หยกตั๋วบุฟเฟต์ของ AirAsia เรายังใช้ได้ไม่เยอะเลย เราไปไหนอีกดี คำพูดของแม่ที่พูดกับเราหลังจากกลับมาจากทริปไต้หวัน จนสุดท้ายแม่นี้ละที่หาช่วงเวลาที่เหมาะจนสามารถใช้ตั๋วบุฟเฟต์ของ AirAsia บินตรงมาถึง ฟุกุโอกะ แต่ แต่ แต่ วันที่จองมายาวนานถึง 8 วันด้วยกัน 5555 คนทำแพลนอย่างเราก็ต้องปาดเหงื่อกันเลยทีเดียว โดยช่วงเวลาที่เดินทาง จะอยู่ช่วง 11-18 ตค. 66 โดยการเดินทางในฟุกุโอกะครั้งนี้เราซื้อ JR North-Kyushu แบบ 5 วันผ่านทาง Klook นะคะใครมาเที่ยวญี่ปุ่นนานๆแนะนำเลยวางแพลนในการใช้ดีดีนะคะ


11 October 2023: Bangkok-Fukuokaเรามาถึงสนามบิน Fukuoka ในช่วงตอนเช้า โดยวางแพลนไว้ว่าพอถึงก็ลุยเที่ยวทันทีโดยวันแรกเราจะนอนที่ Fukuoka ก่อน แล้วค่อยออกเดินทางต่อไปตามจังหวัดต่างๆของภูมิภาคคิวซู ก่อนแรกเราก็เอากระเป๋าไปฝากที่ที่เราพักที่ฟุกุโอกะก่อนเลยค่ะ แล้วก็ลุยยยย~ โดยแพลนวันแรกเราไปที่ Dazaifu ก่อนเลย โดยที่ดาไซฟุ เราจะไม่สามารถใช้ JR ได้นะคะ ควรซื้อ One day pass Fukuoka + Dazaifu ก่อนได้ที่ Information ที่อยู่ตรงข้ามที่แลกตั๋ว JR ที่สถานี Hakata ได้เลยนะคะ ตอนนี้ราคาขึ้นนะคะคนละ 2,000¥ แต่เชื่อเราเถอะคุ้มมากแนะนำค่ะเพราะเราสามารถใช้กับ subway ของ Fukuoka ได้อีกด้วยใช้งานก็ง่ายๆแค่โชว์ให้เจ้าหน้าที่สถานีดูก็สามารถใช้ได้ ลืมบอกไปตอนใช้งานอย่าลืมขูดตามวันที่ใช้ เดือน ปีด้วยน๊า


Dazaifu Tenmangu


ศาลเจ้าดาไซฟุ เท็นมันกุที่นี่ถือว่าดังเรื่องการขอพรเรื่องการเรียน เด็กๆที่ญี่ปุ่นมักจะมาขอพรที่นี่กันเยอะมากนอกจากนี้ศาลเจ้าจะมีกระทิงอยู่หน้าวัดแนะนำให้ไปลูบบริเวณหัวคนญี่ปุ่นเชื่อว่า "จะโชคดี" ข้อแนะนำ!! ระหว่างเดินข้ามสะพานห้ามเดินสะดุดเพราะมีความเช่ือว่าชีวิตเราจะไม่ราบรื่น และจะสะดุดไปตลอดแนะนำว่าให้เดินกันแบบระวังด้วยนะคะ นอกจากนี้หลังจากข้ามสะพานมาแล้วตอนกลับไม่ควรเดินกลับไปทางเดิม จะมีอีกทางให้เราเดินกลับมาข้างหน้านะคะ

และใช่ค่ะเราไปในช่วงที่ตัวศาลเจ้า Dazaifu ปิดปรับปรุง 5555

เราชอบญี่ปุ่นตรงที่บ้านเขามักจะอนุรักษ์ต้นไม้ใหญ่ๆ อย่างต้นนี้ก็อยู่คู่กับศาลเจ้าน่าจะใช้คนโอบถึง 4-5 คนเลยสวยมากกกกก

Miko (มิโกะ) คือผู้หญิงที่ทำงานในศาลเจ้าศาสนาชินโต ซึ่งมีมาแต่โบราณแล้วนะคะ เคยอ่านเจอมาแต่พอได้มาเห็นจริงๆ ชุดเขาสวยมากกกก

นอกจากการมาขอพรที่ศาลเจ้าดาไซฟุแล้ว ระหว่างที่เดินเข้าศาลเจ้าจะมีถนนคนเดิน (ของกิน) ยาวๆ แนะนำให้ไปก่อน 13.00 นะคะเพราะของกินร้านอร่อยๆจะหมดเร็วมากกกก

การเดินทาง: Tenjin exit 6 > Nishitetsu Railway (Omuta line: มีหลายแบบนะคะแนะนำให้นั่งแบบ Express) > เปลี่ยนสายที่สถานี Futsukaichi > DazaifuTenkai Inari Shrineศาลเจ้าเท็นไค เป็นศาลเจ้าที่บูชาเทพอินาริ ที่เก่าแก่ที่สุดในเกาะคิวซูเลยนะคะ ที่นี่สามารถเดินมาทางข้างหลังศาลเจ้าดาไซฟุได้เลย เดินตามป้ายมาได้เลยค่ะ


Kamado Shrine


ศาลเจ้าคามาโดะ เป็นศาลเจ้าที่เราอยากมาที่สุดในดาไซฟุค่ะ เพราะที่นี้สร้างมาถึง 1,350 ปีแล้ว ศาลเจ้านี้ดังมากในการขอพรเรื่องความรัก เพราะมีเทพเจ้าเอนมุสุบิ เทพเจ้าแห่งการสร้างสัมพันธ์อันดีงาม ตอนเราไปที่นี้คนไม่ค่อยเยอะเลยค่ะ พอได้เห็นด้วยตาตัวเองคือ สวยมาก สวยจนขนลุก สวยจนติดตาเราตอนนี้อยู่เลย ถือว่าเป็นศาลเจ้าอันดับต้นๆที่เราให้คะแนนความสวยและความขลังเลย นอกจากนี้ในการ์ตูนอย่างดาบพิฆาตอสูรก็ได้รับแรงบันดาลใจจากศาลเจ้านี้อีกด้วยเพราะคนแต่งเป็นคนฟุกุโอกะ

การเดินทาง: รถบัสป้าย Dazaifu Tenmangu (ป้ายอยู่ตรง Fukuoka Bank) > ลงป้าย Uchiyama ป้ายสุดท้ายเลยนะคะ ปล.ไม่สามารถใช้ one day pass ได้นะคะแนะนำให้ใช้ IC card นะคะKushida 


Shrine (ศาลเจ้าคุชิดะ)


ศาลเจ้าชื่อดังของเมืองฟุกุโอกะ มีอายุถึง 1,200 ปี ศาลเจ้านี้ดังเรื่องการขอพรการเงินและธุรกิจ ใครไปฟุกุโอกะก็ต้องแวะไปค่ะ ถ้าไม่ไปก็เหมือนมาไม่ถึงฟุกุโอกะ

การเดินทาง: สถานี Kushida Shrine exit 3

12 October 2023: Fukuoka-Kumamoto

เช้านี้เราจองตั๋ว Shinkansen ที่วิ่งจาก Hakata มา Kumamoto แบบไวจนหูดับหูอือไปเลยแค่ใช้เวลาไม่ถึง 30 นาทีด้วยซ้ำ โดยเราใช้แค่ JR ใบเดียวเลยและมีแพลนว่าจะนอนที่นี่ 1 คืนเพื่อตอนเช้าจะไป Mt. Aso ต่อ โดยหลังจากถึงคุมาโมโตะแล้วก็ตรงไปฝากกระเป๋าและไปซื้อ one day pass ของ Tram ที่วิ่งไปทั่วของ Kumamoto เลย ทุกคนเราจะบอกว่าใครมาที่นี่แนะนำต้องนั่งนะมันน่ารักใจเจ็บมากกก สีของแทรมแต่ละคันก็ไม่เหมือนกันเส้นทางของแทรมที่เรานั่งก็ไม่สับสนด้วย ต้องไปตำนะคะ ปล.บัตร one day pass สามารถหาซื้อได้ที่ information ของสถานีได้เลยนะคะเจ้าหน้าที่จะแนะนำดีมากค่ะ


Kumamoto Castle


ปราสาทคุมาโมโตะ ที่ที่เวลาใครมาเที่ยวเมืองนี้ไม่มาปราสาทคุมาโมโตะก็คงไม่ได้ ที่นี่มีค่าเข้านะคะอยู่ที่ 800¥ แต่ แต่ แต่ ถ้าเราถือบัตร one day pass Tram เราสามารถนำมาลดเหลือเพียง 640¥ ประหยัดไปอีกค่ะ "ปราสาทคุมาโมโตะเคยเสียหายจากแผ่นดินไหวเมื่อปี 2016" ทำให้ตัวปราสาทได้รับความเสียหายอย่างหนักจนต้องใช้เวลาในการซ่อมแซมถึง 5 ปี แต่ที่สำคัญกว่านั้นญี่ปุ่นทำการซ่อมแซมปราสาทด้วยวิธีการเรียงหินทีละก้อนให้กลับเข้าไปเหมือนก่อนที่จะเกิดแผ่นดินไหว พอเราได้อ่านเรื่องนี้บวกกับได้เห็นของจริงตรงหน้ามันก็อดทึ่งไม่ได้เพราะหินทั้งใหญ่และน่าจะหนักมาก เราเข้าใจเลยว่ามันคือประวัติศาสตร์ของเขาจริงๆ

ข้างในมีพิพิธภัณฑ์ให้เขาชมด้วยนะคะ ที่ญี่ปุ่นเขาทำพิพิธภัณฑ์ดีมาก ใครว่างแวะไปดูกันนะคะ นอกจากนี้ถ้าเราเดินไปชั้นที่ 6 ของปราสาทจะได้เห็นวิว 360 องศาของเมืองคุมาโมโตะด้วย รวมถึงภูเขาไฟ Aso ด้วยค่ะ

การเดินทาง: นั่ง Tram No. 10 Kumamoto Castle/ City Hall 


Sakurano-baba Josaien


แหล่งรวมของกินก่อนจะขึ้นไปปราสาทคุมาโมโตะ ของกินเยอะมาก แหล่งละลายทรัพย์ได้เลยค่ะ มีทั้งของคาวและของหวาน ใครไปที่นี่แนะนำ croquette เนื้อม้าค่ะ และไอดิมชาเขียวอร่อยมากค่ะอร่อยแบบแสงออกปากอีกแล้ว 555 รวมถึงขนมรูป kumamon ซึ่งเป็น moscot ของจังหวัดคุมาโมโตะโดยเฉพาะไส้ถั่วแดงอร่อยจริงค่ะ

ลืมบอกไปช่วงนี้ภูมิภาคคิวซูเริ่มหนาวแล้วนะคะยิ่งตกเย็นคือหนาวมากเคยเช็คอยู่วันหนึ่งอากาศอยู่ที่ 14 องศาค่ะ ใครไปช่วงนี้แนะนำเสื้อผ้าหนาๆหน่อยนะคะ


Sunroad Shinshigai Road


ย่านช้อปปิ้งของคุมาโมโตะที่นี่ของกับร้านค้าอาจจะไม่เยอะมาก แต่ที่นี่มีร้านขนมที่อร่อยมากค่ะ ชื่อร้าน SWISS เป็นสวรรค์ของคนรักขนมหวานอย่างเรามาก ราคาไม่แรงมากด้วย คุ้มกับเงินที่เสียไปมาก อยากกลับไปกินอีกเลยยยย

การเดินทาง: นั่ง Tram No. 11 Torichosuji
ระหว่างทางที่เรากลับมาที่พักเป็นจังหวะที่รถ Tram ที่ประดับด้วยต้น Christmas ออกมาวิ่งพอดีเลยค่ะเหมือนของขวัญให้คนที่เดินผ่านไปผ่านมา น่ารักมากๆเลยค่ะ ใครมาเที่ยวที่คุมาโมโตะอย่าลืมแวะไปดูนะคะ เขาจะวิ่งช่วงประมาณ 20.00-21.00 ไม่ชัวร์เรื่องเวลาเพราะเราออกมาแล้วเจอพอดี

ใครหลายคนมักจะชอบบอกว่า Kumamoto ไม่ค่อยมีอะไรเลย แต่เรากลับชอบเมืองนี้มาก อาจจะเพราะคุมาโมโตะไม่วุ่นนวายเท่ากับเมืองอื่นๆ เราไม่ต้องแย่งกันกินแย่งกันใช้ บรรยากาศของเมือง คน ก็น่ารักมากค่ะสำหรับเราคุมาโมโตะเป็นเมืองที่คิดว่าถ้ามีโอกาสก็อยากกลับไปอีกครั้ง

13 October 2023: Kumamoto-Mt. Aso
วันนี้เราต้องรีบตื่นเช้ามากเพื่อจะไปให้ทันรถไฟ Local เพราะเราจอง Aso boy ไม่ทันอดนั่งเลย TT เลยต้องไปนั่งรถไฟแบบ Local train แทนโดยวิธีการนั่งง่ายมากเลยค่ะ เราก็เช็คเวลาในเว็บ JR จะบอกเวลาและสถานีที่เราจะต่อค่ะ ง่ายมากแต่ต้องวางแผนดีดีนะคะ


หลังจากที่เราถึงสถานีแล้วก็ทำการฝากกระเป๋าเพราะวันนี้เราจะย้ายไปนอน Oita หลังจากไปเที่ยว Mt. Aso แล้ว หลังจากฝากกระเป๋าเสร็จก็รีบออกมาจองรอบรถบัสที่เที่ยวใน Mt. Aso ค่ะ โดยเดินออกจากสถานีแล้วเลี้ยวขวาก็จะถึงเลย ตอนเราไปมีเจ้าหน้าที่ช่วยจองตั๋วให้พอดีเลยทันรถบัสรอบแรกที่ขึ้นภูเขาไฟเลยนะคะ ใครจะไปภูเขาไฟ Aso แนะนำเช็ครอบรถบัสดีๆนะคะ ราคาที่เราซื้อคือแบบเหมานะคะเราจะขึ้นลงกี่รอบก็ได้ ราคาจะอยู่ที่ประมาณ 1,500¥ ค่ะแต่ราคานี้จะไม่รวมกับตั๋วรถบัสที่ต้องขึ้นปล่องภูเขาไฟ Aso นะคะราคาอยู่ที่ 600¥ เราเลยพาแม่กับป้าเดินลงจากปล่องภูเขาไฟไป Aso sanjyo terminal ซะเลยค่ะ ไม่ไกลนะคะเดินลงอย่างเดียวเลย แถมวิวระหว่างเดินลงก็สวยมากๆเลยค่ะ
การเดินทาง: JR (Hohi Main Line) Kumamoto > Higoozu station > Aso station


Mt. Aso




ภูเขาไฟ Aso ภูเขาไฟที่สูงที่สุดในโลกที่ยังคงคุกรุ่นอยู่ ที่นี่ก่อนมาแนะนำให้เช็คสภาพปล่องภูเขาไฟก่อนนะคะว่าปล่องเปิดให้เข้าชมมั้ย จะได้ไม่เสียเวลาเรานะคะ วันนี้ถือว่าเราโชคดีมากเพราะวันนี้นอกจากปล่องภูเขาไฟเข้าได้แล้วสัญญาณไฟที่บอกถึงความปลอดภัยต่อระบบทางเดินหายใจยังเป็นสีฟ้าอีกด้วย ทำให้เราเห็นปล่องได้ชัดและวันที่เราไปท้องฟ้าก็สวยมากเลยค่ะ


การเดินทาง: รถบัส Aso station > Aso sanjyo terminal > บัสขึ้นไป Crater จ่ายเพิ่ม 600¥ 



Kusasenri Volcano Museum



จุดชมวิวคุซะเซนริเป็นจุดชมวิวที่สวยมาก โดยจะเป็นทุ่งหญ้ากว้างมากเลยค่ะ บริเวณทุ่งหญ้าก็จะมีม้าให้ขี่ชมรอบๆ ทุ่งหญ้าได้นะคะ นอกจากชมวิวทุ่งหญ้าแล้วที่นี่ยังมีพิพิธภัณฑ์ให้เข้าชมด้วยนะคะ หรือใครที่สายกินที่นี่ก็มีร้านอาหารเนื้อม้าที่สามารถเข้าไปกินได้นะคะเพราะเขาดังมากเรื่องเนื้อม้า


ปล.นมวัวที่ได้จากวัว Aso อร่อยมากเลยค่ะ อร่อยจนแม่กับป้านี้เขย่าให้หมดแบบจริงจังเลยค่ะ 5555


การเดินทาง: รถบัส Aso sanjyo terminal > Kusasenri Volcano Museum


หลังจากลงมาจาก Mt. Aso เราก็ทำการรอรถไฟ Kyushu Odan Tokkyu 3 รอบ 16.13 และจะถึง Oita station ตอน 17.57


อันนี้เป็นครัวซองค์ชื่อดัง II Forno del Mignon ซึ่งร้านแนะนำให้กิน Mentaiko อร่อยจริงค่ะรสชาติจะออกเค็ม มันๆ อร่อยค่ะ

14 October 2023: Oita-Usa
เช้านี้แพ็คเสื้อผ้าใส่กระเป๋าอีกแล้วพร้อมเดินทางต่อ วันนี้มีแพลนออกเดินทางแต่เช้าเช่นเดิมค่ะเช้าจนแม่และป้าเริ่มขี้เกียจจะตื่นกันแล้ว 5555 หลายๆคนเมื่อพูดถึงจังหวัด Oita ก็ต้องแวะไป Beppu ใช่มั้ยคะ แต่เราจะไม่แวะไปที่ Beppu แต่จะแวะไปที่ Usa แทน ที่ที่จะไปวันนี้คือศาลเจ้าอุสะ (Usa Jingu) ค่ะลุยยยยย!!


Usa Jingu



ศาลเจ้าอุสะเป็นศาลเจ้าอารามหลวงชั้นเอกของญี่ปุ่นเลยนะคะ สร้างขึ้นเพื่อบูชาเทพเจ้าฮะจิมังหรือเทพเจ้าสงคราม สร้างในช่วงศตวรรษที่ 8 (คศ.701-800) ที่นี่เป็นที่นับถือของคนญี่ปุ่นมากเลยนะคะ เพราะคนญี่ปุ่นจะคำนับทุกประตูที่เป็นทางเข้าไปในศาลเจ้าเพราะฉะนั้นใครแวะไปต้องเบาเสียงและสำรวมนะคะ นอกจากนี้ที่นี่ยังเป็นสถานที่ทำพิธีกรรมศักดิ์ของราชวงศ์ญี่ปุ่นด้วยนะคะ


และใช่ค่ะตอนเราไปวิหารหลักที่ได้ขึ้นเป็นมรดกทางวัฒนธรรมเขาปิดปรับปรุง TT แต่ไม่เป็นไรเพราะวัดที่นี่สวยมาก หวังว่าครั้งหน้าเราจะได้กลับไปในตอนที่เขาปรับปรุงเสร็จแล้ว เราจะบอกวิธีการสักการะศาลเจ้าอุสะนะคะ อย่างแรก ให้โยนเหรียญลงกล่องและโค้ง 2 ครั้ง ตบมือ 4 ครั้งขอพร และโค้ง 1 ครั้ง เป็นอันเสร็จการสักการะค่ะ


ที่นี้มีต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์ที่อยู่มากับศาลเจ้าอุสะเลยค่ะ ใครมาที่นี้อยากลืมแวะไปขอพรได้ มีคนมาขอพรแล้วประสบความสำเร็จมาหลายคนแล้วค่ะทั้งนักแสดงและนักกีฬา


หลังจากสักการะศาลเจ้าแล้วออกมาก็จะมีร้านรวงต่างๆให้เราได้แวะซื้อหรือซื้อของกิน เราแม่และป้าเลยพากันไปแวะกินพิซซ่าญี่ปุ่นที่คุณลุงกับคุณป้าช่วยกันทำ บอกเลยอร่อยยมากกกก อร่อยแบบแสงออกจากปาก (อีกแล้ว) ปล.ไอดิมรสองุ่นอร่อยมากใครไปศาลเจ้าอุสะอย่าลืมแวะไปกินกันได้นะคะ นึกแล้วก็อยากกินอีก


การเดินทาง: Oita station (นั่ง sonic) > Usa station *ทางเดียวกันกับการไป Beppu แต่นั่งเลยไปอีกประมาณ 1 สถานีค่ะ > ต่อรถบัส Usa station > ลงป้าย Usahachiman ไม่สามารถใช้ IC card จ่ายได้นะคะใช้เงินสดเท่านั้น ราคาเที่ยวละ 240¥
ป้ายตรงสถานี Usa นะคะ


หลังจากไปศาลเจ้าอุสะมาแล้วเราก็ทำการเดินทางต่อไปนอนที่ Yufuin โดยครั้งนี้จะพาไปนอนแบบเรียวกังกันนะคะ การเดินทางครั้งนี้เราเดินทางด้วยรถไฟ Yufuin no mori 4 รอบ 14.56 คนไม่เยอะเลยอาจจะเพราะเราสวนทางวิ่งจาก Oita ไป yufuin ด้วยเลยทำให้ไม่มีคนเลยค่ะ
ในระหว่างรอรถไฟ Yufuin no mori 4 อยู่ดีดีก็มีรถไฟขบวนสีดำๆเข้ามาเทียบที่ชานชาลา เขาคือรถไฟ Aso Boy ที่เราพูดไปก่อนหน้าว่าเราจองไม่ทัน น้องน่ารักมากเลยถึงไม่ได้นั่งแต่ได้เห็นก็ยังดี มีเด็กญี่ปุ่นที่อายุไม่น่าเกิน 7 ขวบวิ่งมาดู Aso Boy เทียบชานชาลาด้วยสายตาที่เป็นประกายพร้อมกับนั่งย่องๆตรงข้างๆที่เรายื่น น้องดูตื่นเต้นและดีใจที่ได้เห็นรถไฟน่ารักมากกเลยค่ะ


*เสียงประกาศภาษาญี่ปุ่นดังขึ้น* มาแล้วค่ะ Yufuin no mori




Yufuin




ในที่สุดก็ถึง Yufuin แล้วววเย้ วันนี้เราไปนอนที่ Yufuin Onsen Ryokan Jinnouchi ค่ะ บอกเลยที่พักน่ารักมากกกกและราคาเรียวกังที่ไม่ค่อยแพงเท่าไหร่ห้องที่เราจองไปวิวคือหลักล้านมากค่ะเพราะเราจะสามารถเห็นรถไฟวิ่งผ่านตรงหน้าต่างห้องพักเลย นอกจากนี้หลังที่พักยังเห็นวิวภูเขาของ Yufuin อีกด้วย

15 October 2023: Yufuin-Fukuoka
เช้านี้ที่ Yufuin บอกเลยค่ะว่า หนาวววววว คือคุยกับแม่ละป้าว่าเช้านี้จะเดินไป Kinrin Lake กันพอพากันเดินออกมาจากที่พักนี้แทบจะอยากกลับไปซุกกับที่นอนเลยอุณหภูมิอยู่ที่ 14 องศาก็ไม่เท่าไหร่ใช่มั้ยคะ แต่ก็มันโหดคือมันมีลมมาด้วยโหเท้านี้แทบจะตะคิวกินเลยค่ะ 555 แต่ แต่ แต่ ตอนเช้าวิวคือดีมากกกก ตื่นมาตอนเช้าเถอะคุ้มค่ามากเลยนะคะ คนไม่เยอะ และวิวตอนพระอาทิตย์กระทบกับภูเขามันสวยมากเลยค่ะ หลายคนไม่นอนที่ yufuin ใช้วิธีแบบเช้าไปเย็นกลับ แต่เราอยากแนะนำให้นอนนะคะจะได้บรรยากาศไปอีกแบบเลยค่ะ ภาพต่อไปนี้คือเดินมาจากที่พักก็เจอเลยนะคะ




Kinrin Lake




ทะเลสาบคิริน ตอนเช้าคือสวยมากเลยค่ะ สวยแบบเงียบสงบ ตอนเช้าคนจะยังไม่เยอะมาก เรากับแม่และป้าไปนั่งชมวิวชิวๆได้เลยค่ะ แนะนำนะคะไปเที่ยวที่ญี่ปุ่นควรไปแต่เช้าเราจะไม่ค่อยเจอคนเยอะเท่าไหร่และวิวตอนเช้าก็จะสวยมากๆด้วยค่ะ ปล.ช่วงนี้ใบไม้เริ่มเปลี่ยนสีแล้วคิดว่าปลายเดือนน่าจะช่วงพีคของที่นี่เลยค่ะ


ระหว่างทางเดินกลับไปที่พักวิวสวยไปตลอดทางเลยค่ะ


ที่พักที่นี่จะ check out ตอน 10.00 นะคะค่อนข้างเร็วเลยก็เลยต้องเอากระเป๋าไปฝากที่ล็อคเกอร์ที่สถานีเพื่อเราจะไปเดินเล่นในถนนคนเดินต่อ แต่ในระหว่างที่กำลังจะออกจากที่พักก็มีสิ่งมีชีวิตเดินพุงติดพื้นมาส่งเราออกจากที่พัก เป็นแมวของเจ้าของที่พัก น่ารักมากกกกกกก




Yunotsubo Street




ถนนคนเดินที่ขึ้นชื่อมากที่ Yufuin และคนก็เยอะมากกกกเช่นกัน เยอะแบบมากกกกกกกกกก ไปถึงเราก็แวะไปร้าน B speak ก่อนเลยอย่างที่รู้ว่าร้านโรลที่ไป Yufuin ต้องไปลองกินแต่ถ้าซื้อที่นี้จะได้ขนาดใหญ่เลยนะคะหากอยากกินไซร์เล็กก็สามารถซื้อที่รถไฟ Yufuin no mori ได้นะคะหรือจองล่วงหน้าที่ร้านก็ได้แต่จะได้กินในอีกวันถัดไป แต่ถ้ามีสมาชิกไปเที่ยวด้วยเยอะแนะนำซื้อแบบใหญ๋และแบ่งกันกินเลยค่ะ ยังไงก็หมดทีแรกเราก็นึกว่าจะกินไม่หมดเพราะใหญ่มากแต่พอนั่งกินเท่านั้นละหมดค่ะ หมดแบบไม่เหลือเลย 5555




Totoro Ghibli House



แหล่งละลายทรัพย์ที่แท้จริงค่ะ ใครที่ชอบตัวละครของ Ghibli ก็จะล้มละลายมีหมื่นเยนก็หมดบอกเลย 55555




Yufuin floral Village



หมู่บ้านที่มีของละลายทรัพย์อีกเช่นกันค่ะ เขาไปเดินระวังกระเป๋าเงินกันด้วย ระวังขโมยหรอ? ไม่ใช่ ระวังเงินมันไหลออกจากกระเป๋าตังค์ค่ะ มีแต่ของน่ารักเต็มไปหมด อันนู่นก็อยากได้ อันนี้ก็อยากได้


หลังจากเดินเล่นเสร็จแล้วก็ถึงเวลาเดินไปรอรถไฟ Yufuin no mori รอบ 17.11 เพื่อกลับมานอนที่ Fukuoka ระหว่างรอรถไฟก็ไปเดินเล่นรอบหมู่บ้านรอเวลาก็จะได้ภาพสวยหลายๆมุมเลยนะคะ


เสียงประกาศจากเจ้าหน้าที่สถานีว่ารถไฟมาแล้ว ก็กระโดดขึ้นรถไฟกันเลยค่าาา


ตอนก่อนจะถึงเจ้าหน้าที่จะแจกลูกอมให้ผู้โดยสารทุกคนเลยน่ารักมากเลย

16 October 2023: Nagasaki
หลังจากเมื่อวานที่กลับเข้ามาที่ Fukuoka แล้ว เช้านี้ก็ตื่นเช้าเพื่อเดินทางไปนางาซากิกันค่ะ เพราะเรามีแพลนนั่งรถไฟขบวนพิเศษที่จองยากมากพอๆกับ Yufuin no mori เลยคือ Two stars 4047 ค่ะทำให้ต้องมานางาซากิแต่เช้าเพื่อจะได้มีเวลาเที่ยวเยอะๆหน่อย เอาจริงนางาซากิเป็นจังหวัดที่เราอยากมามากที่สุด เพราะที่นี่คือที่สุดท้ายที่ทำให้สงครามโลกครั้งที่ 2 จบลงเพราะการทิ้งระเบิดปรมาณูที่นางาซากิ พอได้มีโอกาสไปที่นี่จริงๆก็ตื่นเต้นที่จะได้ไปในสถานที่จริงในประวัติศาสตร์ วันนี้เป็นวันสุดท้ายของ JR ที่เราซื้อมาเพราะฉะนั้นเราต้องใช้ให้คุ้มสักหน่อยค่ะ วิธีมาที่นี้ก็ง่ายมากนั่ง Kamome Shinkansen ตรงถึง Nagasaki เลยเพียงแต่เราต้องไปเปลี่ยนขบวนที่ Takeo-onsen เพื่อนั่ง Shinkansen ตรงเข้าไปนางาซากิค่ะ ตอนนั่ง Shinkansen ที่คุมาโมโตะว่าหูดับแล้ว มานางาซากิคือหูดับมากกว่าไปเลยค่ะ ไวแบบหูอือจนถึงนางาซากิเลยค่ะ 5555


วิธีการเดินทางในนางาซากิก็ง่ายมากค่ะ เราเดินทางด้วยการนั่ง Tram เหมือนคุมาโมโตะเลย แต่ต้องเช็คสายให้ดีดีนะคะ ที่นี้แทรมจะสับสนนิดหน่อยแต่ไม่ถึงกับหลงนะ แต่ต้องดูสายที่จะนั่งดีดีนะ เราสามารถซื้อ one day pass Tram ได้ที่ information ที่สถานีรถไฟเหมือนเดิมนะคะ ราคาอยู่ที่คนละ 600¥ ต่อคนนะคะ บอกเลยคุ้มค่ะแนะนำให้ซื้อนะคะนั่งแค่ 5 รอบก็คุ้มแล้วค่ะ




Nagasaki Peace Park




สวนสันติภาพนางาซากิ เป็นที่ที่สงบมาก หรือเราไปแต่เช้าก็ไม่รู้ค่ะคือไม่มีคนเลย คือสงบและเงียบมาก ภาพแรกที่เห็นเลยคือน้ำพุสันติภาพ ถ้าทุกคนสังเกตน้ำพุจะเป็นรูปร่างคล้ายนกพิราบที่สื่อถึงสันติภาพ นอกจากนี้ที่เขาสร้างน้ำพุเพราะเมื่อสมัยที่หลังจากนางาซากิโดนระเบิดลงประชาชนขาดแคลนน้ำสะอาดมากเขาเลยสร้างอนุสรณ์น้ำพุขึ้นมาเพื่อระลึกถึงผู้ที่จากไป เดินตรงมาเรื่อยๆก็จะเจอกับรูปปั้นผู้ชายที่มีมือหนึ่งชี้ขึ้นฟ้า และอีกมือผายมือขนานพื้นดินมีความหมายว่า ชี้ขึ้นฟ้า = ภัยจากบนท้องฟ้า (ระเบิดปรมณู) ผายมือขนานพื้นดิน = สันติภาพ


การเดินทาง: นั่ง Tram No. 19 Peace Park


Hypocenter Park




เวลา 11.02 น. ของวันที่ 9 สิงหาคม 1945
Fatman ระเบิดปรมาณูเชื้อเพลิงพลูโตเนียม-239 ของกองทัพสหรัฐฯ
ทิ้งระเบิดตรงจุดนี้ที่ความสูง 500 เมตรจากระดับพื้นดินโดย 1 ใน 3
ของนางาซากิพังย่อยยับ
พอเราได้ไปยื่นในสถานที่จริงมันทำให้เราขนลุกเลยค่ะ มันเหมือนเราได้มายื่นอยู่ในสถานที่จริง ประวัติศาสตร์ที่เป็นเครื่องเตือนใจให้กับคนที่นี้ ดีใจและคุ้มค่าแล้วที่ได้มาเยือนค่ะ




Nagasaki Atomic Bomb Museum




พิพิธภัณฑ์นางาซากิ เราชอบพิพิธภัณฑ์ที่นี้มากค่ะเพราะญี่ปุ่นทำพิพิธภัณฑ์ดีมาก เขาจะเล่าเรื่องเป็นลำดับตั้งแต่ก่อนเริ่มสงครามนางาซากิเคยเป็นแบบไหนไปจนถึงการทิ้งของระเบิดและผลกระทบของประชาชนจากระเบิดไปจนการจบลงของสงครามโลกครั้งที่ 2 หลังจากที่ได้ดูพิพิธภัณฑ์จบลงทำให้เราได้ตกตะกอนความคิดได้ว่า สงครามไม่เคยให้อะไรกับใครนอกจากชีวิตของประชาชนที่เสียไป ความขัดแย้งของสองประเทศแต่คนที่รับผลกระทบคือประชาชนทั้งสองฝ่ายที่เขาไม่ได้รู้เรื่องด้วย พวกเราก็ได้แต่หวังในโลกใบนี้มีแต่คำว่า Peace = สันติภาพ


ค่าเข้าพิพิธภัณฑ์ที่นี้ถูกมากค่ะจะอยู่ที่คนละ 200¥ เองค่ะ


“นาฬิกา Wall Clock ที่หยุดเวลาไว้ที่ 11.02 น.”


การเดินทาง: เดินมาจาก Hypocenter Park ได้เลย หรือนั่ง Tram ลง No. 20 Atomic Bomb Museum


Meganebashi Brigde




สะพาน Meganebashi หรือสะพานแว่นตาเป็นแลนด์มาร์คของนางาซากิเลยค่ะ โดยสะพานสร้างขึ้นปี ค.ศ. 1634 ว่ากันว่าเป็นสะพานโค้งหินที่เก่าแก่ที่สุดในญี่ปุ่นเลยค่ะ คือของจริงสวยมากใครมานางาซากิต้องแวะมานะคะ


การเดินทาง: Tram No. 37 Meganebashi Bridge


Nagasaki Shinchi Chinatown




ไซน่าทาวน์ของนางาซากิ สมัยก่อนนางาซากิเป็นเมืองที่มีการติดต่อการค้ากับชาวจีน โดยที่นี้จะมีความยาวอยู่ที่ 250 ม. ระหว่างทางก็จะมีของกินตลอดทางหลายคนแนะนำให้มากินจัมปงที่นี้นะคะเขาบอกว่าอร่อยมากแต่เราไม่ได้แวะกินเพราะตอนไปถึงร้านบ้างร้านก็ยังไม่เปิดเลยก็เลยไปกิน Pork Bun แทน อร่อยมากกกเขาเป็นหมูสามชั้นคล้ายๆ ที่ไต้หวันเลย อร่อยค่ะใครไปต้องแวะไปกินนะคะ



การเดินทาง: Tram No. 31 Shinchi Chinatown Station


Mt. Nabekanmuri




จุดชมวิวบนภูเขานาเบะคันมูริ เป็นอีกหนึ่งที่ของนางาซากิที่คนนิยมมา ที่นี้สามารถมองเห็นวิวได้ 360 องศาเลยนะคะนอกจากนี้ยังเห็นสะพานแขวน Megamino Bridge ที่มีความยาวอันดับ 7 ของโลก นอกจากนี้หากฟ้าโปร่งก็สามารถมองเห็นเกาะร้างฮะจิมะที่ดังมากเรื่องความลี้ลับ ที่หนังหลายเรื่องชอบไปถ่ายทำกัน


การเดินทาง: Tram No. 51 Ishibashi เดินประมาณ 500 ม. แล้วขึ้นลิฟต์ขึ้นไปค่ะ

หลังจากลงมาจากภูเขานาเบะคันมูริแล้วเราก็ต้องรีบกลับมาที่ Nagasaki station เพื่อไปนั่งพระเอกของเราในวันนี้คือ Two stars 4047 ซึ่งพระเอกของเราจะวิ่งแค่ 2 รอบต่อวันซึ่งเราจองรอบเช้าไม่ทันเลยต้องมาจองรอบบ่ายแทน โดยที่ Two stars จะวิ่งเรียบทะเลระหว่างจังหวัดนางาซากิและซากะซึ่งพระเอกของเราเป็นรถไฟแบบ D&S ย่อมาจาก Design and Story เหมือนกับ Yufuin no mori เลยค่ะ โดยเราต้องจองมาล่วงหน้านะคะเพราะพระเอกเราเต็มเร็วมากกกกกกแบบมากๆค่ะ ป่ะเราไปนั่งพระเอกเรากันค่ะ ปล.ช่วงนี้ขนม Castella cake ของนางาซากิยี่ห้อ Fukusaya กำลังทำกล่องแบบฤดูใบไม้เปลี่ยนสีมาน่ารักมากเลยค่ะ ถ้าใครจะมาซื้อของฝากแนะนำเลยนะคะน่ารักมากๆ และอร่อยด้วยสามารถซื้อได้ที่สถานี Nagasaki ได้เลยนะคะ


เจ้าหน้าสถานีประกาศ Two stars 4047 พร้อมออกเดินทางแล้ว โดยการนั่งพระเอกของเรารถไฟจะหยุดให้ลงไปถ่ายรูปและซื้อของประมาณ 3 สถานีค่ะ หากถึงเวลาที่ขึ้นรถไฟจะมีพี่พนักงานมาคอยสั่นกระดิ่งเตือนให้ขึ้นรถไฟเพื่อไปต่อ น่ารักมากค่ะ


หลังจากที่ออกจากสถานีนางาซากิมาได้สักพักรถไฟก็เริ่มชะลอตัวเพื่อให้เราถ่ายรูปรถไฟที่วิ่งขนานไปกับทะเลคือทุกคนมันสวยมากเหมือนรถไฟเราวิ่งอยู่ในทะเลเลยค่ะ


ในระหว่างทางก็จะมีเด็กผู้ชายญี่ปุ่นคนหนึ่ง น้องมากับพ่อสองคนเหมือนมาเพื่อจะมานั่งรถไฟ Two stars น้องดูตื่นเต้นกับรถไฟมากและตาน้องจะเป็นประกายทุกครั้งที่รถไฟวิ่งผ่านทะเล น้องน่ารักมากก พนักงานรถไฟที่คอยสั่นกระดิ่งให้ผู้โดยสารขึ้นรถไฟก็ อนุญาตให้น้องได้ลองสั่นกระดิ่งด้วยเป็นภาพที่น่ารักมากเลยค่ะ

17 October 2023: Nanzoin Temple
ถ้าให้พูดถึงวัดที่ฟุกุโอกะจะไม่พูดถึงวัดนันโซอินก็คงไม่ได้เพราะวัดนี้มีพระนอนทองสัมฤทธิ์ขนาดใหญ่ที่สุดในโลก โดยมีน้ำหนักถึง 300 ตัน ยาว 41 ม. ที่นี้ดังมากเรื่องการขอเรื่องเงินทองเพราะเจ้าอาวาสถูกหวยหลายครั้งจนสามารถนำเงินมาสร้างพระนอนองค์นี้ได้ มาขนาดนี้ไม่ได้ด้วยกลก็ต้องได้คาถา สาธุ!! ขอให้ถูกหวยร้อยล้านเพี้ยงงงง


มีเรื่องน่ารักมาแชร์เรื่องมีอยู่ว่าคือเรานั่ง JR มาและจะเดินไปวัดไม่รู้จะเดินไปทางไหนเลยเดินไปถามคุณตาที่อยู่ประจำสถานี คุณตาก็คุยกับเราเป็นภาษาญี่ปุ่นและยื่นกระดาษแผ่นนี้มาให้เราบอกวิธีการเดินไปวัดน่ารักมากกกกกทุกคน พร้อมกับอธิบายให้เราฟังเป็นภาษาญี่ปุ่น ใครไปวัดนันโซอินแวะไปทักทายคุณตาได้นะคะ


การเดินทาง: JR Hakata > Kido-Nanzoin-mae station สามารถเปิด google map ดูรอบรถไฟได้เลยนะสะดวกสุดๆ


Canal City Hakata




แหล่งช้อปปิ้งที่ใหญ่มากกก แบบเดินละหลงได้เลย มีทุกร้านให้ซื้อของนะคะ และที่สำคัญสามารถ Tax Free ได้เลยดีสุดๆๆ ก็ช้อปแหลกไปเลยสิค่ะ ก่อนจะกลับบ้านในวันพรุ่งนี้


18 October 2023: Fukuoka-Bangkok
ถึงเวลากลับบ้านแล้วสินะ ครั้งนี้เป็นการเดินทางที่ยาวนานและสนุกมากเช่นกันค่ะ เราได้เรียนรู้หลายอย่าง ได้เจอคนมากมายหลายแบบ ได้รู้ว่าคนญี่ปุ่นทั้งน่ารักและไม่น่ารักเหมือนกับประเทศอื่นๆ ได้เรียนรู้ว่าเราชอบความสงบนอกชานเมืองของญี่ปุ่นมากกว่าการอยู่ในตัวเมืองที่แสนจะเร่งรีบไปซะทุกอย่าง ได้รู้ว่าญี่ปุ่นเป็นประเทศที่ควรค่าแก่การตื่นเช้าสุดถึงแม้บางที่จะเปิดตอนสาย และบรรยากาศตอนเช้ามันสวยมากจริงๆค่ะ เหมือนเป็นของขวัญตอนรับวันใหม่ในทุกๆวันเลย สุดท้ายนี้หวังว่าทุกคนจะได้ “พบหัวใจที่ North-Kyushu” ไปด้วยกันนะคะ


ขอบคุณคนญี่ปุ่นทุกคนที่ค่อยช่วยเหลือเด็กที่หลงทางคนนี้ทุกคน
ขอบคุณท้องฟ้าญี่ปุ่นที่แสนจะขี้โกงเพราะท้องฟ้าจะเปลี่ยนไปทุกๆ 5 นาทีและสวยมาก
สามารถนั่งดูท้องฟ้าเป็น 10 นาทีได้เลย
ขอบคุณแม่และป้าที่ไม่เคยบ่นเลยแม้จะพาเดินไกลแค่ไหนก็ตามแบกกระเป๋าย้ายเมืองไปกี่เมืองก็ไม่เคยบ่น
ขอบคุณเท้าทั้งสองข้างของตัวเองที่ไม่เคยงองแงเลย
ขอบคุณผู้อ่านทุกคนที่อ่านมาจนถึงบรรทัดสุดท้ายนี้ ขอบคุณจากใจเลยค่ะ
สุดท้ายนี้ขอบคุณนะหัวใจ <3







YOKMiSTerL

 วันเสาร์ที่ 28 ตุลาคม พ.ศ. 2566 เวลา 10.02 น.

ความคิดเห็น