ฮัลโหลลลลลล ทุกคน

วันนี้จะมาขอพูดถึงอินเดียหน่อย ปีที่แล้วเต็มๆกับการเที่ยวที่อินเดีย

ซึ่งวันนี้ก็จะมาพูดถึง เมืองที่ค่าครองชีพไม่สูง อ่ะ อย่าคิดว่าค่าเงินเขาถูกกว่าเราจะไม่มีเมืองที่ชาร์จราคาแพงๆเด้อ เช่นมุมไบ นี้ค่าครองชีพสูงมาก แถมไม่อนุญาตให้ตุ๊กๆวิ่งเข้าใจเมืองอีก รถไฟก็แน่นซะเหลือเกิน ก็เหลือตัวเลือกแค่ แท็กซี่กะเดิน แล้วค่าครองชีพสูงอะแม่คุณ จะไปก็เตรียมไปเยอะๆนะ

แต่วันนี้เราจะมาพูดถึง เมืองที่ค่าครองชีพไม่แพงไม่ค่อยมีชาร์จสูงๆ ราคาแบบบ้านๆ ราคาปกติ ไม่ค่อยมีราคานักท่องเที่ยว รวมไปถึงตั๋วเครื่องไม่แรง ไปกลับไม่เกิน 10,000 แล้วครั้งนี้ก็ขอเน้นไปในเมืองที่เที่ยวง่ายๆ ปลอดภัย ไร้กังวล

อ่ะไม่พิมเยอะแล้ว เมื่อยมือ ไปดูกันเลยดีกว่าเน๊อะ

อ่านเรื่องราวการเดินทางทั้งหมดได้ที่ อินเดียวเล่ม 1 เที่ยวนิวเดลี อากราและพาราณสี และ อินเดียเล่ม 2 เที่ยวชัยปุระ จอร์ดปูร์ และชิมลา บน https://www.mebmarket.com/


ขอเริ่มที่ เมืองที่สวยมากๆ และค่าครองชีพไม่แพง อย่าง ชิมลา ก่อนเลย

บางคนอาจจะไม่คุ้นชื่อนี้ แต่ชิมลาอยู่ในอินเดีย เป็นเมืองที่ถูกขนานนามว่า ราชินีแห่งขุนเขาและที่นี้ยังมี เส้นทางรถไฟสายมรดกโลก อีกต่างหากมันก็น่ารับมรดกโลกแหระ ก็มันเป็นเส้นทางรถไฟตัดหุบเขา ขึ้นเขาขึ้นไป วิวสวยมากจะนายจ๋า

มารู้จักชิมลา ก่อน ..............
ชิมลา เป็นเมืองหลวงในรัฐหิมาจัล
ชิมลา เป็นเมือง หมู่บ้านที่ตั้งอยู่บนหุบเขา ทั่วทั้งเขา .............
ชิมลา ได้รับขนานนามว่า เป็นราชินีแห่งขุนเขามานานแล้ว.......... หลายคนอาจจะรู้สึกว่า เห้ย เลห์ ลาดัก เขาสวยกว่า ทำไมไม่ได้รับขนานนาม ต้องบอกก่อนว่าความ อเมชิ่ง ของชิมลามันมีมานานแล้ว ที่อเมชิ่ง สุดๆสำหรับเราก็ตัวอาคาร บ้านเรือนของเขา แล้วมันก็ตั้งอยู่บนหุบเขา ท่ามกลางป่าสน เทือกเขา สวยและธรรมชาติมากๆ ดังนั้นมันก็เหมาะแล้วที่เขาจะได้รับสมยานามนี้
ชิมลามีอากาศเย็นสบายตลอดปี ในหน้าหนาว หนาวจิง แต่สวยมาก อุณหภูมิในหน้าหนาวอยู่ที่ -3 ถึง 6 ในช่วงที่เราไป คือธันวาคม กลางวัน 3-6องศา กลางคืน 1 องศา ถึง ติดลบจ้า


ที่นี้ ราคาอาหารเอ่ย ของใช้เอ่ย แม้แต่งานศิลปะงานฝีมือค่อนข้างถูกที่สำคัญจะไม่ค่อยเจอโมเมนต์ตีเนียนแกล้งมึนไม่ทอนเงิน ทอนครบทุกรูปีจ้า ไม่ค่อยเจอคนเซ้าซี้ให้ซื้อของ ไม่เจอขอทานตามตื้อ ทัี้งๆที่เป็นเมืองที่แทบจะไม่เห็นชาวต่างชาติคือต้องบอกว่าน้อยมากจริงๆ และเป็นเมืองที่สงบและสวยมากด้วย



ชิมลาถูกก่อตั้งในช่วงที่ อังกฤษ เข้ามาครอบครองอินเดีย ดังนั้น ถ้าอยากไปยุโรปแต่บัทเจ้ทไม่ถึง มาที่นี้แทนได้เหมือนกัน สาวๆหนุ่มๆ ที่นี้ แต่งตัวกันแบบ สายฝอมากๆ เลย มีความรู้สึกว่าคล้ายๆยุโรปเลยละคะ อังกฤษเริ่มสร้างชิมลาช่วงทศวรรษที่ 1820 และนับจากนั้นที่นี่ก็ดึงดูดนักท่องเที่ยวให้เข้ามาเยือน “ราชินีแห่งขุนเขา” เพื่อรับอากาศเย็นและความงดงามของธรรมชาติ ใครที่คิดจะมาที่นี้ มีสิ่งหนึ่งที่ต้องรู้ คือมันอยู่บนเขา และมันไม่มีตุ๊กๆ มันมีแต่แท็กซี่ ถ้าเงินหนา ก็ไปแท็กซี่ได้เลย แต่ถ้าไปแบบ ประหยัดเน้นกินแบบเรา ก็เดิน ......




โรงแรมที่พักอะไรก็ราคาไม่แพงนะ เราพักโรงแรม2คืน ตกประมาณ 1200 บาท /2คืนนะ หาร2ออกมาตกคนละ 600กว่าๆ อากาศดีฟินมาก และอย่างที่บอกคือเมืองนี้เป็นเมืองเล็กๆมันเที่ยวง่ายมากจริงๆ เดินไปเดินมาก็เดินวนมาเจอกัน

การเดินทาง มีสนามบินใกล้เคียง แต่ต้องเช็คดีดี และไม่มีบินตรงนะจ๊ะ ราคาบินจากไทย ประมาณ 5,XXX/เที่ยว แต่ถ้ามาจากเมืองอื่นๆ ก็นั่งรถไฟไปลงสถานี Kalka (เกลากา) แล้วนั่ง Toy train ต่อไป

ถ้าอยากอ่านบทความเกี่ยวกับรถไฟเพิ่มสามารถอ่านได้ที่บทความ 7 เรื่องจริงเกี่ยวกับรถไฟอินเดีย ไม่ได้แย่อย่างที่คุณคิด!

อ่านบทความเที่ยวชิมลาได้ ที่นี่ เลย


ต่อด้วยเมืองที่ 2 ที่มีความสงบมากๆ ก็คือ พาราณสี

พาราณสี เป็นเมืองหลวงของแคว้นกาสีในสมัยพุทธกาล ปัจจุบันตั้งอยู่ในรัฐอุตตรประเทศ ประเทศอินเดีย ห่างจาก รัฐลัคเนาซึ่งเป็นเมืองหลวงของอุตตรประเทศ พาราณสีเมืองที่คนไทยหลายคนรู้จักจดจำว่าเป็นเมืองแห่งแม่น้ำคงคา แต่ในอินเดียจะเรียก "คงคา" ว่า "กังก้า" และพาราณสี ก็ออกเสียงว่า "วาราณสี" ถ้าพูดถึงอายุของเมืองเมืองนี้จริงๆ ก็มีมากกว่า 4,000 ปีละค่ะ และใน4,000ปีที่ผ่านมา เมืองๆนี้ไม่เคยร้างผู้คนเลย ถือว่าเป็นเมืองที่มีผู้อยู่อาศัยต่อเนื่องยาวนานที่สุดในประวัติศาสตร์โลกด้วย

ฝากแจกแพลนเที่ยว พาราณสี - อากรา อินเดีย งบ 25,000 เอาอยู่


สำหรับเมืองนี้ ทำให้จิตใจเราสงบมากๆจริง (ไม่นับตอนไฝว้กับไดร์เวอร์ตุ๊กๆ หัวร้อนมากตอนนั้น)

ถ้าไปที่นี้เราจะเจอหลากหลายศาสนามากๆ แล้วเขาก็อยู่กันแบบง่ายๆมากๆ สำหรับเรื่องขอทงขอทาน เราไม่เจอที่นี้นะ แต่เจอไดร์เวอร์หัวหมอแทน จริงๆการไปอินเดียสิ่งที่ต้องระวังอ่ะ คือไดร์เวอร์ตุ๊กๆเนี่ยแหระ น่ากลัวกว่าใดใดทั้งปวง ขอทานไม่ต้องไปกลัวหรอก เรายืนยันไม่ให้เดี๋ยวเขาก็ไป ถ้าจะให้ก็เช็คด้วยว่าตรงนั้นมีขอทานกี่คนไม่งั้นคุณจะป๊อปปูล่าขึ้นมาทันที




จำได้ว่าเหตุการณ์ที่ทำให้หัวร้อนในตอนนั้นก็คือ ตอนมาถึงเจอไดร์เวอร์ตุ๊กๆคันหนึ่งเขาเสนอว่า เขาพาไปที่พัก และวันต่อมาจะพาเที่ยว และวันสุดท้ายจะพาส่งสถานีรถไฟ เราจะได้ไม่ต้องเรียกตุ๊กๆบ่อยๆ ราคาแล้วแต่คุณ ทั้งๆที่ก็บอกว่า วันเป็นวันท้ายๆทริปแล้วเราไม่มีเงิน ลุงเขาก็บอกว่าแล้วแต่คุณไง

ปรากฏว่า

ไุอ่ราค่าแล้วแต่คุณที่ลุงว่า แล้วแต่GUบ้านลุงซิ !!!! เรากับเพื่อนให้ลุงทั้งหมด550 รูปี ลุงทำหน้าไม่พอใจเว่ย แล้วลุงก็อะรัมพบท สุดท้ายลุงขอ1000 บ้าบอครับ เรากับเพื่อนก็บอกว่าเราไม่มีตังแล้ว ไง เราบอกยูแล้วไงว่าเราไม่มีตังส์ แล้วยูบอกราคาแล้วแต่เราถ้ายูบอกราคาตั้งแต่แรกเราจะไม่มา ลุงไม่ยอมครับยังไงก็จะเอา1000

และที่พีคยิ่งกว่านั้นก็คือ ลุงบอกลุงรู้ว่าเรามีตังลุงเห็นเราซื้อของ โอ้โห้วววมองเงินในกระเป๋าละเอียดขนาดนั้นเลย แต่เราเหลือ 1500 อีกคนเหลือ1000 คือลุงกะไม่ให้เราใช้ขากลับในเดลี เลย?

เราก็บอกถ้าให้แล้วในเดลีเราจะใช้อะไร?? ลุงทำหน้าไม่พอใจ และเรียกความน่าสงสารจากชาวอินเดียคนอื่นที่เขามาเหมือนจะมาช่วยพวกเรา แต่เพราะเราไม่รู้ว่าลุงพูดอะไรกับพวกเขา จากที่จะช่วยพวกนั้นเลยยืนดูเฉยๆ ดีที่มีฝรั่งที่ขอจอยไปด้วยคอยช่วย แต่สุดท้ายเลยคือวางตังส์ไว้ที่เบาะรถ แล้วเดินออกมาเลย

สำหรับพาราณสีก็มีเที่ยวบินจากไทยมา เท่าที่เคยเช็ค ราคาประมาณ 5,XXX บาท/เที่ยว

มาจากเมืองอื่นๆก็มีรถไฟยิงตรงมานะ ไม่ต้องกลัวรถไฟนะ เราไปมาทุกคลาสแล้ว ดีในระดับหนึ่งแต่ถ้าไม่ชอบความโกลาหน การแอบขึ้นมานั่งข้างๆเราแนะนำให้ไปชั้น AC2 หรือ 3 นะ

อ่านบทความเที่ยวพาราณสีได้ ที่นี่ เลย


ขยับมาที่เป็นเมืองที่ขึ้นชื่อในเรื่องท่องเที่ยวอย่าง จอร์ดปูร์ บ้าง

เมืองนี้ไม่มีบินตรง แต่มีตต่อเครื่องแต่ราคาก็สูงอยู่นะ แนะนำให้ไปลงจัยปูร์และนั่งรถไฟมา ระยะเวลาเดินทางจากจัยปูร์มาจอร์ดปูร์แค่5ชม. รถไฟนั่งบ้านเขาจัดว่าโอเคอยู่นั่ง AC(ชั้น2) นี้ดีเลยระดับชั่น2บ้านเราไปเลย มีปลั๊กชาร์ตแบตให้ด้วยนะจ้า

จอร์ดปูร์ หรือก็คือเมืองสีฟ้า

สวย อาร์ต ข้าวของไม่แพง ไปซื้อโค้ก ขวดใหญ่เบิ้มๆ 50 รูปี ตก 25 บาท ก็เท่าบ้านเราเลย ไม่มีบวกไม่มีชาร์จ อาหารกินเต็มพุง เน้นว่าสั่งมา3-4อย่าง ไก่ทันดูรีนี้ล่อชุดใหญ่เลย มื้อนั้น 1000 รูปี ตก 500 บาท อิ่มจนแบบขยับตัวไม่ได้อยากจะนอนมันตรงนั้นเลย แล้วไป2คน ตกแค่คนละ250บาท ไม่ต้องพูดถึงมื้อเล็กๆ 500รูปี 250บาท หาร2ออกมาอีกสบาย

ทำไม เมืองนี้เป็นสีฟ้า...........? มันมีเหตุผลหลักๆ อยู่ 2 เหตุหลักๆ ขอเริ่มที่เหตุผลทางใจ ทางความเชื่อก่อนเลยคือ สีฟ้าคือสีกายของพระศิวะ ดังนั้น สีฟ้าจึงเป็นสีมงคล สีแห่งความโชคดีนั้นเอง และเหตุผลที่สองคือ เพราะเมืองนี้ เป็นเมืองหน้าด่านทะเลทรายธาร์ และพระอาทิตย์ก็ตั้งกลางหัว กลางเมืองตลอดเวลา มันร้อนระอุมากๆ ดังนั้นชาวบ้านจึงพยายามใช้สีโทนเย็นทาบ้าน เพื่อคลายความร้อนนั้นเองจ้า



ไฮไลท์ของเมืองนี้ก็คือการเดินขึ้นป้อมเมรานการ์ จะขึ้นรถก็ได้ แต่เดินจะเห็นบ้านสีฟ้าเยอะกว่านะ

ทางไม่ได้ขึ้นยาก แต่ถามว่าเหนื่อยมั้ย เหนื่อยค่ะ และขอแนะนำให้ไปหน้าหนาว บนป้อมรับแสงอาทิตย์ตรงเด๊ะเลยเราไปหน้าหนาวแต่ขอบอกเลยว่า หนาวแค่ไหนในตอนนั้นก็ร้อนมาก ยิ่งขึ้นไปอยู่บนป้อมแล้วนั้นยิ่งร้อนใหญ่เลย


ถ้าขึ้นไปถึงแล้วอยากจะเข้าไปในป้อมก็เสีย 600รูปีนะคะ เอากล้องวิดีโอ หรือ DSLR ไปก็บวกเพิ่มไปอีก 100 รูปีนะ กล้องเล็กๆกล้องโทรศัพท์ไม่ต้องเสียค่ะ

อ่านบทความเที่ยวจอร์ดปูร์เพิ่มเติมได้ ที่นี่ เลย


ต่อด้วยเมือง จัยปูร์ เมืองที่ฮิตในหมู่คนไทยมากๆ

เมืองนี้ข้าวของแพงนะ แต่ก็ไม่ได้แพงสุด ต้องบอกว่ามันชาร์จราคาสำหรับนักท่องเที่ยวไว้อ่ะ ต่อได้ ต่อไปเยอะๆเลย และ ไดร์เวอร์ที่นี้อารมณ์เดี่ยวกับเดลี คือขายทัวร์บนรถ พยายามยัดจุดหมายอื่นๆให้เรา ขึ้นราคาหนึ่งลงอีกราคาหนึ่ง แต่ที่นี้ถึงกะหยุดรถไม่ตกลงก็ไม่ออกรถต่อ โครตหัวร้อนอ่ะ

สำหรับการบินไปจัยเปร์ มีบินตรงหลายไฟท์อยู่ ราคาไม่แรง โปรดีสุดก็ไม่เกิน 5-6XXXบาทก็มี ตามโปรกันดีดีนะ (ตามได้ที่เพจ เพื่อนบอกโปร)

จัยปูร์ เป็นเมืองหลักของรัฐราชสถาน ประเทศอินเดีย และยังเป็นเมืองที่มีจำนวนประชากรมากเป็นอันดับที่ 10 ของประเทศอินเดีย ก่อตั้งเมื่อ 17 พฤศจิกายน ค.ศ. 1727 โดยมหาราชาสวาอี ชัยสิงห์ที่ 2" เจ้าครองนครอาเมร์ (Amer) ในปัจจุบันชัยปุระยังเป็นที่รู้จักกันดีในอินเดียว่า "นครสีชมพู"

เมืองแห่งนี้ขึ้นชื่อในด้านการเป็นเมืองอินเดียในยุคก่อนสมัยใหม่ ซึ่งมีขนาดความถนนค่อนข้างกว้างและผังเมืองอันเป็นระเบียบเรียบร้อยแบ่งเป็นช่องตารางจำนวน 6 เขต ซึ่งกั้นโดยถนนที่มีความกว้างกว่า 34 เมตร บริเวณใจกลางเมืองแบ่งผังเมืองเป็นตารางพร้อมถนนล้อมรอบสี่ด้าน โดยแบ่งเป็นห้าเขตล้อมทางด้านทิศตะวันออก ทิศใต้ และทิศตะวันตก (เขตพระราชวัง) และเขตที่หกตั้งอยู่ทางทิศตะวันออก บริเวณเขตพระราชวังประกอบด้วย หมู่พระราชมณเทียรฮาวามาฮาล (Hawa Mahal) สวนสาธารณะ และทะเลสาบขนาดเล็ก ยังมีป้อมนาฮาการ์ (Nahargarh Fort) ซึ่งเป็นที่พระราชวังที่ประทับของมหาราชาสวาอี (ชัยสิงห์ที่ 2) ตั้งอยู่บนเชิงเขาทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือของเขตเมืองเก่า และยังมีหอดูดาวจันตาร์ มันตาร์ (Jantar Mantar) ซึ่งได้รับการคัดเลือกเป็นมรดกโลกโดยองค์การยูเนสโก

อาหารที่นี้ส่วนตัวว่าแพง เคยกินเฉาเมี่ยน หมี่จีนจานละไม่กี่บาทเอง แต่ที่นี้ เกือบ200รูปี คงเป็นเพราะ จัยปูร์ในตอนนี้เป็นเมืองท่องเที่ยว 100 เปอร์เซ็นแล้ว แต่ก็เป็นเมืองที่จุดเช็คอินเเต่ละจุดสวยมากจริงๆ

จอร์ดปูร์และจัยปูร์ อ่านบทความท่องเที่ยวได้ ที่นี่ เลย


มาต่อที่ อากรา เมืองที่มี 1 ใน 7 สิ่งมหัศจรรย์บ้าง

แน่นอนว่าคนส่วนใหญ่ต้องมาร์กเมืองนี้ลงแพลนเที่ยวของตัวเอง มาแล้วก็ต้องมาดูหน่อยมั้ย เป็น1ใน7เชียวนะ และความเป็นมาของทัชมาฮาลมันก็สุดๆ ฟังแล้วซึ้งน้ำตาแตก

ทัชมาฮาลเป็น 1 ใน 7 สิ่งมหัศจรรย์ ที่มหัศจรรย์จริงๆแหระ ไม่มีเครื่องจักรใช้แรงงานคนทั้งหมดประมาณ 20,000คน ใช้เวลาสร้างนานถึง 22 ปีและจะสร้างทัชมาฮาลมาเนี่ย ต้องสร้างนั่งร้านขึ้นไปก่อนโดยใช้อิฐแดงสร้างนั่งร้าน พอสร้างทัชมาฮาลเสร็จต้องรื้อนั่งร้าน ทั้งคนงาน ทั้งขุนนางที่ดูแลการก่อสร้างเนี่ยก็บ่นอีดออดมามันรื้อยากและใช้เวลานาน พระเจ้าชาจาร์ฮานจึงรับสั่งว่า จะยกอิฐแดงให้ทุกคนที่รื้อนั่งร้านนั้น และนั่งร้านก็ถูกรื้อลงอย่างง่ายดายและรวดเร็ว


ทัชมาฮาล อนุสรสถานแห่งความรักของพระเจ้าชาจาร์ฮาน มีให้พระมเหสีมุมตัซ มาฮาล พระเจ้าชาจาร์ฮานสร้างทัชมาฮาลให้เป็นสุสานของคนที่พระองค์รัก และประวัติศาสตร์อินเดียกล่าวไว้ว่า พระเจ้าชาจาร์ฮานเนี่ยใช้เงินในท้องพระคลังมาสร้างทัชมาฮาล และเสียใจกับการจากไปของพระมเหสีมากจนไม่เป็นอันบริหารบ้านเมือง จนลูกชายของพระองค์ทนไม่ได้จึงจับพระองค์ไปขังและขึ้นบริหารแทน พระเจ้าชาจาร์ฮานถูกขังไว้จนถึงวาระสุดท้ายของพระองค์ และในวาระสุดท้ายของพระองค์ก็ทรงนอนมองทัชมาฮาลผ่านช่องกระจกในห้องที่พระองค์ทรงประทับและจากไปในที่สุด



และที่นี้ต้องบอกว่ารอบๆ ทัชมาฮาลมีที่พักใกล้ๆ เยอะและไม่แพงมากนักอยู่ นั้นทำให้เราสามารถเดินไปทัชมาฮาลได้ไง

สำหรับเราเราพักที่ Moustache Agra งานดีมาก สะอาด อาหารอร่อย ราคาไม่แพง ที่สำคัญคือ receptionist หล่อมากกกกกกกกกกกกกกกกกก ฮ่าๆๆๆๆ



การเดินทางไม่มีไฟท์บินตรงเด้อ แต่มาลงที่เดลี หรือลัคเนาว์แล้วนั่งรถไฟมาได้นะ

ไฟล์มาเดลีเนี่ย ถ้าเจอโปรดีดี ถูกสุดไปกลับ 7XXX ส่วนลัคเนาว์เนี่ยราคา ประมาณ 4XXX บาทต่อเที่ยว

แล้วนั่งรถไฟหรือจะบัสก็ได้ ตอนนั้นจากเดลีไปอากราเราไปโดยบัส (ไม่ชอบเท่าไรชอบรถไฟมากกว่า)


อ่านบทความเที่ยวอากราได้ ที่นี่ เลย


มาที่ลำดับที่ 6 นิว เดลี เที่ยวง่ายมากกกกกกก แต่ที่จัดให้อยู่ในลำดับสุดท้ายเพราะ ไดร์เวอร์โกง พ่อค้าแม่ขายโกงเยอะมากที่สุดเช่นการ การพบเจอการชาร์จราคาสูงเวอร์วังเยอะที่สุด การไม่ยอมทอนเงิน ทอนไม่ครบเยอะสุด แต่เที่ยวง่ายสุด จริงๆ

ไฟท์บินถ้าทันโปรต่ำสุดก็ประมาณ 7XXX บาท แต่เมื่อปลายปี 2018 เจทแอร์เวย์มีโปรลดมาถึง เจ็ดพันและยังมีสิทธิพิเศษสำหรับลูกค้าทรูลดอีกหนึ่งพันก็ประมาณ 6XXX บาท ซึ่งอย่าถามเราไม่เคยทันโปรเลย TT.TT แต่ถ้าอยากบินสบายไร้กังวลก็ไปกับการบินไทยได้ ราคาไปกลับเดลีอยู่ที่ 10,500 บาท ขึ้นลงตามช่วง แต่ราคากลางๆคือ 10,500 บาท

นิวเดลี เป็นเมืองหลวงเก่าแก่ของอินเดีย ประมาณการณ์ว่าก่อสร้างเมื่อ 5000 ปีก่อนคริสตกาล ส่วนสิ่งก่อสร้างที่เก่าแก่ที่สุดที่ค้นพบในปัจจุบันมีอายุประมาณ 300 ปีก่อนคริสตกาล มีเมืองโบราณหลายแห่งถูกขุดพบในเขตการปกครองเดลีในปัจจุบัน พื้นที่เขตเดลีเป็นศูนย์กลางการปกครองของอาณาจักรอินเดียโบราณถึง 7 อาณาจักร

หลังจากสหราชอาณาจักรได้ยึดครองอินเดียเมื่อ ค.ศ. 1857 ได้ย้ายเมืองหลวงไปยังกัลกัตตา แต่เดลีก็ได้กลับมาเป็นเมืองหลวงอีกครั้งใน ค.ศ. 1911 โดยมีการสร้างเมืองใหม่ขึ้นมา และใช้ชื่อว่านิวเดลี


นิวเดลีเป็นที่ตั้งของรัฐบาลอินเดียหลังได้รับอิสรภาพเมื่อ ค.ศ. 1947

เดลีมีเมโท (รถไฟฟ้าใต้ดิน) เยอะมากๆ หลายเส้นทาง หลายสถานี ทุกๆที่ที่มีแลนด์มากร์สำคัญ เมโทไปถึงมีสถานีนั้น เช่น ป้อมแดง ก็ไปลงสถานี red Fort จะไปเดินตลาดแชนดี้โชก ก็ไปลงสถานีนั้น จะไปใจกลางเมืองอย่าง เคาว์เนอเพลส ก็มีหลายสถานีมากๆไม่ว่าจะเป็น จันปัน ราจีดโชก เคาว์เนอเพลส หลายตัวเลือก สำหรับผู้หญิงถ้ากลัวว่าจะไปเบียดเสียดไม่ชอบการเบียดเสียดกับแขกหนุ่ม ก็เดินไปโบกี้หน้าสุด ทุกขบวนของรถไฟอินเดีย ตู้หน้าสุดจะเฉพาะผู้หญิงเท่านั้น ไม่ต้องกังวลนะคะ

เราไปที่นี้มา 2 ครั้ง หัวร้อนบ่อยมากทั้ง 2 ครั้งเลย คือคนที่นี้ชอบตื้อมากๆๆๆๆ ต้องเล่นบทนางร้าย แผดเสียงแว๊ดๆตลอด ถึงจะเลิกตื้อ บอกว่าไม่ไป ไม่ไง ไอเซย์โนวายยูด๊อทอันเดอสแตน ตลอดเลยยยยย TT.TT

การขายของ ทุกๆสิ่งที่นี้ อัพราคาสูงเวอร์ เพนท์เฮนน่าราคาจริงแค่ 100-150 รูปีแค่นั้นแหระ ขายเรา มือละ 600 รูปี เราไม่จ่าย เพราะนางมาคว้ามือเราไปเองเราจะเอากำไรตอนแรกคิดว่าแถม เพราะเราซื้อกำไลเขาตั้ง 2 วง ป๊าววว ยัดเยียดอ่ะ ต่อมาเหลือ 2 มือ 600 รูปี แต่ มันร้อยเดียว 2 มือก็ 200 ป๊ะ แล้วจ่ายไปตั้ง 600 รูปี คนอินเดียบทรถไฟที่เจอบอกว่ามันแค่ 100 รูปีเท่านั้นแหระยู เงิบไปดิ

ไ่ปซื้อต่างหู เห็นผู้หญิงอินเดียจ่ายไป 100รูปี 2 อัน พอเราถามนางบอก ราวนี้ทั้งราว อันละ 200 รูปี ข้าหยิบอันเดียวกับที่ผู้หญิงคนนั้นหยิบอ่ะ เขาหยิบราวนั้น 2 อัน ข้าก็หยิบราวเดียวกับเขาเนี่ย วาง พอ ไม่จริงใจไม่ซื้อ แล้วกลับไปที่ร้านรอบ2 แฟนว่างมาพาเที่ยว ให้แฟนซื้อ แฟนเป็นคนอินเดีย ไม่รู้คุยไรกัน มันเป็นภาษาฮินดีไม่เข้าใจ นางซื้อมาใน ราคา 50 รูปี ตอนแรกบอก 200 =..= เอาเหอะ .... ไม่พอ ตอนที่เที่ยวกับนางแล้วนางมัวโม้กับรปภ.แถวนั้น เราอยากได้พวงกุญแจ เดินไปคนเดียว พ่อค้าบอก 200 รูปี ดินสอธรรมดาแต่มีลวดลายอินเดีย 150 รูปี ลังเลหนักหน่วงมาก พอแฟนมาหยิบ ถามราคา(เป็นภาษาอังกฤษ) ตอนแรกพ่อค้าบอกราคาเท่าที่บอกเรา แล้วแฟนก็พ่นภาษาฮินดี พวงกุญแจเหลือ 100 รูปี ดินสอ 70 รูป เหมา 3 อย่าง เอาต่างหูไม้ด้วย ซึ่งเขาบอกเรา 150 รูปี แต่ทั้งหมดทั้งมวล แฟนซื้อให้ทั้ง 3 อันในราคา 250รูปี กราบบบบบบบ เขาขายในราคาที่คูณ2ขึ้นไปเลยอ่ะ ดังนั้นจะซื้ออะไรก็ต่อเยอะๆนะคะ

อ่านบทความเที่ยวเดลีได้ ที่นี่ เลย


จริงอินเดียเป็นประเทศที่มีเสน่ห์มากๆ ไปแล้วถ้ารักก็รักเลย ถ้าไม่รักก็เกลียดเลย แต่เราอ่ะ รักอินเดียเต็มเปายังไงก็สามารถติดตามเรื่องราวการเดินทางอื่นๆของเราได้ที่ >> แบกกล้องชิว เที่ยวไปเรื่อย นะคะ วันนี้ลาไปด้วยคลิปวิดีโอนะคะ บ๊ายบาย

หญิงเถื่อน Solo Traveler

 วันอังคารที่ 15 มกราคม พ.ศ. 2562 เวลา 20.46 น.

ความคิดเห็น