อย่างที่เคยรีวิวไว้ว่าช่วงก่อนปีใหม่ ไผ่ไปเที่ยวเชียงรายมาค่ะ

ใครอยากตามรอย ลองเข้าไปอ่านในนี้นะคะ http://bit.ly/WWGchiangrai


ส่วนวันนี้ไผ่จะมารีวิวโรงแรมที่ไผ่พักตลอด 4 วัน 3 คืนในทริปนี้ค่ะ

ทริปนี้ไผ่พักที่ The Riverie by Katathani เป็นโรงแรมที่อยู่ในตัวเมืองเชียงรายเลย เดินทางสะดวก

แต่ความพิเศษอยู่ที่โรงแรมอยู่ในตัวเมืองก็จริง แต่ว่าเป็นส่วนตัวมาก และที่สำคัญติดแม่น้ำ และมีวิวภูเขาล้อมรอบค่ะ


ห้องพักที่นี่จะมีกระจกบานใหญ่มองออกไปเห็นวิวแม่น้ำ ตื่นมาตอนเช้าได้สูดอากาศกับไอหมอก แถมนั่งทาน Breakfast ริมน้ำ คือดีย์.......

ห้องอาหารและมุมชิลล์ของที่นี่ก็มีเยอะไปหมด เรียกได้ว่าถ้าใครไม่มีแพลนอยากออกไปเที่ยวที่ไหน ก็อยู่ในโรงแรมได้ไม่เบื่อเลยค่ะ


พูดไปอาจจะนึกภาพไม่ออก ไปดูเป็นรูปกันดีกว่าค่ะ

พอก้าวเท้าลงมาที่สนามบินเชียงราย ก็รู้สึกได้ถึงอากาศดีๆของที่นี่ที่อยากจะสูดเข้าไปให้เต็มปอดเลยค่ะ รอบนี้ไผ่ติดต่อขอรถรับส่งสนามบินกับทางโรงแรม ซึ่งเมื่อเดินออกมาเราก็จะเจอพนักงานโรงแรมแต่งชุดไทยและยืนถือป้ายไทยๆ ชื่อโรงแรมยืนยิ้มรอเราอยู่ที่ทางออกค่ะ

ครั้งแรกที่เห็นโรงแรม ใหญ่โตกว่าที่คิดไว้มากเลย ตัวโรงแรมตั้งอยู่ในตัวเมืองเชียงรายก็จริง แต่จากปากทางเข้าจนถึงตัวโรงแรมค่อนข้างลึก เลยทำให้ที่นี่ไม่พลุกพล่าน มีความสงบเป็นส่วนตัวมากๆค่ะ

การตกแต่งของโรงแรมจะเป็นแบบผสมผสานแบบ modern แต่มีกลิ่นไอของศิลปะทางเหนือสอดแทรกอยู่ด้วยตามสไตล์เมืองแห่งศิลปะอย่างเชียงรายเลยค่ะ

นี่คือส่วนของหน้า front ค่ะ พนักงานที่นี่น่ารักมากๆ มีอู้เหนือ (พูดเหนือ) กับเราด้วยนะคะ

Check in กันแล้วก็ขึ้นเอาของมาเก็บบนห้องกัน ห้องของไผ่เป็น River View ชั้น 6 (อันนี้แอบบอกเลย ถ้ามาต้องจอง River view นะคะ มันดีมากจริงๆ) ห้องพักที่นี่กว้างมากกกค่ะ อยากแรกที่สะดุดตาก็คงหนีไม่พ้นกระจกบานใหญ่ที่มองออกไปเห็นวิวแม่น้ำที่อยู่ติดโรงแรมเลย

ไม่ใช่แค่ห้องนะคะ ห้องน้ำก็กว้างและแบ่งสัดส่วนใช้สอยดีมากๆ คือเป็นห้องน้ำกึ่งห้องแต่งตัวย่อมๆเลยค่ะ

ห้องอาหารหลักของที่นี่ชือว่า ‘Blossom’ ค่ะ ไผ่ทานอาหารเช้าที่นี่ทุกวัน line breakfast ของที่นี่มีอาหารหลากหลายเลย แถมตกแต่งน่ารักมากๆค่ะ

นอกจากอาหารแล้วความดีงามที่บรรยากาศของห้องอาหาร ห้องอาหาร Blossom มีทั้งที่นั่งด้านในและด้านนอก ด้านในจะมีกำแพงเป็นกระจกสูง สามารถมองออกไปเห็นวิวแม่น้ำรอบๆ

สำหรับไผ่อากาศดีขนาดนี้ขอเลือกที่นั่งด้านนอกติดกับแม่น้ำ นั่งทานอาหารไป สูดอากาศไป สดชื่นนนน

ทานเสร็จ ทางโรงแรมเค้าทำทางเดินเลาะริมแม่น้ำให้เราเดินย่อยอากาศ และดื่มด่ำบรรกาศแดดอุ่นๆ อากาศเย็นๆ ด้วยนะ

เดินเพลินๆ จนไปเจอสวนผักขนาดย่อม ที่โรงแรมเค้าปลูกไว้ทานเองด้วยค่ะ

ใครที่หากิจกรรมทำ นี่เลยค่ะว่ายน้ำกันจ่ะ สระที่นี่นอกจากจะใหญ่แล้ว ยังมีส่วนที่เป็นสวนน้ำย่อมๆให้สำหรับคนที่ลูกๆหลานๆมาเที่ยวด้วย

ความพิเศษอีกอย่างของสระน้ำที่นี่ก็คือเค้ามี ‘Ju Ju Be Pool bar’ ให้สามารถสั่งเครื่องดื่มจิบกันที่สระได้เลย

ใครที่ปวดเมื่อยหรืออยากผ่อนคลายด้วยการนวด ที่นี่เค้าก็มีมุมนวดตรงศาลาไทยริมน้ำ กับใต้ตึกที่ก็มองออกไปเห็นวิวแม่น้ำ และรับลมโชยเย็นๆ สบายสุดๆเลยค่ะ

ตอนกลางวันที่นี่จะมีห้องอาหารจีนที่ขึ้นชื่อด้วยนะคะ แต่รอบนี้เสียดายเวลาไผ่น้อยไปหน่อย เลยยังไม่ได้ลอง มีใครไปลองมาแล้วบ้างคะ เป็นไงบ้าง รอบนี้ไผ่ได้ไปลองจิบน้ำชายามบ่าย ตรง Lobby Lounge แทนค่ะ มุมนี้จะเป็นโซนเบเกอรรี่ของทางโรงแรม

นี่เป็นอีกโซนที่ไผ่ชอบมากๆ เค้ามีทั้งส่วนด้านในและด้านนอกเหมือนกันค่ะ ด้านในจะเป็นโซฟา ไผ่ขอเรียกว่าโซฟาดูดวิญญาณนะคะ คือถ้าได้หย่อนก้นลงไปแล้วจะลุกขึ้นมายากมาก เพราะมันสบายมากกก 5555 คิดดูนะคะโซฟานุ่มๆนั่งสบาย นั่งชิบชาชิลล์ๆ กับวิวแม่น้ำ หืม...นี่ถ้าเอาหนังสือมาด้วยนี่ไผ่นั่งอ่านอยู่ที่นี่ได้ทั้งวันอ่ะค่ะ

มุมด้านนอกก็ไม่แพ้กันค่ะ เป็นที่นั่งตรงระเบียงที่หันหน้าออกแม่น้ำ มันต้องสบาย slow life นั่งๆ ไปนี่แบบต้องมีเคลิ้มหลับแน่ๆ

มาทางเหนือ ไผ่เชื่อว่าทุกคนต้องอยากทานอาหารเหนือ แม้แต่คนเหนืออย่างไผ่เองก็เถอะ และใช่ค่ะ โรงแรมเค้ามีเซ็ตขันโตกอาหารเหนือด้วย เลือกได้เลยค่ะว่าจะนั่งทานที่ห้องอาหาร Blossom หรือจะทางโรงแรมจัดให้นั่งทานที่ศาลาริมน้ำก็ได้

รสชาติอาหารบอกเลยว่าอร่อยมาก คนเหนือ confirm เองเจ้า รสชาติเหนือแต้ๆเลยเจ้า

และยัง ยังไม่หมด ห้องอาหารที่ให้นั่งชิลล์ จิบไวน์ตอนกลางคืน โรงแรมเค้าก็มี นี่เลยค่ะ ‘The Peak Wine and Grill’ อยู่บนชั้น 10 ของโรงแรม

คือโรงแรมนี้เป็นศูนย์รวมของความชิลล์จริงๆ ค่ะ ด้านในจะเป็นห้องอาหาร Dinner แบบคลาสสิก มีเปียโนเล่นให้ฟัง

ส่วนด้านนอกจะสามารถมองเห็นวิวแม่น้ำและตัวเมืองย่ามค่ำคืนได้ในมุมกว้าง ชิลล์กันไปยาวๆเลยค่ะ



สรุปคือชอบความสงบและชิลล์ของที่นี่มากค่ะ ใครมีโอกาสไปลองดูนะคะ

ความคิดเห็น