ต้นเดือนแห่งความรักนี้ขอมาแนะนำสถานที่โรแมนติก หมอกยามเช้า อากาศเย็นๆ วันนี้เลยขอพาไปท่องเที่ยวอุทยานแห่งชาติทุ่งแสลงหลวงกัน หลายคนอาจจะสงสัยว่าทุ่งแสลงอยู่ที่ไหน มีอะไรน่าเที่ยวหรอ เพราะครั้งแรกที่จะไปทุ่งแสลงหลวงเราก็คิดว่าทุ่งแสลงหลวงมีอะไรให้น่าเที่ยวนะ?? จนได้มาเองถึงรู้ว่าไม่ใช่อย่างที่คิด เราเลยขอใช้กระทู้นี่เล่าความประทับใจกับอุทยานแห่งชาติทุ่งแสลงหลวงนะคะ

อุทานแห่งชาติทุ่งแสลงหลวงอยู่ จ.เพชรบูรณ์ (หน่วยหนองแม่นา) ทุ่งแสลงมีฉายาว่า "ทุ่งหญ้าสะวันนาแห่งเมืองไทย" เป็นป่าที่มีขนาดใหญ่เป็นอันดับ 3 ของประเทศ ได้ชื่อว่าทุ่งแสลงหลวงเพราะมาจาก "ต้นแสลงใจ" เราไปทุ่งแสลงหลวงวันที่ 08 มค.-10 มค.59 ที่ผ่านมานี้ การเดินทางครั้งนี้เดินทางด้วยรถส่วนตัวนะคะ

08.01.59 วันแรก


"ป้ากบ" สมาชิกผู้ร่วมเดินทางวางแผนกันว่าออกจากกรุงเทพฯกันตั้งแต่ ตี 5 เพื่อจะได้ไปแวะดู พญาเสือโคร่งที่ภูลมโล และแวะที่ภูหินร่องกล้าก่อน ออกเดินทางกัน Let's go เรามาถึงที่ปากทางที่จะไปภูลมโลตอนประมาณ 13.00 น. แวะจ่ายค่าเข้าอุทยานภูหินร่องกล้าและแอบถามเจ้าหน้าที่ ว่าตอนนี้พญาเสือโคร่งบานเยอะหรือยัง เจ้าหน้าที่ก็ชี้นิ้วไปที่ต้นไม้ต้นหนึ่งที่อยู่ข้างป้อมผ่านเข้าอุทยานและบอกกับเราว่า "บานแค่นี้ละครับ" 5555 ตายแล้ว พญาเสือโคร่งยังไม่บาน เจ้าหน้าที่เล่าว่าพอดี 2 วันก่อนที่เราจะมาฝนดันตก กิ่งต้นภูลมโลเลยแตกใบซะงั้น อดดูนางพญาเลย 555 ไม่เป็นไรคราวหน้ามาใหม่ก็ได้ ก็เลยต้องพับแผนดูนางพญาไปก่อน แต่ตอนนี้นางพญาเสือโคร่งน่าจะบานแล้วใครที่จะแวะไปทุ่งแสลงหลวงอย่าลืมแวะไปดูนางพญาหน่อยนะคะอย่าลืมถ่ายรูปมาฝากด้วย ปล.ถ้าใครยังเรียนหรือเป็นนักศึกษาอยู่ สามารถเอาบัตรนักเรียนนักศึกษามาลดค่าเข้าอุทยานทุกอุทยานได้นะคะ

สถานีต่อไปเราแวะกันที่ "โรงเรียนการเมืองการทหาร" ที่นี้จะสวยมากตอนช่วงฤดูหนาวนี้เพราะใบไม้จะเปลี่ยนสีแต่ตอนเราไปใบไม้ยังไม่เปลี่ยนสี ฮือๆ เศร้า T^T แต่ก็สวยไปอีกแบบค่ะ


หลังจากแวะโรงเรียนการเมืองการทหารมาแล้วก็ขอแวะ"โครงการพัฒนาป่าไม้ตามแนวพระราชดำริภูหินร่องกล้า" ที่นี่จะมีจุดเด่นที่ดอกกระดาษค่ะ ที่นี่เขาปลูกดอกกระดาษสวยมาก


นอกจากดอกกระดาษแล้วก็ยังมีผารักต่างๆ จุดเด็ดอยู่ที่ชื่อผา มี ผาพบรัก,ผาบอกรัก,ผาคู่รัก,ผารักยืนยง,ผาไททานิค และ ผาสลัดรัก วิวสวยมากค่ะ ใครมาต้องแวะถ่ายภาพกันนะคะวิวสวยดี ในช่วงเดือนแห่งความรักมาถ่ายรูปกับคนรู้ใจก็เป็นความทรงจำที่ดีอีกแบบ


สถานีต่อไปคือ "อุทยานแห่งชาติภูหินร่องกล้า" ทีแรกที่เราเดินเข้าไปในภูหินร่องกล้า เราก็คิดว่าไม่มีอะไรให้ดูมากแน่เลย เพราะส่วนมากจะมีแต่หินที่เป็นรูปร่างต่างๆ แต่มันไม่ใช่อย่างที่เราคิดนี้อะสิ


เดินทางเรื่อยๆ จะมีป้ายบอกตลอดทางก็แวะเข้าไปดู สุสานนักรบกันสักหน่อย ป้ายได้บอกที่มาของสุสานนักรบว่า สถานที่นี้เป็นที่ฝังร่างของสมาชิกคอมมิวนิสต์ ที่เสียบนสมรภูมิภูหินร่องกล้า ซึ่งยังคงเป็นตำนานเล่าขานสืบต่อกันมาว่าแผ่นดินนี้ถูกทาด้วยเลือดสีแดงหลายแสนตารางกิโลเมตร และสิ่งที่พอให้อนุชนรุ่นหลังได้กราบเคารพ คือ แผ่นดินที่กลบหน้าพร้อมกับการสูญเสียที่ยากจะประเมินค่าได้ ญาติผู้เสียชีวิตตลอดนักท่องเที่ยวมักจะมาวางดอกไม้ บุหรี่เครื่องใช้เพื่อเป็นการคารวะแก่ดวงวิญญาณของนักรบ


หลังจากเดินออกมาจากสุสานนักรบแล้วก็เดินมาเรื่อยๆ ก็มาเจอป้ายไปยัง ลานหินปุ่ม และผาชูธง ตอนนั้นจะเดินกลับไปทางเดิมละเพราะคิดว่าคงจะไม่มีอะไร แต่พอหันไปเจอธงชาติไทยที่ชูอยู่บนผา ก็เลยคิดว่าไปดูหน่อยว่ามันคืออะไร 555


เดินมาเรื่อยๆก็จะเจอหินที่เป็นรูปร่างต่างๆ ดูไปเรื่อยๆเราก็ว่าเพลินดี


หลังจากเดินมาสักพักเราก็เจอป้ายว่า "ผาแก่งลาด" พอเดินไปดูใกล้ๆ เท่านั้นละ โอ้พระเจ้าช่วย!! สวย สวยโคตรร วิวสวยมากไม่เสียดายที่เดินมา ถ้าตอนนั้นเดินกลับไปคงไม่ได้เห็นวิวสวยขนาดนี้ ข้างบนลมเย็นสบาย ถึงแดดจะส่องแต่ยังรู้สึกหนาวๆเลย ใครไปอุทานแห่งชาติภูหินร่องกล้าต้องเดินให้สุดถ้ายังไม่ถึงที่สุดจะพลาดวิวสวยๆไปนะคะ


หลังจากถ่ายวิวจนอิ่มใจแล้วก็เดินมาจาถึงสุดทางของอุทยานแห่งชาติภูหินร่องกล้ากันแล้ว ผาชูธง ที่เราเห็นไกลนั้น เรามาถึงแล้ววววว 55555 เราพิชิตผาชูธงแล้ว เย้เย้!!


หลังขึ้นไปที่ผาชูธงแล้วก็ถึงเวลาลงมาข้างล่าง ก็เดินกลับมาที่รถเพื่อจะไปที่ต่อไป ขณะที่เดินไปที่รถ "พี่เจี๊ยบ" สมาชิกผู้ร่วมเดินทางก็เดินมาบอกเราว่า ที่นี่มีขายพิซ่ามง ด้วยนะ ใช่ค่ะฟังไม่ผิดพิซ่ามง 555 ทันทีที่ได้ยินสายกินอย่างเราจะพลาดได้อย่างไร ก็เดินไปดูทันที ถามแม่ค้าไปถามมา ก็เลยรู้ว่าพิซ่าที่ว่า คือการที่เขาเอาข้าวเหนียวดำมาปิ้งบนในตอง และจิ้มด้วยน้ำอ้อย อร่อยไปอีกแบบราคา 20 บาท รสชาติคล้ายข้าวจี้บ้านเราแต่เราจะชุบไข่แต่ของเขาจะจิ้มน้ำอ้อยและจะนุ่มกว่าข้าวจี้ ปล.แต่จะติดฟันหน่อย 555 ใครไปภูหินร่องกล้าอย่าลืมแวะไปชิมนะคะอร่อย


หลังจากกินพิซ่ามงแล้วก็เดินทางไปที่ "ลานหินแตกต่อ" ที่นี้ไม่ค่อยมีอะไรเท่าไรค่ะ ส่วนมากจะเป็นลายหินแตก


เมื่อเดินดูลานหินแตกกันเสร็จได้เวลาเดินทางไปที่อุทยานแห่งชาติทุ่งแสลงหลวงกันแล้วได้เวลาเดินทาง "เอี๊ยดดดด" ป้ากบจอดรถข้างทางเพื่อจะแวะถ่ายรูปพระอาทิตย์ที่กำลังจะตกดิน เราชอบพระอาทิตย์ตกดินมากเรารู้สึกว่าเวลาที่พระอาทิตย์กำลังจะตกดินมันดูอบอุ่น ต่างจากพระอาทิตย์ขึ้นที่ดูร้อนแรง เลยไม่พลาดที่จะเก็บพระอาทิตย์ที่กำลังจะตกดินมาฝากนะคะ


บ๊ายบายคุณพระอาทิตย์แล้วพรุ่งนี้เจอกันนะ


เมื่อกระโดดขึ้นรถหลังจากถ่ายพระอาทิตย์ตกดินแล้วได้เวลาเดินทางไปอุทยานแห่งชาติทุ่งแสลงกันแล้ว เราถึงทุ่งแสลงหลวงตอนประมาณ 20.00 เมื่อเขาไปถามเจ้าหน้าที่ว่าบ้านพักที่เราจองอยู่ตรงไหน (เราไปทุ่งแสลงหลวงครั้งนี้เราพักบ้านพักอุทยานไม่ได้กางเต้นท์) เจ้าหน้าที่บอกว่าไม่ใช่ที่นี่ ต้องไปอีก 40 กม. 5555 บ้านพักที่จองอยู่ที่หน่วยหนองแม่นา ใครจะไปทุ่งแสลงหลวงเช็คดีๆนะคะว่าจะไปหน่วยไหน



21.30 น. ในที่สุดเราก็เดินทางมาถึงแล้ว อุทยานแห่งชาติทุ่งแสลงหลวงหน่วยหนองแม่นา ทันทีที่ถึงเราก็สัมผัสได้ถึงพลังงานบางอย่างง หนาวววววว!!! หนาวมาก หนาวและไม่ได้พกเสื้อกันหนาวมา 555 อากาศช่วงที่เราไปอยู่ที่ 18-19 องศา แต่ถ้าตอนเช้าก็จะอยู่ที่ 10 องศา OMG 0.O ผมนี่ตาลุกวาวเลยครับ หลังจากอาบน้ำเสร็จ ก็ถือขาตั้งกล้อง ไฟฉาย และกล้องอีกหนึ่งตัวออกมาจากบ้านพัก เพื่อออกมาถ่ายดาว วันนี่ดาวมองไม่ค่อยเห็นมากนักเพราะหมอกที่ค่อยข้างลงหนา มากๆ แต่ก็ถ่ายมาได้นิดหน่อย ไม่สวยหน่อยเป็นมือสมัครเล่น 555

09.01.59 วันที่สอง


เช้านี้เราตื่นตั้ง ตี 5.30 เพื่อจะไปรอพระอาทิตย์ขึ้น ที่ทุ่งแสลงหลวงมีให้เช่ารถจักรยานขี่ในอุทยานด้วยนะคะ ชั่วโมงละ 50 บาท แต่ตอนที่เราไปป้ากบขับรถไปส่งเพราะตอนไปที่นู่นไม่มีไฟทำให้เวลาขี่จักรยานค่อนข้างลำบาก พอไปถึงจุดรอพระอาทิตย์ขึ้นเราก็กางขาตั้งกล้องและรอเวลาพระอาทิตย์ขึ้นเท่านั้นทีแรกก็คิดว่าคงไม่เห็นพระอาทิตย์แน่นอนเพราะหมอกลงค่อนข้างหนาแต่พอประมาณ 07.30 พระอาทิตย์ก็เริ่มออกมายิ้มแฉ่งตรงหน้าแล้ว มันสวยมากจนตอนนั้นไม่มีใครพูดคุยกัน ทุกคนมองและเก็บภาพตอนนั้นให้มากที่สุด

พระอาทิตย์ออกมาทำงานเรียบร้อยแล้วววว


หัวใจทุ่งแสลงหลวงใครไปรอพระอาทิตย์ขึ้นอย่าลืมสังเกตหัวใจทุ่งแสลงหลวงด้วยนะ


หลังจากถ่ายรูปพระอาทิตย์ขึ้นแล้วก็ลงมาข้างล่างเพื่อเก็บบรรยากาศยามเช้านี่ที่ทุ่งแสลงหลวง ที่นี่ตอนเช้าเหมือนภาพวาดมากค่ะ ไม่คิดว่าระบบนิเวศแบบทุ่งหญ้าจะสวยขนาดนี้ เหมือนเราเอาภาพวาดมาวางไว้ตรงหน้าเราเลยละ เจ้าหน้าที่บอกว่าช่วง อาทิตย์ที่สองของเดือนมค.จะมีหมอกเยอะมากที่ทุ่งแสลงหลวง ช่วงที่หมอกเยอะก็จะมีช่วง มค.- มีค. ค่ะเจ้าหน้าบอกช่วงมีค. หมอกก็จะหมดแล้ว ถ้าไปก็ต้องไปช่วงนี้เพราะทุ่งแสลงหลวงกำลังสวยนะคะ


จุดชมวิวทุ่งแสลงหลวงแบบ 180 องศา 555


เดินทางอีกสักพักจะเจอสำนักงานของอุทยานแห่งชาติทุ่งแสลงหลวง แวะทักทายและถามเส้นทางที่จะไปเที่ยวกันในวันนี้กับเจ้าหน้าที่อุทยาน


หน้าทางเข้าไปศูนย์บริการนักท่องเที่ยวจะมีคำนี้ติดอยู่หน้าทางเข้า เราชอบคำนี้มากเลย "เราจะไม่ทิ้งอะไรไว้ นอกจากรอยเท้า เราจะไม่เก็บอะไรไป นอกจากภาพถ่าย"


หลังจากเตรียมตัวเสร็จวันนี้จะตระเวนเที่ยวทุ่งแสลงหลวงกันทั้งวัน มีแผนไปเที่ยวทุ่งนางพญากัน ทุ่งแสลงหลวงจะมีชื่อเสียงในเรื่องต้นสน ที่นู่นต้นสนจะเยอะและสวยมากหากใครชอบต้นสนต้องไม่พลาดที่นี่ เจ้าหน้าที่บอกว่า ทุ่งนางพญาจะมีต้นสนเยอะและใหญ่ ความสวยของทุ่งนางพญาทำให้ทุ่งนางพญาเป็นสถานที่ถ่ายทำละครมากมาย ไม่ว่าจะเรื่องดั่งดวงหฤทัย ช่อง 7,รักต้องอุ้ม ช่อง 3 และละครดังอีกมากมาย ก็ถ่ายทำที่นี่ งั้นเราไปดูกันว่าสวยจริงมั้ย


ระหว่างเดินทางก็เก็บบรรยากาศทุ่งแสลงหลวงตอนไม่มีหมอกมาให้เห็นกันชัดว่าเป็นยังไง

เดินทางมาได้สัก 13 กม. เราก็มาถึงกันแล้วที่ทุ่งนางพญา ความสูงของต้นสนทำให้เรารู้สึกว่าเราตัวเล็กขึ้นมาทันที เหมือนเราเป็นคนแคระขึ้นมาทันที 555 สวยค่ะ ต้องมาลองดูด้วยตาแล้วจะรู้ว่ามันสวยยังไง เอาเป็นว่ารับประกันว่าสวย


ระหว่างทางที่จะไปทุ่งนางพญาจะมีต้นหญ้าที่นู่นขึ้นเยอะมาก เต้นหญ้าที่นี่จะมีจุดเด่นที่ไม่เหมือนที่อื่น คือต้นหญ้าจะมี 3 สีใน 1 ต้น คือจะมีสีแดง เขียว และบริเวณโค่นจะเป็นสีน้ำตาล เวลาอยู่รวมกันต้นหญ้าจะเป็นสีแดง หากใครจะถ่ายรูปรับปริญญา รูปแต่งงานที่นี้ถือเป็นโลเคชั่นที่สวยเลยทีเดียวละ


หลังจากกลับมาจากเที่ยวที่ทุ่งนางพญา เราก็มานั่งรอพระอาทิตย์ตกดินที่ทุ่งแสลงหลวงแต่ด้วยความที่อากาศไม่ค่อยเต็มใจเท่าที่ควรจึงไม่ได้เห็นพระอาทิตย์ตกดินเลย T^T เลยถ่ายได้แต่ฟ้าทะลุแบบไม่มีคุณอาทิตย์ ถ้าหากไปเที่ยวกันแบบครอบครัวก็จะมีบ้านพักอุทยานเป็นหลังให้จองด้วยนะคะ ใครอยากมาพักผ่อนเปลี่ยนบรรยากาศแนะนำที่เป็นอีกทางเลือกค่ะ


วิวสวยๆแบบนี่อยู่หลังบ้านที่เราพัก

อันนี้เป็นบ้านพักอุทยานเหมาะสำหรับคนที่มาแบบครอบครัวค่ะ


พอเริ่มเย็นๆก็ขอฝากท้องกับร้านขายอาหารของอุทยานสักหน่อย ไหนๆก็ไม่ได้พระอาทิตย์ตกดินเล้ว ขอเป็นถ่ายดาวแทนก็ละกัน แต่ดาวก็ถ่ายได้ไม่เยอะอยู่ดี เพราะหมอกลงเยอะกว่าเมื่อวานอีก หือๆๆไม่ถ่ายแล้ว ไปนอนก็ได้


10.01.59 วันสุดท้าย


เวลาที่คนเราได้พักผ่อนมันคือช่วงเวลาที่ดีที่สุด มันคือเวลาที่เราได้พัก พอจะหมดเวลาที่ได้พักก็เริ่มรู้สึก ขี้เกียจไม่อยากกลับแล้ว 555 เช้านี้ก็ไปเดินดูหมอกตอนเช้า เก็บบรรยากาศสวยๆ หมอกวันนี้ตอนเช้าเยอะกว่าเมื่อวานมากและที่สำคัญคือหนาวกว่าเมื่อวานมากกกกกก แต่สวยเพราะหมอกลง ที่สำคัญทุ่งแสลงหลวงเหมาะแก่คนที่ชื่นชอบการขี่จักรยานมากค่ะ ทางที่นี่จะขรุขระและผจญภัยมาก หากใครเป็นนักขี่จักรยานแนะนำที่นี่เลยค่ะ

เสร็จจากการกินข้าวเช้าแล้วก็ถึงเวลากลับบ้าน แต่ก่อนกลับนึกขึ้นได้ว่าลืมถ่ายภาพบ้านพักอุทยานที่เราพัก เลยถ่ายมาให้ดูกันนะคะ เพื่อเป็นทางเลือกให้กับคนที่สนใจพักแบบบ้านพักอุทยาน หรือใครจะเอาเต้นท์มากางก็ได้นะคะก็จะได้บรรยากาศอีกแบบ ส่วนบ้านที่เราพักอยู่ที่ 2,100 บาทต่อคืน พักได้ 7 คน มีตู้เย็น มีห้องน้ำ 2 ห้อง มีห้องนอน 3 ห้อง มีผ้าเช็ดตัว มีน้ำอุ่น และมีกระติกน้ำร้อนค่ะ ถือว่าอุปกรณ์ครบครันเลยค่ะ


ออกเดินทางกลับกรุงระหว่างทางเลยแวะกันที่วัดผาซ่อนแก้วและไร่กำนันจุลเพื่อซื้อของฝากกลับไปฝากชาวกรุงทั้งหลาย เส้นทางที่กลับจากผาซ่อนแก้วเป็นเส้นทางที่สวยตลาดทางแนะนำใครผ่านอย่าหลับนะรอดูวิวข้างทางก่อนแล้วค่อยหลับนะคะ 5555


แวะไร่กำนันจุลสายกินอย่างเราก็ต้องกระโดดเข้าหาของกินก่อนเลย 555 แนะนำผลไม้อบแห้งอร่อยค่ะ แล้วก็น้ำผลไม้ก็อร่อย


เสร็จจากการซื้อของที่ไร่กำนันจุลเรียบร้อยแล้วก็พากันกลับบ้าน แต่ระหว่างทางกลับไปเจอทุ่งปอประเทืองเหลืองเต็มทุ่ง เลยขอแวะแซะภาพก่อนกลับกันซะหน่อย


เที่ยวครั้งนี้เหมือนสอนเราว่าอย่าเพิ่งตัดสินอะไรบ้างอย่างไปก่อนที่เราได้เห็นด้วยตัวเอง อย่าคิดว่าไม่น่าสวยหรอก หรือไม่มีอะไรให้เที่ยวหรอก คุณจะพูดคำนี้ได้ก็ต่อเมื่อได้สัมผัสและเห็นมันด้วยตาตัวเอง ลองไปเห็นด้วยตาแล้วสัมผัสด้วยใจ แล้วจะอยากถอดใจไว้ที่ทุ่งแสลงหลวงค่ะ


ขอบคุณธรรมชาติที่ทำให้ที่นี้สวยได้อย่างลงตัว
ขอบคุณ"ป้ากบ" "พี่เจี๊ยบ" ที่เก็บเด็กคนนี้ขึ้นรถไปทุ่งแสลงหลวงด้วย 555
ขอบคุณแม่และป้าผู้สนับสนุนหลัก (จ่ายเงินนั้นเอง)
ขอบคุณผู้อ่านและผู้ที่หลงเข้ามาอ่านด้วยนะคะ


YOKMiSTerL

 วันอาทิตย์ที่ 7 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559 เวลา 13.24 น.

ความคิดเห็น