ตอนที่ 2

DALAT สวิสเซอร์แลนด์แห่งเวียดนาม

ทุกย่างก้าวที่เราก้าวเดินผ่านไปในแต่ละวัน ไม่ว่าจะทำงาน หรือท่องเที่ยว ล้วนแต่จะสร้างความทรงจำและประสบการณ์ให้ชีวิตมีสีสัน บางครั้งการเดินทางเราก็คิดเสมอว่าหนทางข้างหน้าจะเป็นอย่างไร เหมือนที่รีวิวไว้ไหม หรือแตกต่าง หรือแม้กระทั่งเงินที่เตรียมไปจะพอหรือเปล่า (เพราะไปเที่ยวแต่ละทีนี่นั่งต้มมาม่ากินที่บ้านเลยทีเดียว) การเดินทางครั้งนี้ของผมก็เข้ามาสู่วันที่สองจากมุยเน่ เมืองที่มีอากาศค่อนข้างร้อน ไปสู่ดาลัด เมืองในหุบเขา ที่มีฉายาว่า "สวิตเซอร์แลนด์ของเวียดนาม" ในใจคิดว่า สวิตเซอร์แลนด์ยังไม่เคยไปเลย แล้วผมจะรู้ได้ไงว่ามันเหมือนหรือแตกต่าง ???? แต่การเดินทางเข้าสู่ดาลัดนั้นทำให้ผมได้เจอน้ำใจของคนเวียดนามที่ช่วยเหลือผม บางครั้งลองวาง Google maps ลงแล้วถามคนท้องถิ่นอาจจะได้รสชาติที่สนุกไปอีกแบบก็ได้




(เพื่อความต่อเนื่องสามารถอ่านรีวิวตอนแรกของการเดินทางไปเวียดนามใต้ได้ที่ : https://th.readme.me/p/2241)

วันสุดท้ายของการอยู่มุยเน่เพื่อเตรียมตัวรอรถมารับเพื่อเดินทางไปยังจุดหมายต่อไป คือ ดาลัด ผมก็นั่งรอรถอยู่หน้าเกสท์เฮาส์ซึ่งรถจะมารับเวลาประมาณ 12.00 น. เมื่อรถมารับเตรียมตัวไปดาลัดกันใช้เวลาเดินทางประมาณ 5 ชั่วโมง (จากมุยเน่ - ดาลัด) การเดินทางไปดาลัดนั้นจะมีการขึ้นเขา (ภาพด้านบน) แล้วจะมีการแวะจอดเพื่อให้ผู้โดยสารเข้าห้องน้ำ หรือซื้ออาหาร เครื่องดื่ม เพราะต้องเดินทางอีกยาวไกล


ผมมาถึงดาลัดก็เวลาเกือบประมาณ 6 โมงเย็นฟ้าเริ่มมืด ซึ่งที่ทำให้รู้ว่าถึงเมืองดาลัดแล้ว ง่าย ๆ เลยครับ

1. สภาพแวดล้อมที่แปลกตากว่าปกติ

2. ขึ้นเขามีแต่ต้นสน

3. การแต่งกายของคนในท้องที่ที่จะสวมเสื้อกันหนาว (สังเกตุง่ายสุดแล้วครับ)

ปอลิง ค่าใช้จ่ายการเดินทางผมสรุปให้นะครับ พอดีครั้งนี้ผมได้จัดให้ทัวร์พาไปครับ

ตอนนี้ก็มาถึงเมืองดาลัดอย่างเต็มตัว พอเดินทางถึงรถบัสก็ไปจอดตรงหน้าบริษัททัวร์ เลยโรงแรมทิวลิปแล้วเจ้าหน้าที่ตรงบ.ทัวร์ก็ออกมาต้อนรับและถามว่าพักอยู่ที่ไหน พร้อมกับแนะนำว่าต้องเดินไปทางไหน แต่ปรากฏว่าผมหลงทาง หลงทาง ใช้อากูเกิลแมปก็ยิ่งงง ยิ่งหลงทิศ เพราะเส้นทางมันซับซ้อนกว่ามุยเน่ ตรอกซอยเยอะมากจนงง สุดท้ายก็ต้องถามรปภ.ที่โรงแรมเพื่อหาทางไปที่พัก ปรากฏพอถามไปก็ยังหลงอยู่ รปภ.เลยเดินไปถามคนขับแท๊กซี่ให้ ตัวเองก็งงอีก เดินไปเดินมาก็เดินไปหารปภ.อีกรอบ จากนั้นลุงแกก็พาไปหาคนขับแท๊กซี่อีกคนที่จอดใกล้กัน พอถามทางเสร็จผมก็หลงอีก เลยตัดสินใจเดินย้อนกลับนั่งพี่วินมอไซค์ดีกว่า ไม่ไหวแล้วขาจะเดี้ยงแล้ว พี่วินมอไซต์เลยไปส่งหน้าที่พัก ในราคา 20.000 ดอง (ราคาประมาณ 30 บาท)

ที่พัก :

Binh Yen Hotel ( 2 คืน) โดยผมพักห้องพักที่เป็นแบบ Dorm ครับ ราคาตกประมาณ 10 USD หรือเป็นเงินไทยประมาณ 400 กว่าบาทต่อ 2 คืนครับ มาถึงที่พักก็มืดพอดี เดินเข้าโรงแรมก็ทำการเชคอินกัน จากนั้นลูกชายเจ้าของเกสท์เฮาส์ก็พาไปห้องพักครับ ไปดูห้องพักกันว่าเป็นแบบไหน

ภาพของห้องพักแบบ Dorm ของ Binh Yen Hotel ครับซึ่งจะมีทั้งหมด 6 เตียง บรรจุได้ 12 คนครับ โดยแต่ละเตียงนั้นก็จะมีโคมไฟตรงหัวเตียง ราวแขวนผ้า ตู้ลอคเกอร์เก็บของใต้เตียง โดยตอนไปถึงห้องนั้นผมอึ้งเล็กน้อยครับ คือเงียบมาก เลยถามลูกชายเจ้าของเกส์เฮาส์ว่าห้อง Dorm วันนี้มีผมพักคนเดียวใช่ไหม เค้าก็บอกว่า ใช่มีคุณพักคนเดียว ในใจคิดวิตกแบบว่า ไปพักที่อื่นห้องเดี่ยวแบบนี้ก็น่ากลัวแล้วนะ แต่ยังดีมันเล็ก แต่นี่ห้องแบบ Dorm พักคนเดียว อีก 11 เตียงว่างเปล่า สยองนิด ๆ แต่ดีมีม่านปิดถ้าไม่มีก็นอนคลุมโปงแล้ว 555

ตู้เก็บรองเท้าครับ ส่วนข้าง ๆ ก็เป็นห้องน้ำครับอยู่ภายในห้องแบบ Dorm ต่อไปสำรวจพื้นที่นอกห้องกันว่าเป็นแบบไหน

พอออกมาข้างนอกก็จะเป็นห้องนั่งเล่น สำหรับพูดคุยสังสรรค์เฮฮา (แต่ไม่รู้จะเฮฮากับใครเพราะมีอยู่คนเดียว)

ด้านข้างก็จะเป็นอ่างล้างหน้าครับ พร้อมกับมีไดร์ฟเป่าผมบริการครับ ซึ่งที่พักในดาลัดจะไม่มีพัดลมหรือแอร์เพราะอากาศที่นี่เย็นตลอดปีครับ ยิ่งตอนดึก ๆ หนาวขดตัวในผ้าห่มอย่างฟินครับ

เมื่อเชคอินเก็บข้าวของเรียบร้อยก็อาบน้ำ แล้วไปตะลอนดาลัดตอนกลางคืนตอนเดินจากที่พักไปเรื่อย ๆ ก็เจอร้านขายเหมือนน้ำเต้าหู้กับขนมปังทอด และมีเหมือนกะหรี่ปั๊บ สระบุรี น้ำเต้าหู้ที่กินเข้าไปรสชาติเหมือนกะทิเลย ซึ่งร้านนี้คนกินเยอะมากครับ จนโต๊ะเต็มเนื่องจากอากาศในตอนกลางคืนมันหนาวครับ เลยต้องกินอะไรร้อน ๆ


บรรยากาศถนนในตอนกลางคืนดูเงียบ และวังเวงประกอบอากาศที่เย็น ทำให้เดินเล่นได้อย่างสบาย

ระหว่างเดินกลับที่พัก ลืมไปเลยว่ายังไม่กินข้าวเลยแวะร้านอาหาร ร้านนี้ขายเหมือนข้าวต้ม มีใส่ไก่ ถั่วเขียวด้วย แปลก ๆ ดี แต่ก็กินจนหมดเพราะหิวมากก กลับที่พักเตรียมเก็บแรงสำหรับการตะลอนดาลัดทั้งวันดีกว่า

บรรยากาศยามเช้ามองเห็นหมอกจาง ๆ เหนือภูเขาหลังที่พัก เพราะว่าวันนี้ฝนตกในดาลัด (โอ๊ย พระเจ้าทำร้ายเด็กตาดำ ๆ ) แต่เราก็ไม่หวั่นเพราะฝนหยุดตกแล้ว

เดินออกมาจากโรงแรมก็เจอโรงพยาบาลดาลัดครับ มิน่าเห็นคนเยอะแต่เช้าเลยที่แท้มารอคิวหาหมอนี่เอง

บริเวณที่พักที่ผมพักอยู่ยามเช้าก็จะมีร้านอาหารมาขายครับ เยอะพอสมควรถึงแม้จะอยู่ห่างไกลจากตลาดดาลัด (เดินไปประมาณ 15 นาที )

เดินออกมาข้ามถนนไปตรงโรงพยาบาลดาลัดก็เจอร้านขายบั๊น หมี่ ( Bánh mì ) แซนด์วิชเวียดนาม กินซะหน่อยดีกว่าอาหารท้องถิ่นเติมพลังก่อนเดินเล่นรอเวลารถบัสมารับตอน 8.30 น.

ขณะเดินกลับที่พักเพื่อไปรอรถบัสมารับระหว่างเดินทางก็ไปเจอราชาแห่งบัน มีไส้เดียวอร่อยมากครับ กินเพลินเลย

ตอนเดินเข้าที่พักก็สังเกตุเห็นมีร้านขายเฝอเปิดขายอยู่ด้วย กินอะไรร้อน ๆ ท่ามกลางฝนที่เริมตกปรอย ๆ (อีกแล้ว) แต่ไม่ได้กินเพราะอิ่มมาก

เข้าห้องพักสักพักเดินออกมาตรงห้องนั่งเล่น โอ้ยพระเจ้า หมอกเริ่มลงเต็มแล้วบรรยากาศฟินน่านอนมากกว่าไปเที่ยวอีก 555

สถานที่แรกที่เราไปเยือนก็คือ พระราชวังฤดูร้อนบ๋าวได๋ (Dinh Bao Dai) ซึ่งเป็นจักรพรรดิองค์สุดท้ายของเวียดนาม ได้รับการออกแบบและปลูกสร้างอยู่ใต้ร่มเงาของทิวสนใหญ่ ซึ่งพระราชวังแห่งนี้ใช้เวลาการก่อสร้างถึง 5 ปี


สภาพด้านนอกของพระราชวังฤดูร้อน ในวันที่ฝนเพิ่งหยุดตกอากาศเลยดีครับ

ส่วนบริเวณชั้นที่ 1 ของพระราชวังเป็นเหมือนห้องนั่งเล่น รับแขก ประชุม กินข้าว(ช่ายไหม ????)

เป็นห้องนอนครับ จริง ๆ มีหลายห้องมากเลย

เมื่อมองออกจากชั้น 2 ลงไปด้านล่างก็จะเห็นสวนหย่อมอยู่ข้าง ๆ พระราชวังเลยครับ

บริเวณด้านข้างพระราชวังสำหรับออกไปดูสวนหย่อมที่เห็นจากชั้น 2

เมื่อเดินออกมาจากตัวพระราชวังฤดูร้อน ก็จะมีทางที่เต็มไปด้วยต้นสน แล้วก็จะเห็นเมืองดาลัดบริเวณข้างล่างครับ ซึ่งก็เดินตรงไปเรื่อย ๆ ไปเข้าห้องน้ำครับ อิอิ (ห้องน้ำอยู่สุดทางเดิน)

มีน้องม้าบริการด้วย แต่ไม่เอากลัวเสียเงิน อิอิ จากนั้นหลังชมพระราชวังฤดูร้อนเสร็จเรียบร้อยก็เตรียมตัวเดินทางไปยังที่ต่อไปครับ

สถานที่ต่อมาที่ได้ไปเยี่ยมชมก็คือ โบสถ์คริสต์ (Dalat Cathedral) หรือโบสถ์ไก่ ภาษาเวียดนามเขียนว่า Nha Tho Chanh Toa Da Lat โดยมีน้องไก่อยู่บนยอดไม้กางเขน (ซึ่งผมมองไม่เห็นสูงเกิน ประกอบกับกล้องก็ซูมไกลมิได้)

โบสถ์แห่งนี้สร้างขึ้นโดยชาวฝรั่งเศส เมื่อปี 1931-1942 ขณะนั้นฝรั่งเศสเริ่มเข้ามาบทบาทกับเวียดนามก่อนจะเป็นเมืองขึ้นเต็มรูปแบบ เป็นโบสถ์ใหญ่ที่สุดตั้งอยู่ใจกลางเมืองและเป็นศูนย์รวมของชาวคริสต์ในเมืองดาลัดเลยก็ว่าได้ครับ

เดินวนรอบโบสถ์ก็จะเห็นมุมเมืองดาลัดบริเวณข้างล่างครับ ตอนนี้แสงแดดก็ออกมาแล้วครับปรับตัวไม่ทันกันเลย

ชมตัวโบสถ์ไปได้สักพักก็เตรียมตัวไปสถานที่ท่องเที่ยวแห่งที่ 3 กันดีกว่าครับ

ต่อไปสถานที่ท่องเที่ยวแห่งที่ 3 ในดาลัด นั่นก็คือ วัดตั๊กลัม (Truc Lam Pagoda) โดยการเดินทางนะครับก็คือขึ้นกระเช้าไปนั่นเอง ฟินนาเร่อีกแล้ว

บันไดทางขึ้นไปยังกระเช้าครับ มาดาลัดนี่เดินขึ้นเนินอย่างเดียว 555 ผอมเพรียวแน่เรา

บรรยากาศเมืองดาลัดยามสายมาก ๆๆ มีเมฆหมอกปกคลุมครับอย่างที่บอกไปแต่แรกว่า ฝนตกเมื่อคืนและวันนี้ก็ตกปรอย ๆ ทำให้สภาพอากาศที่ดาลัดในวันนี้ฟ้าครึ้ม สลับกับแดดออก สลับกับอากาศเย็น สลับกับฝนตก (หลายฤดูในวันเดียว ป่วยแน่เรา)

กระเช้านั่งได้ 4 คนครับ มีแบบเดียวคือแบบธรรมดา ไม่มีคริสตัลนะครับ แต่ข้อเสียคือ กระจกมีขี้นกก้บมีรอยร้าว ทำให้ทัศนวิสัยในการชมวิวหายไปเล็กน้อย

บรรยากาศบนกระเช้าครับเห็นเมืองดาลัดอยู่เบื้องล่าง ต้นไม้ป่าไม้ ภาพสุดท้ายขี้นกครับ เสียบรรยากาศสุด ๆ ชีวิตมีความเสี่ยงสูงเพิ่งกลับจากฮ่องกงเมื่อสิงหาคมมาขึ้นกระเช้าต่อที่ดาลัดอีก ช่างใฝ่สูงจริง ๆ ครับผม

บันไดขึ้นไปยังตัว วัดตั๊กลัม (Truc Lam Pagoda) ครับเดินขึ้นเนินอีกแล้ว

พอเดินขึ้นบันไดมาก็จะเจอเหมือนศูนย์อาหารครับ เดินออกไปอีกนิดก็เจอมุมถ่ายกระเช้าพอดีเลย

บันไดขึ้นสู่ตัววัดครับ (มีแต่ขึ้นบันไดจริง ๆ)

ระหว่างทางเดินรอบตัววัดก็จะมีสวนดอกไม้สีสันหลากหลายเลยครับ

เมื่อเดินหันหลังให้สวนดอกไม้เดินตรงไปก็จะเจอเจดีย์สีทองครับ มีรูปปั้นน่าจะเป็นเจ้าสิทธัตถะตอนเด็ก (น่าจะใช่นะ) เดินชมบรรยากาศไปสักพักก็เตรียมตัวไปสักการะพระพุทธรูปกันดีกว่า

บรรยากาศภายในวัดและภายนอกครับ มาวัดแห่งนี้มีทั้งแดดออก ฟ้าครึ้มสลับกับแดดออกครับแต่พอหลัง ๆ ฟ้าปิดแล้วครับแดดไม่มีแล้วเตรียมตัวรับฝนกันดีกว่าเรา

เดินไปตรงลานจอดรถรอรับตู้มารับไปที่สถานที่ต่อไปก็ไปสะดุดกับรูปปั้น น่ารักดีจัง (รึเปล่า) สถานที่จะไปเป็นไฮไลท์อีกอย่างของดาลัดเลยแบบว่าใครไม่ได้ไปสัมผัสตัวนี้เหมือนไปไม่ถึงจริง ๆ นะ

สถานที่ต่อไปเห็นชื่อคงรู้แล้วใช่ไหมครับว่าที่ไหน น้ำตกดาตัลลานั่นเองพอไปถึงผมก็ไปซื้อตั๋วเล่นรถรางหรือ Roller Coaster นั่นเอง หลายคนถามว่าต้องนั่งรถรางไหม มาดูวิธีไปน้ำตกดาลันลากันว่ามีแบบไหน

1. เดินลงไปน้ำตกและเดินขึ้นน้ำตก

2. วิธียอดนิยมลงและขึ้นน้ำตกด้วยรถรางหรือ roller coaster (ซึ่งหลายคนก็ใช้วิธีนี้ ผมก็เช่นกันมาทั้งทีขอเล่นให้เต็มที่สิครับ)

ทำการซื้อตั๋วที่ช่องจำหน่ายตั๋วครับ ราคาแบบไปกลับราคา 50000 ดองครับ ตีราคาสัก 75 บาท

ขออภัยถ้าภาพดังกล่าวไม่สุภาพเนื่องจากเห็นเท้า รถรางนี้นั่งได้ 2 คนครับโดยคนหนึ่งขับอีกคนก็ถ่ายรูปให้ นั่งคนเดียวฟินกว่าอีก

วิธีการเล่นก็ไม่ยากครับ โยกคันบังคับไปข้างหน้าเพื่อเร่งความเร็ว ชะลอหรือหยุดก็โยกคันบังคับมาตัวเรา ง่าย ๆ ความสนุกขึ้นอยู่กับคันหน้าครับถ้าคันหน้าไม่มัวเซลฟี่ หรือขับช้าจะสนุกมากครับ ส่วนของผมคันก่อนหน้าผมอีกคันมัวแต่เซลฟี่เลยแบบเรงความเร็วไม่ค่อยได้มาก

พอมาถึงข้างล่างลงบันไดก็จะเจอกับน้ำตกดาลันตาครับ คนเยอะมากแถมฟ้าครึ้มอีกแล้วครับ

หลังจากเดินเล่นแถวบริเวณน้ำตกฝนก็ตกลงมาครับท่าน แต่ไหน ๆ มาแล้วจะหลบฝนก็ไม่ได้เสียดายเลยตากฝนไปถ่ายรูป (ฝนตกรอบแรกนี่ตกแปบ ๆ ครับแล้วก็หยุด) หลังจากนั้นฝนตกอีกรอบคราวนี้หนักเลยครับไม่มีท่าทีจะหยุด บริเวณทางขึ้นรถรางเพื่อกลับไปด้านบนก็ไม่มีใครออกสักคนเพราะเดี๋ยวตัวเปียก เลยแออัดกันตรงทางเข้า พอเห็นทีท่าฝนไม่ตกคนที่รออย่างคนเวียดนามก็ตัดสินใจหยิบเสื้อกันฝนออกมาใส่ เราคนไทยก็แพ้หยิบร่มออกมาดีกว่า ทุกคนเตรียมพร้อมกันมากก อิอิ

หลังจากเดินชมน้ำตกและตากฝนเสร็จเรียบร้อยแล้วก็เดินทางต่อไปเพื่อไปกินสตอเบอร์รี่ เอ้ยมิใช่ เค้าแค่ประดับตรงทางเข้าเฉย ๆ แต่น่ากินมาก

นั่งล้อมวงกันมากินขนมกับชา กาแฟขี้ชะมดกัน อิอิ

ร้านนี้ทัวร์ก็จะจัดให้ไปกินและชิมฟรี นะครับ ฟรีนะครับ ตอนแรกทุกคนที่เป็นชาวต่างชาติไม่กล้ากิน เพราะกลัวเสียเงิน แต่สักพักชายเวียดนามที่นั่งข้างผมก็พูดว่า Free ทกคนเลยกินกันอย่างเอร็ดอร่อย แต่จะไม่ฟรีตรงที่ใครจะซื้อของฝากก็ซื้อได้เลยครับ เพราะเหมือนเป็นร้านขายของฝาก รวมถึงกาแฟขึ้ชะมดด้วยนะ

สถานที่แห่งต่อไปที่ไปหลังจากเดินดูร้านขายของฝากและชิมชา กาแฟแล้ว ก็จะเป็นสถานที่เป็นแลนด์มาร์คสำคัญของดาลัดเลยก็ว่าได้ นั่นคือ Velley of love หรือ หุบเขาแห่งความรัก

บรรยากาศของหุบเขาแห่งความรักตอนที่ไปเกือบจะบ่ายสามโมงเย็นแล้วครับ อย่างที่บอกยิ่งใกล้เย็นเท่าไรบรรยากาศก็ยิ่งครึ้มฟ้าครึ้มฝน รวมทั้งคนไม่ค่อยเยอะครับ เดินเล่นได้อย่างสบาย ๆ


ถ่ายรูปดูมุมจากด้านบนก็จะเห็นสวนดอกไม้ ทะเลสาบและภูเขาเป็นฉากหลัง มีเมฆพาดผ่านเขา ฟินเลยสิครับท่าน

หลังจากชมหุบเขาแห่งความรักแล้ว ผมก็เดินทางไปยังสถานที่สุดท้ายของทริปนี้ก็คือ วัดอะไรจำไม่ได้ ค้นอากูเกิลแปบ

ทริปสุดท้ายของการตะลอนดาลัดทั้งวันคือที่วัด Thiền viện Vạn Hạnh (Đà Lạt) ขอก๊อปชื่อจากเน็ตนะครับ (วิกีพิเดีย)

ภายในตัววัดบรรยากาศร่มรื่นครับ แล้วมาสักการะพระพุทธรูปครับ เพื่อความโชคดีในการเดินทางครับ

เดินเล่นบริเวณวัดมาได้เวลาหนึ่งก็ได้เวลากลับที่ไกด์เรียกเพื่อจะส่งเข้าที่พักแล้วครับ ระหว่างเดินทางกลับไกด์ผู้น่ารักถามผมว่า คุณจะลงที่ตลาดหรือโรงแรมดีครับ ผมบอกโรงแรมดีกว่าครับ (ขี้เกียจเดินจากตลาดไปโรงแรม) เก็บเอาแรงก่อนเดี๋ยวตลาดก็ไปตอนกลางคืนดีกว่าหลังกลับจากโรงแรมแล้วก็อาบน้ำ พักผ่อนสักนิดครับเก็บเอาแรงก่อนดีกว่าเเล้วค่อยออกไปตอนเย็น หลังกลับถึงที่พักได้สักพักหนึ่งก็เดินไปชมบรรยากาศในเมืองดาลัดกันต่อดีกว่า บรรยากาศดีตลอดเวลาเลยครับซึ่งที่พักและบ้านเรือนในดาลัดจะไม่มีแอร์หรือพัดลมเพราะอากาศเย็นสบายตลอดเวลา ยิ่งกลางคืนยิ่งหนาวมากจริง ๆ

ระหว่างเดินไปสำรวจดาลัดรอบ ๆ ก็ไปร้านขายเค้ก เบเกอรี่ ตรงข้ามโรงแรมทิวลิปที่คนไทยหลายคนคงรู้จักกันเวลาไปดาลัด นั่นคือ ร้าน LIEN HOA ครับ เลือกขนมปังไว้กินเล่นตอนนอนดีกว่า

ระหว่างเดินหิวแล้วหยิบขนมน่องไก่มากิน ทำซะเหมือนน่องไก่จริงเลย รสชาติธรรมดา ไม่เข้มข้นเอาไป 3/5 พอ

เดินไปมาวนไปหลายรอบ คิดได้ว่าตั้งแต่มาที่นี่เรายังไม่ไปเหยียบร้านคาเฟ่ที่ดาลัดเลย มองไปสักพักเอาร้านนี้แหละกัน ร้าน Wildmills ร้านจะอยู่ติดกับสามแยกหัวมุมถนนพอดี เยื้องโรงแรมทิวลิปครับ

บรรยากาศภายในร้านครับ คาเฟ่น่ารัก ๆ เหมาะกับการมานั่งทำงานไปจิบชา กาแฟไป นอกจากจะนั่งตรงบริเวณข้างในแล้ว สามารถไปนั่งตรงระเบียงได้ด้วยครับ จะเห็นวิวถนน คนเดินไปมาครับ แต่มันเต็มเลยต้องนั่งข้างใน อิอิ ราคาไม่พอครับพูดง่าย ๆ คือเป็นคาเฟ่ราคาเท่ากับอะเมซอนประมาณนั้นแหละครับ จากนั้นก็หาอะไรกินแล้วกลับโรงแรมครับ เพราะว่าฝนตกและคาดว่าจะตกหนัก เผ่นดีกว่า เจอกันตอนเช้านะครับ

สวัสดียามเช้าวันสุดท้ายในเมืองดาลัด เดินจากโรงแรมที่พักจะไปตลาดดาลัดกันดีกว่า ถ้าอยากรู้ว่าวิถีชีวิตคนในพื้นที่เป็นอย่างไรนอกจากกินอาหารในพื้นที่นั้นแล้ว ก็คือไปดูตลาดยามเช้า หรือตลาดกลางคืน แต่เดินมาก็ไปสะดุดตากับแบรนด์นี้ คุ้น ๆ เหมือนเคยเห็นที่ในมาก่อน


เดินไปตลาดเช้าดาลัดกันดีกว่า มาแล้วถ้าไม่ไปก็เหมือนไปไม่ถึงช่ายไหม



บรรยากาศยามเช้าของตลาดดาลัดครับ นอกจากจะขายเสื้อผ้ากันหนาว อาหาร ผลไม้ที่เหมือนประเทศไทย รวมถึงมีการขายต้นไม้ดอกไม้เมืองหนาวด้วยครับ เปิดเร็วมากนะครับนี่ (ตอนไปถึงก็ประมาณ 7 โมงนิด ๆ แล้วครับ)

พอเดินเล่นเสร็จก็เตรียมตัวกลับโรงแรมเก็บข้าวของและเชคเอาท์ออก ระหว่างเดินลืมไปว่ายังไม่ได้กินข้าวนี่หว่า เอาไงดี ช่างเถอะไปหาอะไรกินหน้าโรงแรมก็ได้ มาไกล ๆ สุดท้ายไปตายรังที่ร้านเฝอหน้าโรงแรม

อันนี้คือเฝอหน้าที่พักครับ (สุดท้ายกลับมาตายรัง) อากาศแบบนี้ได้กินอะไรร้อน ๆ น้ำซุปร้อน ๆ ก็มีความสุขแล้วครับ กินเสร็จก็เก็บข้าวของ แล้วไปนั่งคุยเล่นกับลูกชายเจ้าของโรงแรม ซึ่งตอนแรกบรรยากาศเงียบมากครับ ผมเลยเอ่ยสั้น ๆ ว่า Quiet ปรากฏลูกชายเจ้าของก็เลยเดินมานั่งคุยเล่นเลยครับ จากนั้นคุยกันยาวเลย ยาวประมาณว่าเมื่อวานไปเที่ยวไหนมาบ้าง เป็นไงบ้างถ้าเทียบกับประเทศไทย ดาลัดคล้ายเชียงใหม่ไหม ซึ่งผมก็โปรโมทประเทศไทยเต็มที่ครับ เพราะเค้าบอกว่า เคยไปแต่สยาม เทอร์มินอล 21 พูดง่าย ๆ ใจกลางเมือง ผมเลยแนะนำขึ้นเหนือแบบเชียงใหม่ น่านเลย เค้าก็บอกว่าชอบผัดไทยมากครับ ตอนที่พูดนี่บอกเลยว่า แกรมม่า กับทักษะสปีดอิงลิชที่ด้อยมาก แต่ก็พูดไปเถอะครับอย่าได้แคร์ 555ระหว่างที่คุยกับลูกชายครับ แม่ของเค้าก็มานั่งด้วยกันก็เลยคุยกันระหว่างรอรถมารับไปสถานีขนส่งดาลัดครับ สักพักพ่อและน้องชายของเจ้าของที่ผมพักก็มา เค้าก็แนะนำตัวกันครับ ปลื้มมากเลยครับคือแบบบรรยากาศแบบเป็นกันเองมากอ่ะ เสียดายตอนแรกผมจะขอถ่ายรูปที่รถมารับซะก่อน เพราะมัวแต่เขิน เลยอดเลยเรา ???


ถึงสถานีขนส่งดาลัดแล้วครับ ซึ่งตรงนี้จะมีรถบัสไปยังนาตรัง ซึ่งอยู่เหนือดาลัดขึ้นไปอีก ไปโฮจิมินห์ ไปเว้ ไปดานังครับ แต่ไม่มีไปฮานอยคาดว่าถ้าจะไปฮานอยคงอาจต้องไปต่อรถที่เว้ หรือดานังแทนอ่ะครับ เพราะมันจากใต้สุดไปเหนือสุดเลยนะนั่น กี่ชั่วโมงกัน ???

เนื่องจากผมได้ติดต่อกับเวียตซีทัวร์ตั้งแต่วันแรกที่มาถึงโฮจิมินห์ ดังนั้นรถบัสกลับจากดาลัดไปไซกอน พี่ไกด์ที่พาผมไปเที่ยวตะลอนดาลัดทั้งวันได้ให้ตั๋วรถ Futa bus ตั้งแต่เมื่อวานตอนที่เจอกันตอนที่พี่เค้ามารับผมที่โรงแรมครับ จากนั้นพอมาถึงสถานีก็งงอีกว่าแล้วขึ้นคันไหน ผมก็เดินไปตรงเคาเตอร์ครับให้พนักงานดู พนักงานก็จะเขียนทะเบียนรถให้เราครับ เราก็ขึ้นคันที่เค้าเขียนครับ

การเดินทางจากดาลัดไปโฮจิมินห์ของผมใช้เวลาประมาณ 7-8 ชั่วโมงครับ รถของผมออกตอน 10.00 น. ไปถึงก็ประมาณสี่โมงห้าโมงเย็นครับ แล้วเจอกันนะนครโฮจิมินห์

สำหรับตอนนี้การเดินทางในดาลัด เมืองในขุนเขาก็จบลงแล้ว มันเศร้ากว่าตอนออกจากมุยเน่อีกนะ อาจเป็นเพราะบรรยากาศที่ดูสงบ แถมเย็นสบายตลอดทำให้พอจะเดินทางไปยังไซกอน หรือโฮจิมินห์มันเลยหดหู่เพราะนั่นหมายความว่าการเดินทางในเวียดนามใต้ใกล้จะจบลงแล้ว ขอบคุณทุกโอกาส ขอบคุณทุกย่างก้าว ขอบคุณทุกอย่างดี ๆ ที่เข้ามาตลอดการเดินทางในเมืองแห่งนี้


ความประทับใจที่เกิดขึ้น ณ ดาลัด

1. ขอบคุณความช่วยเหลือของลุง รปภ. หน้าโรงแรมอะไรจำไม่ได้ ที่ช่วยเหลือเรื่องหาที่พัก เพราะหาไม่เจอ

2. ขอบคุณลูกชายเจ้าของโรงแรมที่ผมพัก ที่เป็นมิตร ชวนพูดคุยเป็นเพื่อนตอนวันกลับ และทักทายแขกสม่ำเสมอ

3. ขอบคุณหญิงเวียดนามและจีน ที่สร้างมิตรภาพให้เกิดขึ้นในทริปดาลัด

4. ขอบคุณคนไทยที่เจอในที่พัก ที่ได้มานั่งพูดคุยกัน รวมถึงอวยพรตอนวันเดินทางกลับ

5. ตอนวันกลับมีฝรั่งสามีภรรยาเดินหาที่พักแล้วมาที่พักที่ผมพักอยู่ ระหว่างที่รอการเชคอิน เธอก็หันมาทักทายว่า Good morning คือแบบง่าย ๆ นะ แค่ทักทายสั้น ๆ มันก็ตื้นตันใจแล้วอ่ะ จริง ๆ ไม่ต้องทักก็ได้เพราะผมเชคเอาท์แล้ว 555

ความไม่ประทับใจ

ฝนตกทำให้บรรยากาศมันครึ้ม ๆ ตลอดเวลา แต่ก็ให้ความรู้สึกดีอีกแบบหนึ่ง ที่พักเสียอย่างเดียวในห้องแบบ dorm น่าจะแยกห้องน้ำ ห้องสุขาไว้ต่างหาก อันนี้ไว้ห้องเดียว ถ้ามีคนมาพัก 12 คนนิ (คิดหนัก) รวมถึงกระดาษชำระควรมีบริการตลอดนะครับ โดยที่พักควรมาเชคสม่ำเสมอ

สรุปการเดินทางในดาลัด (ไม่รวมค่ากิน และส่วนตัว)

1. ค่ารถเดินทางจากมุยเน่ไปดาลัด 10 USD

2. ค่าทัวร์ดาลัดเต็มวัน 12 USD

3. ค่าที่พัก 10 USD

4. ค่ารถเดินทางจากดาลัดไปไซกอน 13 USD

รวมทั้งหมด 45 USD

ตอนต่อไป ตะลอนเมืองไซกอน (โฮจิมินห์) ตอนจบ


เพราะโลกนั้นกว้าง

 วันอาทิตย์ที่ 21 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559 เวลา 09.29 น.

ความคิดเห็น