สำหรับเด็กมหาลัยอย่างพวกเราแล้ว สิ่งที่ปลดปล่อยพวกเราจาก Final อันแสนโหดนั้นได้ คือ "เที่ยว" หนึ่งในสมาชิกกลุ่มถามขึ้นมาว่า ปิดเทอมนี้ไปไหนกันดีวะ? ฟ้าสมาชิกในกลุ่มเลยเสนอว่าไปเที่ยวบ้านเราป่ะ ทุกคนเลยลงมติปักหมุดที่นี้ สังขละบุรี จ.กาญจนบุรี สมาชิกในกลุ่มตกลงกันไว้ว่าจะไปกัน 3 วัน 2 คืน กับกระเป๋าเป้ 1 ใบ กล้อง 1 ตัวและ เพื่อนร่วมเดินทางอีก 6 คน



17.12.58


เช้านี้ได้เวลาเดินทาง การไปครั้งนี้เราขออาศัย รถไฟ (รถไฟฟรี 555 ) และจะลงรถไฟที่กาญจนบุรีเพื่อจะต่อรถตู้ไปสังขละต่อ สมาชิกในกลุ่มนัดเจอกันที่หน้ามหาลัย เพื่อนั่ง taxi ไปที่สถานี "รถไฟธนบุรี" เราจะไปรถไฟเที่ยว 7.50 กัน แต่ระหว่างทางที่เดินทางไปสถานีรถไฟธนบุรี คนขับ taxi ดันเข้าใจผิดนึกว่าจะไป "รถไฟฟ้าธนบุรี" แล้วแถวนั้นมีการสร้างสถานนีรถไฟฟ้าด้วยรถก็ติดกันเข้าไปใหญ่ เรื่องเครียดก็เกิดขึ้น เพราะว่ากว่าคนขับ taxi จะรู้ว่าพามาผิดก็เลยจากสถานี รถไฟธนบุรี ได้ ประมาณ 2 กม. แล้ว T^T เลยตัดสินใจลงจาก taxi แล้วพากันต่อมอเตอร์ไซด์ทันที ตอนนั่งมารถเมล์เกือบสอยขาไปกินตั้งหลายรอบ แต่ต้องขอบคุณพี่วินมอเตอร์ไซร์ที่พาหนูมาส่งได้อย่างปลอดภัยและทันเวลา กราบขอบคุณพี่วินมา ณ. ที่นี้ด้วยค่ะ 5555 ในที่สุดเราก็ถึงสถานี รถไฟธนบุรีเป็นที่เรียบร้อย ถึงเวลาเดินทางแล้ว....

ตั๋วสำหรับเดินทางพร้อมแล้ว ลุยยยย!!!


ปัจจุบันนี้การเดินทางของเราอาจจะสะดวกสบายมากขึ้นจนเราอาจจะลืมการเดินทางแบบสมัยก่อนการเดินทางโดยรถไฟครั้งนี้ทำให้เราได้เห็นอะไรบนรถไฟมากมาย มิตรภาพของคนที่ร่วมเดินทาง รอยยิ้มของคุณลุงคุณป้า ที่เดินทางไปยังปลายทางอย่างปลอดภัย กินข้าวที่ไม่ได้ห่อโดยใช้โฟม แต่ใช้ใบตองห่อแทน ความสุขที่เราต้องมาสัมผัสสักครั้ง


เรามาถึงกาญจนบุรีตอนประมาณ 10.30 น. เรามาลงกันที่สถานนี "สะพานแควใหญ่" กันแวะไปเยี่ยมเยือนสะพานแควใหญ่กันสักหน่อย



หลังจากกินข้าวและเยี่ยมเยือนสะพานแควใหญ่เป็นที่เรียบร้อยแล้วถึงเวลาเดินทางไปสังขละบุรีกันเย้!! ไปสังขละบุรีครั้งนี้เราต้องไปต่อรถตู้ที่สถานีขนส่งผู้โดยสาร ทีแรกสมาชิกทุกคนก็คิดกันว่าคงไม่นานเดียวก็คงถึงสังขละบุรี แต่นั่งไปนั่งมา หือๆๆ T^T 4 ชม. เต็มๆค่ะ นั่งซะเมื่อยตูดเลย แต่ระหว่างทางจากทองผาภูมิไปสังขละบุรีวิวจะสวยตลอดทางหากใครไปสังขละบุรีอย่าลืมดูข้างทางนะคะ (ห้ามหลับนะ 5555) สวยจริงๆ

ตอนนี้ 16.00 น. ถึงสังขละบุรีเป็นที่เรียบร้อยแล้วเย้เย้!! ตั้งแต่ 7.50-16.00 น. อือหือๆๆ เป็นการเดินทางที่ยาวนานมากๆ แต่คุ้มค่าสุดๆ สำหรับที่พำนักพักพิงที่สังขละบุรีครั้งนี้คือที่ "แพมิตรสัมพันธ์" เป็นที่พักลอยอยู่ในแม่น้ำ และเป็นวิวที่มองเห็นสะพานมอญแบบชัดเจน สวยลงตัวสุด ใครยังไม่มีที่พักช่วงปีใหม่นี้ลอง ดูที่แพมิตรสัมพันธ์ดูนะคะ ที่พักถูก อาหารอร่อย และวิวสวยค่ะและยุงไม่เยอะ ทีแรกคิดว่าติดแม่น้ำยุงต้องเยอะมากๆแน่นอน แต่ตรงกันข้ามเลยแทบจะไม่มียุงเลยค่ะ


18.12.58


วันนี้เป็นวันที่สองของการเดินทางเช้านี้ทุกคนตื่นกันมาตอนตี 5 ทุกคนบอกกันไว้ว่าจะไปใส่บาตรกันตอนเช้า บรรยากาศตอนเช้าที่สังขละค่อนข้างดี เพราะรายล้อมไปด้วยภูเขา อากาศตอนเช้าเลยเย็นสบายเป็นพิเศษ พระอาทิตย์ไม่ยอมทำงานสักที 5555



ของที่ใส่บาตรจะมีขายกันที่สะพานมอญ ที่เป็นแท่งไม้อันนั้นคือที่กรวดน้ำค่ะ ดูเก๋ไก๋และสวยดีและดอกไม้ของมอญ ดอกไม้ใส่บาตรที่นู่นจะไม่ใช้พวงมาลัยแต่จะเป็นก้านไม้แล้วเสียบดอกไม้แทนสวยไปอีกแบบค่ะ



หลังจากใส่บาตรกันเสร็จเราเลยพากันข้ามสะพานมอญเพื่อข้ามฝั่งไปยังฝั่งมอญกัน



ฝั่งมอญจะมีร้านขายของอยู่แต่จะไม่ค่อยเยอะเท่าไร ฝั่งมอญคนจะครึกครื้นมากกว่าฝั่งไทย หากใครอยากได้ชุดที่ชาวมอญหรือชาวพม่าใส่กันร้านค้าแถวนี้ก็จะมีขายกันเยอะและมีหลายแบบให้เลือกหากใครมากันเป็นแก๊งค์แนะนำซื้อชุดแบบชาวมอญหรือชาวพม่าใส่กันเป็นแก๊งค์ก็จะเก๋ไปอีกแบบค่ะ เช้านี้ขอฝากท้องที่ร้านโจ็กที่ฝั่งมอญละกัน ร้านนี้คนเยอะ อร่อยค่ะ ปาท๋องโก๋ฟรี มีโอวันติน กาแฟ ชา ขายด้วย



เด็กสาวชาวมอญที่ช่วยหารายได้ครอบครัวด้วยการขายดอกไม้ใส่บาตรแบบชาวมอญค่ะ



อรุณสวัสดิ์เช้านี้ที่สังขละบุรี บรรยายตอนเช้าที่สังขละ หากใครไปก็ต้องหลงรัก บรรยายกาศตอนเช้าของที่นี้



วันนี้เรามีแผนเที่ยวที่เจดีย์ 3 องค์และข้ามไปพม่าเป็นการเที่ยวแบบ one day trip การไปครั้งนี้เราติดต่อ พี่แม็ค พี่เขาบริการดีค่ะเป็นกันเองและไม่แพงราคาคนละ 350 รวมทุกอย่างยกเว้นอาหารเราต้องหากินเองแต่พี่เขาพาไปทุกที่ค่ะ และพาไปหลายที่ คุ้มมาก งั้นไปดูกันว่าเขาพาไปไหนบ้าง 5555



ตอนนี้ถึงเจดีย์สามองค์ระหว่างที่จะเข้าไปที่พม่าเราต้องทำเรื่องขอเพื่อจะเข้าไปที่พม่าก่อนค่ะ



เราอยู่สุดเขตแดนของไทยแล้ว อีกสักพักเราจะข้ามพรมแดนไปพม่า ไปดูกันเถอะว่าไปเที่ยวไหนกันบ้าง



แนะนำใครจะข้ามไปพม่าให้เตรียมหมวก เสื้อคลุม เสื้อผ้าสีดำ ถ้าหากผู้หญิงที่ผมยาวแนะนำให้รวบผมนะคะ เพราะฝุ่นที่พม่าเยอะมากกกกก เพราะถนนที่ประเทศเขายังเป็นถนนลูกรังดินแดงอยู่สถานที่แรกที่เราไปเที่ยว ที่แรกในพม่าคือวัดร้อยเสาค่ะ วัดนี้สร้างขึ้นมาโดยมีเสาที่เป็นไม้มีจำนวน 100 ต้นหรืออาจจะมากกว่านี้ เขาบอกกันว่าวัดนี้เป็นวัดของหลวงพ่ออุตตมะ ที่มาสร้างที่พม่าค่ะ



ชุดนักเรียนของเด็กพม่าน่ารักและเรียบร้อยไม่แพ้เด็กไทยเลย เขาบอกกันว่าโรงเรียนที่พม่าจะไม่มีโรงอาหาร เราจึงมักจะเห็นเด็กพม่าเดินกลับบ้านกันตอนกลางวันเพื่อกลับไปกินข้าวที่บ้าน และตอนบ่ายจะกลับไปเรียนต่อ ค่ะเข้าใจละว่าทำไมคนพม่าแข็งแรงเพราะต้องเดินจากบ้านไปโรงเรียนทุกวันนี้เอง



อันนี้เป็นรูปปั้นพระสงฆ์จำนวน 250 องค์ เป็นสาวกของพระพุทธเจ้า พระที่พม่าจะมีคิ้ว จะไม่เหมือนพระพุทธรูปที่ไทยจะไม่มีคิ้ว



ต่อมาก็ไป "เจดีย์ทอง" ที่นี้จะมีการจำลองมาจากเจดีย์ชเวดากองที่ย่างกุ้ง สวยมากแต่ที่เจดีย์ทองจะเล็กกว่าของจริง



ต่อจากเจดีย์ทอง สถานีต่อไปคือ "วัดพระนอน" การไปวัดพระนอนครั้งนี้ไปเจอเจ้าลิงตัวน้อยของคุณลุงพม่าที่คอยดูแลวัด ไปนั่งคุยกับคุณลุงมาว่า ไอ้เจ้าลิงตัวเล็กนี้ชื่ออะไร คุณลุงก็บอกว่าชื่อ "มะช่อ" ที่จริงคุณลุงเขียนเป็นภาษาพม่าให้ดูด้วยแต่ไม่รู้จะพิมพ์เป็นภาษาพม่ายังไง 555



ลิงตัวน้อยชื่อ "มะช่อ"



สถานีต่อไปคือ วัดตองไว (ปู่กำแพง) วัดนี้ต้องขึ้นบรรไดไป 250 ขั้นค่ะ ตอนขึ้นเหนื่อยมาก แต่พอขึ้นไปแล้วต้องบอกว่าคุ้มค่ากับความเหนื่อยที่แลกไป ความเหนื่อยที่มีหายไปกับบรรยากาศที่เห็นเลยละ



เมื่อลงมาจากข้างบนข้างล่างก็จะเป็นวัด เขาเรียกกันว่าวัดปู่กำแพง



หลังจากไปวัดตองไว (ปู่กำแพง) เรียบร้อยก็ขอเติมพลังกินข้าวกันซะก่อน เที่ยวต่อ หลังจากกินข้าวอิ่มกันก็ไปต่อที่ตลาดของพม่า ที่ตลาดพม่าจะมีทุกอย่างไม่ว่าจะเครื่องประดับ ขนม และร้านเสื้อผ้า แต่ตอนไปตลาดไม่ค่อยได้เดินมากสักเท่าไรไม่ได้ตั้งใจจะซื้อของฝากอะไรกลับมา



เคยเป็นมั้ยค่ะเวลาเราไปต่างแดน เราจะลองน้ำที่ไม่มีในบ้านเรา น้ำที่บ่งบอกถึงประเทศที่เราไป หรือน้ำแปลกที่ไม่มีขายในบ้านเรา ไปพม่าครั้งนี้ก็เลยลองไปซื้อ เจ้ากระป๋องน้ำผลไม้ 2 กระป๋องนี้มาลองชิมดู 5555 (แนะนำใครไปพม่าให้กินรสลิ้นจี่ อร่อยกว่ารสส้มนะ 5555) 2 กระป๋องนี้ผลิตที่ย่างกุ้งค่ะ



หลังจากเดินทางเที่ยวพม่าแล้วก็ถึงเวลาข้ามพรมแดนกลับมาเที่ยวบ้านเรากันบ้าง ระหว่างข้ามแดนกันมาเจอเจ้าตัวเล็กออกมาส่งกลับประเทศด้วยนะ



เมื่อข้ามจากพม่ามาแล้วเราก็เดินทางไปที่ "ถ้ำแก้วสวรรค์บันดาล" กันต่อ ที่ถ้ำนี้จะมีการตกผลึกทำให้หินมีประกายสะท้อนแสง คนที่นู่นเขาเรียกกันว่า "สะเก็ดดาว" ลักษณะคล้ายดาว สวยมากๆ



ในการชมถ้ำ จะมีไกด์นำทัวร์พวกเราทั้ง 7 คนด้วยน้องชื่อ "ทูน ทูนอู" เป็นเด็กชาวมอญ พ่อแม่เป็นชาวมอญ ทูน ทูนอูจะคอยนำทางไปชมถ้ำตลอด เก่งและเป็นเด็กยิ้มง่ายใครไปแวะถ้ำแก้วสวรรค์บันดาลอย่าลืมแวะทักทาย ทูน ทูนอูด้วยนะคะ



หลังจากออกมาจากถ้ำแล้ว สถานีต่อไปที่ไปคือ "น้ำตกซองกาเรีย" ที่นี้น้ำตกเย็นและแรง เหมาะแก่การเล่นน้ำที่สุด 555 ที่นี้มีร้านอาหารด้วยนะคะ ใครอยากมาพักผ่อนแบบชิว ชิว สั่งอาหารมานั่งกินและเล่นน้ำไปด้วยก็ได้



หลังจากเล่นน้ำตกกันได้สักพักเราก็ต้องเดินทางต่อไปยัง... มอญ ค่ะ 2 ที่สุดท้ายที่เราจะไปกันคือวัดที่มอญ วัดแรกที่เราไปคือ


"วัดวังก์วิเวการาม" เขาบอกกันว่าถ้ามาสังขละบุรี หากไม่มาสักการะวัดนี้จะถือว่ามาไม่ถึงสังขละบุรี เป็นวัดของหลวงพ่ออุตตมะค่ะ



และที่สุดท้ายของทริปนี้คือ "เจดีย์พุทธคยา" ได้สร้างขึ้นเพื่อบรรจุพระบรมสารีริกธาตุกระดูกนิ้วมือขวาขององค์สมเด็จสัมมาสัมพุทธเจ้า มีขนาดเท่ากับเมล็ดข้าวสาร เป็นที่เคารพสักการะบูชาของ ชาวมอญ ตอนที่ไปเจดีย์พุทธคยากำลังบูรณะอยู่เลยได้ภาพสวยๆมาฝากน้อยหน่อยค่ะ เสียดายเอาไว้คราวหน้าไปใหม่ 555



หลังจากสักการะเจดีย์พุทธคยาเรียบร้อยแล้วเราก็ถึงเวลากลับที่พัก ในการเดินทางมาทั้งวันเราได้อะไรเยอะแยะมากมายเลย เราได้รู้วัฒนธรรมของคนพม่าและมอญ ว่าเขามีความเป็นอยู่กันแบบไหน เขาน่ารักและเป็นกันเอง ช่วยเหลือทุกอย่าง เป็น 1 วันที่คุ้มมากจริงๆ (หากใครอยากไปทริปแบบ one day trip อย่างนี้บ้างหลังไมค์ถามได้นะคะ)



หลังจากกลับมาจากกินข้าวเรียบร้อย เราก็ขอมาเดินสะพานมอญยามค่ำคืนกันสักหน่อย แวะมากินชาเขียวร้อน และส่ง post card กลับบ้านกันซะหน่อย



เสน่ห์ของสะพานมอญตอนกลางคืน เสน่ห์ที่ใครหลายๆคนอาจจะไม่ได้เจอตอนเช้าเสน่ห์ที่ใครมองไม่ดีจะไม่เจอ "รอยยิ้มจากสะพานมอญ..."



มือใหม่หัดถ่ายดาว ด้วยความที่ไม่ได้เอาขาตั้งกล้องไปและ ที่สังขละก็สว่างมากไปหน่อย ดาวเลยออกมากได้ไม่เยอะนัก เห็นได้น้อยไปซะหน่อย



19.12.58


วันสุดท้ายของการอยู่สังขละบุรี บอกเลยใจไม่อยากกลับ เช้านี้เลยตื่นเช้าเป็นพิเศษเพราะได้เก็บบรรยากาศของสังขละบุรีให้มากที่สุด เราตื่นมาตอนตี 4.30 พร้อมกับเจอหมอกที่ลอยอยู่เหนือผิวน้ำ ลมหนาวที่กระทบตัว ตอนตี 4.30 เป็นอะไรสุดยอด แม่ชอบบอกเราว่า "คนที่ตื่นเช้าย่อมได้เปรียบเสมอ" เราคิดว่าจริงและถูกต้องที่สุด อรุณสวัสดิ์นะจ๊ะสังขละ



"เช้านี้หยกขอรอพระอาทิตย์นะ" คำพูดของเราที่บอกกับเพื่อนก่อนจะแยกจากสมาชิกทั้งหมดมาเพราะเช้านี้ทุกคนจะไปใส่บาตรตอนเช้ากันอีก ไม่มีคำปฎิเสธอะไรนอกจาก "ดูแลตัวเองด้วยเสร็จแล้วโทรหานะ" หลังจากแยกจากสมาชิกทุกคนมา ก็เดินลงจากสะพานมอญไปยังแพข้างล่างเพื่อมารอพระอาทิตย์ ตอนนั้นที่รอมีท้อบ้าง เมื่อยบ้าง เพราะกลัวว่าพระอาทิตย์จะขึ้นสายมากเกินไป



นั่งรอประมาณครึ่งชั่วโมง ก็เริ่มไม่แน่ใจละว่าจะขึ้นให้เห็นมั้ยเพราะเช้านี้หมอกลงที่สังขละค่อนข้างเยอะก็เริ่มกลัวว่าจะไม่ได้เห็นพระอาทิตย์ขึ้นแต่เมื่อเห็นสีส้มเริ่มชัดขึ้นก็เริ่มใจชื้นขึ้นมาแล้ว



พระอาทิตย์เริ่มขึ้นแล้วววว !!!!



หลังจากรอมานาน ก็ได้เห็นพระอาทิตย์สักที คุ้มค่ากับการยืนรอนานมาก ความเมื่อย ความท้อที่มีอยู่กลับหายไปพร้อมกับการจากไปของเวลากลางคืน ถึงเวลาที่พระอาทิตย์จะทำงานสักที



หลังจากถ่ายภาพพระอาทิตย์ขึ้นสมใจอยากแล้วสมาชิกในแก็งค์ก็เริ่มโทรตามว่าถ่ายได้ยัง (โทรมาได้จังหวะจังวะ 555) ก็เลยข้ามสะพานมอญไปหาเพื่อนที่ฝั่งมอญ ระหว่างที่เดินไปฝั่งมอญก็ได้ยินเสียงเด็กๆร้องเพลงกันเสียงดังพร้อมกับเต้นประกอบท่าทางที่น่ารัก มากๆ เด็กมาเปิดหมวกรับกล่องบริจาค "ศูนย์การเรียนบ้านสายรุ้ง" หากใครไปสังขละบุรีแล้วเจอเด็กๆอย่าลืมร่วมบริจาคกันนะคะ



นอกจากเด็กจะมาเปิดหมวกกันแล้วสะพานมอญจะมี แม่ค้า พ่อค้าจะมาขายของกันที่สะพานกันเยอะแยะ ไม่ว่าจะเป็นดอกไม้ หรือไม้กวาด



มุมมองของสะพานมอญจากฝั่งมอญ สวยกันคนละแบบ ไม่ว่ามุมไหนสะพานมอญก็ยังคงสวยไม่เปลี่ยน



หลังจากข้ามมาฝั่งมอญแล้วและเจอสมาชิกทั้งหมดแล้ว ทุกคนเลยบอกแผนที่จะทำวันนี้ก่อนกลับคือนั่งเรือไปเที่ยววัดกลางน้ำ เรียกว่าเป็นจุดที่นักท่องเที่ยวที่มาสังขละบุรีต้องมาเลยก็ว่าได้ หากไม่มาถือว่าพลาด 555 นั่งเรือไปครั้งนี้ไปกับ แพที่เราพักกัน เรือเป็นเรือลำใหญ่นั่งกันไปได้ 7 คน ราคาอยู่ที่ 600 บาท ค่ะ



วัดแรกที่ไปเป็นวัดกลางน้ำชื่อว่า "วัดศรีสุวรรณ" เป็นวัดแรกของสังขละบุรี จะเดินลงไปดูได้ช่วงเดือนเมษายน นะคะ



เจอเจดีย์พุทธคยาก็เลยถ่ายจากมุมไกลๆสวยไปอีกแบบ นั่งเรือมาได้สักพักก็มาวัดที่ 2 "วัดสมเด็จ" ค่ะระหว่างที่กำลังจะเดินขึ้นข้างบน ก็เจอเด็ก 3 คนเลยถ่ายมาฝาก 555



หลังจากสักการะเรียบร้อยแล้วก็พร้อมเดินทางไปวัดสุดท้าย และเป็นการเที่ยวที่สุดท้ายของสังขละบุรี "วัดวังก์วิเวการามเก่า" (วัดใต้น้ำ)



เมื่อเรือเทียบท่าก็มีเด็กผู้ชาย 2 คนวิ่งมาช่วยมัดเรือกับที่ผูกเรือพร้อมกับส่งมือมารับพี่ๆขึ้นฝั่ง และพูดว่า "สนใจให้พวกผมเป็นไกด์พาเที่ยวมั้ยครับ" ทุกคนตอบพร้อมกันว่าสนใจ 555 ก่อนที่น้องจะเป็นไกด์ให้พี่ ต้องรู้จักชื่อกันก่อน เพื่อนๆเลยถามชื่อน้องว่าชื่ออะไร ผมชื่อ "สุชาติครับ" ผม "กุมพายครับ" หลังจากบอกชื่อเรียบร้อยน้องก็เริ่มปฎิบัติหน้าที่การเป็นไกด์ สุชาติพูดขึ้นมาว่าก่อนจะเข้าโบสถ์วัดต้องทำการเอามือแปะที่โบสถ์และทำการขอ 3 ข้อ ข้อแรกคือ การขออนุญาตเข้าไปข้างในโบสถ์ ข้อที่2 และ 3 ขอพรอะไรก็ได้ที่เราปรารถนา หลังจากนั้นถึงจะเข้าโบสถ์ได้



หลังจากทุกคนเข้ามาในโบสถ์กันเรียบร้อย ไกด์ตัวจิ๋วก็เริ่มบรรยายให้ป้าๆเห้ย !!! พี่ๆฟังกัน ว่ากำแพงที่เห็นเคยมีพระพุทธรูป 2500 องค์ประดับอยู่ที่กำแพงแต่เมื่อนานเข้าก็เกิดการหลุดออกมาจากกำแพง



ไกด์น้อยเริ่มทำหน้าที่ต่อ เมื่อก่อนเป็นเต่าแต่ถูกขุดย้ายไปแล้วเลยเอาบาตรเข้ามาแทน หากทำการโยนเหรียญเข้า สิ่งที่อฐิษฐานไว้จะสมหวัง แต่ถ้าหากโยนไม่เข้าจะนำเหรียญบริจาคให้กับวัด ให้โยนเหรียนญได้ไม่เกิน 3 เหรียญ



หลังจากสักการะพระพุทธรูปเสร็จก็เดินออกมาจากตัววัดกันยืนคุยกับ สุชาติและกุมพาย เลยรู้ว่าสุชาติเป็นเด็กมอญ แต่สัญญาชาติไทย เพราะแม่เป็นคนไทยและพ่อเป็นชาวมอญ น้องมีความฝันอยากเป็นช่างภาพขอให้ความฝันน้องเป็นจริงนะ ใครไปวัดใต้น้ำเจอน้อง 2 คนอย่าลืมทักนะคะ น้องเก่งมากๆ


*คนซ้ายคือ "สุชาติ" ส่วนคนขวาคือ "กุมพาย"*



หลังจากบ๊ายบาย สุชาติและกุมพายแล้วก็ได้เวลากลับไปที่พักเพื่อกลับบ้าน เป็นอันปิดทริป 3 วัน 2 คืน ที่สังขละบุรีแบบถาวร

การเที่ยวสังขละบุรีครั้งนี้เหมือนเป็นการชาร์ตแบตให้กับตัวเอง เหมือนเป็นการเติมพลังให้เราพร้อมที่จะทำอะไรได้อีกมากมาย สำหรับเราการรีวิวไม่ใช่แค่การแนะนำสถานที่ท่องเที่ยว แต่เป็นการแชร์ความรู้สึกที่เราได้รับจากคนที่ไม่เคยรู้จักเรา แชร์ความรู้สึกที่เราต้องไปสัมผัสเอาเอง หากช่วงปีใหม่นี้ใครยังคิดไม่ออกว่าจะไปไหนขอแนะนำ สังขละบุรีอาจเป็นทางเลือกหนึ่งให้กับคุณก็ได้นะคะ แล้วทุกคนจะอยากฝากใจไว้ที่สังขละค่ะ...



ขอบคุณทั้งคนไทย ชาวพม่า ชาวมอญ ที่เป็นกันเอง และมีน้ำใจกับเด็กทั้ง 7 คน
ขอบคุณเพื่อนทั้ง 7 คน ที่คอยดูแลกันมาตลอดการเดินทาง (ฟ้า,แก้ม,แตงโม,บี,ยา,พิมพ์)
ขอบคุณทุกอย่างที่เข้ามาทำให้ 3 วัน 2 คืนที่สังขละบุรี มีความสุข
ขอบคุณผู้ที่เข้ามาอ่านรีวิวนี้ทุกท่าน หากใครไปแล้วกลับมาอย่าลืมเอามาเล่าให้ฟังบ้างนะคะ มาแชร์ความรู้สึกกัน

อันนี้เบอร์พี่แม็คนะคะ 082-2339590 ใครสนใจจะเที่ยวพม่าแบบ one day trip ลองโทรสอบถามดูนะคะ

YOKMiSTerL

 วันศุกร์ที่ 5 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559 เวลา 22.52 น.

ความคิดเห็น