ตอนที่1 https://th.readme.me/p/1848

ตอนที่2 @ Bagan https://th.readme.me/p/1864

ตอนที่3 @ Inle https://th.readme.me/p/1871

ตอนที่4 @ Pyin Oo Lwin https://th.readme.me/p/1872

ตอนที่5 @ Mandalay-Mingun https://th.readme.me/p/1873

ตอนที่6 @ Bago-Kyaikh tiyo https://th.readme.me/p/1874


คุยกันในนี้ได้นะครับ https://www.facebook.com/NotesfromBackpacker/


-----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

ประวัติมัณฑะเลย์
เป็นอดีตเมืองหลวง และเมืองใหญ่อันดับที่สามของพม่ารองจากนครย่างกุ้งและกรุงเนปยีดอ ตั้งอยู่ในภูมิภาคมัณฑะเลย์ ฝั่งตะวันออกของแม่น้ำอิรวดี ห่างจากย่างกุ้งไปทางทิศเหนือ 716 กิโลเมตร ก่อตั้งขึ้นในปี ค.ศ. 1857 โดยพระเจ้ามินดง โดยตั้งชื่อตามภูเขามัณฑะเลย์ที่อยู่ใกล้เคียง ซึ่งมีความสูง 775 ฟุต มัณฑะเลย์เป็นเมืองศูนย์กลางการค้าทางตอนเหนือของพม่า และถือเป็นเมืองใหญ่เป็นอันดับสามของประเทศ รองจากย่างกุ้งและเนปยีดอ นอกจากนี้ยังเป็นศูนย์กลางทางการค้าที่สำคัญบนเส้นทางการค้าระหว่างอินเดีย กับจีน และรัฐบาลพม่า ยังให้ความสำคัญโดยตั้งนิคมอุตสาหกรรมขึ้นในปี พ.ศ. 2533 ซึ่งปัจจุบันมีบริษัทเข้ามาดำเนินการประมาณ 1,000 แห่ง ส่วนใหญ่เป็นโรงงานถลุงเหล็ก และโรงงานผลิตอุปกรณ์เครื่องจักรกล มัณฑะเลย์ ยังเป็นเมืองศูนย์กลางคมนาคม มีทั้งท่าเรือ และท่าอากาศยานนานาชาติมัณฑะเลย์


Day 9 : Pyin oo Lwin - Mandalay


ตื่นตั้งแต่เช้าเพื่อจะได้ไปทันรถออกเที่ยวแรก7โมงไปมัณฑะเลย์ หลังจากเก็บของทำทุกอย่างเสร็จแล้วก็เดินออกมา check out เห็นพนักงานนอนอยู่ที่โซฟาและประตูที่พักก็คล้องโซ่กุญแจล็อคไว้อยู่เลยเดินไปปลุกให้เค้ามาเปิดประตูให้ จากนั้นคืนกุญแจถือว่าพิธี check out สิ้นสุด

6.55 น.เดินมาเกือบ 2 กิโลมาขึ้นรถทันรอบแรกอย่างฉิวเฉียดมีผู้โดยสาร 2 คนถ้วน พอถึงเวลาออกเดินทางรับระหว่างทางอีก 3-4 จุด

8.00 น. จอดจุดพักมีร้านค้าร้านอาหารชาวบ้านอยู่หลายร้านให้เวลา20 นาทีจากนั้นคนขับก็เดินมาเก็บค่ารถคนละ 1,500 จั๊ตเท่ากันทั้งพม่าและต่างชาติ


9.00 น. ถึงมัณฑะเลย์เดินทางแค่ 2 ชั่วโมงเองไวกว่าที่บอกตั้ง 1 ชม. แต่รถไม่ได้จอดที่หอนาฬิกากลางเมืองนะครับ จอดตรงไหนไม่รู้บอกไม่ถูกเพราะเค้ามาเรียกให้ลงตรงนี้เลย เดินลงไปก็มีมอไซค์มารออยู่แล้วเลยตกลงราคาเพื่อไปที่พักที่หาไว้แถวหอนาฬิกาที่ราคา 1,500 จั๊ต (ต่อจาก 2,500 จั๊ต คือต่อราคาถ้าไม่ได้ราคา 1,500 จั๊ตก็กะว่าจะเดินมาเอง แต่พอหลังจากเค้าไปส่งที่ที่พักแล้วรู้สึกโชคดีที่เค้ายอมลดราคาให้ ถ้าไม่งั้นบ้าเดินมาเองตายแน่โครตไกลและแดดกับอากาศที่มัณฑะเลย์อย่างระอุอากาศต่างจากพิลอูวินที่เมื่อเช้าหนาว16องศาเอง แต่ตอนนี้อย่างร้อน


10นาทีรถมาจอดที่ ET Hotelตามที่หาข้อมูลไว้ขึ้นไปดูห้องก่อน ซึ่งอยากพักห้องห้องแบบห้องน้ำรวมแต่เต็มเหลือแต่ห้องราคา 20 usd ขึ้นไป เลยขอเข้าไปดูห้องก่อนแล้วค่อยออกไปดูที่อื่นต่อ โดยเดินย้อนมาทางจะไปหอนาฬิกามาอีกนิดเดียวเจออีกที่ที่หาข้อมูลไว้คือที่ Nylon Hotel 2 ขึ้นไปดูห้องและส่วนกลางทุกอย่างใหม่กว่าที่ ET Hotel เยอ่ะเลยเลยตกลงเข้าพักที่นี่เป็นห้องเดี่ยว18 usdห้องน้ำในตัว+แอร์+อาหารเช้า

Nylon มี2ตึกใกล้กันนะครับที่พักคือตึกใหม่


สะอาด ใหม่ กลิ่นหอม มีทั้งแอร์ พัดลม กาน้ำร้อน


สะอาดๆ มีอ่างด้วย ที่สำคัญคือน้ำแรง ชอบๆ



หลังจากนั้นก็ลงมาเตรียมไปเที่ยวต่อ แต่ขอแวะถามราคาตั๋วรถไป Bago (หงสาวดี) ที่เคาท์เตอร์ก่อนซึ่งจะมีรถบัสแอร์ 2 รอบคือ 19.30 น. ราคา 14,000 จั๊ต รอบนี้จะไม่มีรถมารับที่ที่พักต้องเดินทางไปที่ขนส่งเอง กับรอบ 20.30 น.ราคา 16,000 จั๊ต รอบนี้จะมีรถมารับถึงที่พักเวลา 18.30 น. สอบถามค่ารถมอไซค์ไปขนส่งอยู่ที่ 3,000 จั๊ต คิดว่าน่าจะเอาที่รอบหลังแต่ออกไปข้างนอกก่อนกลับมาค่อยจอง เสร็จแล้วเดินออกมาเจอโรงแรมข้างๆกันลองไปสอบถามค่ารถไปBago ปรากฏว่าเค้ามีแค่รอบ 19.30 น. ราคา 12,000 จั๊ตแต่ต้องเดินทางไปที่ขนส่งเองต่างกับที่พักนิดหน่อย เลยตัดสินใจว่าคงจองที่ที่พักไปเลยเพราะว่าเวลาเดินทางอยู่หลังจาก check out ไปแล้วจะได้ขอฝากกระเป๋าด้วยเลย พอได้ข้อมูลครบแล้วก็เดินไปที่ตลาด Zegjo เป็นตลาดสดคล้ายๆกันกับตลาดสดในเมืองต่างๆของพม่าที่ไปมา

แวะกินโมฮิงก่าในตลาดราคา 500 จั๊ต



แล้วเดินดูตลาดเล่นๆจนเห็นรถสองแถวจอดอยู่เลยลองไปสอบถามหารถที่จะไปสะพานอูเบ็งเพราะข้อมูลที่หามาจะมีรถสองแถวสาย 8 ไปสะพานอูเบ็งเดินไปอย่างงๆสื่อสารกับเค้าก็ไม่ค่อยรู้เรื่องเลยเอารูปสะพานอูเบ็งให้เค้าดูเค้านึกว่าผมจะไปตอนนี้เลยพี่แกคอยจะโบกรถสาย8ให้ แล้วรถดันทะลึ่งมาพอดีแกโบกให้เสร็จเลยต้องรีบส่ายหน้าแทบหลุดบอกว่ายังไม่ได้ไปพร้อมกับขอบคุณพี่เค้า เป็นอันว่าเดี๋ยวบ่ายแก่ๆจะมาขึ้นรถตรงกลางตลาดนี่แหล่ะ เสร็จแล้วก็เดินกลับไปที่พักต่อเพราะต้องกลับไปแบตฯกล้องที่ชาร์จไว้+เอาผ้าลงมาให้ที่พักซัก และให้ที่พักหาคนขับมอไซค์พาไปส่งที่พระราชวังมัณฑะเลย์ด้วยตกลงกันที่ราคา 2,000 จั๊ต ทีแรกจะเดินไปเองเพราะดูจากgoogle mapน่าจะพอเดินไหวแต่ดูจากอากาศแล้วขอขึ้นมอไซค์ไปดีกว่า จากนั้นขึ้นรถเดินทางต่อจนถึงพระราชวังมัณฑะเลย์รู้สึกดีใจมากเพราะคิดถูกที่ไม่เดินมาเก็บแรงไว้เที่ยวดีที่สุด 5555(ตามแพลนเดิมจะเดินมาจากที่พักเพราะดูในแผนที่ม้นดูใกล้กัน)



ประวัติพระราชวังมัณฑะเลย์

พระเจ้ามินดงทรงสร้างเมืองมัณฑะเลย์ขึ้นในปี ค.ศ. 1857 (พ.ศ. 2400 ตรงกับรัชกาลที่ 4 ของไทย) ตามพุทธทำนายที่เล่าสืบต่อกันมาว่า...ครั้งหนึ่งสมเด็จพระบรมศาสดาได้เสด็จมายังเขามัณฑะเลย์พร้อมกับพระอานนท์ ทรงพยากรณ์ว่า หลังพุทธปรินิพพาน 2,400 ปี จะมีการสร้างราชธานีขึ้นเป็นศูนย์กลางการศึกษาพุทธศาสนาที่เชิงเขาแห่งนี้ พุทธทำนายปรากฏเป็นจริงในปี 1861 เมื่อพระเจ้ามินดงทรงชิงราชบัลลังก์จากพระเชษฐาต่างพระมารดา พระนามว่าพระเจ้าปะกั่นมิน และโปรดให้ย้ายราชธานีพร้อมราษฎรกว่า 150,000 คน จากเมืองอมรปุระ ไปยังมัณฑะเลย์ซึ่งอยู่ห่างออกไป 20 กิโลเมตร ทรงสร้างพระราชวังที่ประทับขึ้นที่เชิงเขามัณฑะเลย์ และสถาปนาให้เป็น “เมืองทอง" แห่งการเผยแพร่พระพุทธศาสนาขึ้น

หลังสิ้นแผ่นดินพระเจ้ามินดงในปี 1878 พระเจ้าตี่ป่อกับพระนางสุภายาลัดทรงขึ้นครองบัลลังก์ต่อ เมืองมัณฑะเลย์ที่เคยรุ่งเรืองในสมัยพระเจ้ามินดงปกครองต้องประสบกับชะตากรรมอันเศร้าสะเทือนขวัญและถือเป็นมิคสัญญียุคของพม่าโดยแท้ เมื่อสองพระองค์ทรงเข่นฆ่าญาติมิตรมากมายเพื่อป้องกันมิให้ก่อการกบฏ ครั้นยังซ้ำร้ายเกิดโรคระบาด ก็โปรดฯ ให้ประหารข้าราชบริพารและชาวต่างชาติเพื่อบรรเทาเหตุร้ายตามคำแนะนำของบรรดาโหราจารย์ ความอำมหิตของทั้งสองพระองค์ รวมทั้งการที่ทรงโปรดฝรั่งเศสเป็นพิเศษ ทำให้อังกฤษไม่พอใจ จึงยึดผนวกพม่าเข้าเป็นอาณานิคมในปี ค.ศ. 1885 พระเจ้าตี่ป่อและพระนางสุภายาลัดถูกเชิญเสด็จออกนอกประเทศ ไปประทับที่อินเดียจนสิ้นพระชนม์ที่นั่น มัณฑะเลย์ถูกลดฐานะลงเป็นแค่เมืองอาณานิคมที่อังกฤษตั้งชื่อให้ใหม่ว่าฟอร์ตดัฟเฟอริน (แต่ไม่มีใครเรียก)

ในเดือนมีนาคม ค.ศ. 1945 (พ.ศ. 2488 ช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2) พระราชวังหลวงซึ่งสร้างด้วยไม้สักเกือบทั้งหลัง ถูกกองทัพอังกฤษได้ระดมยิงพระนครซึ่งมีทหารญี่ปุ่นกับพม่าคอยต้านรับศึกอยู่เพียงหยิบมือเดียว เมื่อการสู้รบยุติลง พระราชวังทองแห่งนี้กลายเป็นเถ้าถ่าน มีเพียงคูน้ำและกำแพงเมืองที่เหลือรอด แต่ทางการได้สร้างพระราชวังขึ้นมาใหม่เป็นบางส่วนแต่ก็มิได้สวยงามเท่าของเดิม


พอถึงหน้าพระราชวังฯ เดินไปทางด้ายซ้ายจะมีป้อมขายตั๋วอยู่หน้าประตูทางเข้าวัง เสียค่าตั๋ว 10,000 จั๊ต

ป้อมขายตั๋ว



เดินเข้าประตูมา 50 เมตรทางด้านซ้ายมือจะมีจักรยานจอดเยอ่ะๆตรงนี้จะเป็นร้านเช่าจักรยานราคา 1,000 จั๊ต แนะนำว่าเช่าเลยครับคุ้มมากเพราะเดินไปลึกเอาเรื่องอยู่ ถึงพระราชวังฯแล้วด้านหน้าจะมีร้านอาหารและร้านกาแฟอยู่เราสามารถจะจอดรถบริเวณนี้หรือจะเอาไปจอดที่ด้านในวังก็ได้ครับ

จุดเช่ารถจักรยาน


ปืนใหญ่หน้าบันไดขึ้นวัง


หอชมวิว



หลังจากนั้นก็เดินไปที่เจดีย์สันตุมุนี Sandamuni Pagoda
ประวัติเจดีย์สันตุมุนี
พระเจ้ามินดงโปรดฯให้สร้างเพื่ออุทิศถวายเป็นกุศลแก่พระมหาอุปราชกะนอง ซึ่งเป็นพระอนุชาของพระองค์ที่ถูกพวกขบถปลงพระชนม์ ด้วยหมายจะแย่งชิงพระราชบัลลังก์ในปี พ.ศ. 2409 อันเป็นชนวนหนึ่งที่พม่าต้องเสียเมืองให้แก่อังกฤษ ประวัติศาสตร์พม่าระบุว่าพระมหาอุปราชกะนองทรงมีพระปรีชาสามารถในด้านการทหาร การเศรษฐกิจ และวิศวกรรม จึงทำให้พระเจ้ามินดงทรงเศร้าพระราชหฤทัยในการสูญเสียครั้งนี้ยิ่งนัก
เจดีย์วัดสันตมุนีจำลองแบบมาจากมหาเจดีย์ชเวสิกองเช่นเดียวกับวัดกุโสดอแล้วโปรดฯให้อัญเชิญ “พระสันติมุนี" พระพุทธรูปหล่อด้วยเหล็กในสมัยพระเจ้าปดุงจากเมืองอมรปุระมาเป็นพระปฏิมาประธาน จึงถวายนามวักว่า “สันติมุนี"และยังโปรดเกล้าฯให้สร้างมณฑปบรรจุพระศพพระมหาอุปราชพร้อมด้วยพระบรมวงศานุวงศ์และข้าราชการที่ถูกขบถฆ่ารายล้อมพระเจดีย์ด้วย ต่อมาฤษีอูขันตีผู้รวบรวมจิตศรัทธาสร้างปูชนียสถานที่มณฑะเลย์คีรีได้ใช้ช่างจารึกคำอรรถาธิบายพระไตรปิฎกลงบนแผ่นหิน 1,774 แผ่นพร้อมมณฑปสีขาวครอบไว้เข่นเดียวกับที่วัดกุโสดอ ตรงกลางด้านในของวัดเป็นที่ตั้งของเจดีย์ทรงกลมในรูปแบบของพม่าที่เราเห็นกันทั่วๆไป โดยได้จำลองแบบมาจากมหาเจดีย์ชเวสิกองที่พุกามนั่นเองเจดีย์แห่งนี้มีชื่อเรียกว่า “มหาโลกมารชิน" ที่ช่าวพม่านับถือกันมาก

เสร็จแล้วเดินต่อไปที่ Kuthodaw Pagoda ซึ่งอยู่ใกล้ๆกัน

ประวัติKuthodaw Pagoda

พระเจ้ามินดงทรงสร้างวัดแห่งนี้เพื่อเป็นอนุสรณ์แห่งการสังคายนาพระไตรปิฎกครั้งที่ 5 มหกรรมแห่งมหากุศลที่พระองค์ทำสำเร็จ ในปี พ.ศ. 2414 จึงโปรดฯให้จารึกพระไตรปิฎก 84,000 พระธรรมขันธ์ลงบนหินอ่อน 729 แผ่น แผ่นละ 2 หน้า รวม 1,428 หน้า ถือเป็นพระไตรปิฎกเล่มที่ใหญ่ที่สุดในโลกการสังคายนาพระไตรปิฎกครั้งนี้ถือว่าเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์พระพุทธศาสนา ที่มีการบันทึกพระไตรปิฎกเป็นภาษาบาลี และมีการจารึกลงในใบลานของลังกาด้วย

ใน ครั้งนั้น พระมหาเถระ 3 รูป คือ พระชาคราภิวังสะ พระนรินทาภิธชะ และพระสุมังคลสามี ได้ผลัดเปลี่ยนกันเป็นประธานโดยลำดับ มีพระสงฆ์และพระอาจารย์ผู้แตกฉานในพระปริยัติธรรมร่วมประชุม 2,400 ท่าน กระทำอยู่ 5 เดือนจึงสำเร็จ (สุชีพ ปุญญานุภาพ,พระไตรปิฎกสำหรับประชาชน,กรุงเทพ ฯ:มหามกุฏราชวิทยาลัย,2539, หน้า 11)

เจดีย์ขาวๆเรียกว่า เจดีย์น้อย เรียงรายอยู่มากมายดูสวยงามครอบหินจารึกภาษาบาลี ซึ่งคือพระไตรปิฎกที่มีการสังคายนากันที่พม่า เมื่อปี พ.ศ. 2400 มีทั้งหมด 729 แผ่น แผ่นละ 2 หน้านั่นเอง …เจดีย์น้อยเหล่านี้เรียงรายอยู่โดยรอบพระเจดีย์ “มหาโลกมารชิน" หรือที่ชาวพม่าเรียกว่า “มะหาลอกามะละเส่ง"

เดินต่อมาที่วัดชเวนันดอว์ Shwenandaw Kyaung

ประวัติวัดชเวนันดอว์

พระราชมณเฑียรทอง หรือ ชะเวนันดอว์เป็นที่ประทับของพระเจ้ามินดงกษัตริย์ผู้สร้างเมืองมัณฑะเลย์ เล่าขานว่าพระองค์นั่งสมาธิเจริญภาวนาระหว่างทรงประชวรจนสิ้นพระชนม์ที่พระราชวังนี้

เมื่อพระราชโอรสคือ พระเจ้าสีป่อเสด็จขึ้นสืบราชสมบัติโปรดฯให้ย้ายออกไปสร้างใหม่เป็นเขตสังฆาวาส ณ ด้านนอกพระราชวังในปี 1880 ตามที่พระเจ้ามินดงรับสั่งไว้ก่อนสวรรคตเรียกกันว่า “วัดมณเฑียรทอง" หรือ “ชเวนันดอว์จอง"

พระราชวังแห่งนี้รอดพ้นจากการถูกระเบิดทำลายในสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 จึงนับว่าเป็นพระราชวังแห่งมัณฑะเลย์แท้ๆ เพียงแห่งเดียวที่ยังคงเหลืออยู่จนถึงปัจจุบันพระราชมณเฑียรทองเป็นตำหนักไม้สร้างด้วยไม้สักทองที่ได้รับการสลักเสลาลวดลายอย่างวิจิตรในทุกส่วนของพระตำหนักทั้งภายนอกและภายในทุกด้าน หลังคาทรงปราสาท 5 ชั้นเป็นเอกลักษณ์ของสกุลช่างมัณฑะเลย์ด้านสถาปัตยกรรมจนมีคำกล่าวว่า พุกามคือสุดยอดของเจดีย์แบบก่ออิฐถือปูนและมัณฑะเลย์คือที่สุดของงานประดับไม้อันโอ่อ่าอลังการ

ติดกับวัดชเวนันดอว์มีวัด Atumashi Kyaung

ประวัติAtumashi Kyaung

เป็นวัดที่มีความสวยงามรูปทรงแปลกแตกต่างจากวัดทั่วๆ ไปในมัณดาเลย์ คำว่า “อทูมาชิ" ในภาษาพม่า หมายถึง ความสวยงามอย่างหาสิ่งใดเปรียบไม่ได้ ซึ่งวัดนี้ได้รับการยกย่องว่า เป็นอาคารที่งดงามโอ่อ่าที่สุดแห่งหนึ่งในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เริ่มแรกสร้างในปี พ.ศ. 2400 ซึ่งเป็นช่วงเริ่มสร้างราชธานีใหม่ของพระเจ้ามินดง ตัวอาคารเป็นสี่เหลี่ยมโดยสร้างครั้งแรกใช้โครงสร้างไม้และก่อปูนฉาบทับ สูงขึ้นไปเป็นส่วนหลังคาทรงสี่เหลี่ยมลดหลั่นกันไป มีระเบียงรอบๆ ทั้ง 5 ชั้น แต่เดิมภายในเป็นที่เก็บต้นฉบับของพระไตรปิฎก 4 เล่มบรรจุในกล่องไม้สักและมีพระประธานองค์สูงใหญ่ถึง 9 เมตรห่มด้วยผ้าไหมแท้อย่างดีแบบกษัตริย์ เชื่อกันว่าภายในองค์พระประธานมีสมบัติมีค่าอยู่ พระเจ้ามินดงได้ถวายเพชรเม็ดใหญ่ประดับไว้ที่หน้าผาก แต่ได้ถูกขโมยไปในระหว่างอังกฤษเข้ามายึดเมือง ที่น่าเสียดายมากคือในปี พ.ศ. 2433ได้เกิดเพลิงไหม้เผาผลาญตัวอาคารและภายในจนหมดสิ้น หลังจากนั้น ปีพ.ศ. 2539ได้ถูกบูรณะขึ้นใหม่จากนักโบราณคดีชาวพม่าโดยใช้แรงงานนักโทษจนเสร็จสมบูรณ์สวยงามอย่างในปัจจุบัน เมื่อเดินเข้าไปภายในบริเวณวัดต้องยอมรับฝีมือและความประณีตของช่างชาวพม่าที่บรรจงแกะสลักปูนปั้นที่ละเอียดอ่อนช้อยตามซุ้มประตูและหัวเสาภายในเด่นที่เพดานไม้สูงลดหลั่นกันไปเป็นชั้นสวยงาม

แต่ละที่วันนี้ดูได้แค่แป็ปๆต้องรีบทำเวลาเพราะต้องเผื่อเวลาเดินทางไปสะพานอูเบ็งด้วยรถสองแถวที่ชาวบ้านเค้าขึ้นกันไป ซึ่งจากตรงนี้จะมีรถมอไซค์อยู่ด้านหน้าคอยบริการลูกค้าอยู่แล้วเลยเข้าไปติดต่อพ่อจะเดินทางไปตลาดซายโจไปตรงจุดขึ้นรถที่สาย 8 ผ่าน(ที่ช่วงเช้าไปหามา) ราคา 2,000 จั๊ต

15.00 น.รถมาจอดที่กลางตลาดที่เดิมแต่ตอนนี้ร้านค่าเริ่มปิด และรถสองแถวที่เคยจอดหายหมดไม่เหลือสักคัน อ่าววว ไงดีหละที่นี้ เลยเดินออกมาถนนหลักคือถนน Mandalay-shwebo Rd. คือเส้นที่ตรงไปหอนาฬิกานั่นแหล่ะ เพราะเป็นเส้นหลักมีรถสองแถวหลายสายผ่าน เดินไปถามไปจนมาถึงแยกที่มีรถสองแถวจอดอยู่ซึ่งจะผ่านไปตลาดทางเข้าสะพานอูเบ็ง แยกนี่สังเกตุคือหัวมุมเป็นธนาคาร AGD Bank ตรงนี้คือแยกถนน 84th-30th st. แต่รถที่ขึ้นไม่มีเลขสายรถนะครับ ส่วนรถสาย8ตามข้อมูลที่หามาจะจอดอยู่อีกแยกคือแยกถนน 84th-29th st. จากแยกที่รถที่ผมจะขึ้นก็เดินย้อนขึ้นไปทางหอนาฬิกาอีกแค่ 1 แยก

ตำแหน่งจากที่พักไปจุดจอดรถสองแถวไปสะพานอูเบ็งครับ ซึ่งจะผ่านตลาด Zegyo และเส้นนี้แหละที่กลางคืนจะกลายเป็นถนนคนเดิน


คันนี้ครับไม่มีสายรถ


ขึ้นมาบนรถจะมีคนขึ้นมาเก็บค่ารถ 200 จั๊ต แต่เค้าจะจอดรอคนขึ้นจนเต็มถึงจะออกนะครับ รถจนถึงเวลาบ่าย3ครึ่งรถก็ออก แต่หลังจากนี่จอดรับเป็นระยะๆ ระหว่างนี้ก็เอารูปสะพานอูเบ็งให้คนในรถดูแล้วบอกว่าถ้าถึงให้ช่วยบอกด้วยทุกคนให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี พอใกล้จะถึงมีพระที่ขึ้นมาและชาวบ้านช่วยกันบอกผมพร้อมกับชี้นาฬิกา ประมาณว่าใกล้เวลาพระอาทิตย์ตกแล้วให้ลงจากรถแล้วรีบต่อขึ้นมอไซค์ไป (พระทำท่าบิดมอไซด์ให้ดูด้วย 555 )



16.30 น.รถจอดหน้าตลาดทางเข้าไปสะพานอูเบ็ง ตอนนี้แสงเริ่มน้อยลงกว่าเดิมผมเลยเดินข้ามถนนไปถามหามอไซค์ไปสะพานที่ร้านขายหมากทางเข้าตลาดพี่แกเลยเรียกคนขับมาให้ตกลงราคาที่ 1,500 จั๊ต

ทางเข้าตลาดและร้านขายหมากที่ผมไปติดต่อหารถไปสะพาน


สังเกตุแถวหน้าร้านขายหมากจะมีรถสาย8รอรับคนเข้าไปที่ตัวเมืองมัณฑะเลย์



สักพักก็มาถึงสะพานอูเบ็งมีร้านขายของฝากและร้านอาหารเยอ่ะมาก ซึ่งที่นี่จะมีนักท่องเที่ยวเย่อะมากๆรถบัสจอดหลายสิบคันคนเย่อะจนบางจุดเดินเบียดกันเหมือนจตุจักรเลย เห็นที่แรกก็งงเพราะตอนเที่ยวในตัวเมืองเจอฝรั่งแต่ไม่เยอ่ะมาก แต่ตอนนี้ไม่รู้มาจากไหนกันเย่อะแยะไปหมด ลงจากรถแล้วรีบเดินลงไปด้านล่างริมน้ำทีแรกจะขึ้นเรือไปกลางแม่น้ำแต่เท่าที่ดูแล้วตรงใต้สะพานมีจุดถ่ายรูปอยู่เลยไม่เสียเงินขึ้นเรือ เดินไปหามุมถ่ายรูปใต้สะพานเอาสวยพอไหว


ประวัติสะพานอูเบ็ง

เป็นสะพานที่ทำจากไม้ที่ยาวที่สุดในโลก มีความยาวถึง 2 กิโลเมตร ตั้งอยู่ในตอนใต้ของเมืองอมรปุระ ประเทศพม่าสร้างจากไม้สักที่รื้อมาจากพระราชวังเก่าแห่งกรุงอังวะ เมื่อครั้งย้ายเมืองหลวงจากอังวะ มายังอมรปุระจำนวน 1,208 ต้นเพื่อใช้ทำเป็นเสา สะพานมีอายุกว่า 200 ปีสะพานอูเบ็งทอดข้ามทะเลสาบตองตะมานมุ่งตรงไปยังเจดีย์เจ๊าต่อซึ่งอยู่อีกฟากของทะเลสาบ ชื่ออูเบ็งนั้นเป็นชื่อของขุนนางที่มีนามว่า “อูเบียน" พระเจ้าปดุงโปรดฯให้มาทำหน้าที่เป็นแม่กองงานสร้างสะพานซึ่งตั้งอยู่ที่อมรปุระก่อนจะเข้าถึงตัวเมืองมัณฑะเลย์

มุมใต้สะพานก็น่าสนใจดีเหมือนกันนะ


เรือที่พานักท่องเที่ยวไปชมพระอาทิตย์ตกวิวกลางน้ำ


ที่ญี่ปุ่นมีเสาโทริอิของศาลเจ้า Fushimi Inari Taisha แต่ที่นี่มีเสาสะพานอูเบ็งงามไปอีกแบบ


อันนี้เสาโทริอิที่ญี่ปุ่น ^^

แสงเริ่มงามแล้ววววว


มีคนมาถ่ายรูปวิวนี้เย่อะเหมือนกัน


17.30 น. หลังจากชมความสวยงามเสร็จแล้วก็เดินกลับมาหารถมอไซค์เพื่อกลับออกไปหน้าตลาดจริงๆอยากอยู่นานกว่านี้ แต่เพราะพี่เจ้าของร้านขายหมากบอกว่ารถสาย8มีรอบสุดท้าย 6โมงเย็นเลยต้องรีบกลับ ซึ่งภาพที่เห็นในวันนี้ที่สะพานอูเบ็งก็มีความสุขแล้ว สำหรับมอไซค์รับจ้างที่นี่ไม่มีเสื้อกั๊กหรือยูนิฟอร์มเหมือนไทยเรานะครับแค่สังเกตุว่าส่วนใหญ่เค้าจะจอดมอไซค์อยู่กันเป็นกลุ่มๆถ้าเจอแบบนี้เดินไปถามเลยส่วนใหญ่เราเดินไปหาเค้าก่อนจะถึงเค้าจะทักเอง Taxi (bike) มั๊ยจ๊ะ ?? สำหรับรอบนี้ผมได้ราคาที่ 1,000 จั๊ต รถจะไปจอดที่หน้าตลาดพอลงรถก็เดินไปรอที่หน้าร้านขายหมากเจ้าเดิม ที่ดีคือแกคอนมายืนดูรถเป็นเพื่อนผมด้วย พอสักพักรถมาแกก็โบกให้อีกซึ่งรถที่โบกก็เป็นรถไม่มีป้ายสายรถเหมือนเดิมแต่คันเล็กกว่า ที่สำคัญคือไม่มีที่นั่งต้องนั่งพื้นรถไป 555 ที่งงนิดๆคือค่ารถ 500 จั๊ตแพงกว่าคืออะไร ^^


รถคนนั่งจนเต็มไม่มีพื้นที่นั่งถึงขนาดที่ว่าพอรับพระขึ้นรถ หลวงพี่แกปีนขึ้นไปนั่งบนหลังคาเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ประจำรถเลย

18.10 น. ถึงตลาดซายโจก่อนรถจอดเอารูปให้ชาวบ้านดูว่าจะลงแถวหอนาฬิกาแต่รถมาจอดที่สุดท้ายแถวตลาดซายโจ พอรถจอดทุกคนชวนกันลงส่วนผมนั้นมีพระองค์นึงพาเดินไปที่หอนาฬิกาเพราะท่านจะเดินผ่านตรงนั้นพอดีเพื่อไปที่วัดของท่าน พอถึงหอนาฬิกาเลยขอแยกกับท่าน พอรู้ทางกลับที่พักแล้วผมเลยเดินย้อนมาเส้นเดิมมาหาข้าวกินเพราะแถวนี้ตอนดึกๆจะปิดถนนช่วงสั้นๆเป็นถนนคนเดินขายของกินของใช้กัน


ข้าวแกงอย่างละ 1,000 จั๊ต เป็นแกงหมูสามชั้นหน้าตาคล้ายๆหมูพะโล้แต่ไม่หวาน


เรียกว่า “ หวะ ต๊า โดะ โทว์ “ เป็นจิ้มจุ่มหมู+เครื่องในต้มกับน้ำซุปคล้ายพะโล้ไม้ละ 100 จั๊ตเสิร์ฟพร้อมน้ำจิ้มเปรี้ยวอมหวาน และน้ำซุปที่ต้มอยู่กลางหม้อไว้ซดร้อนๆ กินแนมกับพริกขี้หนู+กระเทียมสดๆ ถ้าไม่กลัวอ้วนเมนูนี้อร่อยครับกินเพลินจัดไป 16 ไม้ ค่าเสียหาย 1,600 จั๊ต ประมาณ 45 บาทไทย


คราวนี้อิ่มจริงเลขขอเดินวนดูถนนคนเดินไปมาสักรอบสองรอบแล้วก็เดินกลับไปที่พักแวะจ่ายเงินค่ารถบัสไป Bago รอบ 20.30 น. 16,000 จั๊ต+นั่งเล่นดูทีวีที่ Lobby สักแป๊ปค่อยขึ้นไปพักผ่อน


---------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

Day 10 : Mandalay - Mingun - Bago


ตี3 ตื่นมาอาบน้ำเตรียมตัวไปดูพิธีล้างหน้าพระมหามัยมุนี อาบเสร็จแล้วรีบลงไปที่ Lobby เพื่อรถคนขับรถที่เมื่อวานโรงแรมหาให้ลงไปปุ๊ปก็เจออยู่หน้าโรงแรมเลยคือแกพักอยู่ติดติดกันกับโรงแรมเลยถึงว่าตรวต่อเวลามาก 555 อ่อ…วันนี้ถามชื่อกันแล้วแกชื่อลุงเมาซ่า (ชื่อแอบน่ากัว อิอิ)

3.30 น.ถึงวัดมหามุนีลุงแกขี่รถไปจอดที่จอดรถของวัดเสียค่าจอด 200 จั๊ต

ประวัติพระมหามัยมุนี

พระมหามัยมุนี พระพุทธรูปสำริดทรงเครื่องแบบกษัตริย์ ปางมารวิชัย หน้าตักกว้าง 3 เมตร พระพุทธรูปคู่บ้านคู่บ้านของพม่า ประดิษฐานอยู่ที่เมืองมัณฑะเลย์ อดีตราชธานีของพม่าในยุคราชวงศ์คองบอง โดยคำว่า มหามัยมุนี แปลว่า ผู้รู้อันประเสริฐ ซึ่งชาวพม่าจะเรียกว่า มหาเมียะมุนี เป็นพระพุทธรูปทรงเครื่องกษัตริย์ เดิมทีเป็นพระพุทธรูปคู่บ้านคู่เมืองของยะไข่

มี ตำนานเล่าว่า พระมหามัยมุนี สร้างขึ้นตั้งแต่สมัยพุทธกาล โดยกษัตริย์แห่งเมืองยะไข่ องค์พระทำจากทองสัมฤทธิ์ สูง 12 ฟุต 7 นิ้ว หนัก 6.5 ตัน ก่อนสร้างกษัตริย์ผู้สร้างทรงพระสุบินว่า พระพุทธเจ้าเสด็จมาประทานพรให้พระพุทธปฏิมาองค์นี้เป็นตัวแทนของพระองค์ เพื่อเป็นเครื่องสืบพระศาสนาไปในภายหน้า โดยในอดีตแม้เมืองยะไข่จะถูกโจมตีโดยกษัตริย์เมืองอื่นที่ทรงแสนยานุภาพ อย่างไร ก็ไม่อาจที่จะเคลื่อนย้ายองค์พระมหามัยมุนีออกจากเมืองได้เลย เนื่องจากมีเหตุให้ขัดข้องทุกครั้งไป จนกระทั่งในปี พ.ศ. 2327 รัช สมัยพระเจ้าปดุง แห่งราชวงศ์คองบอง ที่เมืองตียะไข่ได้ รวมถึงสามารถอัญเชิญพระมหามัยมุนีออกจากยะไข่ได้ โดยล่องมาตามแม่น้ำอิระวดีไปจนถึงยังเมืองมัณฑเลย์สำเร็จ พระมหามัยมุนีจึงได้ย้ายมาอยู่ที่เมืองมัณฑเลย์เป็นการถาวรนับแต่นั้น เป็นต้นมา

และด้วยความเชื่อว่า พระพุทธมหามัยมุนี นี้เป็นพระพุทธรูปที่มีชีวิต เพราะด้วยเหตุที่ได้รับประทานพร (บางตำนานก็เล่าว่าได้รับประทานลมหายใจจากพระพุทธเจ้า) จึงมีประเพณีล้างพระพักตร์ถวาย โดยทุกเช้า เวลาประมาณ 04.00 น. พระมหาเถระและสาธุชนทั่วไปที่ศรัทธา จะมาทำพิธีล้างพระพักตร์ด้วยน้ำอบน้ำหอมผสมทานาคาอย่างดี พร้อมกับใช้แปรงทองแปรงที่พระโอษฐ์เสมือนหนึ่งแปรงพระทนต์ถวายพระพุทธเจ้า ก่อนใช้ผ้าจากศรัทธาสาธุชนถวายมาเช็ดจนแห้งสนิท พร้อมใช้พัดทองโบกถวายเป็นอันดี เสมือนหนึ่งได้อุปัฏฐากองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ยังทรงพระชนมชีพ อยู่จริง ๆ

อนึ่ง องค์พระมหามัยมุนีมีการปิดทองซ้ำแล้วซ้ำอีกจนเป็นรอยย่นตะปุ่มตะป่ำไปทั้ง พระองค์ ซึ่งหากเอานิ้วกดลงไป ก็จะรู้สึกได้ถึงความอ่อนนิ่มของทองคำเปลวที่ปิดทับซ้อนกันนับเป็นพัน ๆ หมื่น ๆ ชั้น ตลอดระยะเวลาเนิ่นนานกว่าศตวรรษ ทำให้พระมหามัยมุนีมีอีกพระนามหนึ่งว่า "พระเนื้อนิ่ม" แต่น่าแปลกที่ว่า แม้จะมีการปิดทองซ้ำแล้วซ้ำอีกจนองค์พระใหญ่ขึ้นเพียงใดก็ตาม แต่พระพักตร์ขององค์พระมหามัยมุนีก็ยังแลดูใหญ่ตามองค์พระอย่างน่าอัศจรรย์ ทั้ง ๆ ที่ไม่ได้มีการปิดทองที่องค์พระเลยแม้แต่น้อย



แล้วลุงเมาซ่าก็เดินพาไปในวัดจนถึงบริเวณหน้าองค์พระมหามัยมุนี ซึ่งถึงตอนนี้คนก็เริ่มเยอ่ะแล้วครับ ผมเลยรีบไปหาที่นั่งด้านหน้าสุดจะได้เห็นพิธีชัดเจนสักพักลุงเมาซ่ามาสะกิดเรียกบอกว่าถ้าจะเดินเข้าไปปิดทองที่องค์พระฯ ให้ใส่ลองยีด้วย ตอนนั้นผมใส่กางเกงขาสั้นไปซึ่งเค้าให้ใส่ได้เว้นแต่ว่าถ้าเราจะเข้าไปถึงองค์พระต้องใส่ให้เรียบร้อย เลยเดินออกมาหาที่ใส่ลองยีที่เตรียมมาด้วย(ใส่ครั้งแรกที่นี่หลังจากซื้อมาตั้งแต่อยู่พุกาม) พอเสร็จแล้วก็ไปหาที่นั่งต่อแค่แว๊บออกมาใส่ลองยีกลับไปอีกทีคนเย่อะกว่าทีแรกเย่อะเลยไวมากๆ

โซนด้านหน้าสุดใกล้องค์พระฯมากที่สุดด้านหลังกั้นราวกำแพงเหล็กไว้ด้านหลังคือโซนที่ให้ผู้หญิงนั่ง


04.00 น. ถึงเวลาทำพิธีล้างหน้าองค์พระฯ เริ่มจากเอาของทำพิธีไปไว้ด้านหน้าองค์พระฯแล้วพระผู้ใหญ่ก็ทำพิธีสวดแล้วก็เริ่มเอาผ้ามาห่มองค์พระฯ แล้วก็แปรงฟันแล้วก็เอาฟองน้ำชุบน้ำยามาล้างที่หน้าองค์พระฯ แล้วเอาพัดโบกให้น้ำยาแห้ง เสร็จแล้วก็เอาผ้ามาถูวนๆจนสะอาด ก็เป็นอันเสร็จพิธี

05.00 น. ขึ้นรถกลับไปที่พักก่อนเพื่อพักผ่อนต่อ แล้วนัดกับลุงเมาซ่ามารับไปท่าเรือมายานจานที่จะไปมิงกุนที่เวลา 8 โมงครึ่ง หลังจากพักผ่อนไปเกือบ 3 ชม.ก็ลงมาที่ Lobby เพื่อทานอาหารเช้าที่ที่พักเตรียมไว้ซึ่งจะมีไข่ดาวให้เรา 1 ฟองส่วนอย่างอื่นเราสามารถเดินไปตักได้เองคือ ข้าวเปล่า,ผัดถั่วฝักยาว,เครื่องเคียงอีก2 อย่าง , ขนมปัง,กาแฟ,ชา,กล้วยหอม หลังจากกินเสร็จแล้วก็เดินออกไปหาลุงเมาซ่าที่ยืนรออยู่ด้านหน้า

8.40 น. ถึงท่าเรือมายานจาน(Mayan Gyan Jetty)จากตรงนี้ลุงแกจะมารับอีกทีคือตอนบ่ายโมงครึ่ง

ลุงเมาซ่าผู้ใจดียิ้มตลอด ยกเว้นตอนถ่ายรูปลืมยิ้ม555



หลังจากนั้นเดินลงมาไปทางด้านซ้ายจะมีอาคารไม้เด่นๆเลยหลังนึงเป็นอาคารขายตั๋วเรือไปมิงกุน ขั้นตอนคือเดินต่อแถวได้เลยครับเตรียมแค่เงิน 5,000 จั๊ตกับพาสปอร์ทของเราไว้ตอนซื้อเค้าจะถามแค่ชื่อที่พักของเราแล้วถ้ารู้ว่าเรามาจากไทยก็จะทักทายโยเดียอย่างเราว่า “ ขอบคุณครับ “ 555 หลังจากจ่ายเงินเสร็จจะได้ตั๋วเรือมาเจ้าหน้าทีอีกคนจะอธิบายว่าเรือออก 9.00 น.ให้รอเรียกจากชื่อเรือที่ระบุในตั๋ว ส่วนขากลับเวลา 12.30 น. แต่ให้มาก่อนเวลาเรือออก หลังจากนั้นก็ออกไปยืนรอเรือที่ริมน้ำได้เลย

อาคารขายตั๋ว


พาสปอร์ตที่ใช้ประกอบหลังจากนั้นจะได้ตั๋วเรือกลับมาแบบนี้


เวลา9โมงก็มีคนมาเรียกชื่อเรือตามที่ระบุไว้ในตั๋ว ซึ่งลำนี้เรียกขึ้นไป16คนที่นั่งภายในเป็นที่นั่งเอนได้สบายๆเย็นๆ แนะนำว่านั่งฝั่งซ้ายสุดนะครับแดดไม่ส่อง ใช้เวลาเดินทาง 1 ชั่วโมงเรือก็จอดที่ริมน้ำซึ่งจะมีรถเกวียน(วัว)มารอรับลูกค้าที่อยากจะใช้บริการ ซึ่งจริงๆที่เที่ยวต่างๆที่จะไปวันนี้เดินไปได้สบายๆครับเว้นแต่ว่าอยากได้บรรยากาศหน่อยก็ใช้บริการได้


Taxi ????


ถ้าใครกลัวดำกลัวแดดเผาก็อุดหนุนได้เลยถ้าเห็นแดดแรงๆนี่มันเผาจริงๆแดดที่นี่


จากจุดที่เรือจอดเดินไปริมน้ำเรื่อยจะมีต้นไม้ใหญ่ๆอยู่ให้เดินเลี้ยวซ้ายตรงนั้น เดินขึ้นไปสัก 20 เมตรจะมีป้อมขายตั๋วค่าเข้าชมเมืองมิงกุนเสียคนละ 5,000 จั๊ต


จุดขายตั๋ว


ตั๋วค่าเข้าชมที่นี่



หลังจากจ่ายค่าเข้าเสร็จสังเกตุข้างๆกันจะมีเจดีย์นึงขาวๆสวยๆอยู่ จริงๆเห็นตั้งแต่เดินลงมาจากเรือแล้วคือ

เจดีย์เซตตอยา

เป็นเจดีย์ที่พระเจ้าปดุงโปรดฯให้สร้างครอบรอยพระพุทธบาทจำหลังบนหินอ่อน เป็นสัญลักษณ์ของการก้าวย่างสู่ดินแดนที่พระเจ้าปดุงมีพระราชดำริจะสร้างเจดีย์มิงกุน หรือ “เจดีย์จักรพรรดิ" ที่ใหญ่ที่สุดและสูงกว่าเจดีย์ใดๆในสุวรรณภูมิ

มีสิงค์คู่อยู่ด้านหน้าหันไปทางริมแม่น้ำอิระวดี


เจดีย์มิงกุน

ประว้ติ สร้างโดยพระเจ้าปดุงพระองค์มีพระราชดำริจะสร้าง “เจดีย์มิงกุน" หรือ “เจดีย์จักรพรรดิ" ที่ใหญ่ที่สุดกว่าเจดีย์ใดๆในสุวรรณภูมิ แต่เป็นการสร้างที่ไม่สำเร็จ

ส่วนเหตุผลที่สร้างไม่เสร็จคือ

หลังจากที่พระเจ้าปดุงได้เคลื่อนทัพไปตียะไข่ แล้วสามารถชะลอพระมหามัยมุนีมาประดิษฐานที่มัณฑะเลย์ได้สำเร็จ จึงทรงฮึกเหิมและมั่นพระทัยว่า พระองค์ทรงมีฤทธานุภาพเหนือมหาราชทุกพระองค์ในประวัติศาสตร์ของพม่า

พระองค์จึงต้องการที่จะกระทำการใหญ่ขึ้นและยากขึ้น ด้วยการทำสงครามแผ่พระบารมีไปรอบด้าน และกรีธาทัพมาตีกรุงรัตนโกสินทร์ที่เพิ่งจะสถาปนาได้ไม่นานถึง 2 ครั้ง คือ สงคราม 9 ทัพและการศึกท่าดินแดง แต่ต้องพ่ายแพ้กลับไป

ในขณะเดียวกันก็ทรงเกณฑ์แรงงานทาสจำนวนมากเพื่อมาสร้าง “เจดีย์มิงกุน" เพื่อประดิษฐาน “พระทันตธาตุ" ที่ได้มาจากพระเจ้ากรุงจีน โดยทรงมุ่งหวังให้ยิ่งใหญ่เทียบเท่ามหาเจดีย์ในพุกาม และใหญ่โตโอฬารกว่า “พระปฐมเจดีย์" ในสยามประเทศ ซึ่งในเวลานั้น ถือว่าเป็นเจดีย์ที่สูงที่สุดในสุวรรณภูมิ ทำให้เกิดแรงกดดันส่งผลให้ข้าทาสชาวยะไข่หรือชาวอาระกันจำนานห้าหมื่นคนหลบหนีการกดขี่แรงงานไปอยู่ในเขตเบงกอล ซึ่งเป็นดินแดนในอาณัติของอังกฤษ แล้วซ้องสุมกำลังเป็นกองโจรลอบโจมตีกองทัพพม่าอยู่เนืองๆ โดยพม่ากล่าวหาว่าอังกฤษหนุนหลังกลายเป็นชนวนให้เกิดสงครามระหว่างพม่าและอังกฤษในเวลาต่อมา และทำให้พม่าเสียเมืองในที่สุดงานก่อสร้างเจดีย์มิงกุนดำเนินไปได้เพียง 7 ปีเท่านั้น

พระเจ้าปดุงเสด็จสวรรคตหลังจากที่ทรงพ่ายแพ้ไทยในศึก 9 ทัพส่วนมหาเจดีย์ที่ยิ่งใหญ่ตามความมุ่งหวังของพระองค์จึงเสร็จเพียงแค่ฐาน ถึงกระนั้นก็ยังสูงถึง 50 เมตรส่วนรอยแตกร้าวที่ฐาน เกิดจากเหตุแผ่นดินไหวในปี พ.ศ. 2381 ว่ากันว่าหากพระเจดีย์สร้างเสร็จตามแผน คงจะเป็นเจดีย์ที่ใหญ่อลังการที่สุดและสูงที่สุดในโลก ด้วยความสูงถึง 152 เมตร

สำหรับที่นี่ที่เที่ยวอยู่ใกล้กันเดินต่อกันไปสบายๆ ระหว่างทางก็จะมีร้านอาหารและร้านขายของมากมาย

ตรงข้ามเจดีย์มิงกุนจะมีก้อนหินใหญ่ยักษ์อยู่ 2 ก้อน หินอันนี้คือเป็นสิงห์คู่ที่ตั้งไว้สำหรับเฝ้าหน้าเจดีย์มิงกุน ขนาดใหญ่ฮึ่มมาก



เข้าไปในเจดีย์มีห้องแค่นี้แหล่ะครับไว้ไหว้สักการะพระพุทธรูปด้านในส่วนถ้า ใครจะปีนไปบนยอดเจดีย์ก็ออกมาแล้วเดินไปซ้ายมือจะมีทางเท้าขึ้นไป

รอยแตกเสียหายจากแผ่นดินไหวของจริงรอยแตกใหญ่มากน่ากลัว

เป็นที่ระบายน้ำรอบๆฐานเจดีย์เป็นรูปหัวจรเข้

ใครชอบปีนชมวิวสูงๆก็ขึ้นไปได้ครับ



ระฆังมิงกุน The Mingun Bell

ประวัติ เป็นความตั้งใจที่พระ เจ้าปดุงโปรดฯให้สร้าง เพื่ออุทิศถวายแก่เจดีย์มิงกุน ระฆังจึงมีขนาดที่คู่ควรกัน เล่า..กันว่า..พระเจ้าปดุงไม่ทรงต้องการให้มีใครสร้างระฆังเลียนแบบตน จึงรับสั่งให้ประหารนายช่างทันทีที่สร้างเสร็จ


หลังจากนั้นเดินมาอีกแค่ 5 นาทีด้านซ้ายก็จะเป็นระฆังมิงกุน The Mingun Bell ขนาดใหญ่แต่ไม่ถึงกับที่จินตนาการไว้ ระฆังมิงกุนมีเส้นรอบวงถึง 10 เมตร สูง 3.70 เมตร น้ำหนัก 87 ตัน ปัจจุบันระฆังใบนี้ถือว่าเป็นระฆังยักษ์ที่เล็กกว่าระฆังแห่งพระราชวัง เคลมลินในกรุงมอสโคเพียงใบเดียว แต่ระฆังเคลมลินนั้นแตกร้าวไปแล้วไม่สามารถนำมาใช้งานได้อีก ส่วนระฆังมิงกุนจึงเป็นระฆังยักษ์ที่สามารถส่งเสียงก้องกังวานได้จริงๆที่ เหลืออยู่บนโลก

ทางเข้าอยู่ริมถนนฝั่งซ้ายมือ(ถ้าเดินไปจากเจดีย์)

ภายในระฆัง

ด้านหน้าจะมีของขาย เห็นแล้วเปรี้ยวปาก


snack ยอดนิยมของคนที่นี ^^





เจดีย์ชินพิวเม หรือเมี๊ยะเต็งดาน (Myatheindan Pagoda)

ประวัติ ได้รับสมญานามว่า “ทัชมาฮาล แห่งลุ่มน้ำเอยาวดี" นั่นคือ เจดีย์ชินพิวเม หรือเมี๊ยะเต็งดาน สร้างขึ้นในปี พ.ศ. 2359 โดยพระเจ้าบากะยีดอว์ พระราชนัดดาของพระเจ้าปดุงเพื่อเป็นอนุสรณ์แห่งความรักต่อพระมหาเทวีชินพิวเม ซึ่งถึงแก่พิราลัยก่อนเวลาอันควรสาระสำคัญอยู่ที่เจดีย์องค์นี้เป็นพุทธศิลป์ที่สร้างขึ้นด้วยหลักภูมิจักรวาล ก็คือมีองค์พระเจดีย์อยู่ตรงกลาง ณ ยอดเขาพระสุเมรุที่เชื่อกันว่าเป็นแกนกลางของจักรวาลล้อมรอบด้วยขุนเขาและมหาสมุทรตามหลักไตรภูมิ

เดินมาอีกไม่เกิน 10 นาทีก็จะเจอเจดีย์เมี๊ยะเต็งดาน Myatheindan Pagoda เป็นเจดีย์สีขาวสวย


หลังจากขึ้นไปไหว้พระที่เจดีย์เมี๊ยะเต็งดานเสร็จก็เดินย้อนกลับไปทางเดิมไปหาข้าวเที่ยงกิน เบ็ดเสร็จแล้วใช้เวลาเที่ยวที่นี่แค่ชั่วโมงครึ่ง-2ชั่วโมงน่าจะได้

มื้อนี่สั่งข้าวผัด+โค้ก มื้อนี้ 2,500 จั๊ต



12.10 น. เดินกลับไปเรือที่จุดเดิมไปถึงมีคนมานั่งรออยู่แล้ว 4 คน ถ้าใครมาแล้วอยากเข้าห้องน้ำที่ชั้นล่างของเรือมีให้บริการฟรีครับ เรือจอดรอจนถึงเวลา12.35 น.เรือก็ออกเดินทางกลับทั้งที่คนมา 9 คนจาก 16 คนจากขามาตรงต่อเวลามากๆถ้าใครมาให้รักษาเวลาด้วยนะครับโหดของจริง ^^


13.40 น. ถึงท่าเรือมายานจานเห็นลุงเมาซ่าโบกมือให้เห็นตั้งแต่ไกลเลยยิ้มฟันขาวน่ารักดี 55 ทีแรกจะกลับไปที่พักแต่เปลี่ยนให้แกไปส่งที่ห้าง Diamond plaza แทนค่ารถวันนี้เหมาแกที่ 8,000 จั๊ต ถึงห้างแล้วก็เดินไปเจอเคาท์เตอร์แลกเงินที่ชั้น1 พอดีเลยแลกเงินเป็นเงินจั๊ตไว้เพิ่มเพราะตอนนี้จะหมดแล้ว

แลกเพิ่มอีก 100 usd แลกยังไม่ทันเสร็จพนักงานเปลี่ยนป้ายอัตราแลกใหม่แพงขึ้นยิ้มเลย 555


ลงมาชั้นล่างสุดมีร้านกาแฟเลยแวะกินซักหน่อยเห็นเค้กอยากกินเลยสั่งมา 2 ชิ้น มันเลี่ยนๆไม่ค่อยคุ้นลิ้นกินแค่นิดเดียวพอ ทีแรกจะนั่งนานๆสักหน่อยแต่ยุงเย่อะมากเลยขึ้นไปเดินเล่นที่ชั้นอื่นๆ ห้างที่นี่เหมือนที่แพททินั่มบ้านเราเลยแต่เก่ากว่าเพราะส่วนใหญ่ขายแต่เสื้อผ้า



หลังจากขี้เกียจเดินแล้วก็ออกไปหานั่งรถมอไซค์ที่จอดข้างๆห้างไปที่พักราคา1,500 จั๊ต ไปนั่งเล่นที่ Lobby รอเวลาสักพักก็ไปชำระค่าซักผ้า 2,000 จั๊ต

เสร็จแล้วก็ออกมาหาข้าวมื้อเย็นกินมื้อนี้หมดไป 1,500 จั๊ต



เสร็จแล้วก็เดินกลับมาที่พักตอนก่อนไปขอเค้าอาบน้ำเค้าก็ให้อาบด้วย ซึ่งเค้าจะให้ไปอาบได้ที่ชั้น Lobby นี่แหล่ะน้ำแรงมากๆๆสะใจ อาบฟรีด้วย ^^ ใจดีขนาดว่าตอนกำลังจะเข้าไปอาบพนักงานเอาผ้าเช็ดตัวมาให้แต่พอดีพกมาอยู่แล้วและ check out ไปแล้วเลยไม่กล้าใช้ผ้าเค้า

18.05 น. นั่งเก็บของยังไม่ทันเสร็จก็มีรถของบริษัทรถทัวร์มารับไปที่ขนส่งมัณฑะเลย์ระหว่างนี้จอดรับอีก 2-3 จุด

18.35 น. ถึงขนส่งฯ รถไปจอดหน้าบริษัทรถบัสไม่รู้ว่าบริษัทอะไรเขียนเป็นภาษาพม่าอ่านไม่ออก

20.10 น. พนักงานเรียกขึ้นไปนั่งบนรถ สภาพภายในรถก็คล้ายๆกับรถ ป.1 บ้านเรามีแถวละ 4 ที่นั่งมีผ้าห่ม+น้ำดื่ม+น้ำหวาน+เค้ก2ชิ้น และแอร์เย็นมากๆระหว่างทางมีจอดรับเป็นระยะๆเกือบเต็ม

บริษัทของรถที่ไปวันนี้


รถบัสคันที่ไปBago


ภายในรถ แอร์อย่างหนาว



20.30 น. ออกเดินทาง ตรงเวลาเป๊ะระหว่างนี้บนรถเค้าจะเปิดทีวีให้ดู mvพม่าไปครื่นเครงเชียว T_T

22.30 น. จอดพัก 25 นาที

23.00 น. ออกเดินทางต่อ


ตอนที่6 @ Bago-Kyaikh tiyo https://th.readme.me/p/1874

Notes from Backpacker

 วันศุกร์ที่ 22 มกราคม พ.ศ. 2559 เวลา 12.10 น.

ความคิดเห็น