ดูรูปเพิ่มเติมได้ในเพจนะค้า
https://www.facebook.com/wherewegopage/
มาฟอกปอดที่เชียงรายกันมั้ยคะ
หยุดยาวปีใหม่อยากไปเที่ยว
อยากหาที่อากาศดีๆ เย็นสบาย
คนไม่พลุกพล่าน เงียบสงบ
ไม่ต้องแย่งกันกิน แย่งกันใช้
เชียงรายอาจจะตอบโจทย์ที่ว่านี้ค่ะ
ไผ่ไปเชียงรายมา ก่อนช่วงปิดปีใหม่นิดเดียว เรียกว่าชวนพี่ปุ่นหนีหมอกควันในกรุงเทพไปพักฟอกปอดกัน และก็ไม่ผิดหวังเลย พอก้าวเท้าลงที่เชียงรายปุ๊ป โอ้โห...นี่มันประเทศไทยเหมือนกันรึเปล่า อากาศต่างจากรุงเทพลิบลับ อากาศสดชื่น เย็นสบาย ช่วงเช้า กับ ตอนกลางคืน อากาศจะอยู่ที่ราวๆ 15 °C ส่วนตอนกลางวันจะอยู่ที่ประมาณ 20 - 22 °C ค่ะ แต่แดดตอนกลางวันจะค่อนข้างแรงหน่อยนะคะ แต่ถ้าหลบเข้าที่ร่มก็จะกลับมารู้สึกเย็นสบายเหมือนเดิม
รอบนี้ไผ่บินไป-กลับ กับ Bangkok Airways ก่อนบินเลยไม่ต้องรีบร้อนหาข้าวทานก่อน กะว่าไปทานที่ lounge ของเค้าเลย จะได้ทานข้าวต้มมัดในตำนานด้วย บินตรงแค่ 1ชั่วโมงก็ถึง เพียงชั่วเคี้ยวหมากแหลกก็ถึงค่ะ เร็วมากๆ
ทริป 4 วัน 3 คืนรอบนี้ของไผ่ พักที่ The Riverie by Katathani ทั้ง 3 คืนเลย แล้วก็ไม่ผิดหวังเลย โรงแรมสวยมาก อยู่ในตัวเมืองแต่ว่าติดกับแม่น้ำ บรรยากาศดีมากๆค่ะ
ส่วนที่ว่ามีที่เที่ยว Highligh ที่ไหนที่แบบว่า The must! ต้องไปบ้างไปดูกันเลยค่ะ
Day 1:
พอเข้าไปเก็บของโรงแรมกันแล้ว วันนี้เรามาถึงช่วงเกือบๆเย็น ก็เลยคุยกันว่าวันนี้เราจะเช่ามอเตอร์ไซค์ขี่แถวๆในเมืองกัน ว่าแล้วก็เดินไปถามข้อมูลที่หน้า front โรงแรมแล้วก็ได้มอเตอร์ไซค์มา 1 คัน ค่าเช่า 250 บาท/คัน เนื่องจากก่อนมานี่แพลนกันคร่าวมากๆ ก็เลยมายืนหาข้อมูลแล้วจิ้มจุดกันสดๆร้อนๆตอนได้มอเตอร์ไซค์มานี่ล่ะ และที่แรกของเราวันนี้ก็คือ
1. วัดพระแก้ว
จิ้มจาก map แล้ว อยู่ห่างจากโรงแรมเราแค่ 3 นาทีเอง วัดนี้เป็นวัดที่ค้นพบ พระแก้วมรกต จากเหตุการณ์ฟ้าผ่ามาที่พระเจดีย์ ซึ่งปัจจุบันประดิษฐาน ณ วัดพระศรีรัตนศาสดาราม พระบรมมหาราชวัง คนเชียงรายจึงเรียกวัดนี้ว่าวัดพระแก้วค่ะ
พอเลี้ยวเข้าไปเท่านั้นแหละ เห็นแต่รถยนต์จอดอยู่เต็มเลย
พี่ปุ่น: “จอดมอเตอร์ไซค์ตรงไหนหว่า”
ลูกไผ่: “นั่นสิ น่าจะหามุมจอดข้างๆรถนี่ได้เลยนะคะ”
ว่าแล้วก็หาใต้ต้นไม้แล้วจอดไปจ้า เพิ่งมารู้ตอนเดินเข้าไปข้างในว่า ขี่ตรงจากประตูวัดอีกนิดมีที่จอดมอเตอร์ไซค์เพียบเลยจ้า ใครไปก็อย่าเด๋อแบบพวกเรานะคะ 555
ในตัววัดปลูกดอกกล้วยไม้ ซึ่งออกดอกใหญ่เบ้อเริ่มสวยมากค่ะ เดินลึกเข้าไปด้านในเราจะเจอที่ประดิษฐานพระพุทธรูปหยก ที่ถูกสร้างมาแทนพระแก้วมรกตองค์จริงที่ถูกอัญเชิญไปค่ะ
มาถึงตอนนี้ก็เริ่มหิวกันแล้ว ด้วยความโชคดีที่เรามาถึงวันเสาร์พอดี๊ พอดี ที่เชียงรายเค้าจะมีถนนคนเดินกัน ตอนแรกก็นั่งหากันว่าวันนี้จะไปทานข้าวเย็นเป็นอาหารเหนือที่ร้านไหนดี แต่คิดไปคิดมา ที่ถนนคนเดินน่าจะของกินเพียบ ไปเดินทานจุบจิบที่ถนนคนเดินกันดีกว่า
2. ถนนคนเดิน
ซึ่งก็ไม่ผิดหวังค่ะ ถนนคนเดินที่นี่ใหญ่และของกินเยอะมากกก ไผ่นี่ก็เดินซื้อชิมนู้น ชิมนี่ ซึ่งอร่อยทุกร้านมาตลอดทาง และที่สำคัญ ถูกมากค่ะ อยากไส้อั่วจิ๋วเสียบไม้ ไม้ละ 5 บาทงี้ เนื้อน่องลายเสียบไม้ ไม้ละ 10 บาทงี้ โห...พุงกางสิคะ จะเหลือเหรอ
และนี่เป็นอีกหนึ่งเมนูที่เป็นอาหารโบราณของเชียงของชื่อว่า ‘ข้าวซอยน้อย’ ตอนแรกก็ว่าเค้าขายอะไร คนมุงเต็มเลย เราก็เลยไปมุงกับเค้าบ้าง เอร้ยยย ไม่เคยทาน ขอลองหน่อย ด้านล่างเค้าจะเป็นแป้งน่าจะผสมกับไข่ด้วย ส่วนด้านบนก็จะเป็นน้ำแกงที่มีหมูสับอยู่ โรยหน้าด้วยผักกะหล่ำ ชามละ 20 บาทเอง รสชาติแปลกดีค่ะ ต้องไปลองเองนะ
ถนนคนเดินที่นี่กว้างใหญ่ไพศาลมากค่ะ นี่ไผ่กับพี่ปุ่นเดินกันมา 2 ชั่วโมงแล้วยังไม่ทั่ว เราเลยชวนกันหาทางเลี้ยวกลับไปพักที่โรงแรมกันดีกว่า ลุงกับป้าเดินไม่ไหวแล้ว 555
Day 2:
วันนี้จุดหมายแรกของเราคือ ‘Singha Park’ ค่ะ ละหลังจากนั้นก็กะจะไปหาที่เที่ยวแถบๆนั้นต่อ
3. Singha Park
แต่หารู้ไม่ว่า Singha Park Chiang Rai สิงห์ปาร์ค เชียงราย เป็นที่ที่เราสามารถใช้เวลาอยู่ในนั้นทั้งวันได้เลย คือเค้าไม่ได้มีแค่รูปปั้นสิงห์ที่เป็น signature ของที่นี่ หรือแค่เทศกาลบอลลูน แต่ด้านในมีหลายอย่างที่ไผ่ไม่เคยรู้มาก่อนว่าที่นี่มีเฮ้ย! สำหรับใครที่เอารถมาเอง สามารถขี่เข้าไปเที่ยวข้างในเองได้เลยนะคะ แต่วันนี้ไผ่เลือกนั่งรถพาทัวร์ของที่นี่ ซึ่งค้นพบว่ามันดีนะ มันเที่ยวได้ครบและทั่วปาร์คแบบไม่ต้องไปสุ่มมั่วเอาเอง คือเค้าคิดมาแล้วอ่ะค่ะว่าต้องไปตรงไหน ลงไปถ่ายรูปตรงไหน ซึ่งแต่ละจุดที่เค้าปล่อยให้เราลงถ่ายรูป เราก็ใช้เวลาได้เต็มที่ตามที่เราต้องการเลย เพราะเค้าจะมีรถมาวนรับแต่ละจุดทุกๆ 15 นาที สะดวกดีค่ะ ใครอยากนั่งมั่ง ติดต่อซื้อตั๋วและขี้นรถได้ที่อาคารประชาสัมพันธ์ ตั๋วราคา 100 บาทค่ะ
จุดแรกที่รถพามาปล่อยและไผ่เพิ่งรู้ว่าที่นี่มีคือ ‘บึงหงส์’ ค่ะ ที่นี่เค้าเลี้ยงหงส์ไว้เพียบเลย ตัวโตๆ สวยๆทั้งนั้นเลย ว่ายๆไปอาจมีตีแย่งอาหารกันบ้าง ดูแล้วก็เพลินดีค่ะ
ฝั่งตรงข้ามถนนของบึงหงส์ที่ไม่มีใครข้ามมา มีแค่ไผ่กับพี่ปุ่น ผู้ชอบออกนอกเส้นทาง เป็นทุ่งดอกหญ้าสีขาวกว้างสุดลูกหูลูกตา มันถ่ายรูปสวยนะเออ แล้วจะหาว่าไม่บอก
ที่ทุกคนไม่ข้ามมา เพราะทุกคนเดินมุ่งตรงไปที่ ‘ทุ่งดอกคอสมอส’ ที่อยู่ถัดจากบึงหงส์มาอีกนิดนึงนึงค่ะ ดอกคอสมอสสีส้ม มีสีชมพูแซมๆ กำลังบานเต็มทุ่งเลย
จากทุ่งคอสมอส เราพากันกระโดดขึ้นรถพาทัวร์ของฟาร์มอีกครั้ง จุดถัดมาที่เค้าปล่อยเราลงคือ ‘ไร่ชา’ ค่ะ พอลงรถมาแล้วเค้าจะมีชาอู่หลงร้อนเสิร์ฟให้ดื่มฟรีค่ะ แถมตรงนี้เค้ายังมีพร๊อพเป็นตะกร้า เสื้อและหมวกชาวเขาเตรียมไว้ให้เราใส่ไปถ่ายรูปในไร่ชาเขียวด้วยนะคะ น่ารักมากๆ
ไร่ชากว้างมาก ถึงแดดจะแรงก็ไม่ใช่อุปสรรคที่เราจะติดอยุ่ที่นี่เพื่อถ่ายรูปอยู่นานสองนาน เพราะมันสวยมากค่ะ คือตะกร้าที่สะพาย ไม่ได้เอามาใส่ใบชานะ เอามาใส่รูปที่ถ่ายได้จากที่นี่ 5555
ท่าเด็ดใบชาต้องมา! แต่แค่ทำท่าก็พอเนอะ อย่าไปเด็ดของเค้าจริงๆเลย
จุดถัดมาจากไร่ชา เค้าจะพาไปดู ‘โรงเพาะชำเห็ด’ แต่ว่าไผ่กับพี่ปุ่นไม่ได้ลงค่ะ เรากระโดดข้ามที่ ‘ฟาร์มสัตว์’ กันเลยดีกว่า อย่างแรกที่เราเจอตรงนี้คือ ม้าลายแยกกันทานข้าว 5555
ข้ามถนนมาเราจะเจอกับวัววาตูซี่ค่ะ ซึ่งไผ่ตื่นตาตั้งแต่เห็นตอนนั่งอยู่บนรถแล้ว เพราะเขาพี่เค้าใหญ่เด่นเป็นสง่ามาก คนบรรยายบนรถบอกว่าวัววาตูซี่เป็นวัวที่มีเขาใหญ่ที่สุดในโลก น้ำหนักเขาตอนโตเต็มที่จะอยู่ที่ประมาณ 40 กก. เฮ้ยยย มันไม่หนักหัวเหรอนั่นน่ะ!
ถัดจากคอกวัววาตูซี่ สัตว์อีกอย่างที่น่าสนใจของที่นี่คือ ม้าโพนี่ ค่ะ ม้าตัวเล็กๆที่มีขนสวยละมุน น่ารักมากๆ ที่นี่เค้าให้สามารถขึ้นขี่ได้ด้วยนะคะ แต่นำ้หนักจะต้องไม่เกิน 40 กก.นะคะ ใช่ค่ะถ้าคุณมั่นใจในน้ำหนักตัวเองก็ลองไปขี่เค้าได้ แต่ครั้งสุดท้ายที่ไผ่หนัก 40 กก.นี่นานจนจำไม่ได้ไปแล้ว 5555
ถัดจากสวนสัตว์จะเป็น ‘โซนกีฬา’ ซึ่งจะเห็นหอสูงๆมาแต่ไกล ตรงนั้นคือจุดที่เค้าให้เล่นโหนสลิงที่มีความสูงเท่ากับตึก 8 ชั้น ชื่อว่า ‘Zip Line’ ค่ะ แหมะ มาถึงทั้งที่ก็ต้องลองสิคะ เฮ้ย มันไม่ได้น่ากลัวอย่างที่คิด แต่มันสนุกมากค่ะ แบบว่าเล่นรอบนึงแล้ว อยากจะขึ้นไปเล่นอีกรอบนึงเลย ใครชอบแนวนี้ไปลองเล่นอยู่ค่ะ ค่าเล่น 300 บาท/รอบ ค่ะ
ตรงโซนกีฬานี้เค้าจะมีบ้านแดง ซึ่งข้างในเป็นคาเฟ่ขายเครื่องดื่มและขนม ตอนแรกไผ่ก็กะจะไม่เข้า พี่ปุ่นบอกว่าลองเข้าไปดู แล้วก็ เฮ้ย ดีนะที่เข้ามา ด้านในเค้าตกแต่งน่ารักมาก เห็นเล็กๆอย่างนี้ด้านในมีมุมถ่ายรูปเป็นสิบๆมุมอ่ะค่ะ
นี่เราก็เวียนมาครบทุกโซน จนถึงตอนนี้ก็เกือบบ่ายสามละ เราต้องหาอะไรทานกันแล้วล่ะ แล้วก็รู้มาว่าด้านในนี้มีร้านอาหารชื่อ ‘ภูภิรมย์’ อยู่ เห็นมั้ยล่ะ มีทุกอย่างอยู่ในนี้ บอกแล้วว่าใช้เวลาได้ทั้งวัน
การทานอาหารที่ภูภิรมย์เรียกว่าเป็นการทานอาหาร+กินบรรยากาศ+สูดออกซิเจน ไปในตัว เพราะภายในร้านจะเห็นวิวกว้างๆของสิงห์ ปาร์คที่มองไปทางไหนก็เขียว ตัดกับท้องฟ้าสีฟ้า แถมมีลมเย็นๆพัดมากระทบหน้าตลอดเวลา มันชิลล์มากค่ะ ไผ่ว่ามันอีกจุดที่ไม่ควรพลาดถ้ามาสิงห์ ปาร์คค่ะ ราคาอาหารตอนแรกไผ่ก็คิดว่าอยู่ในนี้ต้องแพงมากแน่ๆ แต่ไม่นะคะ ราคากลางๆเท่ากับร้านอาหารด้านนอกทั่วไปเลย
ด้านหน้าของ ภูภิรมย์ จะเป็นอีกหนึ่งจุดชมวิวของที่นี่ค่ะ ซึ่งจะมีคนมานั่งชิลล์รับลม ดูวิว ตรงจุดนี้กันเยอะเลย นี่ถ้ามีเวลาเยอะๆ ก็อยากจะนอนแผ่ตรงนี้ไปเลย
Day 3:
วันนี้เราจะเริ่มออกไปขึ้นเขาไกลๆกัน เราเลยเปลี่ยนจากเช่ามอเตอร์ไซค์ มาเช่ารถยนต์แทน เหมือนเดิมค่ะติดต่อที่หน้า front ได้เลย ราคาค่าเช่ารถอยู่ที่ 1,200 บาท/วัน
4. ดอยแม่สลอง
จุดหมายแรกของเราในวันนี้คือ ‘ดอยแม่สลอง’ ค่ะ คือเห็นแค่รีวิวผ่านๆ ใครๆก็มา ก็เลยมาบ้าง แต่ก็ไม่รู้หรอกนะว่าข้างบนมีอะไรบ้าง 5555 ทางขึ้นแม่สลองเป็นถนนลาดยางดีเลยค่ะ ช่วงแรกๆก็จะมีโค้งขึ้นเขาประปราย แต่พอเริ่มขึ้นสูง ทางจะโหดขึ้นเรื่อยๆ คือถนนยังลาดยางดีเหมือนเดิม แต่ทางจะชันมาก ชันจนเรียกว่านอนขับหลังติดเบาะกันเลยทีเดียว และจะมีโค้งหักศอกให้ได้อัพสกิลการขับรถกันอยู่บ้างประปราย แต่ผู้หญิงขับขึ้นได้ค่ะ ไผ่ขับขึ้นมาแล้ว แต่ต้องระมัดระวังอย่าขับเร็วเท่านั้นเอง
จุดจอดแรกที่เราจอดบนดอยแม่สลองเป็นตลาด ที่จะมีชาวเขามาขายของ ของที่ขายส่วนใหญ่ก็จะเป็นพวกผลไม้ตากแห้ง บ๊วยเค็ม กีวี่ มีรถด่วน (หนอนไม้ไผ่) ขายด้วยค่ะ ขีดละ 200 บาท ได้มาเพียบเลย อ้อ ที่นี่มีอะโวคาโด้ขายเยอะมากค่ะ เริ่มที่กิโลละ 40 บาทเอง
ข้างบนนี้มีโรงเรียนตั้งอยู่ด้วย พี่ปุ่นนี่เดินดุ่มๆนำหน้าไผ่ไปอย่างเร็ว นางชอบอะไรอย่างนี้ค่ะ โรงเรียนที่นี่เด็กนักเรียนต้องขึ้นบันไดสูงๆ ไปตามห้องของตัวเอง ตอนเราไปเป็นเวลาอาหารกลางวันพอดี เราเลยจะได้เห็นภาพน้องๆช่วยกันยกหม้อกับข้าวกับของหวานเดินขึ้นบันไดไปวางที่หน้าห้องของตัวเอง น่ารักมากๆ
จากการขับรถขึ้นเขาอันยาวนานชั่วโมงกว่าๆได้ เราเลือกจะทานมื้อเที่ยงบนนี้ หันซ้ายหันขวาอ่ะร้านนี้ละกัน ‘อิ่ม โภชนา’ อาหารข้างบนนี้จะเป็นพวกขาหมู หมั่นโถ ผัดยอดฟักแม้ว เป็ดอบใบชา ซึ่งรถชาติใช้ได้เลยค่ะ
อิ่มกันแล้วเราขับรถขึ้นเขากันต่อเพื่อไปยังจุดชมวิวซึ่งเป็นเก๋งจีนที่ตั้งอยู่บนเขา
เราสามาถเห็นวิว 180 องศาได้จากจุดนี้ จากตรงนี้มองออกไปจะเห็นถนนตัดผ่านยอดเขาอยู่ข้างหน้าลิบๆ
ลูกไผ่: “พี่ปุ่นดูตรงนู้นสิคะ มีถนนด้วยอ่ะ เราจะไปกันมั้ยอ่ะคะ”
แล้วเราก็ได้ยินเสียงพี่ชายหญิงที่นั่งชมวิวก่อนเราพูดขึ้นมา “ข้างบนสวยมากครับ ไปอีกนิดเดียวเอง มาถึงนี่แล้วต้องไปนะครับ สวยมากๆบนนั้น”
นั่นไง เราสองคนก็บ้าจี้ไง อ่ะ ไปก็ไป
ทางขึ้นที่มาเมื่อกี้ว่าชันแล้ว ตรงนี้ชันกว่าจ้าา กรุณาใช้เกียร์ต่ำรัวๆในการขับขี่ค่ะ แต่ก็ไม่ผิดหวังที่มาจริงๆ ด้านบนนี้เป็น ‘พระบรมธาตุเจดีย์ศรีนครินทราสถิตมหาสันติคีรี’ ตั้งสูงใหญ่อยู่บนยอดดอย
ที่นี่เป็นจุดที่สูงที่สุดของดอยแม่สลอง ดังนั้นเราเลยจะเห็นวิวหมู่บ้านทั้งหมดจากตรงนี้ค่ะ
5. ไร่ชาฉุยฟง
อีกที่ที่ถ้ามาเชียงรายแล้วคงพลาดไม่ได้คือ ‘ไร่ชาฉุยฟง’ ซึ่งห่างจาก พระบรมธาตุเจดีย์ศรีนครินทราสถิตมหาสันติคีรี ประมาณ 1 ชั่วโมง ไผ่ว่าจริงๆทางมันคงไม่ได้ไกลมากหรอก แต่ทางลงเขาที่โคตรจะคดเคี้ยวเนี่ยแหละที่ทำให้ต้องใช้เวลานานอยู่ซักหน่อย พอใน Google map บอกว่าใกล้จะถึงไร่ชาแล้ว แต่มองไปสองข้างทางยังเป็นป่ารก กับถนนดินอยู่ ไอเราก็ชักเริ่มไม่แน่ใจ “พี่ปุ่นคะ เรามาถูกจริงๆใช่มั้ยคะ”
พี่ปุ่น: “ใช่นะ Google มันให้มาทางนี้อ่ะ”
ลูกไผ่: “เมื่อเช้านี่เพิ่งอ่านข่าวที่ Google มันพาคนหลงป่าอยู่เลยยยย”
แต่พอเลี้ยวอีกครั้ง เราก็เห็นทางเข้าไร่ชาฉุยฟงอยู่ข้างหน้า ค่อยโล่งใจหน่อย เฮ้ยย Google มันยังโอเคคคค 5555
จุดแรกที่เราเจอจะเป็นแค่จุดถ่ายรูป ยังไม่ใช่จุดที่มีร้านอาหารและคาเฟ่ ซึ่งอีกแล้วจ้า ถึงแดดจะเผาเท่าไหร่ แต่มุมนี้มันสวยเกินห้ามใจจริงๆ ก็เลยอยู่ให้แดดเผาตรงนี้อยู่นานเลย ไผ่ว่าไอผิวดำที่ไผ่ได้กลับมาจากทริปนี้ก็คงจากที่นี่นี่แหละ 555
ขับเข้ามาอีกนิดจะเป็นร้านอาหารและคาเฟ่ ซึ่งเค้าจะมี 2 ฝั่ง แยกเป็นร้านอาหาร กับ ร้านคาเฟ่อยู่คนละยอดเขา สำหรับเราสองคนที่อิ่มเป็ดอบใบชาจากดอยแม่สลองมาแล้ว ก็เลยเลือกเลี้ยวไปทางร้านคาเฟ่ ระหว่างนั้นพี่เกด ผู้ซึ่งมาเชียงรายก่อนหน้าเราอาทิตย์เดียว inbox มาบอกว่า “ชาเขียวอร่อยมากน้องไผ่” อ้าว ลองสิคะ รออะไร ซึ่งก็อร่อยจริงค่ะ ส่วนเค้กชาเขียวของที่นี่รสชาติจะนุ่มๆ ไม่หวานมาก คนไม่ชอบทานหวานน่าจะชอบเลยค่ะ
แค่ 2 ที่ก็หมดวันแล้วจ้า กลับโรงแรมซะฟ้ามืดเลย
Day 4:
“โอ้ยย พี่ปุ่น ไผ่ปวดน่อง” นั่นไงอิการขับรถขึ้นเขาแผลงฤทธิ์แล้วมั้ยล่ะ (เพราะแกไม่ค่อยออกกำลังกายด้วยต่างหาก ไผ่!)
วันนี้เราต้องออกจากโรงแรมตอนบ่ายสองโมงครึ่งเพื่อไปขึ้นเครื่องกลับ เราเลยเปลี่ยนจากรถยนต์มาแว๊นมอเตอร์ไซค์เที่ยวตามที่ที่ไม่ไกลมากนัก
6. วัดร่องเสือเต้น
และที่แรกวันนี้ก็คือ ‘วัดร่องเสือเต้น’ เห็นใครๆก็มาเลยมาบ้าง ครั้นจะไป ‘วัดร่องขุน’ ด้วยก็ไกลไป เดี๋ยวจะกลับมาไม่ทัน พอมาถึง โอ้โห...ยิ่งใหญ่ อลังการ? เปล่า! ทัวร์เพียบ! หน้าวัดนี่รถจอดแน่น ด้านในรถตู้บางคันจอดปิดหน้าพะพุทธรูปซึ่งเป็นจุดห้ามจอด ทำให้คนก็เข้ามาถ่ายรูปไม่ได้เพราะรถพี่เค้าขวางอยู่
ถามว่าอลังมั้ยก็อลังแหละค่ะ แต่ว่าคนออกจะเยอะไปซักหน่อย คงไม่ใช่แนวไผ่กับพี่ปุ่นซักเท่าไหร่ เรากดไม่กี่รูป เข้าไปไหว้พระแล้วก็ออกมาเลย
7. ชีวิตธรรมดา
บังเอิญว่าร้านที่พี่ปุ่นเล็งไว้ชื่อร้าน ‘ชีวิตธรรมดา’ อยู่ใกล้ๆวัดร่องเสือเต้นพอดี ขี่มอเตอร์ไซค์แค่ 3 นาทีก็ถึง นี่เลยเป็นจุดหมายที่ 2 ของวันนี้ และเรียกได้ว่านี่เป็น Highlight วันนี้ของไผ่เลย ร้านน่ารักมากกกกกค่ะ คือสาวๆต้องมา น่ารักจนไม่รู้จะถ่ายรูปตรงไหนดี เพราะมันน่ารัก น่าถ่ายไปทุกจุด
ที่นี่มีทั้งอาหาร เครื่องดื่มและขนมขายค่ะ
ด้านหลังจะติดริมแม่น้ำ คือมีหลายโซนให้นั่งมาก เนื่องจากเค้ามีบ้านอยู่ในนี้ถึง 2 หลัง แต่ถึงโซนจะเยอะขนาดนี้ เผลอแปปเดียวก็คิวเพียบนะค้า นี่ถ้ามีเวลาอยากมานั่งชิลล์ที่นี่ทั้งวันเลย
8. วัดมิ่งเมือง
นี่แหละค่ะวัดแบบที่พวกเราชอบ ‘วัดมิ่งเมือง’ ตั้งอยู่ในตัวเมืองเชียงรายเลย ตัววัดเป็นสถาปัตยกรรมแบบโบราณ เข้าไปแล้วไม่มีคนเลย รู้สึกถึงความสงบร่มเย็นแบบที่วัดควรจะเป็น ไผ่ถ่ายรูปรอบๆตัววัด แล้วเข้าไปนั่งในวิหาร ไหว้พระ และซึมซับความสงบเท่าที่เวลาเหลือพอจะมีเลย ดีมากๆค่ะ
9. น้ำเงี้ยวอาจารย์ป้อม
อีกอย่างที่วันนี้ต้องได้ทำก่อนบินกลับคือ ต้องไปทานขนมจีนน้ำเงี้ยวให้ได้! ซึ่งจริงๆไผ่หมายมั่นปั้นมือจะไปทาน ‘ร้านป้าสุข’ เพราะดูจากหลายๆรีวิว พอไปถึง โอ้โห...คนเยอะมาก เราก็เดินงงๆเข้าไปในร้าน ที่นั่งเต็มเอี๊ยด แล้วก็มีพนักงานตะโกนมาจากด้านหลัง “เขียวคิวรึยังครับ” พอไปดูที่สมุดคิว โห...จะได้กินตอนกี่โมง ไผ่เลยหันไปหาพี่ปุ่น “ไปทานร้านอื่นถอะค่ะ ร้านขนมจีนร้านไหนก็ได้”
“ร้านอาจารย์ป้อมมั้ยล่ะ เราเห็นตอนขี่ผ่านมาเมื่อกี้ ใกล้ๆนี้เอง”
ทำให้เราได้มาเจอกับ ‘น้ำเงี้ยวอาจารย์ป้อม’ ที่อยู่ถัดจากร้านป้าสุขมานิดเดียว ร้านเงียบ เข้าไปก็ได้นั่งเลย แถมคุณป้าเจ้าของร้านก็ยิ้มต้อนรับเราอย่างเป็นกันเอง “กินอะไรดีลูก” แล้วน้ำเงี้ยวกับขนมจีนแกงไก่ของที่นี่ก็อร่อยมาก คือเราได้ทั้งความประทับใจต่อเจ้าของร้าน และรสชาติอาหารที่อร่อย นั่งทานสบายๆไม่ต้องไปแย่งกับใคร ทำให้รู้ว่าเราไม่จำเป็นต้องไปทานร้านดังตามรีวิวก็ได้ ร้านอื่นก็ดี และอร่อยไม่แพ้กัน แถมเป็นการกระจายรายได้ด้วย ลองไปดูนะคะ
Mission Complete ฟอกปอด อิ่มท้องแล้ว กลับกรุงเทพได้
Where We Go
วันศุกร์ที่ 4 มกราคม พ.ศ. 2562 เวลา 16.05 น.