"อยากอยู่กับเขา อยากไปนอนกอดเขาอ่ะ"

คำพูดธรรมดาๆ ที่ทำให้คนข้างๆ ตกใจ เขาไหน ... ก็เขาหิมาลัยไงล่ะ ^^

ทริปนี้ไม่ได้ตั้งใจว่าจะไปปีนี้หรอก เพราะตอนแรกตั้งใจจะไปทริปตามฝัน "ทรานไซบีเรีย" โดยเริ่มนั่งรถไฟจากปักกิ่ง แต่พอหาข้อมูล รถไฟจากปักกิ่งไปมองโกเลีย ยังไม่เปิดให้บริการนับตั้งแต่โควิด แพลนทรานไซบีเรียของเราก็เลยต้องพับเก็บไปโดยปริยาย แล้วก็นึกขึ้นมาได้ว่า ทริปเลห์ ลาดักห์ ไง เป็นอีกทริปที่เราอยากไป ทริปกอดเขาของเราเลยเกิดขึ้น 

เลห์อยู่ตรงไหน

เลห์ เป็นเมืองหลวงของรัฐ ลาดักห์ (Ladakh) คนเลยนิยมเรียกว่า เลห์ ลาดักห์ จากแผนที่ รัฐลาดักห์ คือ สีเขียว อยู่บนสุดเลย ติดกับปากีสถาน และจีนค่ะ ทำให้คนที่นี่ หน้าตาออกไปทางทิเบตมากกว่าอินเดีย


ไปเลห์ยากมั้ย

จะบอกว่ายากก็ยาก จะง่ายก็ง่ายนะคะ จริงๆ เราเป็นคนชอบเที่ยวเอง ไม่ใช้บริการทัวร์ แต่ทริปนี้ ยังไงก็ต้องใช้รถพร้อมคนขับท้องถิ่น จะมาขับเองไม่ได้นะ ไหนจะเส้นทางที่ขับบนเขาตลอด ป้ายบอกทางแทบไม่มี อินเตอร์เน็ตมีแค่บางช่วงเท่านั้น แม้จะเป็นซิมของท้องถิ่นก็ตาม และตลอดทางมีทหารเยอะมากจ้า จะมีการตรวจใบอนุญาตผ่านทางต่างๆ ขับรถเที่ยวเองที่เลห์ ลืมไปได้เลย อ้าว แล้วไปยังไงล่ะ มาทำความเข้าใจกันสำหรับใครที่อยากไปเที่ยวเลห์

1. แบบ Private Group สำหรับคนที่อยากไปแบบ private ไม่ต้องรวมกับคนอื่น ถ้ามีกัน 4 - 10 คน ไปแบบ private ได้เลยค่ะ ยิ่งคนเยอะ ราคายิ่งถูก ซึ่งจะให้ Agent ที่ไทยจัด หรือหา Agent ที่เลห์ แล้วติดต่อไปเองก็ได้ เราลองติดต่อ Agent ที่เลห์เองด้วย เลยพอทราบราคา แต่เราไปกัน 2 คน แอบเหงานะ เพราะเราจะอยู่กับเขาหิมาลัย และคนขับรถตลอด 7-8 วันเลย

2. แบบ Join Group สำหรับเราไปกันแค่ 2 คน เลยเลือกแบบนี้ค่ะ ซึ่งการ Join Group ก็จะมี 2 แบบ

- แบบกรุ๊ปทัวร์ที่มีขายทั่วไปแบบมีหัวหน้าทัวร์ มีไกด์นำเที่ยว บินไปพร้อมกัน กลับพร้อมกัน อย่างที่บอกว่าเราชอบเที่ยวเอง ไม่ชอบมีไกด์ แบบนี้เลยตัดไป หรือบางทัวร์ก็เป็นทัวร์ถ่ายภาพที่จะมีช่างภาพมืออาชีพไปด้วย ราคาก็จะแรงมาก แต่จะบอกว่า ไม่ต้องถ่ายภาพเก่ง เพราะที่เลห์ ถ่ายยังไงก็สวยค่ะ ด้วยภูมิประเทศที่สวยมากๆ อยู่แล้ว กดชัตเตอร์มั่วๆ ก็สวย เชื่อเราสิ (ปล. ทั้งทริปเราใช้ iPhone15 อย่างเดียวเลย)

- แบบไม่มีหัวหน้าทัวร์ แต่ประสานงานทุกอย่างไว้ให้หมด ที่พัก รถ คนขับ โปรแกรมต่างๆ ซึ่งเราเลือกแบบนี้ค่ะ จะได้ฟีลไปเที่ยวเอง แต่มีคนประสานงานดูแลทุกอย่างให้ สะดวกสบายดี

เราเลยติดต่อไปยังเพจ Julley Leh ซึ่งตอนนั้นทางเพจกำลังโปรโมท Join Group เดือน เมษายน 2567 พอดี รับเพียง 5-10 ท่านเท่านั้น เออ ดีนะ กรุ๊ปเล็กดี เรามีกัน 2 คน ก็มีคนไทยคนอื่นมาจอยเพิ่ม มีเพื่อนร่วมทางก็น่าจะสนุกดี ราคาไม่แรงด้วย เราคิดแค่นี้ค่ะ ขอดูโปรแกรม แล้วก็จองโลด


ไปเลห์เตรียมอะไรบ้าง

1. สิ่งสำคัญเลย คือ ยาป้องกันและบรรเทาอาการเมื่อเดินทางขึ้นที่สูง หรือที่รู้จักกันว่า Diamox ยานี้สำคัญมากค่ะ ต้องเตรียมไป และให้เริ่มกินตั้งแต่มื้อเช้าก่อนไปถึงเลห์ 1 วัน และกินต่อเนื่องทุกเช้าจนจบโปรแกรมที่เลห์ค่ะ ต้องกินยา Diamox เผื่อไว้นะคะ แม้ไม่มีอาการอะไร เพราะยานี้ คือ มีไว้เพื่อป้องกัน ถ้ารอมีอาการค่อยกิน ไม่ทันแล้วค่ะ อาจจะต้องให้ออกซิเจน หรือไปโรงพยาบาลแทนแล้ว

2. ยาอีกชนิดนึงที่ควรนำไป แต่ไม่มีใครบอก นั่นคือ ยาแก้เมารถค่ะ สำหรับใครที่เมารถ ต้องเตรียมไปเลย เพราะโปรแกรมที่เลห์ คือ ขับบนเขา คดไปคดมา รวมถึงมีช่วงถนนขรุขระด้วย มีเวียนหัวได้นะ เรานำไปแค่ยาดม ไม่พอจริงๆ โชคดีที่เพื่อนร่วมทริปนำยาแก้เมารถไป ค่อยยังชั่ว

3. ยาสามัญประจำบ้านอื่นๆ ปวดหัว ปวดท้อง ไอ หวัด ยาดม อะไรพวกนี้ ต้องพกไปนะคะ เพราะโรงพยาบาลจะมีแค่ในเลห์ แต่พอออกไปเที่ยวรอบๆ จะมีแค่ศูนย์อนามัยค่ะ ร้านขายยาอะไรก็น่าจะลำบากนะ พกไปเถอะ จริงๆ เวลาไปต่างประเทศ ยาสามัญฯ พวกนี้ ก็ต้องพกไปอยู่แล้ว

4. อุปกรณ์กันหนาวต้องพร้อม เช็คอุณหภูมิก่อนไปนะคะ เราไปเมษายน คือ ยังหนาวมาก อากาศยังติดลบ ถ้าเช็คจากแอพพยากรณ์ เมืองเลห์ อยู่ที่ -9 จนถึง 9 องศาเซลเซียส แต่จุดที่ขึ้นที่สูงต่างๆ หรือ ทะเลสาบ นี่ไม่รู้จะเช็คยังไงเลย หนาวกว่านี้แน่นอน และสำคัญเวลาดูแอพพยากรณ์เนี่ย ต้องดูค่า feels like ด้วยนะ คือ บางที อุณหภูมิ -9 ก็จริง แต่รู้สึกเหมือน -16 เพราะมีปัจจัยอื่นๆ เช่น ลม ทำให้รู้สึกหนาวกว่าอุณหภูมิจริง ดังนั้น เสื้อกันหนาว เสื้อโค้ทขนไปค่ะ ถุงมือ ถุงเท้า ที่ปิดหู ผ้าพันคอ พวกนี้สำคัญมาก แต่ถ้าเป็นฤดูร้อน อาจจะหนาวแค่กลางคืน และจุดขึ้นที่สูง ยังไงเช็คอากาศกันก่อนไป หรือถามทัวร์ และไกด์ด้วยนะ ถ้าอุปกรณ์พร้อม จะได้เที่ยวสนุกค่ะ

ไปอินเดีย ขอวีซ่าด้วย

ก่อนเดินทางไปอินเดีย ต้องขอวีซ่าด้วยนะคะ เป็นวีซ่าที่ขอผ่านเว็บไซต์ได้เลย ราคา 25 ดอลลาร์สหรัฐ ระยะเวลาอยู่ได้ 30 วัน หลังจากวีซ่าอนุมัติค่ะ แนะนำว่าให้ขอก่อนไปสัก 10 วัน เผื่ออนุมัติช้า แต่ของเราวันรุ่งขึ้นก็อนุมัติแล้ว ไวมาก

แลกเงิน

อินเดีย ใช้สกุลเงินรูปี ถ้าไปแลกเงินที่ Superrich ไม่ว่าจะสำนักเขียว หรือสำนักส้ม ต้องไปสำนักงานใหญ่ ตรงราชดำริเท่านั้นนะคะ พวกสาขาตามห้างจะไม่มีสกุลนี้ แล้วก็แลกแบงค์ย่อยไปด้วย แบงค์ 20 50 ต้องเผื่อไปจ้าถ้าแวะเที่ยวเดลี ไม่ได้เที่ยวแค่เลห์อย่างเดียว โดยเฉพาะถ้าขึ้นแท๊กซี่ หรือ ซื้อ street food อาจจะเจอว่า ไม่มีเงินทอนนะ อัตราแลกเปลี่ยนตอนเราไป คือ 1 รูปี = 0.43 บาท (คิดง่ายๆ  100 รูปี = 43 บาทค่ะ) เวลาจะซื้ออะไร คิดไวๆ ง่ายๆ ก็หาร 2 เป็นเงินบาทเลย

 
ไปเลห์ที่เดียวเหรอ

แน่นอนค่ะว่า ไปอินเดียทั้งที จะพลาดเมืองหลวง และสิ่งมหัศจรรย์ของโลกได้ยังไงกัน เพราะการจะไปเลห์ ยังไงก็ต้องไปต่อเครื่องที่เดลี เราเลยแวะเที่ยวเดลีด้วยเลย และอีกที่ที่เราอยากเห็นด้วยตาตัวเอง ก็คือ ทัชมาฮาล ดังนั้น ทริปนี้เราเลยเที่ยว 3 เมืองกันไปเลย เดลี (Delhi) อาครา (Agra) และ เลห์ (Leh)

เมืองเดลี (Delhi) คือเมืองสำคัญของอินเดีย โดยแบ่งเป็น Old Delhi และ New Delhi คล้ายๆ กับฝั่งธน และฝั่งพระนครของบ้านเราเนี่ยแหละ ซึ่งเมืองหลวงของอินเดีย ก็คือ New Delhi นั่นเอง

เมืองอาครา (Agra) อยู่ในรัฐอุตตรประเทศ (Uttar Pradesh) ภาษาไทยมักเขียนว่า อัครา (อ่านว่า อักคะรา) แต่จริงๆ คนอินเดีย เรียกว่า อาครา หรือ อากร้า ค่ะ เมืองนี้ คือ เมืองที่มีสิ่งมหัศจรรย์ของโลก นั่นคือ ทัชมาฮาล ระยะทางห่างจากเมืองเดลี ประมาณ 250 กม. สามารถไปได้ทั้งรถไฟ และรถยนต์ ใช้เวลาประมาณ 3- 4 ชั่วโมง

โดยระหว่างที่อยู่ที่เดลี และ อาครา เราก็ใช้บริการจาก Julley Leh ซึ่งติดต่อรถซีดาน พร้อมคนขับให้เราตลอดทั้ง 2 วันเลย ไปตามโปรแกรมที่ตกลงกันไว้ ไม่รวมค่าอาหาร และที่พักค่ะ ซึ่งโรงแรมเราหาเองนะคะ คนขับก็จะไปส่งตามโปรแกรม บอกเลยว่าสะดวก และปลอดภัยมากๆๆๆ

ปล. ข้อมูลและราคาต่างๆ จะเป็นของเดือน เมษายน 2567 นะคะ ราคาของทริปจะอยู่ท้ายสุดจ้า


Day 1 : Bangkok - Delhi

เราบินออกจากสุวรรณภูมิ ด้วยสายการบินไทย น้ำหนักกระเป๋าได้ 30 กก. ไปลงที่เมืองเดลี เมืองหลวงของอินเดีย โดยใช้เวลาประมาณ 4 ชั่วโมง เครื่องดีเลย์นิดหน่อย กว่าจะออกก็เกือบเที่ยงคืนแล้ว ข้ามไป Day 2 เลยนะคะ

Day 2 : Delhi - Agra

เวลาที่อินเดีย เร็วกว่าไทย 1 ชั่วโมงครึ่ง ถึงสนามบิน ผ่าน ตม. รับกระเป๋าเสร็จ เพิ่งจะตี 3 เอง เราก้อแปรงฟัน ล้างหน้า แต่งหน้า เปลี่ยนเสื้อผ้ารอ 

พอ 6 โมงเช้า คนขับรถก็มารับค่ะ คนขับของเรา ชื่อ Puran พูดภาษาอังกฤษได้ดีเลยแหละ แต่สำเนียงอินเดียจะฟังยากหน่อย ไม่คุ้นหูคนไทยเท่าไร ระหว่างทาง ก็ขับดูเมืองไปทั่วๆ ด้วยนะ ผ่านตรงไหน ตึกอะไร Puran ก็จะอธิบายด้วยว่าแต่ละแห่งคืออะไร 

อุณหภูมิช่วงเมษายนที่ เดลี และอาครา คือ ตั้งแต่ 17 องศา ถึง 37 องศาค่ะ เช้าๆ เย็นสบาย แล้วก็ร้อนขึ้นเรื่อยๆ จนพีคสุดก็ช่วงบ่ายๆ ดังนั้น เราจึงวางโปรแกรมเที่ยวช่วงเช้าค่ะ ช่วงบ่ายเป็นการเดินทางระหว่างเมือง อยู่ในรถ มีแอร์เย็นๆ แนะนำให้แพลนแบบนี้ จะได้เที่ยวสนุกๆ หน่อยค่ะ เพราะเจออากาศร้อนมาก ไม่ไหวนะ

แผนที่สถานที่ท่องเที่ยวหลักๆ ของเดลีจ้า แต่เราไปแค่บางที่เท่านั้นนะ ไฮไลท์ๆ พอ 


India Gate
ที่แรกที่เราไป คือ India Gate หรือประตูเมืองอินเดีย สร้างขึ้นเพื่อเป็นอนุสรณ์แก่เหล่าทหารที่เสียชีวิตในสงคราม หน้าตาก็จะคล้ายๆ ประตูชัยที่ปารีสค่ะ แต่ปลอดภัยกว่าตรงที่ไม่ต้องยืนถ่ายกลางถนนแบบที่ปารีส เพราะที่นี่จะเป็นลานกว้างๆ ไม่มีรถวิ่ง ไม่ต้องคอยมองรถ เรามาที่นี่แต่เช้าตรู่ ถึงประมาณ 6.30 แสงอาทิตย์รำไร และไม่มีคนเลย สวยมาก


Old Delhi 

ข้ามไปฝั่ง Old Delhi ค่ะ โอ้โห ภาพจำอินเดียมาเต็ม มีวางขายผัก ผลไม้ บนพื้นถนนเลย พร้อมกับขยะเต็มถนน ซึ่ง Puran บอกว่า นี่คือ Fruit & Vegetable Market ซึ่งเรานั่งในรถ ถ่ายภาพไม่ได้เลย เพราะถนนวุ่นวายมากจริงๆ แอบเสียดายนิดนึง เลยขอเอารูปจาก google ที่ใกล้เคียงมาให้ดูนะคะ

cr. google

ส่วนคนนั้นก็พลุกพล่านมากไม่ต่างจากรถ แล้วก็มีรถลากโดยวัววิ่งบนถนนอีกนะ ปนเปกันไปหมด สนุกสนานวุ่นวายมากค่ะ ตลอดทางเราจะได้ยินเสียงแตรตลอดเวลา แทบไม่มีจังหวะพักหูกันเลยทีเดียว Puran เล่าว่า มีเพียง 30% เท่าน้ั้นที่เรียนขับรถ อีก 70% หัดขับกันเอง ก็จะไม่ได้ตามกฎกันเท่าไร


Humayun's Tomb
ที่ถัดไป เราไปสุสานกันบ้าง เป็นสุสานหลวงที่บรรจุพระบรมศพของจักรพรรดิหุมายูน ซึ่งเป็นสุสานหลวงที่ใหญ่ที่สุดแห่งเมืองนิวเดลี และเป็นสุสานที่มีสวนอยู่ด้วยแห่งแรกในอนุทวีป (เอเชียใต้) เป็นสิ่งก่อสร้างที่ใช้หินทรายแดงเป็นวัสดุหลัก ศิลปะผสมแบบโมกุลกับอิสลาม ใช้เวลาก่อสร้างถึง 7 ปี งดงามและยิ่งใหญ่มากๆ ค่ะ และที่นี่ยังเป็นแรงบันดาลใจในการสร้างทัชมาฮาลด้วย บอกเลยว่าคนน้อยมาก สวยมาก

ค่าเข้า นักท่องเที่ยว 600 รูปี แต่ถ้ายื่น passport ไทย เหลือ 40 รูปี

ถ่ายจากบนสุสานลงไป
ถ่ายใกล้ๆ ไปเลย
นอกจากสุสานหูมายูง ยังมีสุสานเล็กๆ อื่นในพื้นที่ด้วยนะ


Ugrasen Ki Baoli
ถัดมา ไปต่อกันที่นี่ เป็นบ่อน้ำโบราณ ที่ตอนนี้ไม่ใช้งานแล้ว ซึ่งเป็นสถาปัตยกรรมที่สวยมาก และหากใครเคยดูภาพยนตร์อินเดียชื่อดัง "PK" ที่นี่ก็เป็นโลเคชั่นในภาพยนตร์ด้วยนะ ซึ่งเราเห็นปุ๊บ จำได้ปั๊บเลย


เปรียบเทียบกับรูปในภาพยนตร์ค่ะ

รูปจากภาพยนตร์อินเดีย "PK"
รูปจากภาพยนตร์อินเดีย "PK"


หลังจากเที่ยวเสร็จ เพิ่งจะ 10.30 เอง เราเลยให้ Puran ตรงไปเมืองอาครา ไปกินมื้อเที่ยงที่อาคราเลยแล้วกัน ใช้เวลา 3 ชั่วโมง เราก็มาถึงเมืองอาคราแล้ว Puran พาไปร้านอาหารอินเดีย ชื่อ Bon Barbeque ตอนแรกนึกว่าเป็นบาร์บีคิว อ้าว เป็นร้านบุฟเฟต์อาหารอินเดียนี่นา มารู้ทีหลังว่าในอดีตเคยเป็นร้านบาร์บีคิวค่ะ เสียดาย อยากทานบาร์บีคิว เพราะอาหารอินเดีย เราจะต้องกินอีกยาวๆ หลายวันแน่นอน 

แต่ด้วยความที่เรากับแฟนชอบกินอาหารอินเดียอยู่แล้ว ไม่มีปัญหากับการกินแกงอินเดีย และแป้งนานแต่อย่างใด สำหรับเรา ด้วยความเป็นสายเนื้อ ขอให้มีเนื้อสัตว์คือได้หมด แต่ถ้าเป็นแกงถั่วแบบที่คนอินเดียชอบ เรากินไม่เป็นค่ะ ที่นี่ก็มีแกงไก่ แกงแกะ มีผัดไก่ต่างๆ ซุปมะเขือเทศ สำหรับเรา อร่อยเกือบทุกอย่าง กว่าจะทานเสร็จก็บ่าย 3 ละ อิ่มมาก ควบมื้อเย็นไปได้เลย 

อาหารที่นี่ ราคาบุฟเฟต์หัวละ 918 รูปี (รวม vat และ service charge แล้ว) ราคานี้ รวมชาร้อน กาแฟร้อนแบบซอง ชงเองได้เลย แล้วก็รวมไอศครีมปิดท้ายด้วยนะ แต่ถ้าอยากดื่มเครื่องดื่มอื่นๆ ก็สั่งเพิ่มได้


หลังจากอิ่มแล้ว เราก็ไปเช็คอินค่ะ พักผ่อนนิดหน่อยหลบแดด แล้วค่อยออกมาเที่ยวกันต่อ ที่เมืองอาครา เราพักที่ Hotel Taj Resort ซึ่งอยู่ใกล้กับทัชมาฮาลมากค่ะ แค่เดินไปไม่เกิน 10 นาที พรุ่งนี้เช้า เราจะได้ไปทัชมาฮาลแล้ว

ประมาณ 16.00 Puran ซึ่งจอดรถรออยู่แล้ว ก็พาไปเที่ยวต่อ เราจะไปอีก 2 ที่ค่ะ เพราะอยู่ใกล้ๆ กัน


Itmad-ud-Daula (Baby Taj)

เป็นสุสานแห่งแรกในอินเดียที่สร้างด้วยหินอ่อนสีขาว เป็นต้นแบบในการสร้าง Taj Mahal (ทัชมาฮาล) แต่ขนาดเล็กกว่า จึงเรียกที่นี่ว่า Baby Taj (เบบี้ทัช)

ค่าเข้า นักท่องเที่ยว 315 รูปี แต่ถ้ายื่น passport ไทย เหลือ 35 รูปี


เป็นสถาปัตยกรรมที่สวยงามมาก มีการประดับอัญมณีฝังลงไปในหินอ่อน และแกะสลักลวดลายดอกไม้ ช่างเป็นสุสานที่อ่อนหวานจริงๆ


Mehtab Bagh (Taj Viewpoint)

มาต่อกันที่จุดชมวิวด้านหลังทัชมาฮาลค่ะ ซึ่งมีเพียงแม่น้ำยมุนากั้นอยู่ รถจะจอดได้แค่ที่ลานจอดรถ แล้วต้องเดินต่อเข้าไป หรือจะจ้างรถตุ๊กตุ๊กก็ได้ แต่เราเดินค่ะ ไม่ไกลเลย พอเดินไป จะเจอ Mehtab Bagh ก่อน ตรงนี้จะเป็นสวน เราต้องเดินเลี้ยวขวาต่อเข้าไปอีก ถึงจะเป็น Taj Viewpoint ที่เราไปถ่ายรูป 

จะบอกว่า ที่นี่เราจะได้เห็นทัชมาฮาลแบบเต็มๆ ไม่มีอะไรขวางกั้นเลย สวยงามไปอีกแบบนะ ตรงกลาง คือ Taj Mahal ด้านข้างอีก 2 ตึกที่เห็น นั่นคือ Taj Mahal Mosque และ Mehmaan Khana ซึ่งอยู่ในรั้วเดียวกับทัชมาฮาลเลยค่ะ

ค่าเข้า 50 รูปี 

จบวันนี้ Puran ไปส่งที่โรงแรม เรารีบพักผ่อนค่ะ เพราะพรุ่งนี้มีแพลนแต่เช้าตรู่เลย


Day 3 : Agra - Delhi

Taj Mahal

เช้าวันนี้ เราตื่นตั้งแต่ 4.30 เพื่อเตรียมตัวเดินไปทัชมาฮาล หนึ่งในสิ่งมหัศจรรย์ของโลกยุคใหม่ ด้วยความที่โรงแรมใกล้มาก คือ ถนนเส้นเดียวกับทัชมาฮาลเลยค่ะ คล้ายๆ กับถนนคนเดิน รถที่จะเข้ามาได้ คือ มาส่งคนที่โรงแรมเท่านั้น เราสามารถเดินไปทัชมาฮาล ฝั่งประตู East ได้ เพียงไม่เกิน 10 นาที เราก็กลัวว่าคนจะเยอะ เลยรีบออกตั้งแต่ 5.30 อ้อ ห้ามเอาขาตั้งกล้องไปนะคะ ง่ายๆ คือ ทุกที่เลยที่เป็นสถาปัตยกรรม สุสาน ห้ามใช้ขาตั้งกล้องจ้า เดินไปถึง คนยังไม่เยอะ เราใช้เวลาซื้อตั๋วไม่ถึง 1 นาที ไวไปมั้ยเนี่ย ^^ และสามารถแลกน้ำได้คนละ 1 ขวดด้วยนะ จากนั้นก็เดินเข้าไปโลด

ค่าเข้า จะมี 2 แบบนะคะ คือ แบบแรก เฉพาะบริเวณ Outdoor ไม่เข้าไปด้านในโดม กับแบบสอง รวมด้านในด้วย 

ถ้าติดตามอ่าน blog ของเรามาตลอด จะเห็นว่า เราเป็นคนที่ไม่ชอบดูด้านในทุกประเภทค่ะ ไม่ว่าจะโบสถ์ วัง พิพิธภัณฑ์ ชอบถ่ายรูปกับสถาปัตยกรรมสวยๆ และธรรมชาติ ดังนั้น เราซื้อแค่ด้านนอกแน่นอน 

ค่าเข้า เฉพาะด้านนอก นักท่องเที่ยว 1,100 รูปี แต่ถ้ายื่น passport ไทย เหลือ 540 รูปี ถ้าเข้าด้านในโดมด้วย เพิ่มอีก 200 รูปี (ไม่มีส่วนลด)


จุดนี้ คือ จุดที่ถ่ายรูปได้สวยที่สุดค่ะ ไม่ติดคนแน่นอน ให้เดินตรงเข้ามาก่อนเลย แล้วจะเห็นคิวต่อแถวถ่ายทีละคนนะคะ ให้สลับกัน เราไปต่อคิว แฟนเรารอถ่ายให้ พอเราถ่ายเสร็จ แฟนก็ไปต่อคิว เราก็เช็ครูป รอถ่ายให้ ซึ่งเราไปแต่เช้า เราก็วนต่อคิวแบบนี้อยู่ 3 รอบสบายๆ เพราะคนน้อย แป๊บๆ ถึงคิว ถ่ายจนฉ่ำเลย จนลงความเห็นว่า พอแล้วล่ะ ไปเดินมุมอื่นได้แล้ว ไปดูทัชมาฮาลแบบใกล้ๆ กัน อ้อ เวลาที่เราต่อคิวสลับกันถ่ายรูป ก็จะมีช่างภาพอินเดีย มาเนียนถ่ายรูปเรา แล้วเอามาขายด้วยนะคะ อยากจะอุดหนุนก็ได้นะ แต่เราพอใจในรูปเราแล้ว แม้จะใช้กล้อง iPhone ^^


เราอยู่ที่นี่กัน 2 ชั่วโมงกว่า ชื่นชมความงามของทัชมาฮาลจนอิ่ม เลยเดินกลับโรงแรม เข้ามาประตูไหน ออกทางเดิมนะคะ จะได้ไม่งง จากนั้นเราก็ทานอาหารเช้าที่โรงแรม ทานกันไปเยอะเลย อิ่มมาก ^^ อาบน้ำอีกรอบ เก็บของ เช็คเอาท์ค่ะ แล้วนัดให้ Puran มารับตอน 11.00 เพื่อจะไปเที่ยวต่อ


Agra Fort

สถานที่ถัดไป ป้อมเก่าแก่ในเมืองอาครา ที่นี่ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นแหล่งมรดกโลกจากองค์การยูเนสโกในปี 1983 บอกเลยว่า ยิ่งใหญ่และสวยมากจริงๆ

ค่าเข้า นักท่องเที่ยว 650 รูปี แต่ถ้ายื่น passport ไทย เหลือ 90 รูปี 

กรณีที่มาวันศุกร์ หรือเก็บตั๋วทัชมาฮาลมายื่น ลดไป 50 รูปีค่ะ


ตรงซุ้มประตูขาวตรงนี้ คือ สวยมากค่ะ


เดินเสร็จที่นี่ ก็นั่งรถกลับไปยังเมืองเดลีค่ะ เพื่อไปทานอาหารที่เมืองเดลีเลย เพราะมื้อเช้ายังอิ่มมาก เราไปถึงเดลี ก็บ่าย 3 กว่าละ มื้อนี้เราทานร้านอาหารจีน เพราะหลังจากนี้ คงต้องกินอาหารอินเดียทุกวันแน่ๆ


อาหารจีนจานใหญ่มาก อิ่มควบไปมื้อเย็นอีกแล้วล่ะ เพราะกว่าจะทานเสร็จก็เกือบเย็นแล้ว แล้ว Puran ก็มาส่งเราที่โรงแรมพร้อมให้เบียร์อินเดียแก่เราด้วย เราก็ให้ทิป และเบียร์ไทยเป็นการตอบแทน

เมืองนี้เราพักโรงแรมเล็กๆ ใน Aerocity ชื่อ Hotel Royal Inn IGI ซึ่งอยู่ใกล้สนามบินมากค่ะ พรุ่งนี้เช้า เราจะเดินทางไปเมืองเลห์แล้ว


Day 4 : Leh

เราเลือกไฟล์ทเวลา 8.20 จะได้มีเวลานอนพักผ่อนเต็มที่ก่อนเดินทาง และจากโรงแรม สามารถเดินไปรถไฟใต้ดินสถานี Aerocity เพียง 10 นาที และนั่งรถไฟใต้ดินไปเพียง 1 สถานี ราคาเพียง 20 รูปีเท่านั้นเอง ก็ถึงสนามบินแล้วค่ะ สะดวกสบายมากๆ แต่พอมาถึงสนามบิน ก็รู้ว่า ไฟล์ทดีเลย์เป็นเวลา 9.50 ค่ะ มีเวลาอีกยาวนาน มื้อเช้านี้ เรามาทานอาหารในสนามบิน รีฟีลน้ำโค้กไปอีก เราเติมไปหลายรอบเลย เติมจนถึงเวลา boarding นั้่นแหละ ชุดนี้ 921 รูปีจ้า


ได้เวลาขึ้นเครื่อง เราบินสายการบิน Spice Jet ค่ะ ที่นั่งจะเป็น 3-3 แนะนำให้นั่งติดหน้าต่างนะคะ เพราะวิวสวยมากๆๆๆๆๆ ให้นั่งหน้าสุด หรือ หลังสุดไปเลย จะได้ไม่ติดปีกเครื่องบิน เรานั่งหลังสุดค่ะ


เป็นไงล่ะ วิวสวยมั้ย เราจะผ่านภูเขาหิมะแบบนี้เลย ให้ถ่ายเป็นคลิปวิดีโอด้วยนะ ฟีลกู๊ดมากๆ แค่ 1 ชั่วโมงครึ่ง ก็มาถึงเมืองเลห์แล้วค่ะ เมื่อมาถึง Jimmy ทีมงานของ Julley Leh ที่อินเดีย ก็มาจอดรถรอรับเราไปที่โรงแรม และตั้งแต่จุดนี้ จนถึงกลับมาส่งที่สนามบินเลห์ในวันสุดท้าย ก็อยู่ในการดูแลของ Julley Leh ทั้งหมด เราไม่ต้องแพลนอะไรแล้วค่ะ สะดวกสบายมาก ตามไปเที่ยวเมืองเลห์กัน

นี่คือโปรแกรมเราที่เลห์ 7 วัน 6 คืน ซึ่งที่พักทุกแห่ง จะรวมอาหารเช้า และอาหารเย็นไว้เรียบร้อย ส่วนมื้อกลางวัน คนขับจะพาแวะระหว่างทาง 

มาที่นี่ เตรียมใจไว้เลยว่าจะไม่มีอินเตอร์เน็ตเล่นนะคะ ใครติด Social มากๆ ต้องทำใจก่อนนะ ไม่ต้องซื้อซิม ไม่ต้องโรมมิ่งไปเลยค่ะ ไม่มีสัญญาณแน่นอน ขนาดคนขับรถเราเปิด hotspot ให้ ก็ยังมีบ้าง ไม่มีบ้าง เมื่อไรมีสัญญาณ ต้องรีบโพสรูปทันที

โดยวันแรกที่มาถึง เราจะต้องนอนพักก่อน นอนเฉยๆ เลยค่ะ หลับไม่หลับก็นอนไปเถอะ เพราะเลห์อยู่สูงกว่าระดับน้ำทะเลประมาณ 3,500 เมตร อากาศจะเบาบางมาก ออกซิเจนน้อย ดังนั้น เราจะต้องจิบน้ำบ่อยๆ และนอนให้มากๆ และอย่าลืมกินยา Diamox ทุกเช้าด้วยนะคะ 

พอบ่าย 4 ก็นัดพบที่ lobby เพื่อออกไปเที่ยวค่ะ และตอนนี้แหละ เราถึงได้เจอเพื่อนร่วมกรุ๊ปที่ต่างคนต่างมา แล้วมาจอยทริปกัน ทั้งหมด 10 คน และตลอดโปรแกรม เราก็ไปเที่ยวด้วยกัน 10 คน พร้อมคนขับอีก 1 คน ชื่อ Stewang หน้าตาทิเบตมากๆ มีหน้าที่ขับรถไปตามโปรแกรม โดยที่ไม่มีหัวหน้าทัวร์ ไม่มีไกด์ ไม่มีช่างภาพ เราต้องคุยกับคนขับกันเอง ผ่านตรงไหนสวย ก็บอกให้คนขับจอดแวะ ช่วยถ่ายรูปให้กันและกัน และเพราะการเที่ยวแบบนี้แหละ จึงทำให้สนิทกัน สนุกมากๆ เลยนะ


Leh Palace

เรามากันที่พระราชวังเลห์ ที่นี่เป็นแลนด์มาร์คของเมืองเลห์ สมัยอดีตมีกษัตริย์ประทับอยู่ แต่ถูกทิ้งร้างช่วงกลางศตวรรษที่ 19 ประมาณ 200 ปีที่แล้ว เมื่อเราขึ้นไปชั้นบนสุด เราจะมองเห็นเมืองเลห์ทั้งเมือง วิวสวยมากๆ เลยแหละ

ค่าเข้า นักท่องเที่ยว 300 รูปี แต่ถ้ายื่น passport ไทย เหลือ 25 รูปี


Shanti Stupa

เราไปต่อกันที่ Shanti Stupa หรือ ศานติสถูป ซึ่งเป็นเจดีย์สีขาวทรงโดมอยู่บนยอดเขา Chanspa เป็นสัญลักษณ์ของสันติภาพ ภายในฐาน บรรจุพระบรมสารีริกธาตุ และด้วยความที่อยู่บนยอดเขา ที่นี่จึงเป็นที่ชมวิวพระอาทิตย์ตกที่สวยงามด้วย

ค่าเข้า 30 รูปี


ที่เลห์ เราพักที่โรงแรม Shanti Nest ห้องสวย สะอาด มาตรฐานโรงแรม 4 ดาว ไม่ได้ถ่ายรูปในห้องเลย ให้ดูบรรยากาศโรงแรม แล้วกันเนอะ

Day 5 : Nubra Valley

Khardungla Pass

เช้าวันนี้ เราจะเดินทางไปยัง Nubra Valley โดยจะผ่านไปยังทาง Khardungla Pass ซึ่งเป็นถนนที่สูงที่สุดของโลกที่รถผ่านได้ ระดับความสูงประมาณ 5,400 เมตรจากระดับน้ำทะเล ถนนนี้เป็นพื้นที่ที่มีอากาศหนาว และหิมะตกตลอดทั้งปี

ระหว่างทาง จะต้องมีตรวจ permit ก่อน เราก็ลงไปถ่ายรูปกัน หิมะกำลังตกเบาๆ พอดี โรแมนติก ฟิน


อยู่ตรงนี้ประมาณ 10 นาที ถ่ายรูปกันอย่างเพลิดเพลิน อ้อ ที่นี่มีห้องน้ำด้วยนะ แต่ขอเตือนว่า อย่าเข้าเชียวล่ะ เพราะห้องน้ำจุดนี้ ผ่านสงครามมาอย่างโชกโชนเลยทีเดียวค่ะ

อีกแป๊บนึง เราก็ถึงแลนด์มาร์คของ Khardungla Pass อุปกรณ์กันหนาวต้องพร้อมนะคะ หนาวมาก หนาวแบบเย็นเจี๊ยบ เย็นยะเยือก เหมือนออกมาจากช่องฟรีซเลย


ไม่ไหวแล้วจ้า ลงไปถ่ายรูปแป๊บเดียว เราก็รีบขึ้นรถแล้ว ที่เค้าบอกว่า ยิ่งสูงยิ่งหนาวนี่ท่าจะจริง เพราะทั้งสูง ทั้งหนาว จนปวดหัวจี๊ด เรารีบขึ้นรถ กินยาแก้ปวด 1 เม็ด หลับไปงีบนึง ตื่นมาหายดีค่ะ 

มาดูอาหารมื้อเที่ยงกัน ที่คนขับพาแวะ เป็นร้านห้องแถวธรรมดาๆ แต่อร่อยใช้ได้เลย และราคาก็ไม่แพงด้วย 500 รูปี เป็น Chicken Masala และ Fried Rice เยอะมาก แบ่งกัน 2 คน กินแทบไม่หมด


Diskit Gompa

หรือ วัดดิสกิต เป็นวัดทิเบตที่ใหญ่ที่สุด และเก่าแก่ที่สุดใน Nubra Valley ซึ่งตั้งอยู่บนเขา เราต้องฝ่าถนนขรุขระเข้าไป ด้านบนจะมีพระพุทธรูปพระศรีอาริยเมตไตรองค์ใหญ่ประดิษฐานอยู่

ค่าเข้า 40 รูปี

ที่พวกเรามา นั่นคือ โซนวัดใหม่ ซึ่งเป็นที่นิยมสำหรับนักท่องเที่ยว

จากจุดนี้ เราจะมองเห็นโซนวัดเก่าด้วยค่ะ


เราอยู่ที่นี่ได้ไม่นาน ยังไม่ทันได้ชื่นชมความงามมากเท่าใด พายุทรายก็พัดมา ที่เรียกว่า พายุทราย เพราะ ลมแรงมาก พัดจนฝุ่นและทรายเข้าตา มองอะไรแทบไม่เห็น ต้องรีบกลับไปขึ้นรถกัน งือออ ถ่ายรูปมาได้เท่านี้เอง พอขับรถออกจากที่นี่ พายุก็หายไป เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น เออ ไม่เป็นไร ไปที่ถัดไปต่อก็ได้


Hunder Sand Dunes

หลังจากนั้น เราไปขี่อูฐกัน อูฐที่นี่จะไม่เหมือนอูฐตามทะเลทรายแบบที่เราไปขี่ที่โอมานนะ อูฐที่เลห์ จะเป็นอูฐแบบมองโกเลีย คือ มี 2 หนอก และขนเยอะมาก คงเพราะอากาศหนาว และตัวไม่สูงแบบที่โอมานค่ะ จะป้อมๆ หน่อย ขนเยอะๆ น่ารักดี ^^ น้องอูฐจะนอนกันเรียงราย เราสามารถเดินไปติดต่อคนดูแลอูฐได้เองเลย จะมีให้เลือก 2 แบบ รอบเล็ก ประมาณ 15 นาที และรอบใหญ่ 30 นาที เราเลือกรอบเล็กพอค่ะ

ค่าขี่อูฐ รอบเล็ก 350 รูปี 


หลังจากขี่อูฐเสร็จ เราก็ถ่ายรูปเล่นต่อค่ะ น้องอูฐน่ารักมาก ยิ้มให้ด้วยนะ


ระหว่างทางไปที่พัก เราก็จะผ่านทะเลสาบสวยๆ พวกเราก็ให้จอดแวะค่ะ ข้อดีของการมาแบบนี้ คือ อยากแวะตรงไหนแวะ อยากจอดตรงไหนจอด ดีจัง


ที่ Nubra Valley เราได้ไปพักที่ Nubra Ecolodge อยากบอกว่า สวยมาก บรรยากาศดีมาก บ้านเป็นหลัง หลังละ 2 คนแบบนี้ไปเลย แล้วดูวิวสิ บอกไม่สวยได้เหรอ เราพักที่นี่ 2 คืนเลย ฟิน


และอีกสิ่งที่เราชอบมากเป็นพิเศษ คือ อาหารของที่นี่ ไม่ว่าจะอาหารเย็น หรืออาหารเช้า จะเป็นแบบอะลาคาท เริ่มตั้งแต่ ซุป appetizer อาหารหลัก และขนมหวาน ดีงามสุดๆ อันไหนที่ชอบก็สั่งเพิ่มได้ด้วย จะกี่อย่าง กี่จานก็ได้ค่ะ สั่งเครื่องดื่มได้ด้วยนะ เรานี่สั่ง ช็อกโกแลตร้อน และโยเกิร์ต (Lassi) ทุกมื้อเลยจ้า อร่อย

ในรูปเป็นเพียงส่วนหนึ่งของอาหารเย็นนะคะ ^^


ที่นี่มีข้อเสียอย่างเดียว นั่นคือ wifi ค่ะ จะมีแค่ในห้องอาหารเท่านั้น ในห้องนอนไม่มีนะจ๊ะ แต่เข้าใจแหละ ออกมาไกลขนาดนี้ มี wifi ให้ใช้ก็ดีแล้ว


Day 6 : Turtuk Village

วันนี้เราจะไปหมู่บ้าน Turtuk เป็นหมู่บ้านชายขอบที่ติดกับประเทศปากีสถานในรัฐลาดักห์ และเป็นแหล่งปลูก Apricot อันดับหนึ่งในลาดักห์ค่ะ ซึ่งในช่วงฤดูใบไม้ผลิ ต้น Apricot กำลังบานสะพรั่งพอดี ต้องไปดูหน่อยแล้ว 

ระหว่างทางไป Turtuk เราจะผ่านวิวสวยๆ แบบนี้ไปตลอดทาง


ผ่านไป 3 ชั่วโมง เราก็มาถึงหมู่บ้าน Turtuk กันแล้ว ที่นี่อากาศค่อนข้างอุ่นนะคะ เพราะความที่มีแดด แต่ก็ยังเลขตัวเดียวอยู่ดี ดอก Apricot กำลังบานสวยแข่งกับดอกซากุระที่ญี่ปุ่น และเกาหลีเลย ^^ 


รถจะจอดตรงลานจอดรถในรูปค่ะ ฝั่งนั้นจะมีร้านอาหารหลายร้าน แต่ต้องเดินข้ามสะพานมา เพื่อเข้าหมู่บ้าน จะมี guesthouse เรียงรายด้วย ใครอยากมาพักที่นี่ก็ได้ แต่กลุ่มเรากลับไปพักที่ Nubra ที่เดิม เราข้ามสะพานมาแล้ว ไปดูดอก Apricot กันเลย


ดูสิ ดอกแอปริคอต สวยมากเลย

และที่นี่ ก็จะมีร้านของฝากอยู่ร้านเดียวค่ะ ขายผลิตภัณฑ์ที่ปลูกที่นี่ แนะนำว่าซื้อเถอะ เป็นออแกนิคด้วย เราอุดหนุนมาเยอะเลย ทั้ง Apricot อบแห้ง และ Blackberry อบแห้ง มีให้ชิมก่อนซื้อด้วยค่ะ ซึ่งเราก็ชิมไปเยอะทีเดียว หลังจากนั้น เราก็ข้ามสะพานกลับไปทานมื้อกลางวัน แล้วก็กลับ Nubra Valley ไปพักที่เดิม 

ถ้ามาช่วงสงกรานต์ ซึ่งเป็นฤดูใบไม้ผลิ ดอก Apricot บานพอดีแบบเรา แนะนำว่าให้มานะคะ แม้จะใช้เวลาเดินทางไปกลับ 6 ชั่วโมง แต่คุ้มค่ามากค่ะ ลงโซเชียลเก๋ๆ นะ คนอื่นถ่ายกับซากุระ เราถ่ายกับแอปริคอต อิอิ

Day 7 : Pangong Lake

วันนี้เราต้องเช็คเอาท์จาก Nubra แล้ว ซึ่งในโปรแกรมเลห์ วันนี้จะเป็นวันที่หนาวที่สุด เพราะเราจะเดินทางไปทะเลสาบปันกอง หรือจะเรียกว่า ทะเลสาบแปงกอง ก็ได้ ทะเลสาบที่นี่ เป็นทะเลสาปน้ำเค็มที่อยู่ในระดับความสูงที่สูงที่สุดในโลก มีระดับความสูงถึง 4500 เมตรจากระดับน้ำทะเล อยู่ในเขตประเทศอินเดีย และจีน 

และระหว่างทางวันนี้แหละ ที่เราจะได้เจอมาร์มอต (Marmotte) ด้วย ซึ่งเป็นสัตว์ตระกูลเดียวกับกระรอก แต่เป็นกระรอกขนาดใหญ่นั่นเอง แต่ว่าช่วงนี้อากาศยังหนาวมากค่ะ พวกเราช่วยกันมองหาตลอดทาง น้องไม่ออกมาเลย เลยอดเจอน้อง ขอยืมรูปจากเพจ Julley Leh มาให้ดูกันค่ะ มีความอ้วนจ้ำม่ำ น่ารักมาก


อาหารกลางวัน เราก็แวะระหว่างทางเช่นเดิม ซึ่งวันนี้เราลอง Mok Mok เกี๊ยวนึ่งไส้ผักด้วย ซึ่งเป็นอาหารท้องถิ่นของลาดักห์ค่ะ กินง่ายมาก ใครที่ไม่ถนัดอาหารอินเดีย เวลามาเลห์ ก็สั่ง Mok Mok ได้นะคะ น่าจะมีทุกร้าน จานนี้ 230 รูปี

จาก Nubra Valley กว่าจะมาถึงทะเลสาบปันกอง ใช้เวลาประมาณ 5 ชั่วโมงเลยทีเดียว แต่ระหว่างทาง คือ มีที่สวยๆ ให้แวะจอดถ่ายรูปตลอดเลย 


วิวตรงนี้ ถ่ายรูปกับรถ Tempo แบบนี้ก็สวยดีนะ


ขับต่อไปอีกสักพัก เราก็เจอกับฝูงจามรีค่ะ กำลังออกมาเดินเล่น กินหญ้าอยู่ จอดสิคะ รออะไร


และแล้ว เราก็มาถึงทะเลสาบแล้วค่ะ ทะเลสาบ คือ สวยมาก สวย สงบจริงๆ และสีของทะเลสาบ เป็นสีฟ้าที่ค่อยๆ ไล่เฉด ทะเลสาบปันกองจึงได้ชื่อว่าเป็นทะเลสาบหลากสี โดยมีอิทธิพลมาจากแสงของดวงอาทิตย์ ส่งผลให้สีของน้ำในทะเลสาบค่อยๆ ไล่สีไปตามแสงอาทิตย์และการตกกระทบของแสงสะท้อนสู่ยอดเขาด้านหลังที่โอบล้อมทะเลสาบไว้

จุดนี้ต้องถ่ายรูปรวมก่อนนะ มันคือ The Must ของทริปเลย


แล้วเราก็ไปจุดไฮไลท์ของทะเลสาบปันกองกัน ที่ทุกคนต้องมากระโดดที่นี่ ทั้งที่อากาศก็แสนจะเบาบาง ระวังกันด้วยนะ 


และหากใครเคยดูภาพยนตร์อินเดียชื่อดัง "3 idiots" ก็จะต้องจำฉากนี้ได้ค่ะ เพราะเป็นตอนจบของเรื่องที่นางเอกขี่เวสป้ามาตามหาพระเอก เราเลยขอเป็นนางเอกสักหน่อย


หลังจากชื่นชมความสวยงามของทะเลสาบปันกองไปได้สักพักใหญ่ๆ ด้วยความที่หนาวมาก ทั้งอุณหภูมิ ทั้งลม เราก็เข้าที่พักกันค่ะ ซึ่งที่ทะเลสาบปันกองจะไม่มีโรงแรม และรีสอร์ทใหญ่ๆ นะคะ มีแต่ guesthouse เล็กๆ เราพักกันที่ Pangong House 


แม้จะเป็น guesthouse เล็กๆ แต่มีชานมขิงร้อนๆ และคุ้กกี้เสิร์ฟต้อนรับให้ด้วย ดีงาม อร่อยมาก จนพวกเราต้องไปตามหาซื้อคุ้กกี้ที่ Leh Market กันเลยทีเดียว


ข้อจำกัดของการพักที่ทะเลสาบปันกอง คือ heater จะเปิดเป็นเวลาเท่านั้น และไม่มีเครื่องทำน้ำอุ่นนะคะ เค้าจะนำนำร้อนใส่กระติกมาให้ และไม่มี wifi ค่ะ คืนนี้ทั้งคืนเราจะได้อยู่กับธรรมชาติ ได้พูดคุยกับเต็มที่ ตัดขาด Social กันจริงๆ 


Day 8 : Pangong Lake - Leh

เช้าวันนี้ ก่อนจะบ๊ายบายปันกอง เราก็จอดแวะทะเลสาบปันกองส่วนที่ยังเป็นน้ำแข็งค่ะ ลงไปเดินกันบนน้ำแข็งได้เลย


หลังจากนั้น เราก็เดินทางกลับเลห์ค่ะ โดยผ่าน Changla Pass ซึ่งเป็นถนนที่รถวิ่งได้ที่สูงเป็นอันดับ 3 ของโลก ซึ่งถนนนี้สูงจากระดับน้ำทะเล 4,350 เมตร วิวก็สวยแบบนี้เลย

Thiksey Monastery

ระหว่างทางกลับเลห์ เราก็แวะที่ Thicksey Monastery ห่างจากเลห์เพียง 19 กม. เป็นวัดพุทธสไตล์ทิเบตที่สวยงามตั้งอยู่บนเนินเขา

ค่าเข้า 50 รูปี

Day 9 : Leh

Magnetic Hill

จุดแรกที่เราจะไปวันนี้ คือ Magnetic Hill หรือเรียกอีกชื่อว่า Gravity Hill ห่างจากเมืองเลห์ไป 30 กม. เป็นเนินเขาแห่งแรงโน้มถ่วง 

ซึ่งเราหารูป reference การถ่ายรูปที่นี่มา จะต้องมีภูเขาใหญ่ๆ เป็นฉากหลัง ซึ่งพอเราเห็นด้วยตา คือ ตื่นเต้น ภูเขาใหญ่มากแบบที่เห็นในรูปเลย แต่พอเราเอามือถือ iPhone ขึ้นมาจะกดถ่าย อ้าว ทำไมภูเขาด้านหลังมันเล็กนิดเดียวล่ะ เราก็เลยถึงบางอ้อว่า อ๋อ เพราะเค้าใช้กล้องเลนส์ซูมระยะไกลมากๆ ดึงฉากภูเขาด้านหลังเข้ามา แต่พวกเรา 10 คน มีแต่ iPhone กันหมดจ้า โชคดีมากที่เพื่อนในกลุ่มคนนึงเป็นรุ่น Pro Max มี Portrait 3x (ซึ่ง iPhone15 ของเรา มีถึงแค่ 2x เท่านั้น) เราเลยได้รูปแบบนี้กันมาค่ะ ไม่ง้อช่างภาพก็ได้


ที่นี่ พวกเราสนุกกับการถ่ายรูปมาก ใช้เพียงขาตั้งกล้องและ iPhone แต่ความสามัคคีมาอันดับหนึ่งค่ะ ซึ่งเราต้องยืนถ่ายรูปกันกลางถนน แฟนเราก็ปีนขึ้นไปบนรถ คอยมองรถให้ พอเห็นรถมาก็จะตะโกนบอก พวกเราก็ต้องวิ่งหลบข้างทาง วนแบบนี้จนได้รูปครบทุกคน พอถึงถ่ายรูปรวม ก็กดถ่ายจาก Apple Watch และให้คนขับรถของเราช่วยดูรถให้แทน สนุกมากจริงๆ


และนี่ คือรูปเบื้องหลังของพวกเราค่ะ

Sangam Viewpoint

เสร็จจากจุดนี้ เราไปกันต่อที่ Sangam Viewpoint จุดตัดของแม่น้ำสินธุ และแม่น้ำซันสการ์ที่ไหลมาบรรจบกัน ซึ่งตรงจุดตัดนี้ เราจะเห็นสีแม่น้ำเป็นสองโทนค่ะ มาฤดูนี้ หิมะยังไม่ละลายชะล้างดินลงมา เลยทำให้แม่น้ำใส และสวยมากๆ

Leh Market

หลังจากเที่ยวแล้ว มื้อกลางวัน เรามาทานกันที่ Leh Market วันนี้เราทานอาหารตะวันตกกันค่ะ พอก่อน อาหารอินเดีย


จากนั้นเราไปเดินเล่น ซื้อของฝาก แล้วคนขับก็พาไปส่งโรงแรม อย่าลืมให้ทิปพี่คนขับด้วยนะคะ


Day 10 : Leh - Bangkok

วันนี้เป็นวันที่เราจะได้กลับเมืองไทยกันแล้ว แต่เกิดเหตุไม่คาดฝันค่ะ ตอนเช้าตื่นมา หิมะตกทั้งคืนเพิ่งหยุดไป ทำให้สายการบินทุกสายยกเลิกไฟล์ททั้งสนามบินจ้า ไม่ใช่แค่ delay นะ ฮืออออ ซึ่ง Jimmy สตาฟที่เลห์ ก็พาเราไปสนามบิน เพื่อเปลี่ยนตั๋วใหม่

ซึ่งเราซื้อสายการบินในประเทศ และระหว่างประเทศแยกกัน เนื่องจาก Air India บินต่อเนื่องจาก IXL - DEL - BKK ไม่มีให้ซื้อในวันนี้พอดี ซื้อได้เฉพาะคนที่ซื้อไปกลับ แต่เราซื้อแค่ขากลับ เราเลยต้องซื้อ IXL - DEL ด้วย Indigo แล้ว DEL - BKK เป็น Air India 

เมื่อสายการบินในประเทศแคนเซิล ให้ไปบินวันถัดไปแทน ทำให้ต้องซื้อสายการบินระหว่างประเทศใหม่ค่ะ แต่ถ้าซื้อต่อเนื่องไว้ ไม่ได้แยก booking แบบนี้ ทางสายการบินก็จะดูแลเลื่อนให้ทั้งหมด กว่าจะทำเรื่องยกเลิก และซื้อตั๋วใหม่ได้เรียบร้อยใช้เวลานานพอสมควร ต้องขอบคุณ Julley Leh เป็นอย่างสูงเลยค่ะ ที่คอยช่วยประสานงานเรื่องตั๋วใหม่ให้ เพราะวุ่นวายมากจริงๆ

วันนี้เราเลยได้นอนพักผ่อนที่เลห์ต่อไป


Day 11 : Leh - Bangkok

วันนี้เราได้บินกลับไทยแล้ว ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงละ ค่อยยังชั่ว


Day 12 : Bangkok

แล้วเราก็ถึงกรุงเทพฯ โดยสวัสดิภาพค่ะ ใช้เวลาทั้งหมด 12 วัน


ขอสรุปค่าใช้จ่ายทริปนี้นะคะ ค่าเงินตอนที่เราไป คือ 1 รูปี = 0.43 บาท 

จากเดิม ค่าใช้จ่ายรวม 2 คน คือ 86,491 บาท เท่ากับคนละ 43,245 บาท

แต่พอต้องยกเลิกตั๋ว และซื้อตั๋วใหม่ พร้อมพักที่เลห์เพิ่มอีก 1 คืน ค่าใช้จ่ายรวม 2 คน เลยเป็น 111,761 บาท เท่ากับคนละ 55,880 บาทค่ะ 


ทริปนี้ เป็นทริปที่เราประทับใจ และสนุกมากๆ ทั้งที่เมือง เดลี อาครา และเลห์ ไม่เคยคิดเลยว่า การมาเที่ยวอินเดีย จะสวยงามเช่นนี้ ลืมภาพอินเดียที่เคยได้ยิน ได้ฟัง ได้เห็นจากสื่อต่างๆ ไปเลย เราได้สัมผัสอินเดีย ทั้งสถาปัตยกรรม ธรรมชาติ ได้ขี่อูฐ ได้ชมดอกไม้บาน ได้เจอหิมะตกอีก หลากหลายบรรยากาศ มากๆ ค่ะ และอีกสิ่งที่เราประทับใจมิรู้ลืม นั่นก็คือ มิตรภาพดีๆ ของพวกเราทั้ง 10 คน จากคนแปลกหน้า กลายเป็นคนรู้จัก และสนิทกันได้อย่างรวดเร็ว ทำให้ทริปนี้ของเรามีความหมายมากจริงๆ รักเพื่อนร่วมทริปทุกคนเลย ^^

Travelholic

 วันเสาร์ที่ 8 มิถุนายน พ.ศ. 2567 เวลา 16.20 น.

ความคิดเห็น