เมื่อเกิดอาการเหงา หลายคนคงมีสิ่งที่เยียวยาแตกต่างกันออกไป ไม่ว่าจะเป็น ฟิตเนส ร้านกาแฟ เล่นเกมส์ หรืออ่านหนังสือ แต่สำหรับสาวสายลุยแบบผู้เขียนนั้น สิ่งที่เยียวยาความเหงาได้ดีที่สุดก็คือ "เขา" แต่อย่าเพิ่งแปลกใจนะคะ "เขา" ที่ว่านี้ หมายถึง "ภูเขา" ค่ะ และผู้เขียนก็เชื่อว่า ยังมีอีกหลายคนเช่นกันที่หลงเสน่ห์ภูเขาเหมือนกันกับผู้เขียน

ในทริปนี้ ผู้เขียนได้เลือกเดินทางฉายเดี่ยวไปยังจังหวัดน่าน เมืองเล็กๆที่อยู่ในใจของใครหลายๆคน สำหรับผู้เขียนเองเคยมาจังหวัดนี้หลายครั้งแล้ว แต่ครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่ได้มายัง "บ่อเกลือ" ก่อนหน้านี้ผู้เขียนเองก็ได้ยินเสียงร่ำลือถึงความงามของบ่อเกลือมาได้สักพักแล้ว เมื่อโอกาสมาถึงบวกกับกำลังว่างงานพอดี ผู้เขียนจึงไม่รอช้า รีบลุยเลยค่ะ ฮ่าๆๆ ผู้เขียนได้เลือกนั่งรถทัวร์มาลงที่บขส.น่าน โดยในวันแรกนั้น ผู้เขียนได้เลือกพักในตัวเมืองก่อน เพราะตัวผู้เขียนเองก็ไม่ใช่เด็กๆแล้ว เป็นธรรมดาที่จะปวดเมื่อยตามเนื้อตัวหลังจากนั่งรถทัวร์มาทั้งคืนบ้าง อิอิอิ ในวันแรกของทริปนี้ ผู้เขียนได้เดินจากที่พักไปยังวัดภูมินทร์ ซึ่งเป็นวัดเก่าแก่ประจำจังหวัดน่านที่หลายคนรู้จักดี วัดแห่งนี้มีชื่อเสียงมาจากภาพวาดจิตรกรรมฝาผนังอันโด่งดังอย่าง "กระซิบรักบันลือโลก" หรือ "ปู่ม่านย่าม่านกระซิบรัก" อันเป็นฝีมือการรังสรรค์โดย "หนานบัวผัน" ศิลปินชาวไทลื้อผู้มีชื่อเสียงของจังหวัดน่าน

นอกจากวัดภูมินทร์จะมีจิตรกรรมฝาผนังอันเลื่องชื่อแล้ว วัดแห่งนี้ยังมีความพิเศษตรงที่มี "พระอุโบสถเป็นทรงจตุรมุขแห่งเดียวในประเทศไทย" ภายในพระอุโบสถประดิษฐานพระประธานจตุรทิศปางมารวิชัย อันเป็นพระประธานที่ขึ้นชื่อในเรื่องความงามอันแปลกประหลาด มีเอกลักษณ์เฉพาะที่ไม่เหมือนพระพุทธรูปจากที่ใด ลักษณะเป็นพระพุทธรูปสี่ทิศ ศิลปะแบบเชียงแสน ฝีมือสกุลช่างน่าน โดยพระประธานทั้งสี่ทิศนั้นหันพระพักตร์ออกไปยังประตูอุโบสถ ซึ่งชาวน่านเชื่อว่า จะมีอยู่หนึ่งทิศที่พระพุทธรูปแย้มพระสรวลมากกว่าทิศอื่น หรือที่เรียกกันว่า "พระยิ้ม" หากใครไปขอพรก็มักจะสำเร็จลุล่วงตามที่ได้ปราถนาไว้ อันความสวยงามแปลกตาของพระประธานจตุรทิศนั้น ทำให้การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย หรือ ททท. ได้ยกให้เป็นหนึ่งในพระพุทธรูปอันซีนไทยแลนด์อีกด้วย

หลังจากไหว้พระขอพรเสร็จแล้ว ผู้เขียนก็ได้เดินมายังพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติจังหวัดน่าน ซึ่งอยู่ใกล้ๆ ตรงข้ามวัดภูมินทร์นี่เอง ในสมัยก่อนนั้น พิพิธภัณฑ์แห่งนี้เคยเป็นที่ประทับของเจ้าผู้ครองนครน่าน มีชื่อเรียกเดิมว่า "หอคำ" ภายในมีการจัดแสดงโบราณวัตถุอันล้ำค่าของจังหวัดน่าน โดยมีสิ่งที่น่าสนใจคือ "งาช้างดำ" ลักษณะคือ เป็นพญาครุฑแบกงาช้างสีดำสนิท สร้างขึ้นในปี พ.ศ. 2469 มีความหมายสื่อว่า จังหวัดน่านในยุคนั้น ยังจงรักภักดีต่อสยามประเทศอย่างมิเสื่อมคลาย และนอกจากนี้ บริเวณด้านหน้าพิพิธภัณฑ์ยังมี "ซุ้มลีลาวดี" อันมีลักษณะเป็นต้นลีลาวดีเรียงรายแผ่กิ่งก้านโน้มเอนเข้าหากัน คล้ายๆกับอุโมงค์ต้นไม้ ซึ่งถือว่าเป็นมุมถ่ายรูปเก๋ๆชิคๆ ที่หลายคนต้องห้ามพลาดเลยทีเดียว

เช้าวันต่อมา ผู้เขียนได้ออกเดินทางจากตัวเมืองไปยังบ่อเกลือโดยรถโดยสารประจำทาง สำหรับเส้นทางที่ขึ้นไปนั้นเป็นภูเขาสูงชัน ทำให้เดินทางลำบากบ้าง แต่ในความลำบากนั้น ก็ทำให้เราได้สัมผัสกับความงามของเส้นทางสายนี้ ได้เห็นความยิ่งใหญ่อลังการของขุนเขาและดอกหญ้าน่ารักๆริมทาง อีกทั้งยังได้พูดคุยกับชาวบ้านที่นั่งรถสองแถวมาพร้อมกันด้วย ก็ถือได้ว่าเป็นความประทับใจอย่างหนึ่งที่ได้มาพร้อมกับการเดินทางในทริปนี้ สำหรับ"บ่อเกลือ" นั้นเป็นอำเภอเล็กๆที่ตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือของจังหวัดน่าน ลักษณะภูมิประเทศเป็นทิวเขาสลับซับซ้อน มีอากาศเย็นสบายตลอดปี และหนาวจัดในฤดูหนาว


ในอำเภอบ่อเกลือนั้นมีจุดไฮไลท์ที่น่าสนใจคือ "บ่อเกลือสินเธาว์" ซึ่งมีความพิเศษกว่าบ่อเกลือที่อื่นคือ เป็นบ่อเกลือบนภูเขาแห่งเดียวในโลก โดยสันนิษฐานว่าอำเภอบ่อเกลือเมื่อหลายล้านปีก่อนนี้ เคยเป็นทะเลมาก่อน จึงทำให้มีบ่อเกลือสินเธาว์ผุดขึ้น สำหรับที่นี่ก็ยังคงต้มเกลือแบบวิธีโบราณอยู่ โดยชาวบ้านจะต้มเกลือในช่วงหน้าแล้ง และงดต้มในช่วงฤดูฝน สำหรับผู้ที่สนใจชมขั้นตอนการต้มเกลือก็สามารถชมการสาธิตได้ ถ้าหากว่าท่านใดได้มีโอกาสมา ก็อย่าลืมอุดหนุนผลิตภัณฑ์เกลือสินเธาว์แท้ๆด้วยนะคะ ราคาย่อมเยาว์ สามารถนำไปใช้เองหรือซื้อเป็นของฝากก็ได้ นอกจากนี้ ใกล้ๆกับบ่อเกลือสินเธาว์ ก็ยังมีลำธารเล็กๆไหลผ่าน น้ำใสสะอาดตามาก แต่เสียดายที่เป็นหน้าหนาวค่ะ ผู้เขียนเลยลงเล่นไม่ได้ เพราะใจไม่แข็งขนาดนั้น อิอิ

สำหรับที่พักที่บ่อเกลือนั้น ผู้เขียนเลือกพักยังโฮมสเตย์ของชาวบ้าน เป็นกระต๊อบไม้ไผ่เล็กๆ ดูน่ารักเข้ากับธรรมชาติของที่นี่ดีค่ะ ที่พักนั้นตั้งอยู่ห่างจากบ่อเกลือสินเธาว์เพียง 500 เมตร สามารถเดินไปชมบ่อเกลือสินเธาว์ได้แบบสบายๆ และยังสามารถเห็นวิวภูเขาได้จากด้านหน้าบริเวณที่พักอีกด้วย เมื่อตกเย็น อากาศที่นี่ก็ยิ่งหนาวขึ้นเรื่อยๆ เจ้าของที่พักเห็นผู้เขียนมาคนเดียว คงกลัวจะเหงา ก็เลยชวนผิงไฟและปิ้งมันเผาด้วยกัน ต่างฝ่ายต่างได้พูดคุยแลกเปลี่ยนความคิดกัน พร้อมกับนั่งทานมันเผาร้อนๆไปด้วย ถึงแม้อากาศจะหนาวมาก แต่ก็ทำให้เรารู้สึกอบอุ่นไปอีกแบบ ถือได้ว่าเป็นความโชคดีของผู้เขียนอย่างมาก ที่ได้รับการต้อนรับและมิตรภาพดีๆระหว่างการเดินทางในครั้งนี้

ในยามรุ่งเช้า สายหมอกบางๆพัดผ่านภูเขาที่อยู่บื้องหน้า ผู้เขียนก็จิบกาแฟไปพร้อมๆกับนั่งชมวิวไปด้วย อยู่ๆก็มีความรู้สึกว่า ถึงแม้เราจะเดินทางมาเพียงลำพัง แต่กลับไม่รู้สึกเหงาเลย อาจเป็นเพราะความงามชองธรรมชาติที่เราได้สัมผัส หรือเป็นเพราะความน่ารักของชาวบ่อเกลือ ที่ทำให้เรารู้สึกดีมากขนาดนี้ อย่างไรก็ตาม ผู้เขียนก็อยากให้ทุกท่านลองมาสัมผัสบรรยากาศแบบนี้บ้าง แล้วคุณจะค้นพบว่า ความเหงาหรือความเศร้าจะหายไป เมื่อคุณได้ก้าวมายังที่นี่ มาเปิดตา เปิดใจ แล้วให้ธรรมชาติเยียวยาเราค่ะ


การเดินทาง

  1. เดินทางโดยรถโดยสาร นั่งรถทัวร์สายกรุงเทพ-น่าน จากสถานีหมอชิต 2 โดยจะมีรถโดยสารสายนี้อยู่หลายบริษัท จากนั้นต่อรถสองแถวสีฟ้าหรือรถเมล์สีส้มที่บขส.น่าน ไปลงที่คิวรถอำเภอปัว ค่าโดยสารคนละ 50 บาท คิวรถจะอยู่ตรงข้ามกับปั๊มน้ำมันปตท. จากนั้นต่อรถสองแถวสีน้ำเงินขึ้นไปที่อำเภอบ่อเกลือ ค่าโดยสารคนละ 100 บาท แต่ถ้าหากว่ามีคนขึ้นรถไม่ถึง 8 คน จะต้องเหมารถในราคาประมาณ 800-1,000 บาท ตามแต่จะตกลงราคากับคนขับ
  2. เดินทางโดยเครื่องบิน สามารถนั่งเครื่องมาลงที่ท่าอากาศยานน่านนครหรือสนามบินน่าน ระยะทางจากท่าอากาศยานไปยังอำเภอเมือง ห่างกันเพียง 4 กิโลเมตรเท่านั้น ในบริเวณท่าอากาศยานจะมีรถสองแถวสีแดงรับจ้างเหมาไปยังจุดต่างๆ และยังมีบริการรถเช่าที่สนามบินให้นักท่องเที่ยวได้เลือกใช้อีกด้วย

Oliveleaf88

 วันพฤหัสที่ 13 ธันวาคม พ.ศ. 2561 เวลา 18.17 น.

ความคิดเห็น