ก่อนอื่นเลยต้องบอกก่อนว่าเราอยากบันทึกเรื่องราวการเดินทางของเรา ในแบบที่เราไปเห็น ไปสัมผัส สิ่งที่เราได้มอง ได้เจอ ก็เลยอาจจะไม่มีเรื่องของราคา วิธีการต่างๆเท่าไหร่นัก อยากพบเจอเมืองที่เขาว่ากันว่าละม้ายคล้ายคลึงกับประเทศญี่ปุ่นมาก และทริปนี้อยากลองถ่ายภาพในสัดส่วน 16 : 9 ออกมาให้ดูแปลกตา ก็น่าจะให้ความรู้สึกเหมือนดูหนังในโรงฯเหมือนกันแหละเนอะ
ทริปนี้เราไปกัน 3 คน มีโจทย์คือ แพลนสถานที่เอง เดินทางเอง แฟนกับน้องเราได้ซื้อตั๋วเครื่องบินออกเดินทางจากไทย เที่ยงคืนกว่าๆ ถึงใต้หวันเกือบๆตี 5 และขากลับ ออกจากใต้หวัน 9 โมง ถึงไทยก็เที่ยงกว่า รวมเป็น 6 วัน 6 คืน เต็มๆ
แผนแรกของเราเลยคือเช่ารถขับเลย 3 วันแรก เก็บให้หมดตั้งแต่ รถไฟสายธรรมชาติ Alishan - Sun Moon Lake - ฟาร์มแกะ Cing Jing - Taroko National Park - ทะเลฝั่งตะวันออก Hualien แล้วค่อยไปคืนรถ เที่ยวในเมืองไทเป 3 วันหลัง
แต่หลังจากเสิร์ชหาข้อมูล ทำให้ต้องพับแผนนี้ลงอย่างน่าเสียดาย เพราะที่ใต้หวันไม่อนุญาติให้คนไทยใช้ใบขับขี่สากลในการเช่ารถยนต์ขับเที่ยวเองจากบริษัทรถเช่าทั้งหลายแล้ว เพิ่งมีข้อห้ามช่วงปลายปี 2018 นี่เอง พวกเราเลยต้องมาวางแผนกันใหม่ โดยคราวนี้ต้องใช้ข้อมูลทุกส่วนมาประกอบกัน ไม่ว่าจะเป็นสถานที่ไหนควรไปวันไหน ใช้เวลาเท่าไหร่ในการเดินทางแบบใด มีการตัดสถานที่ที่ไม่อยู่ในเส้นทาง ประเมินความเป็นไปได้ในการแวะเที่ยวจุดต่างๆ กรุ๊ปปิ้งสถานที่เที่ยวที่อยู่ใกล้ๆกันไว้ในวันเดียวกัน โหวตและเสนอว่าใครอยากไปจุดไหนบ้าง โรงแรมที่พักตรงไหนดี ราคาเป็นยังไงบ้าง ไหวมั้ย ฯลฯ ถือว่าละเอียดพอสมควร
สุดท้ายเราได้แผนกว้างๆมา
Day 1 : DMK- TPE / Taoyuan Airport - Taichung - Chiayi
Day 2 : Chiayi - Alishan
Day 3 : Alishan - Chiayi - Taipei
Day 4 - 6 : around Taipei
Day 7 : TPE - DMK
แล้วค่อยลงรายละเอียดเรื่องการจองรถ จองโรงแรม
มาถึงวันเดินทาง เราไปเจอกันที่สนามบินดอนเมือง สนามบินตอนใกล้ๆเที่ยงคืนนี้ผู้คนบางตาไม่พลุกพล่านเท่าไหร่นัก นักท่องเที่ยวเข้าแถวโหลดกระเป๋าสัมภาระกันอย่างเป็นระเบียบ ค่อยๆผ่าน ต.ม. ทีละคนๆ แล้วเข้าไปนั่งรอขึ้นเครื่องกัน
3 ชั่วโมงครึ่งต่อมา เราก็ได้เดินทางมาถึงสนามบินเถาหยวน - ใต้หวัน
ผ่าน ต.ม. ที่นี่ ออกมาเจอโถงที่สวยงามของสนามบินเถาหยวน มองทะลุผ่านกระจกไปด้านนอก แสงสว่างสีฟ้าอ่อนๆแสดงให้เรารู้ว่านี่ใกล้จะเช้าแล้วโดยไม่ต้องชำเลืองดูนาฬิกาที่ข้อมือเลย
ต่อจากนี้เราต้องเดินทางไปยังเมือง Thichung ที่เราอ่านรีวิวมา จะต้องมาขึ้นรถบัส No. 705 เพื่อไปสถานีรถไฟความเร็วสูงก่อน แต่ตอนมาดูรอบรถบัส พนักงานบอกว่าบัสจะเริ่มเดินรถตอน 8 โมง ถ้าอยากไปเร็วกว่านี้ให้ไปขึ้น รถไฟฟ้า MRT แทน
ตู้ซื้อตั๋วมีหลายภาษาให้เลือกและมีเมนูภาษาไทยด้วย จริงๆแล้วในสนามบินก็มีร้านสะดวกซื้อให้เราซื้อบัตร Easy card แต่ยังไม่มีลายที่ชอบก็เลยยังไม่ได้ซื้อเก็บไว้ หยอดๆตู้ไปก่อนก็ได้
บางขบวนเป็นเบาะนั่งอย่างดีเลยครับ มีที่วางกระเป๋าสำหรับนักเดินทางโดยเฉพาะ เราก็นำกระเป๋าไปวาง ล็อคให้เรียบร้อยแล้วก็เดินตัวปลิวมานั่งสบายๆกันได้เลย
อ้าววว.. ต้องมาลง Terminal 2 ซะงั้น
ไม่ได้ดูให้ดีเองแหละ ประมาณว่าจะมีขบวนที่วิ่งสุดแค่ Terminal 2 กับขบวนปกติที่วิ่งไปสถานีปลายทางไม่เป็นไร รออีกไม่นานอีกขบวนก็มาแล้ว..
ขบวนนี้เหมือนรถไฟฟ้าบ้านเราครับ เพิ่มในส่วนของที่วางกระเป๋าและเรื่องตรงเวลาเข้ามาเท่านั้นเอง :p
สองข้างทางของที่นี่มีผสมปนเปกันไประหว่างธรรมชาติและสิ่งก่อสร้าง เราได้เห็นตอต้นข้าวในนาที่เพิ่งผ่านการปลูกมาใหม่ๆ เห็นสวนเล็กๆหลากหลายพันธุ์ไม้ภายในพื้นที่บ้าน เห็นฝายชะลอน้ำ พื้นที่สีเขียวมีให้เห็นตลอดสองฝั่งของรางรถไฟนี้ นั่งชมวิวเพลินๆ ไม่นานนัก็มาถึงสถานีรถไฟความเร็วสูง หรือ THSR (Taiwan High Speed Rail)
เราได้มาต่อคิวเพื่อรับตั๋ว ซึ่งเราจองผ่านทางเว็บ kkday กับ klook มาแล้ว พนักงานก็จัดการยืนยัน booking และ passport ของทุกคน จากนั้นเราก็ได้ตั๋วมาเป็นแบบ Non-Reserved เป็นตั๋วไม่ระบุที่นั่งคือว่างตรงไหนก็นั่งได้ถ้าเจ้าของที่จริงๆมาค่อยลุกย้าย เดินลงมาจากที่ซื้อตั๋วไม่ไกลก็เจอมินิมาร์ท แวะหาอะไรรองท้องกันก่อน แล้วพวกเราก็พากันเดินไปที่ชานชาลาเพื่อรอขึ้นรถไฟความเร็วสูง ซึ่งสำหรับเราเองนี่คือการนั่งครั้งแรกในชีวิต จะเร็วขนาดไหน? ภายในจะเป็นยังไง? รู้สึกแอบตื่นเต้นในความอยากรู้อยากเห็นอยู่เหมือนกัน
เส้นแถบสีสะดุดตาถูกแสดงอย่างชัดเจนในการต่อคิวเข้าออกบริเวณที่ประตูรถไฟจะเปิดให้เดินผ่านเข้าออก
ยังไม่ทันได้ทำอะไรเป็นชิ้นเป็นอัน รถไฟความเร็วสูงก็มาจอดให้บริการอย่างตรงเวลา พวกเราจัดการเก็บกระเป๋า เดินหาที่นั่งกัน โชคดีมีที่ว่างใกล้ๆกันพอดี สัมผัสแรกที่เข้ามา เห็นแนวเบาะนั่งเป็น 3 และ 2 ที่นั่ง ความกว้างของโบกี้ใหญ่เกือบเท่าเครื่องบินโลว์คอสภายในประเทศบ้านเรา แต่พอนั่งแล้วรู้ทันทีเลยว่านั่งสบายกว่าเบาะของเครื่องบินซะอีก
ได้ Easy card แบบพวกกุญแจมาจากมินิมาร์ทในสถานี 150TWD ไม่สามารถแลกคืนเป็นเงินได้ นี่เป็นลายที่แบ้วน้อยที่สุดแล้วตั้งแต่เจอมา
ที่แรกที่เราจะไปกันคือ Rainbow Village เห็นในรีวิวว่าสวยดีก็เลยอยากไปดูไปถ่ายรูปกัน หาข้อมูลการเดินทางกันอยู่ก็มีคนขับ Taxi เข้ามาถาม เข้ามาให้ข้อมูล สุดท้ายไม่อยากรอรอบรถบัสที่ไม่รู้จะมาตอนไหน ก็ต้องต่อรองราคากับพี่แท็กซี่จนปิดดีลที่ 150TWD
คนเยอะถึงขนาดต้องขอทางเดินกันเลยทีเดียว ศิลปะที่นี่ถือได้ว่าเป็นเอกลักษณ์ ใช้สีสันที่หลากหลายถ่ายทอดออกมาในรูปแบบเฉพาะตัว ใช้เวลาไม่นานนักสำหรับการเดินรอบหมู่บ้านเล็กๆที่เต็มไปด้วยสีสันแห่งนี้
เราเดินข้ามฝั่งไปรอรถบัสเพื่อเข้าไปในเมือง Taichung โดยมีเป้าหมายอยู่ที่ร้านไอศกรีมที่ไม่มีชื่อภาษาอังกฤษ และร้านต้นตำรับชานมไข่มุก Chun Shui Tang กัน
หลังจากนั่งบัสมา เดินไปกินอุด้งมา เราก็มาถึงร้านแล้ว ร้านนี้มีเจ้าตัวหัวกลมสี่ขาสีดำเป็นดาราประจำร้าน
หลังจากกินของหวานกันเรียบร้อย ก็เดินทางต่อไปร้านต้นตำรับชานมไข่มุกกันต่อ
ลงจากรถบัส เดินต่อมาอีกพักเล็กๆก็ถึงร้าน ด้านหน้ามีแก้วชานมไข่มุกแก้วใหญ่ตั้งอยู่หน้าร้าน แม้จะโดนมอเตอร์ไซค์จอดบัง ก็ยังสังเกตุเห็นได้ง่ายอยู่ดี
ที่ร้านนอกจากชาไข่มุก ยังมีทั้งอาหารคาวหวานไว้บริการด้วย เสียดายไม่ได้เช็คตั้งแต่แรก ไม่งั้นมากินข้าวกันที่นี่ก็ได้ เพื่อนบอกว่าก๋วยเตี๋ยวเนื้อที่นี่อร่อยด้วย
เลยสั่งแค่ชานมไข่มุกมาลิ้มลองกัน ซึ่งโดยรวมถือว่าอยู่ในเกณฑ์ดี มีความหอมชาอยู่ ตัวไข่มุกก็เยอะดีเคี้ยวเพลิน
ตอนนี้พระอาทิตย์ย้ายตำแหน่งจากกลางหัวเริ่มเฉียงไปทางตะวันตกแล้ว เวลาเกือบบ่ายสอง ความอ่อนล้าจากการเดินทางเริ่มครอบงำให้สมองสั่งการช้าลง นี่คงถึงเวลาที่พวกเราต้องเดินทางต่อไปยัง Chiayi
ประมาณครึ่งชั่วโมงเราก็มาถึงสถานีรถไฟความเร็วสูงเมือง Chiayi ซึ่งต้องต่อรถบัสเข้าไปที่ Bus Station อีกประมาณเกือบชั่วโมง แล้วค่อยเดินไปที่โรงแรม
ที่นี่ Bus Station จะอยู่รวมกับ สถานนีรถไฟ TRA (Taiwan Railways Administration) เลย
หลังจากมาถึงเราก็เปิดแผนที่เดินไปโรงแรมต่อเลย ตอนนี้เริ่มไม่ไหว ยืนก็จะร่วงแล้ว ยังดีที่ระยะทางเดินไปโรงแรมไม่ไกลนัก การก้าวขาแต่ละก้าวเต็มไปด้วยความหวังที่จะได้เอนหลังหลับตาลงบนที่นอนนุ่มๆ แล้วเราก็ได้พักผ่อนก่อนออกไปเดินหาอาหารเย็นกินกัน
หลังจากพักผ่อนกัน ตื่นขึ้นมาพร้อมกับความหิว ก็เลยเสิร์ชหา street night market ใกล้ๆเพื่อออกมากินข้าวกัน ซึ่งอยู่ห่างจากที่พักไม่ไกลมาก เลยเดินไปดูบ้านดูเมืองเค้าไปด้วยไปหาของกินด้วย
นี่คงเป็นร้านที่เด็ดที่สุดในค่ำคืนนี้ ร้านขาย เห็ดคลุกแป้งทอด อร่อยจนติดใจไปซื้ออีกหลายๆที่ในวันหลังๆซึ่งไม่มีเจ้าไหนอร่อยเท่าเจ้านี้อีกเลย
หมดเวลาของวันนี้แล้วสินะ ต้องพักผ่อนแล้วสินะ พรุ่งนี้ต้องขึ้นรถบัสไป Alishan National scenic area เพื่อชื่นชมและดื่มด่ำอากาศบริสุทธิ์ของธรรมชาติกันต่อ
แสงอาทิตย์ที่ลอดผ่านช่องหน้าต่างมาในตอนสายๆของเช้าวันนี้ มองนาฬิกาจากโทรศัพท์ เวลาเริ่มเดินทางใกล้เข้ามาแล้ว
ด้วยเวลาที่กระชั้นชิด ทำให้ข้าวเช้าวันนี้เริ่มที่ Family mart ใกล้ๆโรงแรม
ตั๋วรถบัสไป Alishan ก็สามารถซื้อจากตู้อัตโนมัติในนี้ พนักงานสื่อสารภาษาอังกฤษด้วยความเคยชินในการซื้อตั๋วรถ เดินมาช่วยกดตู้ที่เต็มไปด้วยภาษาจีนอย่างเต็มใจ
Chiayi Station เป็นจุดขึ้นรถบัสต่อไป Alishan มีนักท่องเที่ยวมายืนรอเนืองแน่นก่อนเวลาที่พวกเราจะเดินไปถึงเสียอีก แม้จะไม่ค่อยตรงเวลานักแต่ก็มีการอัพเดทเวลาผ่านป้ายอิเล็กทรอนิกส์ตลอด
หลังจากนั่งรถแบบส่ายไปมาบนเส้นทางคดเคี้ยวตามปกติของการขับรถบนเขาเกือบ 3 ชั่วโมง เราก็ได้มาถึง Alishan ประมาณบ่ายโมง จ่ายเงินคนละ 150TWD เป็นค่าผ่านประตู จัดการฝากกระเป๋าที่โรงแรม แล้วค่อยออกมานั่งรถไฟสายธรรมชาติกัน
ชานชาลาไม้สีน้ำตาลตัดกับแนวสีเขียวของต้นไม้สูงและดอกซากุระที่กำลังเบ่งบานบ้างขาวบ้างชมพู
สำหรับเส้นทางชมธรรมชาติจะแบ่งออกเป็นสองเส้นทาง ซึ่งตอนแรกพวกเราคุยกันไว้ว่าบ่ายนี้ไปสาย Sacred Tree ก่อน แล้วพรุ่งนี้หลังจากดูพระอาทิตย์ขึ้นค่อยไปสาย Zhaoping เพราะดูจากแผนที่ในโบรชัวร์ท่องเที่ยวมันกว้างใหญ่เหลือเกิน
ไม่เกิน 10 นาทีเราก็มาถึงสถานี Sacred Tree ถ่ายรูปเล่นกันจนรถไฟกลับออกจากชานชาลาไป
อากาศที่เย็นกำลังพอดี กับแดดอ่อนอ่อนที่เล็ดลอดผ่านยอดต้นไม้ขนาดใหญ่ ทำให้รู้สึกสบายอย่างบอกไม่ถูก
เราวางแผนเส้นทางที่เราจะเดินกันคร่าวๆ แล้วเดินดูสภาพแวดล้อมของธรรมชาติอันยิ่งใหญ่รอบตัวเราไปเรื่อยๆจนพบว่า เราน่าจะเดินครบได้ทั้งสองสถานีภายในเย็นนี้เลย เพราะลองเทียบเวลาการเดินกับแผนที่แล้วแต่ละจุดไม่ได้อยู่ไกลกันเลย ทำให้เราตัดสินใจเดินเล่นถ่ายรูปกันไปจนครบทั้งสองสถานีแบบไม่ได้ลงรายละเอียดและไปครบทุกจุด
ต้นไม้ No.28 อายุกว่า 1000ปี เป็นต้นที่ใหญ่และอายุเยอะที่สุด
เจ้าแมวขี้อายทำหน้าที่มาต้อนรับนักท่องเที่ยว
เดินออกมาจากป่าทึบ ก็เจอความสวยงามของ Cherry Blossom , Plum Blossom , Sakura ไม่รู้ต้นไหนเป็นดอกไหนเหมือนกัน แต่มันจัดอยู่ในตระกูลเดียวกันนั่นแหละ
ใบ Maple สีเขียว ย้อนแสงโทนอุ่นๆของพระอาทิตย์ให้ความรู้สึกเหมือนกำลังจะเข้าฤดูใบไม้ร่วงอีกครั้งแล้ว
นี่น่าจะเป็นสถานีตำรวจที่เงียบสงบสุขที่สุดแห่งหนึ่งของโลก
พอแดดคล้อยลง แสงเริ่มเปลี่ยนเป็นสีส้มที่เข้มขึ้น เราก็เดินกันมาถึงสถานี Zhaoping ซึ่งเป็นทางผ่านของการขึ้นไปชมพระอาทิตย์ขึ้นพรุ่งนี้เช้า มีโบกี้รถไฟจอดพักไว้ มีหัวรถจักรโบราณตั้งนิ่งๆแสดงการขนส่งท่อนซุงในสมัยก่อน
นอกจากขบวนรถไฟและการเดิน ก็ยังมีรถบัสไว้บริการอีกทางด้วย
จากสถานี Zhaoping พระอาทิตย์ลับขอบฟ้าไปแล้ว เราเดินกลับตามทางที่ยังมีไฟสลัวส่องสว่างอยู่ลงมายังที่พัก แวะ 7-11 กินข้าวเย็น แล้วกลับไปพักผ่อน พรุ่งนี้เราต้องตื่นไปเข้าแถวต่อคิวขึ้นรถไฟไปสถานี Zhuchan ตั้งแต่เช้าตรู่
นักท่องเที่ยวน่าจะเกือบจะทั้งหมดที่มาพักที่ Alishan นี้ ถูกแบ่งออกเป็น 2 ขบวนเพื่อเดินทางขึ้นไปชมแสงแรกที่โผล่พ้นเทือกเขาของพระอาทิตย์ในเช้านี้
06.13 เวลาของพระอาทิตย์ที่จะแสดงความสวยงามให้ทุกคนได้ชมกัน
จุดชมวิวเต็มไปด้วยผู้คน ต่างพากันยกโทรศัพท์มือถือขึ้นมาเก็บภาพและวีดีโอไว้เป็นที่ระลึก
เสียงตะโกนเล่าเรื่องของไกด์ชาวไต้หวันดังฟังชัดบอกนักท่องเที่ยวให้เข้าใจถึงประวัติความเป็นมา จังหวะเว้นวรรคของประโยคราวกับปลุกใจให้ลุกขึ้นสู้กับทุกช่วงของชีวิต เหมือนที่พระอาทิตย์ลุกขึ้นมาให้แสงสว่างในทุกๆวัน เพียงไม่นานพระอาทิตย์ก็ผ่านพ้นเทือกเขาสูงที่อยู่ตรงหน้าเราขึ้นไปให้ความอบอุ่นแก่โลกใบนี้ต่อไป นี่คงเป็นเวลาที่เราต้องขยับตัวกลับลงไปด้านล่างเพื่อใช้ชีวิตของเราต่อไปเช่นกัน
ถึงเวลาจากลา Alishan กันแล้ว
หลังจากกินข้าวเช้ากัน 08.00 น. เราก็ต้องไปต่อคิวซื้อตั๋วรถบัสรอบแรก 10.10 น. เพื่อเดินทางกลับมายังสถานีรถไฟความเร็วสูง Chiayi และมุ่งหน้าสู่เมือง Taipei
วันนี้เป็นวันเดินทางคงไม่ได้ไปไหนมากนัก นั่งบัสลงมาจาก Alishan 3 ชม. ต่อ THSR อีกเกือบ 2 ชม. ไปถึงไทเปก็บ่ายแก่ๆแล้ว
มื้อกลางวันตรงกับเวลาเดินทางพอดี พวกเราเลยซื้ออาหารญี่ปุ่นขึ้นมากินซะเลย ซึ่งรถไฟความเร็วสูงอนุญาติให้นำอาหารเข้ามากินได้ พอเปิดเท่านั้นแหละ กลิ่นอาหารออกมาเตะจมูกยั่วยวนคนรอบข้างอย่างน่าเกรงใจเลยทีเดียว แต่เพราะความหิวเลยทำได้แค่รีบกินรีบเก็บ
เรามาลงกันที่สถานี Main Taipei เดินลากกระเป๋าเข้าโรงแรมที่พัก เอนหลังได้สักพักก็นั่ง MRT ไปเดินเล่นที่ 1914 huashan creative park พื้นที่สำหรับจัดนิทรรศการและแสดงผลงานศิลปะแขนงต่างๆทั้งโชว์ทั้งขายสินค้ารวมๆกัน แล้วกลับมาตะลุยย่าน Ximending กันต่อ โดยมื้อเย็นเป็น Mala Yuanyang Hotpot
เริ่มแล้วกับย่าน Ximending ย่านช็อปปิ้งที่รวบรวมร้านไว้มากมาย ย่านที่มีชานมไข่มุกเกือบทุกช่วงตึก ย่านที่ร้านขนมของฝากเรียงรายไปทั่ว ย่านที่มีสินค้าดีอาหารเด็ดในรีวิวของคนไทยบนโลกอินเตอร์เน็ต
ในส่วนของชาบูหม่าล่า Yuanyang นั้น โดยส่วนตัวถือว่าคุ้ม เนื้อ US. Angus เติมได้ตลอดแม้จะเข้าใจผิดว่าให้สั่งได้แค่ 4 ถาดเท่านั้น แต่จริงๆแล้วคือน่าจะกลัวสั่งมาแล้วกินไม่หมดเลยไม่ให้สั่งมาสต็อคไว้เยอะๆ เครื่องดื่มเยอะมาก เบียร์ไต้หวัน free flow ของหวานก็เยอะ น้ำซุปใสก็ดี น้ำซุปหม่าล่าก็เผ็ดชาปากกันเลย
กินอิ่มก็ต้องนอนหลับ พอจบจากชาบู เดินย่อยกันนิดหน่อยแล้วก็กลับไปพักผ่อนกันต่อที่โรงแรม
หลังจากคืนนี้สายฝนที่ชุ่มฉ่ำได้มาต้อนรับทริปของเราอย่างเป็นทางการ ทำให้กล้องที่เคยประจำการข้างตัวเสมอต้องไปมุดตัวอยู่ในกระเป๋าสะพายข้างเกือบตลอดเวลา รูปที่น้อยลงแปรผกผันกับอากาศที่เย็นขึ้นและการเดินทางที่ยากขึ้นตามไปด้วย
วันนี้ วันที่ 4 ในทริปนี้ จุดหมายปลายทางคือ หมู่บ้านแมว Houtong cat village, น้ำตก Shifen และ Jiufen Old Street
เราตื่นสายๆตามที่ตกลงกันไว้ ออกมาด้วยชุดสบายๆพร้อมอากาศที่ดีแต่ต้องกลับด้วยความเหน็บหนาวจนตัวสั่น
เราเดินทางด้วย รถไฟ TRA จนมาถึงหมู่บ้านแมว ต้องเป็นที่หลงรักสำหรับบรรดาทาสแมวแน่นอน แต่ต้องขออนุญาติเจ้าของในการจับเล่นก่อน หรือควรเล่นอย่างระมัดระวังกับแมวที่อยู่ตามทางทั่วไป เพราะเราโดนไปหนึ่งแผลจากการเล่นแบบไม่รู้นิสัยมันไปแล้ว
อ้วนแล้วไง? พวกมนุษย์
เล่นกันเพลินจนเกือบเลยรอบรถไฟไปน้ำตก Shifen เราพากันรีบไปที่สถานี โชคดีที่ยังทันอยู่ ไม่งั้นอาจจะต้องรอกันอีกชั่วโมงเลย ถึงตอนนี้ฝนก็เริ่มลงหนาเม็ดแล้ว ความเฉอะแฉะกำลังคืบคลานเข้ามาสู่รองเท้าพวกเรา
ไก่ยัดข้าวนี่อร่อยดี คนซื้อเยอะมาก ตั้งร้านดักอยู่ที่สถานีเลย
บริเวณรางรถไฟของสถานีนี้คึกคักไปด้วยสินค้าของฝากต่างๆ และยังเป็นที่ลอยโคมปล่อยความทุกข์ความเศร้าโศกของชาวไต้หวันอีกด้วย
เนื่องจากฝนที่ตกลงมาจนเริ่มเปียก เราเลยตัดสินใจเรียก Taxi ทั้งไปและกลับแทนการเดิน
ได้ฉายาว่าเป็น "ไนแองการ่าแห่งไต้หวัน" แต่เราว่าน้ำตกหลายๆแห่งในไทยสวยกว่านะ
แบทแมนน้อยและสุนัขของเขา ที่เราเจอตอนรอ taxi กลับจากน้ำตก
กลับมาจากน้ำตกเรานั่งรถไฟไปต่อรถบัสที่สถานี Ruifang ที่นี่เราหาทางขึ้นบัสกันอยู่สักพักก็ได้คุณป้าใจดีบอกทางให้ไปรอรถตั้งแต่ต้นสายจะได้นั่ง ตอนแรกพวกเราก็งงเพราะคนละทางกับที่ Google map บอกเลย สุดท้ายก็ต้องรู้สึกขอบคุณคุณป้าคนนั้นจริงๆ เพราะป้ายที่ GGmap บอกคนรอขึ้นเยอะมาก
ไปถึง Jiufen ฝนตก ลมแรง คนเยอะพอๆกับสวนจตุจักรวันอาทิตย์เลยทีเดียว เข้าไปเดินดูโน่นนี่ยังไม่ทันสุดทางก็ถอดใจ หันหลังกลับออกมาเริ่มทัวร์กินหลังจากเล็งๆกันไว้ตั้งแต่เดินเข้าไปแล้ว
มีร้านก๋วยเตี๋ยวอยู่ร้านนึงคล้ายๆก๋วยเตี๋ยวแคระบ้านเรา ดูน่ากิน คนเยอะ พอได้ที่นั่งซึ่งต้องไปนั่งร่วมโต๊ะกับคนอื่น ตอนสั่งแรกๆก็ชี้ๆว่าจะสั่งตามคนในโต๊ะเราเนี่ยแหละ คนขายพูดสวนกลับมา คนไทยใช่มั้ย? เท่านั้นแหละสั่งภาษาไทยเลย อร่อยเลยร้านนี้ จากร้านนี้ก็เดินไปกิน Choux Cream กินบัวลอย กันก่อนนั่งรถกลับ
จังหวะรอรถบัสกลับนี่แหละ ตอนนี้เท้าเปียกหมดแล้ว แฟนเราถึงขั้นซื้อรองเท้าแตะในมินิมาร์ทมาเปลี่ยน ฝนตกพรำๆไม่ขาดสาย และด้วยลมที่แรงทำให้เราตัวสั่นปากสั่นกันเลยทีเดียว รอรถอยู่สักพัก สายที่ต้องการขึ้นยังไม่มา หนาวด้วย เปียกด้วย เลยตัดสินใจขึ้นอีกสายหนึ่งไปต่อรถไฟฟ้า MRT ในเมือง กลับโรงแรม
สายๆของวันที่ 5 เริ่มเหนื่อยล้าจากการท่องเที่ยว วันนี้จะเป็นวันชิล ไหว้พระขอพรที่วัดหลงชาน วัดซิงเทียน กินข้าวที่ตลาดปลา แช่ออนเซ็นที่เป่ยโถว กลับมาเดินเล่นที่ซีเหมินติง อากาศวันนี้ก็ครึ้มฟ้าครึ้มฝนเหมือนเดิม แต่ปริมาณเม็ดฝนน้อยกว่าเมื่อวานเยอะ พอที่จะหยิบกล้องออกมาถ่ายได้บ้าง
ที่ตลาดปลา จะมีหลายโซน ทั้งโซนปลาเป็นสดๆ โซนร้านที่ต้องไปยืนหน้าบาร์สั่งอาหารกับเชฟโดยตรง โซนอาหารแพ็คให้เลือกซื้อกันกลับบ้านหรือไปยืนกินด้านนอกที่มีโต๊ะไว้บริการ
จากตลาดปลาเราก็นั่งรถไฟฟ้าไปต่อกันที่เป่ยโถว ย่านนี้เด่นเรื่อง ออนเซ็นหรือบ่อน้ำพุร้อน จะมีให้บริการทั้งแบบสาธารณะและห้องส่วนตัวในโรงแรม ซึ่งราคาก็จะต่างกันเยอะมากหลักสิบกับหลักพัน
แช่น้ำร้อนผ่อนคลายเสร็จเรียบร้อย ก็นั่งรถไฟฟ้ากลับมาที่ Ximending กินข้าวแล้วกลับเข้าโรงแรม พักผ่อนกันตามอัธยาศัย พรุ่งนี้เป็นวันสุดท้ายก่อนกลับไทย แพลนต่างๆเริ่มโดนตัดเหลือเพียงไม่กี่ที่เท่านั้น
วันสุดท้ายนี้เรามีนัดกันที่ Chiang Kai-Shek Memorial Hall และ Din Tai Fung สาขาตันตำรับ และชานมไข่มุกยี่ห้อดังตามรีวิว แรงถ่ายรูปจากกล้องหดหายไปเหลือเพียงแรงหยิบมือถือขึ้นมาบันทึกภาพความยิ่งใหญ่ของอนุสรณ์สถานท่าน เจียง ไคเชค ไว้
ตึกไทเป101 แม้ทำได้เพียงยืนมองอยู่ไกลๆ แต่ก็ได้เห็นอีกมุมมองดีเหมือนกัน
ในส่วนของร้านดินไท่ฟงนั้นถือว่าคุ้มค่ากับการรอคอยมาก มองจากภายนอกเป็นเพียงอาคารพาณิชย์ที่มีผู้คนมายืนรอกันเข้าไปด้านในเท่านั้น แต่ข้างในสะอาด เป็นระเบียบ บริการดี และอาหารอร่อย
ด้วยความที่ออกจากโรงแรมเกือบเที่ยง เดินทาง รอคิวที่ร้าน Din Tai Fung นาน หาซื้อของฝากไปด้วยในตัว ทำให้เวลาวันนี้ผ่านไปอย่างรวดเร็ว ไม่ทันไรก็ต้องกลับมาแพ็คกระเป๋าเดินทางเพื่อเตรียมตัวกลับไทยกันแล้ว
ขอปิดท้ายด้วยสิ่งที่เผาเวลาและทำให้เราสูญเสียเงินไปแบบเงียบๆยิ่งกว่าการรูดบัตรเครดิตในห้าง สิ่งที่มีแทบจะทุกช่วงตึกในย่าน Ximending สิ่งที่ใช้อารมณ์ของมนุษย์เป็นของเล่น มันจะเป็นอะไรไปไม่ได้นอกจาก "ตู้คีบตุ๊กตา"
สวัสดีครับ
Warut.R
IG : tay.warutr
IG : lover.affection
Warut.R
วันพฤหัสที่ 4 เมษายน พ.ศ. 2562 เวลา 11.23 น.