...กาญจนบุรี >> สังขละบุรี...

จุดหมายของเรา

  1. วัดพระปฐมเจดีย์ นครปฐม
  2. สะพานข้ามแม่น้ําแคว
  3. นอนแพ น้ําตกเอราวัณ
  4. น้ําตกเอราวัณ
  5. ช่องเขาขาด
  6. สะพานมอญ สังขละบุรี

วันแรก

ทริปนี้เราจะเดินทางไปกาญจนบุรี โดยรถยนต์เช่นเคย กับ Honda city ประหยัดน้ำมันถึง 18 กม./ลิตร เลยทีเดียว ออกเดินทางกันตั้งแต่เช้ามืดของวันศุกร์ แล้วก็เช่นเคยก่อนเที่ยวเราต้องไหว้พระเอาฤกษ์เอาชัยซะหน่อย ทางที่เราไปผ่านจังหวัด นครปฐม ซึ่งมีวัดประจำจังหวัด วัดพระปฐมเจดีย์

มาเที่ยววันธรรมดาก็จะดีแบบนี้แหละ ไม่ต้องเบียดเสียดกับคนอื่นมากมาย วัดที่นี่สงบมาก บรรยากาศน่านั่งสมาธิจริงๆ ว่าแล้วเราก็เข้าไปไหว้พระกันดีกว่า


ไหว้พระขอพรเรียบร้อย เราก็เดินออกมาหาที่ถ่ายรูปข้างนอก บริเวณวัดกว้าง มีที่เงียบๆให้ได้นั่งสงบจิตใจได้แบบชิวๆ


ได้เวลาที่เราต้องเดินทางกันต่อแล้ว จากนครปฐมไปกาญจนบุรีก็ใช้เวลาประมาณ 2 ชม. และจะไปแวะพักกินข้าวที่ร้านครัวชุกโดน ตั้งอยู่ริมแม่น้ําแม่กลอง มีอาหารให้ได้ลองลิ้มรสหลากหลายทั้งอาหารทะเล และอาหารไทยในราคาถือว่าไปแพงเลย

แม่น้ําแม่กลองเป็นแม่น้ําสายหลักที่ใช้ในการเดินเรือค้าขายในสมัยก่อนของไทย ทุกวันนี้ก็ใช้สําหรับการท่องเที่ยวของจังหวัด โดยการนั่งแพกินอาหาร ชมวิวแม่น้ําและภูเขาทั้งสองฝั่ง มีทั้งชาวต่างชาติและชาวไทยที่ใช้บริการท่องเที่ยวแบบล่องเรือแบบนี้

ชมวิวอยู่สักพักอาหารของเราก็มาเสริฟ์ที่โต๊ะ เมนูชื่ออะไรจำไม่ได้เอาเป็นว่าดูรูปให้หายหิวกันนะครับ ไปป...กิน...


กินกันอิ่มไหมครับ ถ้าอิ่มแล้วเราเดินทางกันต่อเลย ทีเที่ยวอยู่ใกล้ๆร้านชุกโดนขับรถไปไม่ไกลมาก นั่นคือ สะพานข้ามแม่น้ําแคว ที่จะมีรถไฟวิ่งผ่านสะพานเหล็กสีดำ ในตอนที่เราไปนั้นมีรถไฟผ่านมาพอดี โชคดีได้ถ่ายรูปเท่ๆกับรถไฟไทย






เมื่อเราได้อยู่เดินเล่น ถ่ายรูปกันสักพักแล้วเป็นเวลาเกือบบ่ายโมง เดินทางกันต่อไปที่ตลาดขายอาหาร ในเมืองกาญจน์ เอามาทำกินกันตอนเย็นในทีพักของเรา เราไปพักกันที่แพใกลล้อุทยานแห่งชาติน้ําตกเอราวัณราคา 1 คืนไม่เกิน 2,000 บาท มี 1 ห้องนอนแต่สามารถนอนได้หลายคน มีเตาให้เราปิ้งย่าง มีแพให้ได้เล่นน้ําหน้าที่พักกระโดดลงน้ําได้เลย แต่ใครที่มาและว่ายน้ําไม่แข็งให้ใส่ชูชีพที่เค้ามีไว้ให้เพื่อความปลอดภัยนะครับ บางทีน้ําที่ไหลมาจากเขื่อนก็เชี่ยวมาก ต้องระวังด้วยครับ

ที่พัก บนแพ ในคืนแรกของเรา จำชื่อที่พักไม่ได้ฮะ 555 ถ้าไปที่น้ําตกเอราวัณก็ลองถามเจ้าหน้าที่อุทยานดูก็ได้ฮะว่ามีที่พักเป็นแพไหม เพราะที่เรามาพักก็เป็นของเจ้าหน้าที่อุทยานแหละครับ



เอากระเป๋ากับอาหารที่ซื้อมาลงจากรถเรียบร้อย ก็หาอะไรเล่นกันเเล้ว ตามหาแพไม้ไผ่ ซึ่งเพื่อนเราคนนี้ซนมาก มันเดินไปหหามาจากไหนก็ไม่รู้ฮะ 555


แล้วทุกคนก็ได้เล่นของเล่นที่มันหามาได้ อย่างสนุกสนาน

.

.

เล่นน้ํากันจนเหนื่อย ก็เริ่มหิว ที่พักก็ยกเตาถ่านมาให้เราได้ทำอาหารกินกัน ที่เราซื้อมาจะมีอะไรบ้างไปดูรูปกันเลยฮะ

แล้วอาหารเย็นขอเราก็เสร็จพร้อมกินกันแล้ว พวกเราก็นั่งคุยกันตามประสาเพื่อนสมัยมัธยมที่นานๆจะได้นัดกันมาเที่ยวได้ทีปีละ 1 ครั้ง

จากนั้นเราก็เข้านอนพักผ่อนกันตามอัธยาศัย เพราะพรุ่งนี้เรามีเดินขึ้นน้ําตกเอราวัณกันแต่เช้า...Zzzz

วันที่สอง

เรียกทุกคนตื่นจากที่นอน เพื่อไปเล่นน้ําตกเอราวัณกัน ไปตอนเช้าดีมากเพราะคนน้อยแทบจะไม่มีเลยนอกจากคนที่พักในอุทยานเท่านั้น เราก็เดินจากแพขึ้นไปตามทางจะมีป้ายบอกทางไปน้ําตกเป็นระยะ



น้ําตกเอราวัณ สวยมากน้ําใสเป็นสีฟ้ามองเห็นตัวปลาที่แหวกว่ายอยู่ในน้ํา น้ําตกเอราวัณมีทั้งหมด 7 ชั้น พวกเรามากันทั้งทีไม่ให้เสียเที่ยวจัดกันไปให้ถึงจุดสุดยอดกันเลย โอ้วนี่มันสวรรค์ชั้น 7 โย่ววว



เมื่อเรามถึงก็ต้องสร้างหลักฐานกันหน่อยเพราะเราคือ ผู้พิชิต ชั้น 77 ภูผาเอราวัณ เดินมายังไม่ได้เล่นน้ํากันสักชั้นเลยจัดกันที่ชั้นนี้ น้ําเย็นมากจนหนาว อากาศดี ไม่มีแดดมาคอยกวนใจ มีแต่ฝนที่กลงมาในให้เราได้ชุ่มฉ่ำใจ..

.

.

จากนั้นเราก็รีบเดินกันลงมาเพื่อเดินทางไป ช่องเขาขาด สมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 เป็นทางรถไฟสายไทยพม่าหรือ ทางรถไฟสายมรณะ ในที่ที่เราไปจะเป็นช่วงที่ใหญ่ที่สุดของช่องเขา เชลยศึกจะต้องใช้อุปกรณ์ในการขุดเซาะล่องที่เป็นหิน บางคนใช้มือ และบางจุดต้องโรยตัวลงมาจากด้านบนที่มีความสูงมากๆ


ขับรถจากน้ําตกเอราวัณมาไกลพอสมควร ประมาณ 1 ชม. เราก็ถึง ช่องเขาขาด ด้านหน้าทางเข้าจะเป็นพิพิธภัณฑ์สถานแห่งความทรงจํา ข้างในมีประวัติของสถานที่ เรื่องราวของสงครามโลกครั้งที่ 2 ให้เราได้ศึกษา ก่อนที่จะเดินลงไปด้านล่างเพื่อไปยังช่องเขาขาด




ธรรมชาติที่ปกคลุมเต็มสองข้างของช่องเขา ทำให้พื้นที่แห่งนี้ร่มรื่น และทำให้นักท่องเที่ยวได้เดินชมประวัติศาสตร์แบบใกล้ชิดธรรมชาติ อย่างเย็นสบาย มีเรื่องราว ข้าวของเครื่องใช้ในสมัยที่มีการสร้างทางรถไฟ แสดงเป็นหลักฐานให้คนได้ย้อนรำลึกถึงประวัติศาสตร์ได้อย่างชัดเจน...

สำหรับใครที่ยังไม่เคยได้มาที่ช่องเขาขาด แนะนำให้ลองมาเที่ยวชมประวัติศาสตร์ในสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 กันนะครับ มีทั้งเรื่องราวที่น่าจดจำและเรื่องราวที่เป็นบทเรียนไม่ให้มันเกิดขึ้นอีกบนโลกใบนี้...

จุดหมายปลายทางสุดท้ายของเรา "สะพานมอญ" สังขละบุรี เดินทางกันต่อโดยใช้เส้นทาง ทางหลวง 323 เป็นทางที่โค้งเยอะ ขึ้นเขาบ้าง ระยะทางจากช่องเขาขาดไป 140 กม. แต่ใช้เวลาเดินทาง 2 ชั่วโมงเลย


ถึงแล้วววววว ! ! !


สะพานมอญ หรือ สะพานไม้อุตตมานุสรณ์ เป็นสะพานไม้ที่ยาวที่สุดในประเทศไทย และยาวเป็นอันดับ 2 ของโลกรองจากสะพานไม้อูเบ็ง ในประเทศพม่า เลยทีเดียวเชียวนะ สร้างขึ้นโดยดำริของ หลวงพ่ออุตตมะ เจ้าอาวาสวัดวังก์วิเวการาม โดยใช้แรงงานของชาวมอญ เป็นสะพานไม้ที่ใช้สัญจรไปมาของชาวมอญและชาวไทยที่อาศัยอยู่บริเวณนี้ ปัจจุบันเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงของจังหวัดกาญจนบุรี


เราเดินข้ามสะพานมอญมา ก็จะมีเด็กชาวมอญมาต้อนรับ กระโดดน้ำโชว์ ทาแป้งนาคาให้ ถ่ายรูปด้วย แต่เสียตังนะครับบอกก่อน ก็ถือเป็นการช่วยน้องๆทำงานนะครับ



วัดวังก์วิเวการาม ข้ามฝั่งมาก็จะเจอกับวัดที่เรามานี้เป็นวัดที่สร้างขึ้นมาใหม่ จากวัดเดิมที่ถูกน้ำท่วม จากการสร้างเขื่อน เดี๋ยวเราจะพาทุกคนนั่งเรือไปดูวัดที่อยู่ใต้น้ำกันครับ...

ถ้าจะไปดูวัดใต้น้ำ เมืองบาดาลนั้นจะต้องนั่งเรือไปเท่านั้น หาเรือไปนั้นไม่ยาก เดินออกมาจากวัดจะพี่ๆชาวบ้านมาเรียกถามเราว่าไปนั่งเรือดูวัดไหมจ้า... เราก็ตอบตกลงว่าไป เท่าไรครับ 500 จ้า เราก็ขับรถไปจอดที่บ้านพี่เค้า แล้วก็ขึ้นเรือพี่เค้าไปดูวัดกันเลยยยยย......


บางเดือนของที่นี้ก็จะไม่มีน้ำเลยสามารถเดินเท้าได้สบาย แต่เรามาตอนมีน้ำ ต้องถอดรองเท้าไว้บนเรือแล้วเดินเท้าเปล่าเข้าไปไหว้พระในโบสถ์



แต่ถ้าใครมาช่วงไม่มีน้ำก็จะได้ถ่ายรูปกับประตูวัดนี้ได้ เสียดายเรามาช่วงน้ำเยอะเลยอดถ่าย


แล้วทั้งหมดนี้เป็นทริปกาญจนบุรี ของเราเอามาแบ่งปันเเชร์และเป็นแรงบันดาลใจให้ทุกคนได้ออกมาจากชีวิตประจำวันของเรา ออกมาหาประสบการณ์ใหม่ และเป็นการชาร์ตพลังให้ตัวเอง...ออกมา...เที่ยวไปในแบบที่ชอบ...กันนะครับ

เที่ยวไปในแบบที่ชอบ

 วันเสาร์ที่ 8 กันยายน พ.ศ. 2561 เวลา 12.21 น.

ความคิดเห็น