เป้าหมายการเดินทางในครั้งนี้ก็คือ "SAPA" เมืองแห่งหุบเขา เมืองแห่งสายหมอก เมืองที่อากาศดีตลอดทั้งปี หลายคนคงได้ยินชื่อเมืองแห่งนี้กันมานานแล้ว ผมก็เช่นกัน แต่ที่ผานมาไม่มีโอกาศได้มาสัมผัสที่นี่สักที คราวนี้มีโอกาศเตรียมตัวกันเป็นปีเลย เนื่องจากได้ตั๋วโปรโมชั่นจาก Air Asia ราคาไปกลับ 2 พันนิดๆ เลยรีบจองกันข้ามปีเลยทีเดียว

“ซาปา” เมืองเล็ก ๆ ในจังหวัดลาวไก ตั้งอยู่ห่างจากฮานอยประมาณ 350 กิโลเมตร เป็นแหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติยอดนิยมแห่งหนึ่งของเวียดนามเหนือในปัจจุบัน มีภูมิทัศน์ที่สวยงาม ล้อมรอบด้วยด้วยภูเขาสูง มีลักษณะภูมิประเทศหลากหลาย เช่น ทะเลสาบ น้ำตกและนาขั้นบันได และเป็นที่ตั้งขอยอดเขาฟานซิปัน เขาที่สูงที่สุดในอินโดจีน บวกกับสภาพภูมิอากาศที่เย็นสบายตลอดปี และอาจจะหิมะตกในหน้าหนาวช่วงประมาณเดือนธันวาคมถึงเดือนมกราคม

ทริปนี้ผมแพลนไปกันถึง 5 วัน 4 คืน ครับ ไปกันทั้งหมด 4 คน การเดินทางท่องเที่ยวครั้งนี้จะเป็นอย่างไร ไปติดตามกันเลยกับ Let's Journey : ไปเที่ยวกัน

Day 1 : ครั้งนี้ผมได้บินไฟล์ทเช้าเลยครับ เครื่องออก 06.40-08.30 น

หลังจากผ่าน ตม ออกมาเรียบร้อย สิ่งแรกที่ทำเลยคือแรกเงินครับ ใครที่มาเวียดนามนะนำให้แลก usd มาจากไทยนะครับ แล้วนำ usd มาแลกเป็นดองอีกทีจะได้เลทที่ดีกว่า #แลกเงินเสร็จเราก็ถือเงินกันเป็นล้านเลย หลังจากแลกเงินเสร็จก็ไปซื้อซิมต่อครับ แนะนำเป็นของใช้ของ Viettel ครับผม ราคาประมาณ 11 usd หลังจากนั้นเราก็เดินไปขึ้นรถเมย์เข้าเมืองกันกับ ผมนั่งสาย 86 ซึ่งจะจอดอยู่ด้านหน้า เมื่อออกจากสนามบินมา เดินไปทางซ้ายครับ มองไปทางป้าย 02 ครับซึ่งจะเป็นจุดที่รถเมย์จอดอยู่ครับ ราคาคนละ 35,000 ดอง โดยเราจะไปลงย่าน old quarter ซึ่งก็จะคล้ายๆข้าวสารบ้านเรา เป็นย่านที่นักท่องเที่ยวอยู่กันเยอะมาก

หลังจากลงรถเมย์ เราก็เดินไปที่ออฟิตของ เอเย่นต์ครับ เพื่อไปจ่ายเงินค่ารถบัสที่เราได้จองไว้ และฝากกระเป๋าไว้

[กลุ่มผมจองรถบัสนอนไปกลับซาปา ผ่าน เอเย่นต์ ที่ชื่อ Ms.Huong ครับ ราคาไปกลับคนละ 24 usd]

หลังจากจัดการทุกอย่างเรียบร้อยก็มีเวลาตะลุยฮานอยถึงค่ำเลยครับ เพราะบริษัทรถของเราจะมารับที่ออฟฟิตประมาณ 21.00 น เพื่อไปจุดขึ้นรถอีกที่หนึ่งซึ่ง ผมจองบัสนอนรอบ 22.00 น ครับเพราะจะได้ไปถึงซาปาเช้าพอดี


อันดับแลกต้องไปหาอะไรกินก่อนครับ ตั้งแต่ลงเครื่องมายังไม่ได้กินไรเลย มื้อแรกที่เวียดนาม้ราจะไปกิน Bun Cha กันครับ ชื่อร้าน "BUN CHA DAC KIM" น่าจะเป็นร้านชื่อดัง เพราะคนมากินกันเยอะมาก ที่ร้านจะมีถึงสามชั้นกันเลย


สั่งกันมาคนละชุดกันเลย ชุดละประมาณ 80,000 ดอง ซึ่ง Bun cha ก็มีลักษณะเป็นเนื้อหมูที่ถูกหมักไว้แล้วนำไปย่าง แล้วเสริฟในน้ำซุบที่หวานๆ กินกับเส้นขนมจีน คล้ายๆก๋วยเตี๋ยวแบบบ้านเราครับ กินพร้อมผักสดซึ่งให้มาเยอะมากๆ รสชาติก็อร่อยใช้ได้ครับ และเราก็สั่ง ปอเปี๊ยะ มาชิมกันอีกรสชาติก็อร่อยใช้ได้ครับ


อิ่มกันแล้วก้ได้เวลาเดินเที่ยวกันครับ ที่แรกที่มาก็คือโบสถ์ St. Joseph Cathedral ซึ่งอยู่ทางด้านเหนือของทะเลสาบคืนดาบ (ฮว่านเกี๋ยม)

โบสถ์ St. Joseph Cathedral มีสถาปัตยกรรมเก่าแก่สไตล์อาณานิคมฝรั่งเศสที่งดงาม เป็นมหาวิหารสไตล์โกธิค ซึ่งถือว่าเป็นแลนด์มาร์กที่สำคัญแห่งหนึ่งในฮานอย และยังเป็นโบสถ์เก่าแก่ที่สุดในฮานอยอีกด้วย

หลังจากนั้นก็เดินกันต่อ แต่เท่าที่สังเกตดูนะครับ ที่นี่จะขายของประเภทกระเป๋า เสื้อผ้า กันเยอะมาก ยิ่งถ้าเป็นแบรนด์ north face ละก็แทบจะมีทุกทีเลย

เดินกันไม่นานก็มาถึง สะพานเทฮุก (the huc) หรือสะพานแสงอาทิตย์
เป็นสะพานที่ใช้ข้ามทะเลสาบฮว่านเกี๋ยม เพื่อไปยังวัดหง็อกเซินบนเกาะหยก สะพานนี้ถือเป็นเอกลักษณ์อย่างหนึ่งของกรุงฮานอยเลย

เมื่อข้ามสะพานไป จะเป็นวัดหง๊อกเซิน ซึ่งเป็นวัดขนาดเล็ก ภายในวัดมีวิหารชั้นเดียว สถาปัตยกรรมแบบจีนอย่างที่เราคุ้นเคย หรือเห็นในหนังจีนกำลังภายใน สถาปัตยกรรมของวิหารจะเป็นอาคารที่แสดงถึงอิทธิพลของจีนที่มีต่อประเทศนี้อย่างชัดเจนครับ ภายในบริเวณวิหาร จัดบริเวณแท่นสำหรับบูชาเทพเจ้า มองดูคล้ายๆกับศาลเจ้าในเมืองไทยเรามา วิหารชั้นใน จะมีแท่นบูชาเทพเจ้า เนื่องจากเวียดนามได้รับอิทธิพลจากจีนมาเนิ่นนานในอดีต รวมถึงคติความเชื่อทางศาสนาด้วย

ถ้ามองไปที่กลางทะเลสาบเราก็จะเห็นเจดีย์โบราณโผล่พ้นน้ำขึ้นมา เจดีย์โบราณกลางทะเลสาบนี้ได้ถูกสร้างขึ้นในสมัยศตวรรษที่ 18 มีชื่อเรียกว่า ทาพรัว (Thap Rua) ซึ่งหมายถึง “หอคอยเต่า” นั่นเองครับ

หลังจากเดินกันจนเหนื่อยก็เริ่มมองหาที่นั่งพัก ตากแอร์เย็นๆกันซึ่งเดินมาตรงบริเวณวงเวียนตรงทะเลสาบครับ แถวนี้มีร้านคาเฟ่เยอะเลย แต่เราก็ไปสะดุดตาที่นึง ที่คาดว่าจะวิวดี

ร้านกาแฟ Highland coffee อยู่บนชั้นสามของตึกบริเวณแถวทะเลสาบ ร้านค่อนข้างใหญ่ครับ คนเยอะด้วย ก็นั่งตากแอร์กันพักใหญ่เลย เพราะที่ฮานอย อากาศต้องบอกเลยว่า #ร้อนมากๆๆๆๆ

นั่งชมวิว ชมวิถีชีวิต ของคนที่นี่กันเพลินเลย ก็ได้เวลากลับไปที่พัก เพื่ออาบน้ำ และทานข้าวเย็น เพื่อเตรียมตัวเดินทางไปซาปากันคืนนี้ครับ

ก่อนหน้านี้ลืมบอกไปครับ ออฟฟิตของ Ms.huong จะอยู่บนชั้น 2-3 ครับ ด้านล่างเป็นร้านขายเสื้อผ้า ถ้าเดินผ่านๆ นี่จะไม่รู้เลยครับ แต่สังเกตง่ายๆคือ อยู่ตรงข้ามร้าน Pho10 ครับ ถ้าใครมาปัก GPS ที่ร้าน Pho 10 ได้เลยครับ

เวลาประมาณ 21.30 น ก็มีรถ mini bus มารับเราที่ออฟฟิต เพือพาเราไปยังจุดขึ้นรถบัสอีกทีนึงครับ

Day 2 : ถึงซาปาแล้ว

เรามาถึงซาปากันประมาณตี 5 ครับ แต่ก็ได้นอนบนรถต่อ ถึงประมาณ 6 โมงครับลงจากรถบัสมา

โอ้โห หนาวเลยครับผม อากาศดีมาก หมอกเยอะมากๆเลยครับ

หลังจากลงรถก็เรียกแท็กซี่ ไปส่งที่โรงแรม ซึ่งโรงแรมที่เราพักกัน 2 คืน ราคาคืนละ 660 บาท ก็คือ "Sapa Eden hotel" ซึ่งจะอยู่ระหว่างทางไปหมู่บ้านกัตกัต ซึ่งโชคดีมากครับ ที่ไปถึงแล้วมีห้องว่าง ทางโรงแรมเลยให้ check in ได้ทันทีเลยโดยไม่คิดเงินเพิ่มด้วย


หลังจากเก็บของเสร็จก็ออกมาทานข้าวเช้ากันครับ เลือกร้านที่อยู่ตรงข้าม โรงแรมพอดี ชื่อร้าน Café in the cloud แต่ตอนเช้าของวันนี้หมอกเยอะมากๆ ทำให้ไม่ค่อยเห็นวิวเท่าไหร่

ได้สั่งเซ็ตอาหารเช้ามาทานครับ เป็นขนมปัง ไข่ดาว เบคอน และก็กาแฟร้อนๆครับ และหลังจากทานข้าวเช้ากันเสร็จ ก็เดินหาร้านเช่ารถมอเตอร์ไซด์กัน โดยผมเช่า 2 วัน ได้มาในราคา 200,000 ดองครับ เมื่อได้รถกันก็เตรียมตัวลุยกันเลย

ที่แรกขอแว๊นมาถ่ายรูปบริเวณทะเลสาบกลางเมืองกันก่อนเลย

บรรยากาศตอนเช้าๆนี่บอกได้เลยว่า ยุโรปชัดๆ


หลังจากนั้นเราก็ไปต่อกันที่ "Cat Cat Village" เสียค่าเข้า คนละ 50,000 ดอง โดยเขาจะแจ้งแผนที่มาให้คนละใบด้วยครับ

หมู่บ้านกั๊ตกั๊ต ของชาวม้งดำ เป็นหมู่บ้านที่ใช้ชีวิตกันอย่างสโลว์ไลฟ์ เรียบง่าย ไม่ต้องรีบเร่ง หรือทำตัววุ่นวายแต่อย่างใด แถมอากาศที่นี่ก็ยังสดชื่น น่าสูดอากาศที่บริสุทธิ์ให้เต็มปอดอีกด้วย

เมื่อเดินจากทางเข้ามาก็จะเหมือนเราเดินลงบันได ไปด้านล่าง ระหว่างทางก็จะมีของที่ระลึกขายเรียงรายตลอดเส้นทาง ของที่นี่ส่วนใหญ่จะเป็นของชาวเขา พวกเสื้อ สร้อยข้อมือ กระเป๋า

เป็นการเดินตามไล่เขาลงไปชมวิวภูเขาและวิถีชีวิตของคนที่นี่กัน แนะนำมาเช้าๆหน่อยครับ มาตอนมีแดดแล้วอาจจะร้อนครับ

ี่ชาวบ้านส่วนใหญ่ของที่นี่จะเป็นชาวม้งดำนั่นเอง ซึ่งส่วนใหญ่จะประกอบอาชีพ เกษตรกรรม ปลูกข้าว ปลูกข้าวโพด และเลี้ยงสัตว์

เจอน้องน่ารัก กินลูกอมอยู่หน้าบ้าน เลยขอแชะสักภาพนึง

หลังจากเดินมาพักใหญ่ ก็มาเจอธารน้ำและน้ำตกอยู่ด้านล่าง


ทั้งวิถีชีวิตความเป็นอยู่ที่เรียบง่าย ประกอบกับความงดงามทางธรรมชาติ ทั้งที่ทำด้วยฝีมือมนุษย์ และเกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ ทำให้ที่นี่นั้นมีความเป็นเอกลักษณ์และแตกต่างจากหมู่บ้านอื่นๆ

นอกจากธารน้ำแล้ว ก็ยังมีน้ำตกที่สวยงามไหลลงมาให้ได้ชมกันด้วยครับ ใครที่อยากสัมผัสกับวิถีชีวิตสโลว์ไลฟ์แบบนี้ หรืออยากสัมผัสอากาศที่สดชื่นบริสุทธิ์ ก็ต้องมาที่นี่กันเลยครับ

หลังจากนั้นเราก็เดินกลับทางเดิมครับ มองวิวต่างๆในหมู่บ้าน มันช่างเรียบง่าย สงบ สวยงาม และบรรยากาศดีจริงๆ

มุมนี้ให้ความรู้สึกญี่ปุ่นนิดๆ

ระหว่างทางเดินกลับขึ้นไปก็ได้แวะถ่ายรูป มุมวิวภูเขาและนาขั้นบันไดกัน มาหน้าฝนแบบนี้ มองไปทางไหนก็จะเขียวไปหมดจริงๆ

เจอกับนาขั้นบันได รวงข้าวเป็นสีเหลืองทอง ใกล้จะเกี่ยวแล้ว

ออกจาก cat cat village เราก็มุ่งหน้าออกนอกเมืองกันประมาณ 30 นาที เพื่อไปที่ "Silver Waterfall" หรือ น้ำตกสีเงิน ค่าเข้าคนละ 30,000 ดอง #ช่วงที่ไปนี่น้ำเยอะและไหลแรงมาก


กว่าจะขับรถมอเตอร์ไซด์กลับก็เย็นพอดี มื้อเย็นวันนี้เลยไปจัด ปิ้งย่างกันซะหน่อย เห็นขายกันเยอะมากที่ซาปา พอลองแล้วรสชาติก็พอได้ครับ แต่ไม่อิ่ม บวกกับราคาแพงด้วยครับ เลยต้องเข้ามินิมาร์ทต่อหาของกินให้อิ่ม

Day 3 : เริ่มต้นวันด้วยอากาศค่อนข้างดีเลยทีเดียว มีหมอกจาง แต่ฟ้าคงยังไม่เปิด

นี่เป็นวิวจากห้องอาหารเช้าของโรงแรมครับ ต้องบอกเลยว่าเป็นโรงแรมที่วิวดีเลยครับ หันไปทางภูเขา วิวห้องผมที่ได้ก็เป็นวิวนี้เช่นกันครับ เลขห้องคือ 305 ครับ น่าจะเป็นห้องวิวดีสุดของโรงแรม ใครจะเข้าพักก็ลองขอทางโรงแรมดูนะครับ

หลังจากที่ทานอาหารเช้าที่โรงแรมเรียบแล้ว ก็ได้เวลาตะลุยซาปากันต่อครับ วันนี้มีคิวจะไปนั่ง cable car เพื่อขึ้นเขาฟานซิปันกัน ยอดเขาที่สูงที่สุดในเวียดนามและคาบสมุทรอินโดจีนกัน จากโรงแรมขับมอเตอร์ไซด์ไปทางน้ำตก silver ครับ และก็จะเจอป้ายที่เขียนว่า Sun world ก็เลี้ยวซ้ายขับมาตามทางเรื่อยๆจนสุดทางก็ถึงที่หมาย

จอดรถเสร็จเรียบร้อยก็เดินเข้ามาด้านใน มีเป็นเหมือนวัดจีน อยู่ด้วยครับตรงข้ามกับทางเข้า

เข้ามาก็ซื้อตั๋ว cable car ราคาไปกลับคนละ 700,000 ดอง หลังจากนั้นก็เดินลงบันไดเลื่อนลงไปด้านล่างที่เป็นจุดขึ้น cable car ครับ

นี่คือเจ้า cable car เป็นกระเช้าแบบสามสาย ที่ยาวที่สุดในโลก โดยมีความยาวถึง 6,292 เมตร หรือประมาณ 6 กิโลเมตร โดยใช้เวลาประมาณ 15-20 นาที

ระหว่างทางก็ได้เจอวิวพาโนราม่าแบบอลังการมากๆ เป็นนาขั้นบันไดสีเขียวเหลืองที่กว้างใหญ่ บอกได้เลยว่าฟินจริงๆ

cable car ก็ค่อยๆไต่ระดับขึ้นไปเรื่อยจากนาขั้นบันไดก็เริ่มเปลี่ยนเป็นวิวภูเขา

ผ่านไปสักพักเราก็มองวิวด้านนอกไม่เห็นแล้ว เนื่องจากอยู่กลางเมฆหมอก #ขึ้นทะลุเมฆกันเลย

ไม่นานนักเราก็ทะเลเมฆกันมา มองย้อนลงไป โอโห้ สวยมากๆ อากาศก็เริ่มหนาวเย็นขึ้นแล้วด้วย สำหรับคนที่จะขึ้นมาที่ฟานซิปัน ก็เตรียมเสื้อกันฝน และ เสื้อกันหนาวมากันด้วยนะครับ เพราะข้างบนอากาศจะเปลี่ยนตลอด

หลังจากลง cable car ความรู้สึกแรกเลยคือ หนาวมาก อากาศเย็นสุดๆ เริ่มเดินออกจากตัวอาคารมองไปหมอกมาเต็มๆ แถบมองไม่เห็นอะไรเลย

เดินกันมาสักพักก็ถึงจุดที่เราจะต้องเลือกว่าจะขึ้นไปยอดเขาฟาซิปันอย่างไรดี

1. มีรถรางให้บริการ ราคาไปกลับ คนละ 150,000 ดอง

2.เดินขึ้นบันได หลายร้อยขึ้นเอง

ซึ่งแน่นอนพวกเราขอเน้นสบาย เลือกขึ้นรถรางกันครับ

นั่งรถรางแป๊ปเดียวก็มาถึงด้านบนครับ ที่แปลกอย่างนึงคือ เมื่อมาจุดสูงสุดอากาศดันไม่หนาวเลยครับ ผิดกลับระหว่างทางที่ขึ้นมาเลย

ฟานซีปันเป็นยอดเขาที่สูงที่สุดในเวียดนามและคาบสมุทรอินโดจีน มีความสูง 3,143 เมตร จากระดับน้ำทะเล และโดนขนานนามว่า “หลังคาแห่งอินโดจีน”

#พี่ชาวเวียดนามคนนี้ถึงขนาดมานั่งสมาธิกันบนยอดเขากันเลย

ได้เวลาก็ลงมาข้างล่างพร้อมขับรถเข้าเมืองไปทานอาหาร เสร็จเรียบร้อยก็แว้นกันต่อไปที่ Muong hoa valley เพื่อไปชมนาขั้นบันไดกันที่เขาว่าสวยที่สุดในซาปากัน เส้นทางคือไปทางหมู่บ้าน ta van ถนนที่ไปค่อนข้างลำบากเลยนะครับ เป็นหินกับดินและโคลน ใครรับรถมอเตอร์ไซด์ไม่แข็ง ไม่แนะนำเลยนะครับ เช่ารถมาดีกว่า


เรากะจะมุ่งหน้าไปที่หมู่บ้าน ta van กันต่อ แต่เจอฝนทำท่าจะตก และช่วงนั้นก็เย็นแล้ว กลัวกลับลำบากเพราะทางไม่ดี จึงต้องจำใจขับกลับเข้าตัวเมืองกัน ถ้าใครต้องการจะไปที่หมู่บ้าน Ta van แนะนำเผื่อเวลาการเดินทางด้วยนะครับ


เรากลับมาถึงตัวเมืองกันก็ค่ำพอดี เลยไปหาอาหารเย็นทานกันต่อเลย มื้อนี้จัดเมนูที่โด่งดังของที่นี่กันเลย ที่ใครมาก็มักจะบอกว่าต้องกิน ก็คือ แซลม่อนหม้อไฟ ราคาราวๆ 600,000-700,000 ดอง ทานกัน 4 คน รสชาติก็พอใช้ได้นะครับ แต่ไม่ถึงกับว้าวมาก เทียบกันราคาถือว่าแพงไปหน่อยหรืออาจจะมีร้านที่เด็ดกว่านี้ก็ได้ครับ หลังจากทานเสร็จก็กลับที่พักไปพักผ่อนครับ

Day 4 : วันสุดท้ายที่ซาปาแล้ว

วันนี้เป็นวันสุดท้ายที่เราจะอยู่ซาปากันแล้วครับ เลยตื่นสายนิดนึง รับประทานอาหารที่โรงแรมเสร็จ ซึ่งโปรแกรมวันนี้ก็จะชิวๆกันอยู่ในตัวเมืองครับ โดยเริ่มจากไปขึ้นเขาฮามรอง (hamrong mountain) เพื่อไปดูวิวเมืองซาปาทั้งเมืองกัน ส่วนค่าเข้าคนละ 70,000 ดอง ครับ


ช่วงแรกเราต้องเดินขึ้นบันไดกันค่อนข้างเยอะ และชันเป็นบางช่วง



หลังจากบันไดก็จะเริ่มเป็นพื้นราบครับ ด้านบนก็มีการจัดสวนต่างๆ ให้ได้ชมกันครับ แต่จุดหมายเราคือจุดชมวิวเมืองซาปา ซึ่งยังต้องเดินต่อไปอีกครับ



ในที่สุดก็มาถึงจุดชมวิวครับ มุมนี้น่าจะเป็นจุดที่วิวดีสุดที่สามารถมองเห็นวิวตัวเมืองซาปาได้ทั้งเมืองครับ


กลับลงมาข้างล่าง เดินเล่นในเมืองกันต่อครับ ชมวิถีชีวิตของคนที่นี่กัน ที่นี่ก็มีชาวเขาอาศัยอยู่เยอะเหมือนกันครับ ส่วนใหญ่ก็จะทำอาชีพค้าขายกัน


ได้เวลาข้าวเที่ยงกันหลังจากเดินมาครึ่งวัน มื้อนี้เลยจัด ข้าวราดแกงแบบเวียดนามกันซะหน่อย เลยลองสั่ง ปลาแซลม่อนผัดแล้วราดซอส รสชาติออกหวานๆ กินกับผักต้ม ก็อร่อยดีครับผม


อิ่มท้องกันแล้วก็เดินสำรวจตัวเมืองกันต่อ เราเดินกันมาถึงจุดที่เป็นลานกว้างๆ เหมือนลานกิจกรรมของเมือง ตอนเย็นๆ ก็จะมีกิจกรรมต่างๆ ที่ชาวซาปาจะมาทำกัน เช่นออกกำลังกาย เดินเล่น ที่บริเวณนี้กัน และถ้ามาสุดสัปดาห์ก็จะมีตลาดนัดตอนเย็นด้วย


บริเวณใกล้ๆกับลานก็มีห้าง Sun Plaza น่าจะเป็น landmark ใหม่ของซาปาอีกแห่งหนึ่ง ซึ่งลักษณะห้างเป็นแนวสไตล์ยุโรป ส่วนด้านในก็จะเป็นร้านขายของพวกเสื้อผ้า กระเป๋า รองเท้า ซะส่วนมาก


พอใกล้จะถึงเวลาไปรอขึ้นรถกลับฮานอย ก็แวะไปถ่ายรูป โบสถ์เมืองซาปากันหน่อยครับ

ขากลับเรานั่งรถบัสนอน ตอน 16.00 น เป็นรถของบริษัท green bus โดยจะถึงฮานอยกันประมาณ 22.00 น

Day 5 : ปิดทริปที่ฮานอย

เมื่อคืนเรามาถึงฮานอยกันประมาณ 22.00 น เราก็รีบเข้าโรงแรมที่จองไว้กัน จนลืมถ่ายรูปมาให้ชมกัน เราพักกันที่ Crystal hanoi hotel ราคาคืนละ 20 usd รวมอาหารเช้าด้วยครับ เช้านี้หลังจากทานอาหารเรียบร้อยแล้วก็ออกตะลุยอานอยที่เหลือกันต่อครับ

วันนี้เราจะใช้บริการของแท็กซี่กันครับ เพราะสถานที่ค่อนข้างไกลจากที่พักพอสมควร โดยที่แรกที่เรามาก็คือ สุสานโฮจิมินทร์ (Ho chi minh mausoleum)เป็นสถานที่เก็บศพของท่านโฮจิมินห์ ซึ่งอาบน้ำยาอยู่ในโลงแก้ว ตั้งอยู่ที่กึ่งกลางจัตุรัสบาสติงห์, ซึ่งเป็นสถานที่ที่โฮจิมินห์อ่านคำประกาศอิสรภาพของเขาเมื่อวันที่ 2 กันยายน ค.ศ.1945 ด้านในสุสานโฮจิมินห์มีทหารกองเกียรติยศในชุดเครื่องแบบเต็มยศสีขาวยืนถือดาบปลายปืนยืนรักษาการณ์อยู่ตลอดเวลา ค่าเข้าฟรีครับ

เรื่องการแต่งกาย : ต้องแต่งกายด้วยชุดสุภาพ ภายในมีเจ้าหน้าที่ตรวจอยู่ตลอดเส้นทางเดิน ห้ามถ่ายรูป และระหว่างเคารพศพลุงโฮ ต้องอยู่ในกิริยาที่สำรวมนะครับ

บริเวณใกล้ๆกันก็มี บ้านพักของลุงโฮ ซึ่งลุงโฮใช้เป็นที่อยู่อาศัยมาตั้งแต่ปี ค.ศ. 1958 จนกระทั่งวาระสุดท้ายของชีวิต และยังเป็นสถานที่ประวัติศาสตร์ ที่ท่านโฮจิมินห์ใช้เป็นที่ประชุมคณะกรรมการโปลิตบุโร กับนายทหารคนสำคัญๆ วางแผนการรบกับทหารสหรัฐอเมริกาในสงครามเวียดนาม ข้างบนบ้านเป็นห้องหนังสือและห้องนอนของโฮจิมิน

เดินต่อมาอีกไม่ไกลเราก็เจอกับ เจดีญ์เสาเดียว ( one pillar pagoda) ชาวเวียดนามเรียกว่า จั่วโมดโกด เจดีย์เสาเดียวสร้างเป็นศาลาเก๋งจีนหลังเดียวขนาดเล็กตั้งอยู่บนเสาต้นเดียว ศาลานี้อยู่กลางสระบัวรูปสี่เหลี่ยม เพื่อเป็นการถวายสักการะแด่เจ้าแม่กวนอิม ในปี คศ. 1049 ภายในศาลาประดิษฐานรูปเจ้าแม่กวนอิม ปางสิบกร


หลังจากเดินผ่านเจดีย์เสาเดียวไป ก็จะเจอกับ พิพิธภัณฑ์โฮจิมินห์ (Ho Chi Minh Museum) ด้านในมีการจัดแสดงนิทรรศการ ภาพขาวดำ ในสมัยสงคราม และเรื่องราวการสู้รบในสมัยครามเวียดนาม ค่าเข้า 30,000 ดอง

เรานั่งแท็กซี่กันต่อไปที่ เจดีย์เตรีนกว๊อก (Chua Tran Quoc) ซึ่งอยู่ริมทะเลสาบโอไต แต่ไปถึงช่วงเที่ยงๆพอดี ซึ่งวันที่ไปเขาปิดพอดีด้วย เลยได้แต่ชมอยู่แค่บริเวณด้านนอก วัดจั่วเตริ่นกว๊อก เป็นวัดที่มีเจดีเก่าแก่ที่สุดแห่งหนึ่งของเวียดนาม มีเจดีย์สีชมพู ไล่ระดับเป็นชั้นๆขึ้นไปประมาณ 10 ชั้น และมีชายคายื่นออกมาคลุมเจดีย์แต่ละชั้น คล้ายๆกับเจดีย์ของญี่ปุ่น แต่ละชั้นมีพระพุทธรูปสีขาวประดิษฐานอยู่ในช่องรอบเจดีย์


เราไปปิดท้ายกันที่ วิหารวีรกรรม (van mieu) สร้างใน พ.ศ. 1613 สมัยพระเจ้าหลีแถงห์โตง (Ly Thanh Tong) อุทิศให้แด่ขงจื้อ วิหารนี้อยู่ติดกับกว็อกตื่อยาม (Quoc Tu Giam) เป็นโรงเรียนของพวกขุนนางและเป็นมหาวิทยาลัยแห่งชาติแห่งแรกของเวียดนาม ต่อมาสมัยราชวงศ์ตรันได้เปลี่ยนชื่อเป็นกว็อกช็อกเวียน (Quoc Hoc Vien) บริเวณตรงหัวมุมทางเข้าด้านหน้าจะมีซุ้มสลักด้วยหินข้อความ ค่าเข้า 30,000 ดอง

หลังจากตะเวนเที่ยวกันทั้งวันก็ถึงเวลากลับบ้านกัน เรากลับมาเอากระเป๋าที่ฝากกับทางโรงแรมเอาไว้ แล้วครั้งนี้ผิดแผนไปหน่อยครับ เนื่องจากแพลนกันไว้ว่าจะนั่งรถเมย์ไปสนามบินกัน แต่เนื่องจากวันนั้นมีกิจกรรม จึงมีการปิดถนนขึ้น ทำให้เราไม่รู้กันว่าจะต้องไปขึ้นรถเมย์ตรงไหนแทน สุดท้ายจึงต้องนั่งแท็กซี่ไปสนามบิน ราคาประมาณ 300,000 ดอง เลยทีเดียว สุดท้ายก็ยังอยากบอกให้ทุกคนที่ได้อ่านว่า เวียดนามเป็นประเทศที่น่าเที่ยวครับ ซาปาอากาศดีมากเลย มีโอกาศก็มาเที่ยวกันนะครับ .........


ความคิดเห็น