การเดินทางครั้งเริ่มต้นขึ้นก่อนการแพร่ระบาดหนักอย่างเฉียดฉิว การท่องเที่ยวที่นอกจากจจะแบกกระเป๋าแล้ว ยังต้องแบกความกลัว ความกังวล การป้องกันตัวเองเบื้องต้น เป็นอย่างดี เที่ยวไปต้องคอยถามตัวเองไป "นี่กูติดหรือยังวะ"
แต่พวกเราก็ทำการเดินทางครั้งนี้ให้ปลอดภัยที่สุดแหละ
จุดหมายปลายทางของเราในทริปนี้
day 1 - Bangkok - Fukuoka - Yufuin - Kinrin Lake
day 2 -Yufuin Mameshiba Cafe - Kokonoe Yume Otsurihasi - Tadewara Wetlands,Mt.Kuju
day 3 - Mt.Aso - Fukuoka
day 4 - Nanzoin temple - Kushida shrine - shopping
day 5 - Fukuoka - Bangkok
อ่ะ มาเริ่มกันที่การขึ้นเครื่องที่สนามบินดอนเมืองตอนประมาณเที่ยงคืน บินตรงมุ่งไปถึงสนามบินฟุกุโอกะ ก็เช้าพอดี ทริปนี้พวกเราตัดสินใจเช่ารถขับเที่ยวกันเพราะเห็นว่าทั้งคนเยอะ ประกอบกับแผนการเที่ยวที่วางกันมามันค่อนข้างไกลกันพอสมควร
ในตอนเช้ารูปที่ได้ถ่ายมาก็ก็อกๆแก๊กๆ เพราะมัววุ่นช่วยกันเรื่องวิธีติดต่อการเช่ารถ ซึ่งก็จะแตกต่างกันไปในแต่ละบริษัท สุดท้ายติดต่อนัดให้เจ้าหน้าที่มารับที่สนามบินไปรับรถที่บริษัทที่อยู่ห่างจากสนามบินไม่ไกลนัก
เมื่อรับรถกันเสร็จเรียบร้อย ก่อนที่เราจะมุ่งหน้าไป Yufuin นั้น กองทัพต้องเดินด้วยท้อง เลยจัดการใช้ GPS ในรถให้เป็นประโยชน์ ด้วยความที่รู้สึกว่ามันต้องรู้จักร้านดีกว่าเราแน่แน่
เท่านั้นแหละ แค่คิดชีวิตก็เปลี่ยนทันที ปักหมุดร้านเดียวกันทั้งสองคัน การขับในต่างแดนก็ตะกุกตะกัก ยึกๆยักๆ ไหนจะกฏ ไหนจะป้าย ที่ต้องเข้มงวด เพราะถูกปรับมาทีก็ไม่คุ้ม
ขับไปขับมา GPS ก็พาเราแยกจากกันจนสุดท้ายต้องจอดกันคนละที่แล้วเดินมาเจอกัน แล้วมุ่งหน้าเดินไปร้านข้าวกันอย่างมุ่งมั่น ... ยังไม่เปิดค๊าบบบ แล้วแต่ละร้านแถวๆนั้นกว่าจะเปิดกันก็ 11 โมง สรุปจบที่ Lawson ได้ข้าวกันคนละกล่อง แล้วออกเดินทางต่อ
ลานจอดรถที่ญี่ปุ่นนี่ก็พึ่งเคยใช้บริการ งมกับการจ่ายค่าบริการกันอยู่นานมากกว่าจะได้ออก
ซึ่งจริงๆชอบมากๆเลยนะ ถ้าเกิดเอามาใช้กับประเทศไทยและมีกฏหมายเกี่ยวกับการจอดรถให้เข้มแข็ง ปัญหาจอดข้างทางจะต้องหมดไป
ระหว่างทางก็จะมีจุดแวะพัก ซึ่งสเตชั่นไม่ใหญ่มาก แต่มีกระจายอยู่หลายที่พอสมควร
นึกภาพง่ายๆ ถ้าจุดแวะพักมอเตอร์เวย์มีสัก 3 จุด นักท่องเที่ยวก็ไม่แออัดอยู่จุดเดียวเหมือนทุกวันนี้
แล้วเราก็พากันมาถึงเมือง Yufuin ขับรถขนของเข้าที่พักเรียบร้อย เสียดายไม่ได้เก็บภาพที่พักมา เพราะก็วุ่นกับการติดต่อบ้านพักอีกนั่นแหละ กว่าจะเก็บของกันได้ก็พาเหนื่อยพอตัว
ในช่วงเย็นๆ เราก็พากันมาที่ Kinrin Lake ชมบรรยากาศความสวยงามยามเย็น ถ่ายรูปกันจนหนำใจ ก็กลับไปกินอาหารที่ซื้อมาเตรียมไว้ตั้งแต่ช่วงบ่ายให้อิ่มหนำสำราญสบายพุง และแยกย้ายพักผ่อนในบ้านเช่าหลังคาเดียวกัน เตรียมออกเที่ยวกันในวันพรุ่งนี้
ช่วงเวลาสายๆเกือบเที่ยงของวันที่สองในทริปนี้ เราฝากท้องกันที่ร้านอาหารในย่าน Yufuin Kawakami ก่อนไปหาเจ้าชิบะ หมาสัญชาติญี่ปุ่น กัน
ที่นี่ทำเส้นอุด้งกันสดๆเลย อาหารอร่อยทุกอย่าง ส่วนราคาสูงพอประมาณตามสถานที่ท่องเที่ยว
นี่คือการซ่อมแซมก่อสร้างที่สะอาดที่สุดเท่าที่เคยเห็นมา
และแล้วก็ได้เจอกัน เจ้าชิบะ ก่อนเข้าก็ต้องจ่ายเงิน คนละ 880 เยน ได้เครื่องดื่มคนละแก้ว กับเวลา 30 นาที ในการเล่นกับเจ้าชิบะนับสิบตัว
ก่อนหมดเวลาเล่นกับน้องชิบะ เจ้าหน้าที่ก็ถ่ายภาพหมู่ให้เป็นที่ระลึกด้วย
พร้อมทั้งได้เวลาเดินทางต่อไปยังสะพาน Kokonoe Yume suspension bridge
ก่อนกลับมีร้านเบอร์เกอร์อยู่แถวๆโซนขายของ พวกเราก็ไม่พลาดที่จะลิ้มลองรสกัน
จากนั้นขับรถไปต่อที่ Tadewara Wetlands, Mt.Kuju หรือ Chojabaru visitor center
ที่นี่มีทั้งทุ่งหญ้ากึ่งทองกึ่งขาว เนื่องจากพึ่งผ่านพ้นหิมะจากหน้าหนาวมา แล้วยังมีหิมะหลงเหลือให้เดินย่ำสัมผัสความนุ่มอีกด้วย
เราอยู่กันเกือบจะมืดก็นึกขึ้นได้ว่า ขากลับเป็นเส้นทางในเขา คงไม่ดีแน่ถ้ามืดกว่านี้ ส่วนอาหารเย็นก็กลับไปทำกินกันที่บ้านพักเหมือนเดิม
สตาร์ทวันที่ 3 ด้วยอาหารและกาแฟจากร้านสะดวกซื้อ วันนี้เป้าหมายของเราอยู่ที่ภูเขาไฟ Aso ซึ่งเป็นภูเขาไฟที่มีการปะทุอยู่ด้านใน ต้องลุ้นว่าจะได้ขึ้นไปที่ปล่องหรือเปล่าในวันนี้ เนื่องจากมีหลายปัจจัยในหลายๆเรื่อง ทั้งมีการปะทุหรือไม่ เวลาพอหรือเปล่าเพราะต้องกลับฟุกุโอกะไปคืนรถวันนี้ด้วย
คอนเซ็ปต์ที่ญี่ปุ่นนี่ต้อง "ปวดท้องเมื่อไหร่ต้องมินิมาร์ท" คือจริงมาก ทั้งหิวทั้งห้องน้ำ จบในที่เดียว นี่ถ้านอนได้คงนอนแล้ว ฮ่าๆๆ
ถนนเส้นนี้เห็นมอเตอร์ไซค์มาขี่กินลมชมวิวกันเยอะพอสมควร ซึ่งดูจากทางแล้วก็น่าจัดสักทริปมาขี่มอเตอร์ไซค์ที่ญี่ปุ่นดูเหมือนกัน
ตอนนี้ได้เข้ามาในตัวเมือง Aso แล้ว เวลาก็เที่ยงกว่าๆพอดี ซึ่งตอนแรกจะกินร้านเนื้อที่ขึ้นชื่อในย่านนี้ แต่ด้วยคิวที่ยาวมาก ลองไปถามกว่าจะได้กินก็บ่าย2 เลยเดินหาร้านแถวๆนั้นจนได้มาเจอกับร้านนี้
ขายแค่ไม่กี่เมนู มีเนื้อเหมือนกัน ดูแบบ Local ดีด้วย ตัดสินใจกันอยู่พักใหญ่ แล้วจึงเดินเข้าไป
ปรากฏว่าไม่ผิดหวังครับ แม้จะคุยกันไม่ค่อยรู้เรื่องแต่ทางเจ้าของร้านต้อนรับพวกเราดี และพยายามสื่อสารดีมาก อาหารก็ดี เอาไป สี่ดาวครึ่ง เลย
กินเสร็จแล้ว อิ่มกันแล้ว ก็ต้องออกเดินทางไป ภูเขาไฟ Aso กัน
พอเริ่มเข้าใกล้ เห็นควันก็เริ่มทำใจแล้ว คงจะไม่ได้ขึ้นไปดูที่ปากปล่องแน่ๆ ก็เลยแวะถ่ายรูปเล่นกันอีก 2-3 จุด แล้วตัดสินใจขับรถกลับฟุกุโอกะกันเลย
วิว Kusasenri
ที่เห็นควันพวยพุ่งออกจากภูเขานั่นล่ะครับ Mt.Aso เสียดายที่ไม่มีโอกาสได้ขึ้นไปชม
แล้วก็ถึงเวลาร่ำลาจากภูเขาไฟ Aso ด้วยความผิดหวังและเร่งรีบ แต่ยังไงก็ยังได้เห็น ได้ตื่นเต้น ได้เก็บความทรงจำกับธรรมชาติที่สวยงามของที่นี่ไม่น้อยเลย
ขับกลับมาถึงฟุกุโอกะ เก็บสัมภาระเข้าที่พัก และคืนรถเป็นที่เรียบร้อย
ก็เดินกลับมาหาข้าวกินที่ สถานี Hakata ซึ่งมีส่วนที่เป็นห้างอยู่ด้วย
อาหารก็อย่างที่เห็นครับ ต้องบอกเลย VERY GOOD
จากนั้นก็กลับเข้าที่พัก พักผ่อนตามอัธยาศัย
วันสุดท้ายนี้มีทั้งเที่ยวทั้งช็อป เช้านี้เราไปกันที่วัด Nanzoin กันก่อน แล้วค่อยกลับมาลุยย่านเมืองกัน
กลับมาใช้บริการรถไฟสาธารณะกันบ้าง โดยใช้บริการ Japan Railways จากสถานี Hakata ไป Nanzo-in
วัด Nanzo-in มี พระพุทธรูปสำริด ปางไสยาสน์ ที่ใหญ่ที่สุดในโลก
เนื่องจากมีฝนตกโปรยปรายลงมาอย่างไม่ขาดสาย ทำให้พวกเราหนาวและเปียก เดินเที่ยวชมไม่ค่อยสะดวกนัก หลังจากถ่ายรูปกันได้บ้าง ซื้อเครื่องรางของขลังกันนิดๆหน่อยๆ ก็เลยกลับเข้าไปช็อปปิ้งในเมืองกัน
จบจากวัด Nanzoin เราก็นั่งรถไฟกลับมาแยกย้ายหาของกินกันในเมือง แล้วก็ไปเข้าวัด Kushida shrine ก่อนจะเดินช็อปปิ้งกันตลาดแถวๆวัด และสุดท้ายพากันไปล้มละลายที่ Don Quijote เป็นอันปิดจ็อบทริปนี้อย่างสมบูรณ์แบบ
Kushida Shrine
เนื่องจากมีงาน Grand Setsubun Festival จัดขึ้นอยู่ช่วงนั้นพอดี
จึงมีหน้ากาก Otafuku สูง 5 เมตร หน้าประตูวัด ที่มีความเชื่อว่า ใครที่รอดเข้าไปในวัดทางปาก Otafuku นี้ จะมีโชคด้านการงานและช่วยให้ครอบครัวปลอดภัยอีกด้วย
หลังจากนั้น พวกเราก็ได้พากันเดินช็อปปิ้งในโซนตลาดแถวๆวัด ส่วนใครที่ไม่ได้เดินก็พากันเข้าร้านอาหาร หาของกินรอสายช็อป
สุดท้ายภาพตัดที่ Don Quijote สาขาย่าน Tenjin
พอเข้าไปได้ก็ไม่รู้จักการถ่ายรูปอีกต่อไป ลุยซื้อของกินของใช้ของฝาก กันอย่างเมามัน จนถึงกับต้องกำหนดเวลากลับ เพราะต้องจัดกระเป๋ากลับไทยกันอีกในเช้าตรู่วันพรุ่งนี้
เมื่อถึงตอนเช้า เราก็ตื่นมาร่ำลาเพื่อนๆให้เดินทางกลับโดยเครื่องบินอย่างสวัสดิภาพ
ส่วนเราไปต่อที่ Karatsu กันอีก 3 วัน ก็เลยมีภาพแถมมาให้ชมต่ออีกเล็กน้อย
ระหว่างทาง ขับรถแวะไปที่ Sakurai Futamigaura of Meotoiwa
แวะระหว่างทางถ่ายรูปเล่นกันอีกที่ ตรงนี้อยู่หลังร้าน Seafood Shirahamaya ซึ่งเป็นที่จอดของชาวประมง และเรายังเห็นว่ามีชาวญี่ปุ่นมานั่งตกปลาแถวนี้หลายคนเลยล่ะ
ขับมาเรื่อยๆก็เริ่มเห็น Karatsu Bay
เมื่อขับเข้ามาใน Nijinomatsubara ป่าสนสีดำสนิทที่มีขนาดใหญ่เป็นอันดับที่ 3 ในประเทศญี่ปุ่น ที่ได้ฉายาว่า ป่าสนดำล้านต้น ก็เลี่ยงไม่ได้ที่จะลิ้มลองรสเบอร์เกอร์ ของ Karatsu Burger Matsubara Honten ซึ่งอร่อยมากกก ถึงขนาดเช้าอีกวันยังมาซ้ำ
จากนั้นเราก็มาที่ Mt. Kagamiyama West Observation Deck จุดชมวิวของเมือง Karatsa
จากตรงนี้เราจะเห็นวิวของป่าสนดำล้านต้น รวมไปถึง Karatsu Bay ได้อย่างชัดเจนอีกด้วย
ปิดมื้อเย็นของวันด้วย ซาซิมิปลา และ หมึกตัวใสแจ๋ว ซึ่งร้านก็หาจากคำแนะนำของ google ตอนแรกเห็นราคาถึงกับลังเล แต่ก็ตัดสินใจยอมจ่ายเพื่อกินแค่ตัวซาซิมิ แต่สิ่งที่ไม่คาดคิด คือมาเป็นเซ็ตเลย กินแทบไม่หมด เราต้องยอมในเรื่องความสด เพราะเห็นเต็มทั้งสองตาว่าเจ้าหมึกใสนี่โดนช้อนไปจากบ่อเลย
วิวจากที่พักติดทะเลในตอนเช้า
วันนี้เราเดินทางไปที่ Torii กลางทะเล Ariake กันก่อน ซึ่งเป็นที่ชาวประมงมักจะมาขอพรในการออกเรือไปจับปลาในทะเลกัน
แล้วเราก็มาที่วัดสำคัญของจังหวัด Saga กัน ที่นี่เป็นศาลเจ้าอินาริที่ใหญ่ที่สุดในเกาะคิวชู และเป็นอันดับ 3 ในญี่ปุ่น
ได้เวลาที่ดอกซากุระเริ่มจะบานบ้างแล้ว เสียดายมากเพราะที่นี่ถือเป็นจุดชมซากุระที่ได้รับความนิยมอันดับต้นๆเลย
อีกหนึ่งร้านที่เสิร์ชหาจาก google ร้านนี้ได้อารมณ์แบบญี่ปุ่นเลย ต้องถอดรองเท้าขึ้นไปนั่งบนเสื่อญี่ปุ่น โต๊ะข้างๆกินสาเก สูบบุหรี่ ร้านนี้เด่นเรื่องชูซิ ในเมนูมีอยู่ไม่เยอะ ดีที่มีเมนูภาษาอังกฤษผสมบ้าง สื่อสารผ่านการจิ้มรูปในเมนู แล้วก็ไม่ผิดหวังเลย อร่อยทุกอย่างแถมชิ้นใหญ่มากกก
แวะถ่ายปราสาท Karatsu ยามค่ำคืน
เช้าวันสุดท้ายก่อนกลับ Fukuoka เรามาที่ Hikiyama Exhibition Hall สถานที่จัดแสดงรถลากที่ใช้ในเทศกาล Karatsu Kunchi เทศกาลที่มีการแห่ขบวนฮิคิยามะ (hikiyama) จำนวน 14 ขบวน ตลอด 4 วัน
รถลากแต่ละคันสวยและดูยิ่งใหญ่มาก เสียดายที่เทศกาลจัดเดือนพฤศจิกายน ทำให้เราได้ดูแค่ภาพวีดีโอในฮอล์เท่านั้น
จากนั้นก็ได้ข้ามฝั่งถนนมาที่ Karatsu Shrine ก่อนที่จะ say goodbye เมือง Karatsu เพื่อกลับไปเตรียมตัวบินกลับไทยในวันรุ่งขึ้น
สุดท้ายต้องบอกว่าเป็นทริปที่ยาวพอสมควร แบ่งเป็นทั้ง แบบกลุ่ม กับ แบบคู่ ทำให้ได้ประสบการณ์การเดินทางหลายๆแบบ มีอีกหลายอย่างที่ต้องปรับปรุงแก้ไขให้การเดินทางเรียบง่ายขึ้น การจัดการปัญหาเฉพาะหน้า การเตรียมตัว การให้อิสระในการตัดสินใจ การสื่อสารให้เข้าใจตรงกันเป็นสิ่งสำคัญมากๆ
แล้วจากที่มีเหตุการณ์ Covid-19 ทำให้นักท่องเที่ยวที่เจอในทริปนี้น้อยมากๆ เลยเที่ยวได้แบบชิลๆ ไม่ต้องเบียดเสียดกัน ทุกคนกลับไทยอย่างปลอดภัย ก็แฮปปี้ที่สุดแล้วครับ
เจอกันใหม่ทริปหน้าครับ
สวัสดีครับ
Warut.R
IG : tay.warutr
IG : lover.affection
Warut.R
วันพุธที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2563 เวลา 16.52 น.