ถ้าจะบอกว่าประเทศจีนเป็นประเทศที่ไม่เคยคาดคิดมาก่อนว่าจะได้มีโอกาสไปสัมผัสก็คงไม่ผิดนัก เรื่องราวที่ได้รับรู้มาตั้งแต่เด็ก ทั้งเรื่องความสะอาด เรื่องห้องน้ำ และอีกหลายๆอย่าง ความรู้สึกที่ประเมินจากประสบการณ์ที่ได้ยินมา ทำให้ไม่อยากไปเลยหล่ะ
แต่การเดินทางก็ย่อมมีเหตุและผลของมันเสมอ โปรโมชั่นจากสายการบิน ก็เป็นเหตุในการเดินทางครั้งนี้ได้เช่นกัน
เมื่อการใช้คะแนนแลกตั๋วขากลับจากเมืองเฉิงตูได้ ก็ต้องซื้อตั๋วขาไปกันตามระเบียบ เรื่องนี้น้องเราจัดการเพราะน้องเราเป็นคนเห็นและเริ่มจองโปรฯนี้จากแอร์เอเชีย
เรื่องตั๋วไปกลับ น่าจะจัดการเรียบร้อยตั้งแต่ช่วงเดือนพฤษภาคมปีนี้ เหลือแต่เพียงวางแผนการเดินทาง จองที่พัก และทำวีซ่า เท่านั้นเอง
เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว ไม่ทันไรก็ถึงเดือนกันยายนแล้ว ยังไม่ได้ทำอะไรซักอย่างเลย ที่คิดไว้ว่าเหลือแค่นั้นเอง กลายเป็นต้องเข้าเกียร์เหยียบคันเร่งสุดตัว เริ่มจากหาสถานที่ที่อยากไปแล้วค่อยๆตัดตัวเลือกจากความอยาก เส้นทางการเดินทาง ระยะเวลาการนั่งรถ หาจองโรงแรมให้ได้ เนื่องจากการทำวีซ่าจะต้องใช้ชื่อโรงแรมประกอบด้วย สุดท้ายทุกอย่างเกือบจะเรียบร้อยภายในเดือนกันยา เหลือแต่การจองรถบัสซึ่งเปิดจองก่อนวันเดินทางไม่กี่วัน เอาหล่ะ.. ตอนนี้ก็แค่รอให้ถึงวันเวลาเดินทาง
ช่วงเวลาเดินทางของเราคือ 10-14 ตุลาคม สภาพอากาศกำลังดี สีของใบไม้น่าจะเริ่มจางจากสีเขียวเป็นสีเหลืองๆแดงๆบ้างแล้ว หวังไว้ว่าคงจะไม่เจอฝนเหมือนตอนไปไต้หวันนะ
Bangkok - Chongqing
ตีสี่ครึ่งของวันที่ 10 เราก็ไปถึงสนามบินดอนเมือง ด้วยความที่เช็คอินมาแล้ว แต่ก็ต้องไปต่อแถวโหลดกระเป๋าอยู่ดี ก่อนที่จะเดินไปที่ gate เราใช้สิทธิ์บัตร king power ของแฟน ใช้บริการ king power lounge ในนี้มีอาหารหลากหลายชนิดให้เลือกกิน อิ่มกันไปแต่เช้าตรู่เลย
จากนั้นก็ได้เวลาเดินทางไปประเทศจีนกัน เอ่ออ ลืมบอกไป.. ตั๋วขาไปนี่ไปลงสนามบินฉงชิ่งนะ ก็งงเหมือนกันว่าไปลงนั่นทำไมในเมื่อขากลับไทย กลับจากสนามบินเฉิงตู แต่ไม่เป็นไร มันก็ใกล้ๆกับเฉิงตูนั่นแหละ
ตอนแรกกะว่าจะไปชมเมือง ดูวิถีชีวิตคนย่านนั้นซะหน่อยแล้วค่อยนั่งรถไฟความเร็วสูงไปเมืองเฉิงตู แต่กลับกลายเป็นว่าพอลงเครื่องเสร็จ ก็ต้องนั่งรถไฟใต้ดินไปรับตั๋วรถไฟความเร็วสูง แล้วประเด็นคือ กว่าจะได้รับตั๋ว ต้องเดือดร้อน google translate ในการแปลภาษา ซึ่งไม่รู้เรื่องกันสักที ไปรับข้างล่างก็โดนให้ไปรับอีกชั้น ไปชั้นบนได้ต่อคิวยาวมาก ระหว่างนั้นก็โดนแซงคิวจนเป็นเรื่องปกติ คราวนี้พอถึงคิวก็โดนให้ไปอีกช่องนึงเพราะช่องนี้เป็นช่อง priority อะไรก็ไม่รู้ ออกตั๋วให้ไม่ได้ เหนื่อยเอาเรื่องอยู่เหมือนกันกว่าจะได้ตั๋วมาครอบครอง
ยัง ยังไม่จบ รถไฟไม่ได้ขึ้นที่นี่ เดินถามทางได้ความมาว่าสถานีที่จะขึ้นรถไฟความเร็วสูงอยู่ห่างไปอีก ครึ่งชั่วโมง ตอนแรกเราจะหาทางต่อรถไฟหรือรถบัสไป แต่เดินมาเจอแท็กซี่ดักไว้ก่อน ก็เลยได้นั่งรถแท็กซี่ไป ราคาเหมาที่ 80 หยวน แม้จะแพงไปนิด แต่ด้วยเวลาที่กระชั้นชิดเข้ามาทำให้ต้องตัดสินใจแบบนี้
ในที่สุดก็มาถึง สถานีรถไฟความเร็วสูงตะวันตก ก่อนเวลาเดินทางไม่นาน แต่เพียงพอที่จะหาอะไรกินนิดๆหน่อยๆได้ อีกอย่างที่เป็นข้อดีของรถไฟความเร็วสูงคือสามารถกินอาหารในโบกี้ได้นี่แหละ
ช่วงเวลาที่อยู่บนรถไฟได้ผ่านไปอย่างรวดเร็วและรถไฟก็เคลื่อนที่ได้อย่างนุ่มนวลพอให้ได้งีบหลับพักผ่อนจากความเหนื่อยล้าและการอดตาหลับขับตานอนตั้งแต่เมื่อคืน
แต่แล้วพอมาถึงเมืองเฉิงตู สิ่งที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้นเมื่อเราเดินหาที่พักที่เราจองไว้ไม่เจอสักที แถมไม่มีการติดต่อไปก่อนด้วย หน้าตาและท่าทางคงกังวลมากจนคนพื้นที่ต้องยื่นมือเข้ามาให้ความช่วยเหลือ คนแล้วคนเล่า คุยก็ไม่รู้เรื่อง แปลภาษาก็ไม่ค่อยเข้าใจ สุดท้ายเดินไปหา รปภ.ของคอนโดแห่งหนึ่งแถวนั้น หาเบอร์ติดต่อจนเจอแล้วเขาช่วยคุยกับคนดูแลที่พักให้
สรุปว่าที่พักเป็นเหมือน คอนโดปล่อยเช่ารายวันอยู่ย่านๆนั้น แฟนเราไปซื้อน้ำไปให้เป็นน้ำใจ ทางคนช่วยเหลือก็ไม่รับ ทำให้ต้องขอบคุณกันเป็นการใหญ่ .. ในที่สุดเราก็ได้พักผ่อน
แต่ด้วยความที่มัวแต่หาที่พัก ก็เลยรู้สึกหิวขึ้นมา เลยพากันลงมาหาอาหารกินกัน เดินไปๆมาๆ ดูร้านนี้น่ากินที่สุดในละแวกนั้นแล้ว ทั้งสองฝ่ายสื่อสารกันอยู่นานมากกว่าจะสั่งอาหารกันรู้เรื่อง ซึ่งก็ไม่ผิดหวัง คนขายบอกว่านี่คือกินแบบเสฉวนแท้ๆเลยนะ
Chengdu - Heishui
เช้าวันถัดมา เป็นอีกหนึ่งวันที่ต้องตื่นเช้าเพื่อไปให้ทันรถบัสตอน 07.20
ใช่แล้ว เรากำลังจะเดินทางไปธารน้ำแข็งที่มีความสูงเฉียดๆ 5,000 เมตรจากระดับน้ำทะเล และแน่นอนข้างบนนั้นเป็นหิมะ
แต่การเดินทางก็ไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบเสมอไป ระหว่างทางต้องเจอกับการซ่อมพื้นถนน การก่อสร้างอุโมงค์ การเจาะภูเขา ปิดถนน ส่งคน รับคน ฯลฯ ซึ่งทำให้ระยะเวลาไม่เป็นไปตามที่คาดการไว้ สถานีรถบัสห่างจากเมืองที่จะไป ต้องต่อรถแท็กซี่อีก 20 นาที กว่าจะเช็คอินโรงแรมที่พัก ขอข้อมูลจากพนักงานในการขึ้นไปชม Dagu Gracier กว่าจะคุยกันรู้เรื่อง เวลาก็ล่วงเลยไปบ่ายสามแล้ว ตอนแรกก็ว่าคงจะไปไม่ทัน แต่เราก็ตัดสินใจเดินทางไปอุทยาน
วิวธรรมชาติระหว่างทางเริ่มแปลกตาออกไป ต้นสนไล่จากปลายยอดสีเหลืองทองลงมาเป็นสีเขียวบริเวณโคนต้นเรียงรายกันอย่างสวยงาม จากความเร่งรีบกลัวเที่ยวไม่ทันเวลาเริ่มเปลี่ยนเป็นความตื่นเต้นที่จะได้ขึ้นไปสัมผัสวิวหิมะขาวโพลนบนยอดเขาด้วยตาเปล่า
หลังจากต่อรถอุทยานขึ้นมากว่าครึ่งชั่วโมง ในที่สุดขึ้นมาถึงจุดเชื่อมต่อที่ต้องนั่งกระเช้าขึ้นไปด้านบน ตอนนั้นเราสลัดความรู้สึกนอยทั้งหลายออกไปหมดแล้ว ขอแค่ขึ้นไปเห็นข้างบน ไปเจอหิมะครั้งที่สองของชีวิตก็พอ
แล้วเมื่อขึ้นมาถึงก็ไม่ผิดความตั้งใจ เมื่อบรรยากาศและทัศนียภาพมันสวยงามขนาดนี้ แม้จะหนาวจนขาสั่นและอากาศจะบางเบาจนต้องปั๊มออกซิเจนกันก็ตาม
ชมวิวและถ่ายรูปอยู่ข้างบนได้ไม่นาน นักท่องเที่ยวชุดสุดท้ายก็ทยอยลงจากจุดชมวิว เหลือเพียงแต่เราและพนักงาน จึงจำเป็นต้องบอกลายอดเขาหิมะ ลงมาจากระดับความสูง 4,850 เมตร
กว่าจะกลับถึงที่พัก อาหารเย็นที่หากินได้คงเป็นร้านเสฉวนท้องถิ่นแถวๆโรงแรม ปิดท้ายค่ำคืนด้วยชาบูสไตล์เสฉวน ร้านนี้แปลกไปจากร้านแรก คือต้องคีบของสดรวมๆกันแล้วไปให้แม่ค้าช่างน้ำหนัก แล้วนำไปปรุงตามสูตรของร้านออกมาให้ลูกค้าลิ้มลองความอร่อยกัน
Heishui - Lixian ( Bipenggou )
แม้จะตื่นเช้าสักหน่อย แต่วันนี้คือวันเดินทาง เดินทางจริงๆ คือมีหน้าที่ย้ายถิ่นที่อยู่และต่อรถเท่านั้น ไม่มีแวะเที่ยวที่ไหนเลย
ถึงโปรแกรมจะดูหน้าเบื่อ แต่ก็แทรกไปด้วยความตื่นเต้นเบาๆ เมื่อการเดินทางไม่เป็นอย่างที่คิดเอาไว้
หลังจากนั่งแท็กซี่ไปท่ารถบัส ต้องนั้งบัสไป Maoxian ตามที่จองมา และกะว่าจะต่อแท็กซี่ไปยัง Bipenggou เลย
แต่พอมาถึง Maoxian ก็เดินไปถามพนักงานที่ท่ารถ ปรากฏว่าไม่มีรถที่ไปถึง Bipenggou พนักงานบอกว่าไปได้แต่ต้องไปต่อรถที่อีกเมืองนึง ถามจนพนักงานเขียนภาษาจีนใส่กระดาษไว้ให้ยื่นให้คนขับรถดูเวลาไปต่อรถ
สรุปวันนี้กว่าจะถึงที่พักที่ Bipenggou เราต้องนั่งแท็กซี่ ต่อบัส ต่อมินิบัส ต่อมินิบัส แล้วก็จบที่แท็กซี่เป็นต่อสุดท้าย แล้วนี่ก็เป็นวันที่เรากินบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปทั้งเช้า กลางวัน เย็น แล้วปิดด้วยมื้อดึกอีกมื้อ
Bipenggou day
การชมอุทยานแบบชิลๆคือเป้าหมาย จากโรงแรมสามารถเดินเท้าไปยังหน้าอุทยานได้เลย เราจึงไม่รีบมากนัก ตื่นมาสายๆ กินอาหารเช้าแบบจีน ดริปกาแฟกินกัน ก่อนที่จะอาบน้ำ แต่งตัว เดินไปซื้อตั๋วเข้าชมอุทยาน แต่สภาพอากาศคืออุปสรรคตัวฉกาจ ดูจากพยากรณ์หลายๆแอพฯแล้ว มีทั้งเมฆและอาจจะมีฝนช่วงบ่ายสาม ซึ่งเป็นเวลาที่เราเลือกไปซะด้วย
หลังจากซื้อตั๋วเข้ามาแล้ว ก็ต้องมาขึ้นรถบัสเพื่อขึ้นไป ผ่านเขาผ่านโค้งมากมาย ใช้เวลาพอสมควรกว่าจะไปถึงจุดแรก หลังจากนั้นก็เดินดูเดินถ่ายรูปกันไป แล้วค่อยเดินไปรอรถที่ทยอยขึ้นมาเรื่อยๆให้คนนั่งไปยังจุดต่อไป
แค่จุดแรกก็ทำเราประทับใจซะแล้ว ลงรถมาสัมผัสกับอากาศเย็นจนต้องดึงเสื้อกันหนาวมาใส่
วิวผืนน้ำขนาดใหญ่สะท้อนเงาของภูเขาสูงที่ตั้งตระหง่านอยู่ถัดออกไปทำให้เราหลงใช้เวลากับบริเวณนี้นานจนลืมไฮไลท์ของที่นี่ไปเลย
นั่งรถมาถึงจุดต่อรถไปยังจุดไฮไลท์ ตรงนี้ถ้าจะนั่งรถต้องซื้อตั๋วรถเพิ่มอีกที แต่ประหยัดเวลาได้เยอะมากเลย ตรงนี้เรามีอาการหิวก็เลยหาอาหารกินก่อนที่จะต่อรถขึ้นไป
ในที่สุดก็ได้มาถึงไฮไลท์ของที่นี่ แต่สภาพอากาศทำให้เราได้เห็นยอดเขานั้นเพียงไม่กี่นาทีเท่านั้นเอง แล้วลมก็แรงขึ้น ฝนเริ่มตกปรอยๆ นั่นทำให้เราตัดสินใจนั่งรถกลับลงมา
ตอนลงมาถึงหน้าอุทยานก็หิวกันอีกรอบ จำเป็นต้องกินอาหารเย็นจากที่นี่ไปเลยเพราะที่โรงแรมไม่มีอาหารให้สั่งกิน เป็นอีกหนึ่งมื้อสำหรับต้มสไตล์เสฉวน
ระหว่างทางเจอเจ้าหมายืนเห่าต้อนรับทักทายอยู่ เราก็ยืนดู ถ่ายรูปจนมันหยุดเห่าไปเอง แถมยิ้มให้ซะด้วย
Bipenggou - Chengdu - Bangkok
วันเดินทางอีกหนึ่งวันและเป็นวันสุดท้ายที่จะอยู่ที่ประเทศจีน เราได้มีโอกาสเดินเล่นในเมือง Lixian เราต้องต่อรถจากโรงแรมไปในเมืองแล้วมีช่วงเวลารอรถ แม้จะไม่นานนัก แต่ก็พอเดินดูบ้านดูเมืองเขาบ้าง และยังได้เจอกับบะหมี่สไตล์เสฉวน คือมีโรงผลิตเส้นบะหมี่อยู่ข้างๆเลย เป็นร้าน local ที่เดินไปเจอพอดิบพอดี เลยต้องลองซะหน่อยก่อนจะกลับ ละคือเส้นบะหมี่อร่อยมาก น้ำซุปอะไรก็ดี ให้ 10 ดาวเลย
ย่านสวนสาธารณะแห่งนี้มีการรวมตัวของนักเดินหมากจำนวนมาก บางคู่มีคนมาล้อมวงเชียร์จนไม่เห็นกระดานเลย
แหล่งแร่เนื้อ ก็จะมีชาวจีนมารอซื้อชิ้นส่วนต่างๆที่ถูกแร่สดๆร้อนๆ
ภาพระหว่างเดินทางกลับไปยังเมืองเฉิงตู นั่งรถประมาณ 3-4 ชั่วโมง เนื่องจากมีการก่อสร้างถนนตลอดทาง
เราวางแผนจากการเสิร์ชที่เที่ยวเมืองเฉิงตูมาเมื่อคืน เราจะไปเดินเล่นที่ ซอยกว้างแคบ อีกหนึ่งสถานที่ช็อปปิ้งยอดฮิตในเมืองเฉิงตู
ที่นี่มีร้านกาแฟ starbuck ที่เป็นเอกลักษณ์สไตล์จีนโบราณอยู่ด้วย
เรามาแวะลองกินกาแฟ House blend ที่ร้านนี้ ถือว่ากลิ่นกาแฟดีทีเดียว และยังมีอาหารแปลกๆ อย่างสมองหมู จมูกหมู หัวกระต่าย วางขายอยู่อีก แต่เราก็ไม่กล้าลองนะ ไม่กล้าจริงๆ
มีบริการแต่งหน้างิ้วเพื่อถ่ายภาพ และยังมีบริการแคะหู ซึ่งทำให้เราตื่นตาตื่นใจมาก
ปิดท้ายด้วยมื้ออาหารที่พอกินได้แบบไม่แปลก ดูน่ากินแต่ก็ไม่ได้อร่อยเลย ถือว่าพลาดมากสำหรับมื้อสุดท้ายนี้
จากซอยกว้างแคบ เราก็นั่งรถไฟใต้ดินต่อไปที่สนามบินแล้วรอเวลาบินกลับไทย ไปถึงสนามบินก่อนเวลา สุดท้ายก็ไม่ได้นอน กว่าจะรอเวลาเช็คอินโหลดกระเป๋า ไปนั่งรอขึ้นเครื่องบิน สรุปได้นอนในเครื่องไปนิดเดียว หลับๆตื่นๆ กลับมาพักผ่อนที่บ้านเลยแล้วกัน
สำหรับทริปนี้มันหลากหลายรูปแบบ หลากหลายอารมณ์ การสื่อสารกับคนต่างถิ่นต่างภาษา มีทั้งความสบาย มีทั้งความลำบาก การเดินทางด้วยความเร็วในโลกปัจจุบัน และการเดินทางที่ต้องต่อรถไปเรื่อยๆแบบสมัยก่อน มันทำให้ทริปนี้จะคงเป็นที่จดจำอยู่ในสมองของเราโดยไม่ลืมเลือนอย่างแน่นอน
สุดท้ายอยากขอบคุณแฟนเราที่ร่วมทริปไปด้วยความอดทน ยอมเดินทางไปแบ่งปันทั้งความสุขและความลำบากด้วยกัน
ภาพถ่ายสวยๆจากกล้อง sony rx100vii และ a7ii ปนๆกันไป
เดี๋ยวไว้เจอกันนะครับ ผู้อ่านทุกๆคน.. ทริปต่อไป ฟุกุโอกะ เจแปน
สวัสดีครับ
Warut.R
IG : tay.warutr
IG : lover.affection
Warut.R
วันจันทร์ที่ 4 พฤศจิกายน พ.ศ. 2562 เวลา 21.36 น.