สวัสดีก่อนเลยจ้าาาาาาาา

นี่เป็นการลองเขียนเล่าเรื่องการท่องเที่ยวครั้งแรกของเรา

หรือรีวิวนั่นแหละมั้งและเป็นการไปญี่ปุ่นครั้งแรกด้วย

ซึ่งตอนแรกเกือบจะไม่ได้ไปแล้วด้วยเหตุผลบางอย่างเลยมีเวลาหาข้อมูล

ค่อยข้างน้อย เลยหาเอาคร่าวๆแล้วไปด้นสดเลยแล้วกันนนนน


ก่อนเริ่มขอแนะนำตัวและที่มาที่ไปกันก่อน

เราเป็นพนักงานออฟฟิศตัวเล็กๆคนนึง(หราาาา) ที่ชอบเที่ยวเหมือนหลายๆคน

มีเวลาว่างนิดหน่อยแล้วก็ต้องมีเงินด้วย 555 ก็ขอให้ได้ออกนอกบ้านออกไปเที่ยวเถอะ

ไม่งั้นมันจะหงุดหงิดงุ่นง่านยังไงชอบกล แต่พอกลับมาทำงานมันซังกะตายยังไงบอกไม่ถูก

เลยอยากลองทำอะไรที่ยังไม่เคยทำดูบ้างชีวิตจะได้ไม่น่าเบื่อเกินไป อย่างการเขียนเล่าเรื่อง

การเดินทางท่องเที่ยวนี่ล่ะ มีเพจด้วยน้าาาา ไปตามกันได้


FB : https://www.facebook.com/wishustravel/



มาเริ่มกันเลย

จากที่จั่วหัวไปว่าขี้เกียจถือกล้องนั้น ใช่จ่ะฉันมันคนขี้เกียจ

เพราะฉะนั้นทริปนี้รูปมาจากกล้องมือถือล้วนๆ แบรนด์จีนๆ(เสียงกระซิบ)

ถ้าสปอนเซอร์จะเข้าต้องมาจังหวะนี้แล้ววว (เสียงกระซิบแบบดังๆ) 555555


การเดินทางนั้น เราได้ตั๋วเครื่องบินจากการจองล่วงหน้ามาค่อนข้างนานมาก

จนไม่เสียดายที่จะทิ้งในตอนแรกละ แต่สุดท้ายก็ได้ไปจนได้

เริ่มขึ้นเครื่องออกเดินทางประมาณห้าทุ่มถึงสนามบินนาริตะประมาณ 7-8 โมงเช้าของญี่ปุ่น


พอผ่านด่านเอากระเป๋าอะไรเสร็จก็ไปซื้อตั๋ว Skyliner + Tokyo metro 48 hr. ราคา 5100 เยน (1,500บาท)

ได้ Skyliner ไปกลับนาริตะ-โตเกียว แล้วก็ตั๋วรถไฟใต้ดินที่ใช้ในเมืองโตเกียวไม่จำกัดรอบ 2 วันเต็มๆ

เริ่มนับตอนใช้ครั้งแรก คุ้มดี



พอมาถึงสถานีอุเอโนะแล้วต้องต่อรถไฟใต้ดินเพื่อจะไปที่พักที่ ชินจุกุ อีกสองต่อ

โดยต้องแบกกระเป๋าลากใบโตไปด้วย ลูกทริปจึงออกอาการวิงเวียนคล้ายจะเป็นลม 5555


เอาน่าวันแรกยังไม่ค่อยคล่อง ดังนั้นการแก้ปัญหาที่ง่ายที่สุดคือ ใช้เงินจ้า

แท็กซี่สิครับรออะไร ค่าแท็กซี่มาถึงที่พักประมาณ 300 บาทหารกันก็ตกไม่เท่าไหร่

นี่แหละหนากะจะมาด้นสดเกือบล่มตั้งแต่เริ่มทริปละ



ที่พักของเราที่โตเกียว 2 วันแรกก็คือ The Knot Tokyo Shinjuku

เป็นโรงแรมชิคๆเท่ๆ มีร้านเบเกอรี่ บาร์ Co-Working space

มี Family mart อยู่ใกล้ๆ ดีไซน์สวย ถ่ายรูปเพลิน!!

ตอนกลางคืนมีดีเจมาเปิดแผ่นอีก โอ้โหว ดีมาก ครบเลย



ที่นี่เช็คอินได้ตอนสามโมงเราเลยฝากกระเป๋าแล้วออกไปเดินหาไรกินก่อน

แล้วค่อยกลับมาเช็คอิน แต่หารู้ไม่ระยะทางจากที่พักไปแถวๆสถานี Shinjuku

นั้นไกลประมาณนึง จริงๆเดินเพลินๆก็เดินได้แหละ


เดินไปสิ เดินไปเกือบโลกว่าจะถึงโซนชินจุกุ 5555

ใครมาพักที่นี่แนะนำให้เดินไปสถานี Nishi-Shinjuku-Gochome

แล้วต่อไป สถานี Shinjuku น่าไม่เหนื่อยมาก ไม่ก็ใช้เงินแก้ปัญหาโดยการโบกแท็กซี่เลยครับ

กินเสร็จแล้วเราก็กลับมาพักที่โรงแรมกันก่อนแล้วตอนเย็นค่อยออกไปเดินชินจุกุกันต่อ


ส่วนตัวห้องก็เล็กๆน่ารักตามสไตล์ญี่ปุ่นแต่มีทุกอย่างครบครันเลย

การเข้าห้องไม่ต้องใช้กุญแจ ไม่ต้องใช้คีย์การ์ด เค้าจะให้เป็นรหัสในการเปิดห้องมา

สะดวกสบายยย




พักผ่อนให้หายเหนื่อยแล้วออกไปลุยหาของกินต่อ

นี่เลยร้านดังที่เค้ามากันเราก็อยากมาบ้าง Isomaru Suisan

เรามาสาขาชินจุกุใกล้ที่เดินเที่ยวดี อาหารก็อร่อย สด ปลากับซูชิฟินมาก

มันปูย่างด้วย พออิ่มแล้วก็เดินรอบๆชินจุกุกันต่อ



จบวันแรกที่ คาบุกิโจ หลังจากส่งท่าน ส.ว. ในทริปกลับโรงแรมแล้ว 5555

ถึงเวลาวัยรุ่น ล้าวววววว โซนนี้ก็จะเป็นศูนย์รวมความบันเทิงกลางคืน

เปิดหูเปิดตาดีครับ อิอิ



บรรยากาศเหมือนจะหมี่เหลืองงงงง พี่สองคนนี้ทำหน้าเครียดฟิลหนังฮ่องกงมาก

ตลาดปลาซึกิจิยังเที่ยวได้นะทุกคนนน

ส่วนที่ย้ายไปนั้นเป็นเฉพาะที่เค้าประมูลปลาเท่านั้น

ร้านค้า ร้านอาหารต่างๆยังมีอยู่เหมือนเดิม เราหามื้อเช้ากินที่นี่

ของกินเพียบ!!! มีอย่างนึงน่าสนใจที่นี่เค้าจะไม่เดินกินกันนะ

เราก็เพิ่งรู้ เค้าจะให้กินที่ร้านให้เสร็จก่อนแล้วค่อยเดินต่อ



ร้านขาย Uni คนขายเป็นคนไทย ใจดีเลือกอันสดๆมาให้เรา


จุดหมายต่อไปหลังจากกินเสร็จคือ โอไดบะ

โอไดบะเป็นเกาะที่สร้างขึ้นจากการถมทะเลขึ้นมา

ที่นี่ก็จะมีที่เที่ยวอยู่หลายที่เลย พวกห้าง หุ่นกันดั้ม สวนสาธารณะ ชายหาด


แต่ที่เราจะไปคือ ไปแช่ออนเซ็นที่ Oedo onsen monogatari

การเดินทางก็มีหลายวิธีเช่น รถไฟ รถบัสหรือล่องเรือมาก็น่าจะชิลดี

แต่เรามาด้วย Tokyo metro ที่ซื้อแบบสองวันมาด้วยสาย Ginza line

มาลงสถานี Shimbashi แล้วต้องเดินออกมาซื้อตั๋วรถไฟเข้าโอไดบะแยกอีกที่ Yumikamome Line



พอเดินชมเมือง ชมสวน ชมนก ชมไม้เสร็จ มันจะชมอะไรนักกกก

ก็ถึงเวลาจะไปแช่ออนเซ็นให้หายเมื่อยกันสักที แต่ว่าขี้เกียจเดินไปสถานีรถไฟ ให้ทายว่าทำไง….

โบกแท็กซี่สิครับใช้เงินแก้ปัญหาประหนึ่งเป็นเศรษฐีทั้งที่จริงกลับไปนี่ก้อนเกลือวางรออยู่ ให้ตายเถอะ

พอเข้ามาใน Oedo onsen ฝากลองเท้าเอาไว้ ไปที่เคาท์เตอร์แล้วเค้าจะให้เป็นสายรัดข้อมือมา

สายนี้จะมีกุญแจล็อคเกอร์เพราะเราต้องเปลี่ยนชุดและเป็นเหมือนตัวจ่ายเงินค่านู่นนี่ต่างๆ เราจะได้ไม่ต้องพกกระเป๋าอะไร เดินตัวปลิวๆได้เลย แล้วค่อยมาจ่ายที่เคาท์เตอร์ตอนกลับ

ก่อนจะเข้าไปด้านในก็ต้องมีการเปลี่ยนชุดกันก่อน ชุดจะมีประมาณ 4-5 ลายให้เราเลือก



ภายในก็จะมีร้านอาหาร มุมถ่ายรูป มุมพักผ่อนแบ่งออกเป็นโซนๆ

การแช่ออนเซ็นก็จะแบ่งเป็นฝั่งหญิงฝั่งชาย เข้าไปก็จะมีล็อคเกอร์อีกที ต้องแก้ผ้าหมดเลย

พกผ้าขนหนูผืนเล็กเข้าไปได้ เป็นประสบการณ์ที่แปลกใหม่มาก มหกรรมปิกาจู้ 55555


เขินก็เขิน โอยยย เราเดินไปแล้วรีบลงน้ำเลยแต่จริงๆไม่ควรทำนะแบบนี้ อาจทำให้หน้ามืดได้

ข้างในมีบ่อในร่มกับเป็นเอาท์ดอ ได้บรรยากาศดีเหมือนกัน

ไปญี่ปุ่นทั้งทีอยากให้ทุกคนมาลอง แนะนำๆ



ขากลับก็แวะเดินเล่น Shibuya ไปดูแยกวุ่นว่าซะหน่อยเดี๋ยวมาไม่ถึง



ต่อไปคือสวรรค์คนรักเสียงเพลง!!!

ชอบมากอันนี้ ซีดีเก่าใหม่มีหมดละมีเกือบสิบชั้น

คนชอบฟังเพลง ชอบเล่นดนตรีเดินเพลินมากแน่ๆ



ต่อไปเราจะแวะไปดูฟูจิซังกันนนนน

เราเลือกเดินทางไปโดยรถบัสซึ่งจองออนไลน์มาจากที่ไทยประมาณ 1,000 บาทไป-กลับ

จองที่เว็บ Highway-buses สะดวกดีเราจะได้เป็นอีเมล์พร้อม QR โค้ดไว้ใช้ตอนขึ้นได้เลย

ท่ารถจะอยู่ที่ สถานี Shinjuku นั่นแหละ ปลายทางก็คือ Kawaguchiko Station



ถึงที่สถานีเราเลือกที่จะฝากกระเป๋าไว้ที่ล็อคเกอร์ก่อนแล้วไปหมู่บ้านน้ำใส

โดยจ่ายเงินหยอดเหรียญเป็นรายเที่ยวบนรถเอาเพราะสายนี้เราอยากไปแค่ที่นี่ที่เดียว

ตั๋วต่อเที่ยวประมา 400-500 เยน



คนเพียบตามสไตล์แลนมาร์ค

อยู่จนพอใจแล้วเราก็นั่งกลับมาที่สถานีเดิมมาซื้อตั๋ว Retro bus ที่ใช้เที่ยวจุดต่างๆที่ Kawaguchiko

เราซื้อเป็นแบบ Retro R coupon ประมาณสองพันกว่าเยน จะได้ตั๋วขึ้นกระเช้าและล่องเรือด้วย

ก็ประหยัดได้อีกสำหรับคนอยากไปสองที่นี้อะนะ



คนเยอะเหมือนเดิมมมมมมม

ต่อแถวขึ้นอย่างนาน ขึ้นไปก็ชมเมืองรอบๆ แล้วก็ต้องไปต่อแถวเพื่อลงนานอีกเพราะคนขึ้นมาเยอะ

และมีสองกระเช้า สำหรับเราถ้าไม่ได้อยากมาไม่ต้องเก็บก็ได้นะ ไม่น่าเสียดาย

พอลงมาแล้วก็กลับสถานีไปเอากระเป๋าแล้วบอกที่พักมารับเลยเพราะเริ่มเหนื่อยแล้วอากาศก็หนาวขึ้นแล้ว




นี่คือที่พักของเราที่ Kawaguchiko

Cottage Pastorale เป็นสองชั้น สามห้องนอน นอนได้หลายคนเลย

เจ้าของที่พักใจดี ไปรับแล้วยังแวะซุปเปอร์พาไปซื้อของกินอีกด้วย เพราะแถวนั้นไม่ค่อยมีอะไรกิน

แล้วที่เซอร์ไพรส์คือ อยู่ติดกับ Mapple Corridor นี่เพิ่งมารู้ตอนถึง Kawaguchiko นี่แหละ

เป็นเซอร์ไพรส์ที่มาจากการไม่ได้หาข้อมูลอะไรซะงั้น นี่แหละคือเสน่ห์ของการด้นสด (จริงๆฟลุค)


ช่วงที่เราไปเป็นช่วงที่มีเทศกาลพอดีเค้าก็จะมีประดับไฟตามต้นไม้ สวยมาก

เป็นไงล่ะเสน่ห์ด้นสด (ยังอีก)

รูปมันก็จะเป็นแบบนี้



ถ่ายรูปจนพอใจแล้วก็เดินกลับที่พักที่อยู่ข้างๆ Mapple Corridor!!….มันภูมิใจมากมั้งน่ะ

ตื่นเช้ามาอากาศเย็นๆ 3 องศา ออกมาเจองี้ตาตื่นเลย

อาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาา



จากที่พักสามารถเดินไปที่ทะเลสาบได้ไม่ไกลจะเห็นฟูจิซังได้ชัดกว่า ดื่มด่ำบรรยากาศไปด้วย



บรรยากาศบริเวณรอบๆทะเลสาบ อากาศสดชื่นมาก

ตามทางเท้าก็จะมีบูธขายของของงานเทศกาล



ถึงเวลาเช็คเอาท์เจ้าของที่พักตัวจริงก็ออกมาลาด้วยตัวเอง

ขนฟูน่าร้ากกกก



เมื่อเรากลับมาที่สถานีก็ต้องเอากระเป๋าไปฝากอีกครั้งเพราะยังเหลือไปล่องเรืออีก อยู่ตรงข้ามกับ

กระเช้าเลย แต่รอบนี้เราเดินไปจริงๆมันใกล้สถานีนะ เดินไปไม่นานก็ถึง ดังนั้นการซื้อตั๋วของเราอาจจะใช้ได้ไม่คุ้มค่าเท่าไหร่เพราะไปแค่สองทีเอง



ฝั่งนี้ก็จะได้บรรยากาศอีกแบบ

เสร็จแล้วก็กลับโตเกียวโดยรถบัสเหมือนเดิม

พอกลับมาโตเกียวแล้วเราต้องซื้อตั๋ว Tokyo metro เพิ่มอีก 2 วันเพราะอันแรกหมดไปแล้ว

ซื้อได้ตามสถานีรถไฟนะครับ


ที่พักโตเกียวเราเลือกที่อุเอโนะเพื่อตอนกลับสนามบินจะได้สะดวก

อันนี้ไม่ได้ถ่ายรูปมาเลยไม่ลงรายละเอียดดีกว่า


หลังจากหาของกินเสร็จแล้วก็กลับที่พักนอนเพื่อจะตอนเช้าจะได้ไปวัด อาซากุสะต่อ

วัด Asakusa

มาครั้งแรกอะเนอะก็ต้องไปที่ที่เค้าไปกันก่อนจะได้คุยกะเค้ารู้เรื่อง


เมล่อนปังแต่ทำไมเราไม่เห็นมันจะเมล่อนตรงไหนเลย แต่ก็อร่อยดี



เสร็จจากที่นี่เราไปกันต่อที่วัยรุ่นๆบ้างนั่นก็คือ Harajuku นั่นเอง

ใกล้กลับแล้วก็ถึงเวลาช็อปล่ะนะ



อาจเป็นเพราะเป็นวันธรรมดา คนเลยอาจจะไม่ได้แต่งตัวแฟชั่นกันมากเท่าไหร่เคยอ่านมาว่า

เสาร์-อาทิตย์เค้าจะมีแต่งคอสเพลย์มาเดินกัน



ช่วงค่ำก็มาที่ Akihabara ของสายเกมอย่างเราเหมือนเดิมครับส่ง ส.ว. กลับโรงแรมแล้วเดินเล่นต่อ555

วันสุดท้ายช่วงสายๆก็จบด้วยการหาซื้อของฝากย่าน อุเอโนะ ตลาด อะเมโยโกะ ตึกม่วง



ทริปนี้ก็จบลงด้วยดี แม้จะทุลักทุเลในการเดินทางตอนแรกๆ แต่พอจับทางได้แล้วก็ง่าย


สิ่งที่มีประโยชน์สำหรับเราในทริปนี้

- แอพ Google Maps มีประโยชน์มากจริงๆ ในการหาโรงแรม หาสถานีรถไฟ เปิดแทบตลอด

- แอพ Tokyo Subway ช่วยหาเส้นทางหรือการต่อสถานีของรถไฟใต้ดิน

- Powerbank เนื่องจากต้องใช้อินเตอร์เน็ตแทบตลอดมีแบตสำรองไว้ไม่ต้องกลัวหมด

- Sim เราใช้เป็นซิมเพราะมันง่ายดีไม่ต้องแชร์กับคนอื่น เดินแยกกันได้แต่ระวังเน็ตหมดนะถ้าต้องใช้หาข้อมูลตลอดแบบเรา อาจจะเป็นเพราะเราเป็น คนนำด้วยเลยหมดไว้ต้องซื้อเพิ่มอีก


ญี่ปุ่นครั้งนี้รู้สึกได้เลยว่าได้พบสิ่งใหม่ๆเยอะมาก วัฒนธรรมเค้าต่างจากเราพอสมควร

ได้เที่ยวทั้งเมืองและธรรมชาติที่สวยงาม อาหารการกินอร่อย

ผู้คนเจอทั้งเฟรนลี่และไม่สนใจกุจะทำงาน โดยรวมแล้วสนุกเลยแหละ

และรอบเดียวไม่พอแน่นอนนี่ขนาดโตเกียวยังรู้สึกว่ายังสำรวจไม่หมดเลย

คือมีรอบสอง รอบสามสี่ห้าแน่นอนถ้าเป็นไปได้อ่ะนะ


และอีกอย่างการวางแผนการเดินทางแบบนี้ก็ทำให้เราได้เจออะไรที่คาดไม่ถึงมันก็สนุกดีเหมือนกันนะ

อาจไปได้ไม่ครบหรอกแต่ได้รสชาติแน่นอน อยากให้ทุกคนลองดู

สำหรับค่าใช้จ่ายเราไม่ได้จดไว้ละเอียดมากเลยจะให้ไว้คร่าวๆเผื่อจะเป็นประโยชน์กับทุกคน

นี่คือค่าใช่จ่ายคร่าวๆนะครับบวกลบนิดหน่อยและไม่รวมค่าอาหารนะ


ตั๋วเครื่องบิน 14,000 บาท

Skyliner+Tokyo metro 48hr 1,500 บาท

Tokyo metro 48hr ครั้งที่สอง 350 บาท

รถบัสไป Kawaguchiko 1,000 บาท

Reto R coupon(บัสเที่ยวคาวา) 600 กว่าบาท


ที่พัก

- The knot 2 คืน 3,800 บาท

- Cottage Pastorel 1,300 บาท

- ที่พัก Ueno 2 คืน 3,100 บาท

รวม 25,650 บาท


แล้วก็สุดท้ายขอขอบคุณ คุณ คุณนั่นแหละ ที่อ่านมาจนถึงตรงนี้หรือเลื่อนลงมาดูตรงนี้เลยก็ตาม

ยังไงก็แล้วแต่ ก็ขอขอบคุณมากๆครับ


อ่านจบแล้วก็ทักทายกันบ้างนะ เราอยากรู้ว่าจะมีคนอ่านมั้ยหรือชอบมั้ย

แค่รู้ว่ามีคนอ่านจบก็ดีใจมากๆแล้ว ไม่ดียังไงแนะนำได้เลยนะ

แล้วเดี๋ยวจะเที่ยวมาฝากอีก นี่ยังมีรูปทริปก่อนๆอีกเพียบเลย


แล้วก็ฝากช่องทางอีกทีเอาไว้ดูทริปต่อไปแล้วก็ดูพัฒนาการเราง่ายๆนะ อิอิ


FB : https://www.facebook.com/wishustravel/

Wish us travel

 วันพฤหัสที่ 11 เมษายน พ.ศ. 2562 เวลา 12.02 น.

ความคิดเห็น