัดสร้างยังไม่ทันเสร็จพระองค์ก็ถูกลอบปลงพระชนม์ลงเสียก่อน เหตุเพราะทรงรับเอาสนมในรัชกาลก่อนซึ่งเป็นธิดามหาราชาแห่งแคว้นปาเทกคายา(Pateikkaya) แห่งอินเดียมาเป็นชายาของพระองค์เองแต่ไม่โปรดฯพิธีแบบฮินดูจึงสั่งประหารนางเสีย พระราชบิดาของนางทรงแค้นเคืองนักจึงส่งทหารมือดีแปดนายปลอมตัวเป็นพราหมณ์เดินทางไปเฝ้าพระเจ้านราธุ แล้วใช้ดาบปลงพระชนม์ขณะเข้าเฝ้าก่อนฆ่าตัวตายเพื่อหลีกเลี่ยงการนองเลือด วิหารนี้จึงมีอีกชื่อเรียกหนึ่งว่า กาลักยามิน(Kalagya Min) หมายถึงวิหารของกษัตริย์ ที่ถูกฆ่าโดยพวกกาลา



15..เจดีย์วิหารอนันดา Ananda Phaya

เจดีย์อนันดาสร้างขึ้นโดยกษัตริย์จันสิทธะ (King Kyanzittha) เพื่อเป็นสัญลักษณ์แทนภูเขา นันทมูล (Nandamula) บนเทือกเขาหิมาลัยอันเนื่องมาจากการจาริกแสวงบุญมายังดินแดนพุกามของพระ อรหันต์ 5 รูปเหล่าพระอรหันต์ได้ทูลเล่าถึงลักษณะวัดในอิเดียถวายพระเจ้าจันสิทธะ พระองค์ทรงพอพระทัยมากจึงได้ดำรัสให้ก่อสร้างวัดขึ้นตามลักษณะที่เหล่าพระอรหันต์ได้พรรณาแล้วตั้งชื่อว่าวัดอนันดาตามชื่อถ้ำที่พระอรหันต์ทั้ง 5 องค์อาศัยอยู่

เจดีย์อนันดานี้ยังได้รับการยกย่องว่าเป็นเพชรเม็ด งามแห่งสถาปัตย์ของพุกาม เพราะถือว่าเป็นสุดยอดพุทธศิลป์สกุลพุกาม ตัววิหารทรงสี่เหลี่ยมจัตุรัสที่ใหญ่โตสง่างามมีมุขเด็จยื่นออกไปทั้งสี่ด้าน หากดูตามผังลักษณะจะเหมือนกับไม้กางเขนแบบกรีก ภายในวิหารมีพระพุทธรูปยืนที่แกะสลักด้วยไม้สักประดิษฐานอยู่ทั้งสี่ทิศ ผลงานฝีมือของช่างพม่าชั้นสูงที่ทำช่องให้แสงส่องสว่างเฉพาะองค์พระพุทธรูป ซึ่งพระพักตร์ของพระองค์นั้นมีรอยยิ้มเปี่ยมเมตตาสร้างความน่าเลื่อมใสแก่ผู้ไปสักการะ


พอถึงเสร็จจากการสักการะที่เจดีย์วิหารอนันดาแล้ว ทุนรื่อกำลังจะพาผมไปที่เจดีย์ชเวสันดอว์ซึ่งเป็นจุดชมพระอาทิตย์ตก แต่ผมมีอาการไข้ขึ้นละครับอาจจะเพราะพักผ่อนน้อยด้วยหรือเป็นเพราะเจออากาศที่เปลี่ยนจากร้อนจัดที่ย่างกุ้งมาเจออากาศเย็นๆที่พุกามช่วงเช้า แล้วมาเจอร้อนๆที่พุกามช่วงบ่ายๆต่อเลยมีอกาการไข้จึงต้องบอกทุนรื่อว่าพอแค่นี้ดีกว่าขอกลับไปที่พักไปนอนพักกินยา

16.30 น. ถึงที่พักจ่ายค่าทัวร์รถม้ากับทุนรื่อ 25,000 จั๊ตกับทิปอีกจำนวนนึง หลังจากนั้นเดินขึ้นไปที่ห้องพักแวะเอากระเป๋าที่ไว้ที่ห้องดอร์ม แล้วลงไปที่ขั้น2เอาของไปเก็บในห้องพักเพื่อพักผ่อนทันที เพราะตอนนี้ไข้มาตัวรุมๆแล้ว



เป็นห้องเตี่ยงเดี่ยว มีทั้งแอร์และพัดลม , ทีวี , ห้องน้ำในตัว เก่าหน่อยแต่น้ำอุ่นและแรงดี



หลังจากนอนพักแล้วก็ลงมาทำภาระกิจต่อคือ มาต่อราคาห้องจากคืนละ 15 usd เพราะนอนตั้ง 3 คืนต่อแล้วต่ออีกก็ไม่ให้เลยยอมเลยแว๊บออกไปหาข้าวกินพร้อมกับไปลองถามราคาที่พักแถวนั้นดูเริ่มจากฝั่งตรงข้ามเลยเป็น Eden Motel เหมือนกันชื่อเดียวกันเป๊ะเลยแต่เป็นคนละเจ้าของที่ผมพักแถวนั้นเรียกว่า Eden motel3 แต่ฝั่งตรงข้ามเป็น Eden motel1 ซึ่งพอเข้าไปถามฝั่งตรงข้ามแล้วห้องที่เป็นเตียงเดี่ยวห้องน้ำในตัวเหมือนกันราคาเท่ากันเลยที่ 15 usd แต่ไม่มีทีวีให้ ราคาก็ต่อลงมาไม่ได้เหมือนกันเลยเดินไปอีก1-2ที่ก็ราคาพอๆกันเลยเอาที่เดิมนี่แหล่ะขี้เกียจเก็บของ หลังจากนั้นก็ไปหามื้อเย็นต่อเป็นข้าวผัดไก่+ไข่ดาว อร่อยแต่ราคาแพงมาก 2,500 จั๊ต ประมาณ 70 บาท แถมให้น้อยด้วยไม่อิ่ม(ไม่ได้ถ่ายรูปไว้)


เลยเดินไปเจอร้านอาหารรถเข็นขายพวกเส้นๆเลยเข้าไปนั่งกินสั่งเมนูชี้ตามของคนที่กำลังกินอยู่เป็นก๋วยเตี๋ยวแห้งเส้นหมีเหลืองแบนๆโรยด้วยไก่ผัดเสิร์ฟพร้อมน้ำซุปและมีเครื่องปรุงพวกหอมแดง,มะนาว,น้ำปลา,พริกป่น และอีกอย่างอะไรไม่รู้เป็นน้ำสีแดงๆออกเปรี้ยวๆหวานๆ ราคามื้อนี้ชามละ 500 จั๊ต หรือประมาณ 15 บาท รสชาติก็คล้ายๆก๋วยเตี๋ยวแห้งบ้านเราเลยเข้าไปสอบถามชื่อเมนูเผื่อไปเจอที่อื่นจะได้สั่งถูกเค้าเรียกว่า “ซีเจี๊ยะ ข้าวส้วย"


อิ่มเรียบร้อยแล้วเดินเล่นดูอะไรไปเรื่อยๆ แต่ถนนที่นี่ไฟค่อนข้างจะสว่างน้อยมากเลยเดินแป๊ปเดียวกลับไปที่พักไปถามราคารถจักรยานไฟฟ้าหรือ E-bike ซึ่งร้านนี้จะอยู่ใกล้กับที่พักมีแค่ Eden motel2 ที่คั่นอยู่สอบถามราคามี 2 ราคาคือ 5,000 กับ 7,000 จั๊ด ต่างแค่ 7,000 เป็นรุ่นใหม่กว่าใหญ่กว่าอีกนิดดูเผินๆไม่ต่างเลยเอารุ่นที่ราคา 5,000 จั๊ต จองไว้ก่อนแต่ยังไม่ต้องจ่ายเงินเพราะร้านเค้าเปิดตี4 เดี๋ยวพอเราตื่นค่อยไปเอารถพร้อมจ่ายเงินอีกที พอคุยเสร็จเข้าห้องพักอาบน้ำกินยานอน รีบพักผ่อนเดี๋ยวร่างกายจะไม่ไหวเอา


Day 3 @ Bagan

5.30 น. ไปเอารถที่จองไว้พร้อมจ่ายเงินค่ารถ 5,000 จั๊ต และขอแผนที่จากที่ร้านเผื่อได้ดีกว่าที่เอามาจากที่พักแจกไว้ ที่ร้านเช่าไม่มีให้แต่เจ้าของเดินไปหยิบแผนที่อันใหญ่อย่างดีมาให้แต่ให้ยืมค่อยมาคืนพร้อมรถ ดูสบายตาละเอียดสะใจเลย
หลังจากนั้นไปหาพี่ที่นัดกันไว้เมื่อวานแล้วพากันขี่รถไปคนละคันไปดูพระอาทิตย์ขึ้นที่เดิมที่ไปดูเมื่อวานเพราะดูจากเวลาแล้วกลัวขี่รถกันไปไม่ทันเพราะขี่รถไม่แข็งกันทั้งคู่ แถมหลงด้วยขี่วนไปวนมาจนเลยเวลาบอลลูนขึ้น สุดท้ายตกลงกลับที่พักใครที่พักมัน 555 แยกกันไปจัดการอาหารเช้าให้เรียบร้อยแล้วนัดเจอกันอีกที 8.30 น. เพื่อไปตามอีกเส้นทางที่ต่างจากเมื่อวาน

กลับมาทานอาหารเช้าที่ที่พักพอรถจอดหน้าที่พักปุ๊บ เจ้าของร้านเช่ารถวิ่งมาเอาให้ไปชาร์จแบตรอให้เลย บริการดีมาก แนะนำเลยร้านนี้

ร้านเช่ารถครับ ถ้าหันหน้าเข้าที่พักร้านจะอยู่ไปทางขวาถัดจาก Eden Motel 2


รุ่นนี้ที่ผมเช่าราคา 5,000 จั๊ต


กุญแจรถจะมีนามบัตรของร้านมีเบอร์โทรเผื่อไว้ให้ติดต่อยามฉุกเฉินครับ


อาหารเช้าที่ที่พัก


เค้าจะจัดไว้ให้คนละ 1 ชุดจะมี ไข่ดาว1ฟอง,ขนมปังปิ้ง3แผ่น,กล้วยหอม1ลูก,แตงโม3ชิ้น,ชา/กาแฟ1ถ้วย ซอสไม่มีให้ต้องกินไข่ดาวกับเกลือ ไม่อิ่มครับไม่อิ่มมเลยเดินออกจากที่พักไปทางขวาเดินไปสัก 150 เมตรข้ามถนนไปเข้าร้านเดิมที่เคยกินคราวนี้สั่งกาแฟร้อน,โรตีกับถั่วผัดซาโมซ่า1ชิ้น(เค้าจะเสิร์ฟมา 5 ชิ้นแล้วเราจะกินกี่ชิ้นก็แล้วแต่เค้าคิดเงินตามจำนวนชิ้นที่หายไป) ราคาทั้งหมด 1,100 จั๊ต หรือ 35 บาท

มาต่อร้านกาแฟอีกครับเอาให้จุกไปเลยมื้อเช้า


ซาโมซ่า ซูมให้เห็นไส้กันเลย อร่อยดีครับ



* ** ใครมากินกาแฟในร้านของพม่าลองสังเกตุนะครับ เวลาลูกค้าจะเรียกเด็กเสิร์ฟมาเค้าจะไม่พูดกัน แต่จะใช้วิธีส่งเสียงเหมือนเสียงหนู+เสียงจูบดังๆว่า ม๊วฟๆ 2 ที ตรงนี้แหล่ะฮา เพราะแรกๆก็งงคิดว่าเสียงหนูนึกว่าร้านสกปรก เปล่าเลย.... เข้าใจผิดสักพักคราวนี้ลองจับสังเกตุถึงได้รู้ว่าเสียงมาจากลูกค้า ดูแล้วน่ารักดีจะลองทำแต่ก็ไม่กล้า เขิลๆ 555



8.30 น. ขี่รถไปหาพี่ที่นัดกันไว้ก่อนออกเดินทางเอาแผนที่ไปถามพนักงานที่เคาท์เตอร์ช่วยแนะนำเจดีย์ที่น่าสนใจในเส้นทางนี้หน่อย เพราะปกติถ้าเรามารถม้าไม่มีโอกาสมาเส้นทางนี้แน่ๆ และนี่คือเส้นทางที่จะไปวันนี้เขียนใส่กระดาษเอาไม่กล้ามาร์คจุดในแผนที่ที่ยืมร้านเช่ารถมา หลังกจากคิดว่าได้ข้อมูลแล้วก็ออกเดินทางต่อ

แผนที่วาดสดๆหลงเพราะอันนี้นี่แหล่ะ 55



โดยเส้นทางนี้ถ้าเอาที่พักผมเป็นจุดเริ่มต้นให้ไปทางขาวมือขี่ไปพอถึงสี่แยกจะไปสนามบิน ซึ่งถ้าไปสนามบินจะต้องเลี้ยวซ้ายแต่เส้นทางของเราที่ไปวันนี้คือเลี้ยวขวาตลอดเส้นทางนี้จะมีเจดีย์ตลอดทาง และขี่ไปเรื่อยๆจะไปบรรจบกับ New Bagan ดูจากระยะทางทั้งหมดที่จะต้องขี่กันวันนี่น่าจะประมาณ 26 km แต่ถ้ารวมๆเข้าไปทางย่อยๆไปหาเจดีย์ต่างๆอีกรวมๆน่าจะ 30 km ต้องลุ้นว่าแบตฯในรถจะพอหรือเปล่า


เส้นทางเที่ยวหลักๆของวันนี้

เส้นทางวันนี้รวมๆแล้ว 30 km ได้ถ้านับเข้าออกทางย่อยๆ


1.iza Gawna pagoda
เป็นที่แรกที่มาถึงสร้างขึ้นราวคริสต์ศตวรรษที่ 13 โดยพระสงฆ์ที่มีชื่อเสียงในยุคนั้นชื่อว่า Maha thaman

2..Winido Temple


3..Tham Bula Phaya

สร้างขึ้นโดยมหาเทวีธรรมบุละในปี ค.ศ. 1255

4..Thonzu Phaya

วัดพญาตองสู (แปลว่าเจดีย์สามองค์)วัดนี้ถูกสร้างขึ้นโดย 3 พี่น้อง ภายในยังสร้างไม่เสร็จดี เกิดมีสงครามเจงกีสข่านก่อน จึงมีแค่เจดีย์เดียวที่มีภาพร่างหลงเหลืออยู่เป็นวัดเล็ก ๆ ประกอบไปด้วยเจดีย์เล็ก ๆ 3 องค์ เรียงต่อกันด้วยทางเดินเล็ก ๆ ตรงกลาง สร้างในสมัยคริสต์ศตวรรษที่ 13 ซึ่งเป็นช่วงที่นิกายมหายานเริ่มเข้ามาในพุกามแล้ว งานจิตรกรรมที่นี่จึงได้รับอิทธิพลนิกายมหายานมา ที่มาของการก่อสร้างเจดีย์สามองค์มีสองกระแส กระแสหนึ่งว่ากันว่าเพื่อเป็นการบูชาพระตรีมูรติ (พระพรหม พระศิวะ พระนารายน์) ของศาสนาฮินดู อีกกระแสหนึ่งเพื่อบูชาพระรัตนตรัย

5..Lay Myethna Temple

เจดีย์เลเมียตนาแห่งเขตมิงกบานี้ ว่ากันว่าน่าจะสร้างโดยบุตรสาวหรือหลานของพระเจ้าจานสิตตา อันเป็นธรรมเนียมในราชวงศ์ที่ปกครองพุกามว่าเจ้านายทั้งหลายจะต้องสร้าง เจดีย์หรือวิหารประจำพระองค์ เพื่อเป็นเจดีย์บริวารของเจดีย์ของพระเจ้าแผ่นดิน (ในที่นี้คือปราสาทนากายน)

6..Thisa wadi Pagoda

7..Dhamma Yazika Pagoda

สร้างขึ้นในสมัยของพระเจ้านรปติสิธู (King Narapatisithu) เป็นเจดีย์ที่มีผนังเป็นห้าเหลี่ยมเป็นพัฒนาการทางสถาปัตยกรรมที่รองรับแนวคิดทางพุทธศาสนาที่เชื่อกันว่าจะมีพระพุทธเจ้า 5 พระองค์ถือกำเนิดบนโลก แต่มีการก่อสร้างวิหารเพิ่มเติมทำให้มองเห็นทรง 5 เหลี่ยมไม่ชัดเจนมากนัก

พักทานข้าวเที่ยง มื้อนี้กิน2คนสั่งกับข้าวมา 2 อย่างๆละ 1,500 จั๊ต



8..Lawkananda Phayar

เจดีย์โลกะนันท์ ตั้งอยู่ริมฝั่งแม่น้ำอิระวดีทางใต้ของเขตพุกามใหม่ สร้างขึ้นในปี ค.ศ. 1059 ในรัชสมัยของพระเจ้าอโนรธา เพื่อเป็นที่ประดิษฐานพระทันตธาตุที่ได้รับมาจากศรีลังกา

9..Somingyi Kyaung


สร้างขึ้นเมื่อปีค.ส. 1204 โดยชื่อของที่นี่ตั้งตามผู้หญิงท่านนึงที่สร้างวัดนี้



10..Manuha Temple

เป็นวิหารที่ถูกสร้างขึ้นโดยพระเจ้ามนูหะกษัตริย์ของชาวมอญ เมื่อพระองค์ทรงตกเป็นเฉลยของพระเจ้าอโนรธา พระองค์ทรงระบายความรู้สึกในพระราชหฤทัยของพระองค์ในระหว่างที่ทรงถูกคุมขัง ด้วยการให้สร้างพระพุทธรูปปางมารวิชัย ขนาดใหญ่โตคับวิหาร ขนาบข้างด้วยพุทธสาวก จึงเป็นที่มาของวิหารแห่งนี้

15.50 น. ขี่รถกำลังจะไปเจดีย์วิหารอนันดารถเริ่มเร่งไม่ขึ้นติดๆดับๆ นั่นไง...แบตฯหมดเลยต้องค่อยๆขี่ไปดับเครื่องไปสตาร์ทไปยังพอวิ่งทีนะนิดไปเรื่อยๆจนถึงเจดีย์ทั๊ตบินยู แล้วไปร้านค้าซื้อน้ำแล้วให้เค้าช่วยโทรหาเจ้าของร้านให้เอาแบตฯมาเปลี่ยนให้หน่อยรอสัก 10 นาทีแบตฯมาเสิร์ฟถึงที่เลย


แบตเตอรี่ที่เอามาเปลี่ยน


เจ้าของมาเองครับ เอาแบตฯมาเปลี่ยนให้



11.Ananda Temple

รูปวิวระหว่างทางกลับไปทางยองอู



12.Shwezigon Pagoda
ประวัติ : 1 ใน 5 สิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ควรมาสักการะในพม่า และเป็น 1 ใน 5 มหาบูชาสถานสูงสุดของประเทศพม่า ชาวพม่าทั่วไปเคารพนับถือความศักดิ์สิทธิ์ของเจดีย์แห่งนี้เป็นอันมาก เพราะเป็นสถานที่บรรจุพระบรมสารีริกธาตุและพระเขี้ยวแก้วเป็นเจดีย์ใหญ่สวยงามศักดิ์สิทธิ์และเก่าแก่ที่สุดแห่งหนึ่งในประเทศพม่า เป็นที่เคารพนับถือของทั้งชาวพม่าและชาวไทย ตั้งอยู่ที่เมืองพุกาม โดยชื่อ "ชเวสิกอง" มีหมายความว่า "เจดีย์ทองแห่งชัยชนะ" (ชเว = ทอง) สร้างโดย พระเจ้าอโนรธามังช่อ แต่แล้วเสร็จในรัชกาลพระเจ้าจานสิตาแห่งอาณาจักรพุกาม ราว 960 ปีก่อน ภายในเจดีย์เชื่อว่าบรรจุพระเขี้ยวแก้วและพระสารีริกธาตุ โดยอัญเชิญมาจากลังกา บนหลังช้างเผือก พระเจ้าอโนรธามังช่อได้ตั้งจิตอธิษฐานว่า ถ้าช้างเผือกคุกเข่าลงที่ใด จะสร้างเจดีย์ไว้ที่นั่น เจดีย์ชเวสิกองถูกบูรณะในสมัยต่อมาอีกหลาย ครั้ง เจดีย์ชเวสิกองเป็นเจดีย์ทรงระฆังคว่ำพื้นผิวภายนอกถูกปิดด้วยทองคำเปลว ปัจจุบันมีความสูงราว53เมตรหรือ160ฟุตมีลวดลายปูนปั้นอยู่ 3 แถว และมีเจดีย์เล็กๆเป็นบริวารอยู่รายรอบเป็นสถูปรูปแบบดั้งเดิมของ พม่าสร้างขึ้นหลังพระเจ้าอโนรธาขึ้นครองราชย์เพื่อใช่บรรจุพระบรมสารีริกธาตุเป็นทั้งที่ประชุมสวดมนต์และศูนย์กลางของพุทธศาสนานิกายเถรวาทในพุกาม พระเจ้าอโนรธาทรงเชื่อว่าตนเองเป็น “พระมหาจักรพรรดิราช" จึงพยายามรวบรวมพระบรมสารีริกธาตุมาไว้ด้วยกัน ทั้งพระรากขวัญกับพระนลาต จากเมืองปยี่พระเขี้ยวแก้วจำลองจากเมืองแคนดีและพระแก้วมรกตจากหยุนหนาน จากนั้นทรงปล่อยช้างเผือกที่อัญเชิญพระเขี้ยวแก้วมาจากลังกาออกไปเพื่อเสี่ยงทายพญาช้างเผือกหยุดพำนักที่ตรงไหนก็สร้างเจดีย์ชเวซีโข่งขึ้น ณ ตำแหน่งนั้น แต่สร้างฐานไปได้แค่สามชั้นพระเจ้าอโนรธาก็สิ้นพระชนม์ลงเสียก่อนในปี 1077 พระเจ้าญาณสิทธาจึงสร้างต่อจนเสร็จสมบูรณ์ในปี 1089
พระเจดีย์ นี้ประกอบด้วยองค์ระฆังบนฐานทักษิณสามชั้น มีบันไดทอดขึ้นมาจากสี่ทิศ ถัดจากปล้องไฉนขึ้นไปเป็นฉัตรยอด มีเจดีย์บริวารตั้งอยู่ที่สี่มุมของฐานแต่ละชั้น มีแผ่นชาดกประดับอยู่โดยรอบ พระเจดีย์ประธานทำซุ้มสี่เหลี่ยม เป็นวิหารเล็กๆ เอาไว้ทั้งสี่ทิศ ภายในประดิษฐานพระพุทธรูปยืนแบบคุปตะ เบื้องซ้าย-ขวา ของซุ้มประตูทางเข้า ด้านทิศตะวันออกมีเสาหินสองต้น แต่ละต้นมีคำจารึกอยู่ทั้งสี่ด้าน บันทึกเรื่องราวการสร้างเจดีย์ในสมัยพระเจ้าญานสิทธา ทุกๆปีช่วงปลายเดือนพฤศจิกายนถึงต้นเดือนธันวาคม จะมีการจัดงานบุญฉลองพระเจดีย์

ความอัศจรรย์ ๙ ประการของพระมหาธาตุชเวสิกอง
- ยอดพระเจดีย์ไม่มีการใช้เหล็กเสริม
- กระดาษห่อแผ่นทองคำเปลวที่นำไปปิดส่วนยอดพระเจดีย์ จะไม่ปลิวพ้นฐานสี่เหลี่ยมของพระเจดีย์
- เงาพระเจดีย์จะไม่ล้ำออกนอกฐานสี่เหลี่ยมของพระเจดีย์ (ถ้าเงาล้ำออกไป ถือว่าเป็นลางร้าย)
- ภายในเขตองค์พระเจดีย์ สามารถรองรับผู้แสวงบุญได้ไม่จำกัดจำนวน (ไม่เคยเต็ม)
- มีการให้ทานด้วยข้าวสุกร้อน ๆ ทุกเช้า (ไม่ว่าเราจะตื่นเช้าสักเพียงใด จะพบข้าวสุกในบาตรอยู่ก่อนหน้าเราเสมอ)
- เมื่อตีกลองใบใหญ่จากด้านหนึ่งของพระเจดีย์ จะไม่สามารถได้ยินเสียงกลองจากด้านตรงข้าม
- แม้พระเจดีย์จะตั้งอยู่บนพื่นราบ แต่เมื่อมองจากภายนอก จะเกิดภาพลวงตาคล้ายพระเจดีย์ตั้งอยู่บนที่สูง
- ไม่ว่าฝนจะตกหนักเพียงใด จะไม่มีน้ำฝนขังอยู่ในอาณาเขตขององค์พระเจดีย์
- มีต้นพิกุล ซึ่งจะออกดอกตลอดทั้งปี (ปรกติจะออกปีละครั้ง)


แถวๆเจดีย์มีตลาดใกล้ๆ มีเครื่องเล่นสำหรับเด็กด้วย



แวะมาหาข้าวแกงพม่ากินร้านนี้กับข้าวอย่างละ 2,500 จั๊ต สั่งแกงหมูมากินอิ่มไปอีก 1 มื้อ กินข้าวท่ามกลางแสงไฟสลัวตักผิดๆถูกๆ 555


จากนั้นแวะไปหาซื้อซิมโทรศัพท์เพื่อเล่นเนต เพราะ wifi ที่ที่พักมีให้เล่นเฉพาะที่ Lobby แต่ใช้ไม่ได้ 555 สรุปว่าซื้อซิมของค่าย MPT ราคา 1,500 จั๊ตแล้วซื้อบัตรเติมเงินอีก 1,000 จั๊ต ทุกขั้นตอนให้พนักงานที่ร้านทำให้เลยง่ายที่สุด



จากนั้นแวะไปร้านถ่ายเอกสารเพื่อถ่ายแผนที่ที่ได้มาจากร้านเช่ารถเอาไว้ใช้วันรุ่งขึ้นค่าถ่ายเอกสารขนาดกระดาษ A3 ราคา 100 จั๊ตเสร็จเรียบร้อยแล้วเอารถไปคืนที่ร้านแล้วเข้าที่พักแวะเอาผ้าลงมาให้ที่เคาท์เตอร์ ที่นี่มีบริการซักผ้าชิ้นละ 300จั๊ต(8บาท) ส่งคืนนี้ได้เย็นวันรุ่งขึ้นเลยตอนที่เอาผ้าลงมาซักได้เพื่อนใหม่เป็นน้องหมวยชาวเกาหลีมาจากแคนาดามาคนเดียว แต่ไม่ค่อยมีข้อมูลที่เที่ยวที่นี่ คุยกันสักพักเลยนัดกันไปดูพระอาทิตย์ขึ้นวันพรุ่งนี้ที่ที่เดิม ( อีกแล้วววว จะพาเค้าหลงเหมือนวันนี้มั้ย 555 )

---------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

Day 4 @ Bagan

5.30 น. ไปเช่าจักรยานไฟฟ้าร้านเดิม 5,000 จั๊ตแล้วก็ออกไปเดินทางไปดูพระอาทิตย์ขึ้นที่เจดีย์บูเรที อากาศวันนี้หนาวกว่าทุกวันขี่ไปปากสั่นไป แต่คราวนี้ไม่หลงพาเพื่อนร่วมทางไปถูกแล้วก็ขึ้นไปบนเจดีย์เพราะแสงเริ่มมาแล้ว ขึ้นปุ๊ปที่นั่งมันแปลกๆแคบกว่าเดิมปรากฏว่าพาอาหมวยมาผิดเจดีย์ต้องปีนลงแล้วเดินไปอีก 50 เมตร ไปขึ้นเจดีย์บูเรที 5555 คือจริงๆแล้วเวลาเราขึ้นเจดีย์บูเรทีถ่ายรูปบอลลูนจะมีเจดีย์ที่ขึ้นผิดเป็นฉากอยู่เบื้องหน้า ถึงว่าขึ้นไปแล้วมองออกไปดูมันโล่งๆฉากหาย ^^
ตอนขาเข้ามาเจดีย์เตือนอาหมวยไปรอบนึงให้ระวังจะล้มเพราะพื้นถนนทางเข้าบางช่วงเป็นพื้นทรายน่าจะหนาประมาณฟุตนึงได้ เตือนไม่นานล้มครับล้ม *_* !! จุดเดียวกับที่2สาวฝรั่งล้มในวันแรกเลย ใครมาเจดีย์นี้ก็ให้ระวังนิดนึงนะครับ

นี่งัยคนซ้ายมืออาหมวยจากเกาหลี



7.10 น. เดินลงเจดีย์แล้วขี่รถกลับไปกินข้าวเช้าที่ที่พักแล้วนัดเจอกัน 9.00 น.เพื่อเดินทางไปตลาดเช้า Mani Sithu Market จากนั้นขอกลับขึ้นไปนอนพักผ่อนสักนิด

9.00 น. ขี่รถไปที่ตลาดจริงๆเดินจากที่พักไปก็ได้แค่ 100-200 เมตร ภายในตลาดก็เหมือนตลาดสดตามต่างจังหวัดบ้านเรานี่แหล่ะครับ

เค้าบอกว่าที่พม่าห้ามถ่ายรูปจนท.รัฐฯ พอดีเห็นตำรวจเดินอยู่ที่ตลาด 2 นายเลยหน้าด้านเข้าไปขอถ่ายรูป พร้อมกับประโยคที่เรียนมาบนเครื่อง“ มิงกาลาบ่า , ด๊ะโป่ว ย่ายลู่ ย่ามมาล่า “ (สวัสดีครับ,ขอถ่ายรูปหน่อยได้มั้ยคร๊าบบบ พร้อมยิ้มหวานๆ ) ปรากฏว่าเค้ายอมให้ถ่ายครับ ^^

นี่ไงครับ จะบอกให้ยิ้มกว้างๆก็กลัวเค้าจะหาว่าเรื่องมาก เอาตามธรรมชาติพี่แกเลยครับ 555


เสร็จแล้วก็พากันเที่ยวเจดีย์ต่างๆต่อ แต่วันนี้ขอเที่ยวไม่กี่ที่ครับหลักๆที่อยากไปคือเจดีย์ชเวสันดอว์เพราะตั้งแต่มาไม่เคยไปเลย

รูปที่เที่ยววันนี้ครับ

15.30 น. ก็ขอแยกตัวจากอาหมวยเพราะว่าผมไข้ขึ้นครับ ส่วนน้องเค้าอยากรอดูพระอาทิตย์ตกที่เจดีย์ชเวสันดอว์ ผมเลยขอกลับมานอนพักผ่อนก่อน



มื้อเย็นวันนี้ครับอาหารอย่างละ 1,300 สั้งมา 2 อย่าง+โค้ก1กระป๋อง ค่าเสียหายมื้อนี้ 3,400 จั๊ต


ก่อนเข้านอนวันนี้สอบถามที่พักเกี่ยวกับรถบัสไป Nyaung shwe เพื่อไปเที่ยว inle lake ได้รถของ JJ Express vip รอบ 8.30 น. รถจะมารับที่ที่พัก

7.00 น.เพื่อพาไปขึ้นรถที่ขนส่งอีกที ค่าตั๋ว 15 usd หรือถ้าจะจ่ายเป็นจั๊ตก็ 18,500 จั๊ต ผมเลือกจ่ายเป็นจั๊ตเพราะถูกกว่า ในส่วนรถที่จะไปที่นี่ถ้าต้องการประหยัดก็จะมีรถแอร์ธรรมดาราคา 12,000 จั๊ต เป็นแบบ 4 ที่นั่ง (ผมเลือก JJ express เพราะเป็น vip bus 3ที่นั่ง จะได้เลือกนั่งที่นั่งเดียวนอนสบาย)

ตอนที่3 @ Inle https://th.readme.me/p/1871



Notes from Backpacker

 วันอังคารที่ 19 มกราคม พ.ศ. 2559 เวลา 10.20 น.

ความคิดเห็น