ตอนที่ผมบอกเพื่อนๆ ว่าจะไปเที่ยวประเทศอินเดีย เพื่อนจะนึกถึงการเดินทางแสนลำบาก รถไฟที่มีคนเกาะเต็มขบวน หรือแม้กระทั่งห้องน้ำสกปรกๆ เมื่อเพื่อนถามกลับมาว่า แล้วจะไปเที่ยวที่ไหน ? ผมตอบกลับไปว่า Leh ladakh ไง...ทุกคนที่ผมตอบไปทำหน้างงๆ แล้วถามกลับว่า มันคือที่ไหน ??
สวัสดีสมาชิกทุกท่าน กระทู้นี้ผมพยายามใช้ตัวหนังสือให้น้อยที่สุด เนื่องจากเนื้อหามีหลายส่วน และรูปเยอะมาาาาาก ~ โดยเนื้อหาสำคัญจะแบ่งเป็นสองส่วน ดังนี้
1. รูป, รูป และ รูป..,
2. ข้อควรรู้จากประสบการณ์จริง และการเตรียมตัวก่อนเดินทางรวมถึงแผนและค่าใช้จ่าย (สำหรับ 3 วัน 2 คืน)
ก่อนเข้ากระทู้ขอขอบคุณครูปู ซึ่งเป็นครูสอนถ่ายรูปที่แนะนำอุปกรณ์ และให้คำแนะนำช่วงเวลาการเดินทางให้พอดีกับช่วงใบไม้เปลี่ยนสี(ช่วงเวลาใบไม้เปลี่ยนสีของ Leh จะอยู่ประมาณเดือนตุลาคมของทุกปี) ติดตามผลงานครูปูได้จากลิงค์ด้านล่างนี้เลย
https://www.facebook.com/Boonrawdphotography/
และที่ต้องขอบคุณอีกคนก็คือตัวเอง ที่ดึงตัวเองออกจากชีวิตติด Loop มนุษย์เงินเดือน ไปพบโลกกว้าง แถมยังได้ Passion และเป้าหมายชีวิตกลับมาอีกเพียบ !! ว่าแล้วเพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลา ขอนำทุกท่านทยานข้ามฟ้ามุ่งสู่ดินแดนที่สวยงามดั่งเทพนิยาย Leh Ladakh ประเทศอินเดีย ส่วนสวยแค่ไหนดูจากในรูปเลยครับ ไม่พูดเยอะ เจ็บคอ !!
ก่อนเข้ากระทู้ถ้าใครอยากเห็นบรรยากาศแบบเป็น Video กดเข้าไปดูในลิงค์ด้านล่างนี่เลยครับ
เริ่มต้นเดินทางจาก กทม. ช่วงสามทุ่มไปลงที่สนามบินไปลงที่สนามบิน Bengaluru หลังจากถึงสนามบินก็ตรงดิ่งเข้าไปหา ตม. (อัธยาศัยดีนะ ถึงหน้าเขาจะไม่ยิ้มแย้ม อาจเพราะเราคุ้นเคยกับเมืองไทยเมืองยิ้ม) พอคุยจบก็หันมาถามตัวเองว่า คุยกับเขารู้เรื่องได้ไงวะ ? ฟังสำเนียงไม่ค่อยรู้เรื่อง ฟังยากสมคำร่ำลือ
บรรยากาศน่ารักๆ ในสนามบิน ก่อนเดินทางไป Delhi
บรรยากาศสนามบิน Delhi ค่อนข้างอลังการ ที่นี่ขึ้นชื่อเรื่องตรวจกระเป๋านาน(นานจริงถ้าคนเยอะ) มีเจ้าหน้าที่ถือปืนใส่ชุดทหารหน้าดุๆ เดินเต็มไปหมด
อุณหภูมิสบายๆ ที่ 20 องศา ใส่เสื้อยืดรับลมหนาวชิวๆ
อารมณ์ตอนนี้ง่วงมาก ได้นอนบนเครื่องแค่ไม่กี่ชั่วโมง ร่างกายเพลียแต่ต้องเฝ้ากระเป๋าระหวางรอขึ้นเครื่องไปเลห์ เนื่องจากคนค่อนข้างชุกชุม
ช่วงฟ้าสางได้เวลาเดินทาง แต่ความง่วงไม่ปราณีผมซะแล้ว พอหาที่นั่งตัวเองเจอภาพก็ตัดทันที
ขณะกำลังหลับไหลอยู่ในพวังค์ จู่ๆ ผมก็รู้สึกแสบตาฝั่งด้านซ้าย ลืมตาขึ้นมาเห็นว่าตัวเองไม่ได้ปิดหน้าต่างเลยจะรีบดึงลงมาปิดเพื่อนอนต่อ แต่ก่อนปิดผมก็ลองมองๆ ดูว่าวิวข้างนอกเป็นยังไง ภาพที่เห็นทำให้ผมถามตัวเองว่า นี่เราตื่นอยู่หรือภาพที่เห็นมันคือความฝัน ภูเขาหิมะเรียงสลับกันไกลสุดลูกหูลูกตา ฟ้าสีสดเหมือนรูปที่แต่งเกินจริง พอตั้งสติได้ก็รีบความกระเป๋ากล้องรัว ชัตเตอร์ (เบลอบ้าง ชัดบ้าง ฮ่าๆๆ) ความง่วงที่มีหายไปหมด ที่รู้ๆ คือตอนนี้เรามาอยู่อีกโลกนึงไปแล้ว ทุกอย่างคือความว๊าวววว ไปหมด
ก่อนเครื่องลงจอดที่สนามบินจะต้องวนก่อนรอบนึง ระหว่างวนก็ได้เมืองจากมุมสูงหลายรูปเลย
หลังคาเขียวๆ นั่นน่าจะเป็นฐานทัพทหาร
หลังลงจากเครื่องกรอกใบเข้าเมืองเสร็จเรียบร้อยก็ลองเปิด WI-FI ดูซะหน่อย ปรากฎว่าที่สนามบินมี Free WI-FI ด้วยนะครับ ไม่ต้อง Log in ให้ยุ่งยาก แต่สัญญาณจะอ่อนๆ ให้พอได้โพสรูปได้บ้าง แต่โหลดนานหน่อย ฮ่าๆ
เสร็จแล้วเราก็ตรงดิ่งไปหา Taxi เพื่อเดินทางไปโรงแรม (ถามกับเจ้าหน้าที่ได้เลยครับว่าเขามี Taxi ตรงไหน ซึ่งเอาเข้าจริงๆ เดินออกมาจากสนามบินก็เจอเลย) บรรยากาศในรถก็อารมณ์รถตู้เล็กๆ น่ารักๆ
เมื่อถึงโรงแรมเจอคนดูแลที่พักเดินผ่านมาตอนลงรถ พอดี๊ พอดี พอเขาพาเข้าไปในห้องซึ่งอยู่ชั้นสอง สิ่งแรกที่สัมผัสได้คือความหนาว ในห้องหนาวจับใจมาก พอถอดรองเท้าถุงเท้าแล้วเดินวนดูวิวรอบห้องก็เจอปัญหาว่าพื้นห้องเย็นมาก มากจนยืนเท้าเปล่าไม่ได้
วิวข้างหน้าต่างก็จะประมาณนี้
หลังจากจัดการสัมภาระเสร็จเราก็ออกไปคุย Manager โรงแรมเพื่อให้เขาจัดหารถสำหรับเที่ยวสามวันจะกระทั่งส่งกลับสนามบิน พร้อมให้ทำใบ Permit (ถ้าใครจะออกนอกเมืองไกลๆ เช่น Pangong lake หรือไป Nubra ต้องมีใบ Permit ด้วยนะครับ ควรเอา Plan ของเราไปปรึกษาว่าแต่ละที่ๆ ที่เราจะไปต้องใช้หรือไม่) เวลาล่วงเลยมาถึง 11.00 ถึงเวลาที่ต้องเป็นเด็กดี นอนพักผ่อนให้ร่างกายปรับตัวกับสภาพอากาศ (Manager โรงแรมเขาแนะนำว่า 6 ชั่วโมง แต่จะบ้าหรา !! นอน 6 ชั่วโมงก็ไม่ได้เที่ยวสิ ) หลับไปได้สักพัก 13.00 ก็มาแต่งตัวพร้อมลุย แบกกล้องตัวใหญ่ๆ หวังเก็บรูปงามๆ มาฝากทุกท่าน
Taxi ที่โรงแรมจัดหาได้มารออยู่ที่ Lobby พร้อมแล้วสำหรับการออกไปเที่ยว ลุย !!
ในรูปนี้มีน้องวัวด้วยนะ ที่นี่เขาปล่อยเดินอิสระ ไม่ทราบเหมือนกันว่ามีเจ้าของมั้ย
ที่แรกที่เราจะไปก็คือ Leh palace แต่ตอนนั้นหิวมาก ข้าวเช้าไม่ได้กิน เลยขอให้คนขับ Taxi พาไปแวะหาที่กินข้าวหน่อย เขาเลยพาไปจอดอยู่ตลาด บรรยากาศตลาดน่ารักมากกกก อารมณ์แบบผู้คนออกมาใช้ชีวิตนอกบ้านมากกว่าในบ้าน
น้องหมานอนอาบแดด
ระหว่างทางเดินในตลาดเราจะเห็นว่ามีคนทั้งค่อนข้างเยอะ ไม่ว่าจะไปกันเองแบบผม หรือไปเป็น Group
ตลอดสองข้างทางที่สังเกตเห็นคือบริเวณชั้นสองและชั้นสามของตึกก็มีร้านค้าอยู่ด้วย หากเราจะไปซื้อของที่ร้านเขาก็หาบันไดขึ้นได้เลยครับ
ร้านข้าวที่เรามากินก็อยู่ชั้นสองเช่นเดียวกัน มื้อแรกกับความหิวโหยอย่างหนัก ก็จะสั่งมาเยอะหน่อย
ชาน้ำผึ้งมะนาวอร่อยมาก
ท้องอิ่มแล้วเหลือที่ต้องไปอีกสองที่ ลุยกันต่อครับ ณ ตอนนั้นแค่ได้เดินตลาดก็ฟินแล้ว ผมคิดว่าข้างหน้าฟินกว่าแน่นอน ~
ถึงแล้ว สถานที่แรกที่เราอยากมา พระราชวัง Leh (Leh palace) แค่ลงจาก Taxi ก้าวแรกก็หยิบกล้องออกมาถ่ายได้เลยครับ คือมันสวยมาก ยกถ่ายๆ กดยังไงก็ได้รูปสวยๆ ทั้งนั้น ถ้าเทียบกับสถาที่เที่ยวในไทยคือจะได้รูปสวยๆ ต้องไปมุมมหาชนที่คนถ่ายกันเยอะๆ รูปซ้ำๆ เดิมๆ หรือไม่ก็ตาดีๆ เดินหามุมแปลกตาได้ด้วยตัวเอง แต่สำหรับที่นี่มันไม่ใช่ เดินไป ถ่ายไป ได้รูปสวยๆ ทุกก้าวจริงๆ
ค่าเข้าราชวังของนักท่องเที่ยวแต่ละประเทศราคาไม่เท่ากันนะครับ ถ้าของไทยก็ราคาแค่คนละ 25 รูปีต่อคนเองครับ (คิดเป็นเงินไทยบาทจับหารสอง) ผมนี่รีบควักตังค์เลย
เข้าไปในราชวังก็มีมุมให้ถ่ายสวยๆ เยอะไม่ว่าจะถ่าย Landscape หรือ Portrait มันสวยไปหมดจริงๆ ตรงไหนก็ดีงาม
ด้านในพระราชวังจะมีระเบียงอยู่ แสงที่สาดเข้าช่วงบ่ายแก่ๆ ถ่าย Portrait ออกมาได้อารณ์สุดๆ
มุมกว้างจาก Gopro
อย่าลืมขึ้นไปให้ถึงดาดฟ้าราชวังด้วยนะครับ บนนั้นฟินสุดๆ มองเห็นเมืองได้แทบจะทุกมุม
เห็นเส้นลากตัดภูเขาหิมะไกลๆ นั่นมั้ยครับ นั่นคือถนน แต่ใครจะขับรถขึ้นไปสูงขนาดนั้น บ้าไปแล้ว แต่ช่างมันเถอะครับ ไปลุยเก็บภาพสวยๆ กันต่อดีกว่า
จากตรงนี้เราสามารถเห็นวัด Namgyal Tsemo ได้อย่างชัดเจน
เผื่อท่านใดตามมาเก็บภาพสวยๆ ที่นี่จะปีนป่ายถ่ายวิวต้องระมัดระวังเป็นพิเศษหน่อย ไม่มีเจ้าหน้าที่คอยดูแลนะครับ แม้แต่ที่กั้นก็ไม่มี ตกลงไปอันตรายถึงชีวิตได้เลย
จากจุดนี้เราจะมองเห็นเจดีย์อีกฟากของเมือง Leh ที่มีชื่อว่า Shanti stupa เป็นสถานที่สุดของวันแรกที่ผมจะพาทุกท่านไปชมกัน
เห็นคนเดินขึ้นมาจาก Leh palace แค่มองก็เหนื่อยแทนแล้วครับ (ของผม Taxi ขับขึ้นมาส่งบนวัด) แล้วสถานที่เที่ยวแต่ละที่นี่ขึ้นบันไดทั้งนั้น คิดไม่ผิดที่ยอมให้ Taxi มาส่ง ฮ่าๆ (ก่อนหน้านี้ดื้อ อยากเดิน อยากซึมซับบรรยากาศ แต่พอกลับออกมาจาก Leh palace ก็ขอบายละครับ โยนกล้องขึ้นรถเลย)
และคนที่เดินขึ้นมาจนถึงนี่น่านับถือจริงๆ
เดี๋ยวไปชมวิวกันต่อดีกว่า
อย่างที่ได้เรียนไปไว้ข้างต้นว่าทางเดินมันไม่มีที่กั้น ไม่มีคนดูแล คนที่นี่เขาอยู่กันแบบนี้ตั้งแต่ไหนแต่ไร แต่ไม่ใช่ที่ๆ คุ้นเคยสำหรับนักท่องเที่ยวอย่างเรา เตือนจากใจจริงๆ ไม่อยากให้เกิดเหตุสลดจากการไปเที่ยวนะครับ โดยเฉพาะถ้าบอกว่าตามมาจากกระทู้นี้นี่ผมเครียดตายแน่นอน
ถ้าช่วงไหนมันเดินยากก็อย่างงี้หล่ะฮะ เกาะหินไปเลย
หลังถ่ายรูปกันอย่างจุใจก็ถึงเวลาเดินทางไปสถานที่สุดท้ายของวัน.., เจดีย์แห่งสันติภาพ Shanti stupa พอ Taxi จอดส่งเราตรงที่จอดรถ ก็จะต้องเดินขึ้นไปบนเจดีย์ นึกอุทานในใจว่า " ขึ้นอีกละ !! เหนื่อยยยย !!! " แต่ก็ต้องไปนั่นแหล่ะครับ ไม่ไหวก็กลับห้องไปนอน แต่ระหว่างทางขึ้นจะได้เห็นมุมอีกฝั่งของเมืองที่เป็นมุมตามแสง (ทิศทางที่แสงเข้าไปในตัวเมือง ถ้าเป็นอีกฝั่งนึงก็จะเป็นมุมย้อนแสงนั่นเอง) ซึ่งอย่างที่กล่าวไปต้นกระทู้ ครูปูแนะนำว่าถ่ายช่วงเย็นๆ ตามแสงจะถ่ายง่ายกว่า จะสวยจริงมั้ย เดี๋ยวรู้ !!
สวยงามสมกับที่ครูปูบอกจริงๆ
ถึงจุดนี้มองไปข้างบนจะเป็นยอดเจดีย์ กับท้องฟ้าช่วงใกล้ค่ำ คือไม่รู้จะบอกทุกท่านยังไงดีว่าความรู้สึกมันเป็นแบบไหน เพราะไม่เคยเจอบรรยากาศแบบนี้ เอาเป็นว่า โครตฟินแล้วกันครับ
ระหว่างทางจะมีเหมือนเป็นศาลาหรืออะไรสักอย่างที่เกี่ยวกับการประกอบพิธีทางศาสนา เขียนป้ายไว้ด้านหน้าว่า "กรุณาอย่าส่งเสียงดัง" (คือมันเขียนภาษาอังกฤษแหล่ะครับ เคยถ่ายไว้ในมือถือ แต่มือถือพัง ทั้งข้อความ ทั้งชื่อสถานที่ ที่เคยถ่ายมาไว้เขียนกระทู้ไปหมดแล้วครับ ฮ่าๆ) มองเข้าไปข้างในเห็นพระพุทธรูปประดิษฐานอยู่ ว่าแล้วก็เข้าไปสัการะขอพรสักหน่อย
หายเหนื่อยไปพักนึง ออกมาเดินต่อดีกว่าครับ ทางก็ไม่ไกล แต่ดันไปไม่ถึงซักที ตอนนั้นรู้ตัวแล้วครับว่าแค่เรายกกล้องมาถ่ายก็หอบแล้ว เดิน 10 ก้าว พัก 5 นาที ถึงเมื่อไหร่ก็เมื่อนั้น ฮ่าๆๆ
และแล้วเราก็เดินมาถึง (เดิน 2 นาที ถ่ายรูป 5 นาที แวะไหว้พระอีก 5 นาที ยังว่าา ทำไมรู้สึกเหมือนเดินนาน )
ณ ตอนนี้เราอยู่บริเวณลานหน้าเจดีย์ Shanti Stupa ที่ความสูง 11,000 ฟุต เหนือระดับน้ำทะเล วิวรอบทิศทางสวยมากๆ ถ่ายเพลินกันเลยทีเดียว แต่ต้องขออภัยทุกท่านมา ณ ที่นี้ด้วย ที่ลืมถ่ายเจดีย์มาให้ชม TT TT ลืมจริงจังครับ พอกลับมาดูรูปมีแต่ที่ติดคนด้วย ไม่มีรูปเจดีย์เดี่ยวๆ เลย หากท่านใดอยากเห็นความยิ่งใหญ่ รบกวนดูใน Video จากช่วงต้นของกระทู้นะครับ
เอาหล่ะครับ และแล้วเวลาที่รอคอยก็มาถึง ช่วงเวลาพระอาทิตย์ตกดิน ตอนที่แสงสาดมากจากยอดเขา เมืองจะค่อยๆ มืดตามเวลา ซึ่งทุกอย่างเกิดขึ้นเร็วมากและผมดีใจที่เก็บภาพในมุมสวยๆ มาฝากทุกท่าน ธรรมชาติได้รังสรรค์สิ่งที่สวยงามในมุมที่ไม่คิดว่าจะได้เห็น แสงและฉากหลังรับกันอย่างดี เกิดเป็นบบรยากาศที่ผมจะไม่มีวันลืม
และสองภาพนี้เป็นภาพนี่เป็นภาพที่ผมชอบที่สุดในทริปนี้ครับ
หลังจากนั้นไม่นานตะวันก็ลับขอบฟ้า ถึงเวลาที่ต้องกลับที่พักแล้วครับ
หากท่านใดอยากเก็บภาพเจดีย์ช่วง Twilight ที่ฟ้าเป็นสีน้ำเงินตัดกับไฟอลังกาลของเจดีย์ก็เตรียมตัวเรื่องถุงมือหรือเสื้อกันหนาวหนาๆ ไปด้วยนะครับ หลังพระอาทิตย์ตกดินอากาศจะหนาวแบบรุนแรงมาก อุณภูมิจะดิ่งลงติดลบในเวลาไม่ช้า กล้องที่ผมเอาไปเป็น DSLR ถ่ายได้สบายๆ แต่ตัว Go pro ผมตั้งถ่าย Time-lapse ไว้ตั้งแต่แสงยังดีๆ อยู่ พอตอนกลับจะหยิบกล้องมาปิด มันดันไม่ตอบสนองเลย ต้องเอาซุกที่อุ่นๆ ไว้ครึ่งชั่วโมงถึงจะปิดได้ พอเปิดไฟล์มาดูปรากาฎว่าไฟล์ก็เสียด้วยครับ ระหว่างเดินลงมาขึ้นรถก็มีคนไทยนั่งบนเรื่องความเหนื่อย ที่นี่คนไทยมาเที่ยวเยอะจริงๆ ครับ แต่ก็ไม่แปลกใจ ทั้งทัวร์หรือแม้กระทู้ในพันทิปเราเองที่มีตั้งหลายท่านมาก รวมถึงการเดินทางที่สะดวกสบาย เลยทำให้คนไทยมาเยอะมากๆ
ระหว่างทางกลับก็คุยกับคนขับรถว่าพรุ่งนี้จะมารับกี่โมง เราจะไปขี่อูฐที่ Hunder คนขับรถบอกว่าควรออกตั้งแต่ 6 โมงเช้า และกลับมาไม่เกินบ่ายสาม หากเย็นกว่านั้นจะเจอปัญหาเรื่องหิมะตกระหว่างทาง
ร้านค้ายามค่ำคืนปิดค่อนข้างไว ใครจะซื้อน้ำซื้อขนมรีบแวะก่อนเข้าที่พักเลยครับ ถึงแม้ว่าร้านไม่ปิด แต่กลางคืนหนาวมาก
เริ่มต้นวันที่สองเวลาตี 5 ตรง แบบหนาวๆ จนแทบไม่อยากลุกจากที่นอน แต่นอนต่อก็หนาวอยู่ดี เลยต้องลุก
ล้างหน้าแปรงฟันแต่งตัวเสร็จ 6 โมงเช้าก็ได้ยินเสียงเคาะประตู คนดูแลโรงแรมทำหน้าง่วงๆ แล้วถามผมว่า "นัด Taxi มารับตอน 6 โมงใช่มั้ย" คำตอบคือใช่ครับ แต่ที่น่าประทับใจคือเขาตรงเวลามากๆ ผมยังเหลือเก็บกล้อง ขนเสบียงบอกไว้เลยว่ารู้สึกผิดมาก ที่ให้เขามารอ
เดี๋ยวันนี้เราจะไปขี้อูฐกัน ใช้เวลาประมาณ 5 ชั่วโมงในการเดินทางขาเดียว เส้นทางที่ไปนั้น.... เป็นเส้นทางที่ผมเคยถามไปจากวันแรกว่า ใครจะไปขับรถอยู่บนเขาสูงๆ ขนาดนั้น ฮ่าๆ และความโหดของถนนเส้นนี้ไม่เหมาะกับคนเมารถอย่างยิ่ง ทั้งโค้งหักศอกซ้ายขวาสลับกันไม่หยุด ทั้งเส้นทางบางช่วงยังไม่ราดยาง เป็นหลุดๆ เด้งตลอดสาย ทั้งความหนาวแบบเข้าถึงกระดูก ผ้ากี่ชั้นก็เอาไม่อยู่
ยิ่งสูงยิ่งหนาวนี่ของจริงครับ หิมะเต็มข้างทาง เป็นการเห็นหิมะที่ไม่มีความรู้สึกตื่นเต้นเลย นั่งรถไปสักพักจะมีด่านเจ้าหน้าที่คอยตรวจคนเข้าออกเมือง ถึงตอนนี้ต้องใช้ใบ Permit แล้วครับ พี่เข้มเดินเอาไปยื่นให้ (พี่เข้มคือคนขับรถวันนี้ อยากเห็นว่าหน้าพี่เข้มเป็นยังไงต้องเข้าไปดูใน Link วีดีโอนะครับ อ่ะ แปะอีกรอบ เผื่อหาไม่เจอ)
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
ระหว่างทางมีแต่เหวทั้งนั้นนะครับ เป็นถนนสองเลน มีหินก้อนเล็กๆ ทั้งวันตลอดขอบทางเพื่อให้เห็นว่าตรงนั้นเป็นขอบถนน สำหรับใครที่อยากเช่ารถขับเองชิวๆ นั้นคงจะไม่เหมาะเท่าไหร่ ต้องเป็นผู้ชำนาญทางจริงๆ ตลอดเส้นทางจะมีป้ายเหลืองๆ รูปแตรเพื่อเป็นสัญลักษ์ว่า ตรงนี้ต้องบีบบแตร เพื่อให้รถที่สวนมาได้ยิน เพราะทางโค้งแคบมาก หากไม่ชะลอความเร็วอาจเกิดอุบัติเหตุได้
ผ่านมาได้ครึ่งทางพี่เข้มพามาแวะจิบชา เลยถามพี่แกว่าตอนนี้กี่องศา พี่แกบอกว่า -4
และแล้วเราก็มาถึง Hunder sand dune ที่หุบเขา Nubra
ค่าเข้า 15 บาท
เข้ามาถึงก็วิ่งเข้าหาห้องน้ำก่อนเลยครับ เห็นครั้งแรกก็ตกใจ แต่พอเข้าไปนี่สะอาดนะ
ทีเด็ดมันอยู่ตรงนี้ๆๆ ที่ปลดทุกข์ที่วิวสวยที่สุด !! ได้ไปยืนใช้งานตรงนั้นพร้อมกับมองบรรยากาศรอบข้างนี่โครตฟินเลยครับ
วิวข้างหลังก็จะประมาณนี้
เดินมาซักพักก็เจอที่ขายตั๋ว แต่มัน....ไม่มีคน ฮ่าๆๆ ไม่มีใครอยู่เลย ผมเลยเดินต่อไปเรื่อยๆ มีอูฐนอนอยู่เต็มไปหมดเลยครับ แต่กลัวมันวิ่งมาชนมากเลยครับ ไม่เคยเล่นกับอูฐ ฮ่าๆ
แต่เอาเข้าจริงมันน่ารักมาก มองนิ่งๆ ทำหน้ายิ้มอ่อนตลอดเวลา ค่าขี่อูฐเดินทะเลทราย 15 นาที 100 บาท ผมไม่ได้ขี่เองเพราะอยากเดินถ่ายรูปมากกว่า แต่ฟังจากคนที่ขี่มาบอกมาว่าฟินมาก มีอูฐ มีทะเลทราย ภูเขาสูงเสียดฟ้าและหิมะขาวๆ อยู่บนยอด นี่มันโลกแห่งความฝันชัดๆ
ผมชอบถ่ายวิวครับ ถ้าเลือกโฟกัสคนกับภูเขา ผมเลือกภูเขาครับ
เอาเข้าจริงๆ ผมโฟกัสไม่เข้าครับ กล้องหนัก !! (บ่นๆ ไป เผื่อจะได้ Mirorless มาใช้แทน)
เดี๋ยวเรามาชมบรรยากาศส่งผู้กล้าออกไปขี่อูฐกันดีกว่าครับ
ทีแรกว่าจะเดินตามไปเรื่อยๆ แต่ไม่ไหวครับ เหนื่อย หันมาเล่นกับน้องอูฐยิ้มอ่อนกันดีกว่า
ฮูฐง่วงงงงงงง
พื้นบริเวณนี้มันขึ้นเป็นสีขาวๆ เหมือนเป็นเกลือหรืออะไรสักอย่าง แต่ขี้อูฐเต็มพื้นเลยครับ เดินต้องระวังๆ หน่อย
หาววววววววววว ว่าแต่ แปรงฟันบ้วนปากบ้างนะ !!
อากาศดีจริงครับ พอผมเอารูปที่ Nubra ให้เพื่อนๆ ดู เพื่อนถามว่าร้อนมั้ย ? เรื่องจริงคือหนาวมากครับ ตามชุดที่ใส่เลย แต่บริเวณนี้จะมีออกซิเจนหนาแน่นที่สุดในแถบนี้ เพราะอยู่บนที่ๆ ไม่สูงมาก ก่อนจะกลับแวะเก็บบรรยากาศสวยๆ ซะหน่อย เราต้องเดินทางกลับ Leh ก่อนฟ้าปิด
เดินทางกลับกันครับ แสงแดดช่วงสายๆ เกือบเที่ยงนี่ไม่ธรรมดาจริงๆ กระทบกับหิมะสีขาว ฟ้าสีน้ำเงินเข้มได้ภาพที่มี Impact มากๆ
ระหว่างเดินทางไปและกลับเราผ่านถนนที่สูงที่สุดในโลกที่รถขับผ่านได้ ชื่อ Khardung La ซึ่งอยู่เหนือระดับน้ำทะเล 5,620 เมตร ความสวยงามนี่ต้องยกนิ้วให้ ให้ภาพนี้มันเล่าความสวยงามแทนคำพูดนะครับ
กลับมาถึงที่ Leh เร็วกว่าที่คาด
ปิดท้ายกันไปด้วยแสงแดดอ่อนๆ ยามเย็นจากหน้าต่างโรงแรมกันครับ
เริ่มต้นวันสุดท้ายแบบตื่นสายๆ เดี๋ยววันนี้เราจะไปชิวๆ รอบๆ Leh เหมือนเป็นวันพักผ่อนก่อนกลับไปทำงานต่อ
มื้อเช้าวันนี้เป็นไข่เจียวชีส กับชาร้อนๆ กลมกล่อมมาก เป็นมื้อแรกที่ผมรู้สึกว่าได้กินอาหารอร่อย สักที
พอออกมาจากเมืองได้ 15 นาทีเท่านั้นหล่ะครับ นรกสีเทาของผมก็มาเยือนทันที นั่นคือเมฆ เมฆปกคลุมเต็มท้องฟ้าไปหมด มันทำให้ภาพวันนี้ดูหมองไปเลย หากมีแสงแดดส่องลงมาบ้างก็ยังพอมีมิติบ้าง แต่มันหมองตลอดเวลา ทำใจเลยครับ
สถานที่แรก Magnetic hill เป็นสถานที่ๆ หากเราเอารถไปจอดไว้ มันจะค่อยๆ ขยับเข้าหาภูเขาใหญ่ๆ ข้างหน้า เขาเลยเรียกว่า Magnetic hill ซึ่งความอลังกาลไม่สามารถ บอกเล่าได้ด้วยภาพถ่ายหรือวีดีโอ ต้องไปเห็นจริงๆ ครับ ยิ่งใหญ่สูงเสียดฟ้ามาก
ที่นี่รถทหารวิ่งผ่านไปมา เยอะมาก
มาถึงจุดต่อไปคือ Sangam view point เป็นจุดตัดของแม่น้ำสินธุและซันสการ์ไหลมาบรรจบกัน โดยเราจะเห็นความแตกต่างของสีจากแม่น้ำสองสาย เป็นจุดขายของสถานที่นี้เลยครับ
ถึงเวลาที่เราต้องออกเดินทางต่อ
สถานที่สุดท้ายของทริปนี้คือ Thiksey monastery ยอมรับเลยครับว่าไม่ได้เตรียมตัวหาข้อมูลอะไรมาเลย ถ่ายมันแต่รูปอย่างเดียว ปีนๆ เดินๆ ถ่ายๆ
พอลงจากรถ ได้ยินเสียงดังๆ มาจากด้านล่างคล้ายๆ กำลังก่อสร้างตึกหรืออะไรสักอย่าง เลยหันไปถามพี่เข้มว่าเขาทำอะไรกัน พี่เข้มตอบมาว่า "คุยกัน" ผมนี่กุมขมับเลยครับ คือหลังจากถามไปใหม่ก็ได้ความว่า คล้ายการที่คนทุกคนในหมู่บ้านมาช่วยกันก่อสร้าง หยิบคนละไม้ คนละมือ คิดถึงบรรยากาศสมัยก่อนของไทยเลย
อีกที่สำคัญที่ต้องตรงดิ่งไปเลยคือห้องน้ำครับ แต่วิวแบบว่า งามมมม
ระหว่างทางก็เห็นพระรูปนึงเดินผ่านมา
สักพักท่านหันมาเลยถามท่านว่า "ขอถ่ายรูปได้มั้ย ?" ท่านก็ตอบอย่างสงบว่า "ได้"
บรรยากาศในวัดเหมือนเราได้ซึมซับอารยธรรมแห่งพุธศาสนา เสียงสวดมนต์ เสียงระฆังมันสะกดเราให้หลงไหลกับบรรยากาศแบบนั้น แถมไม่ต้องหยุดตีระฆังให้คอนโดแถวนั้นด้วย
หมาที่นี่เยอะมาก มีบางตัววิ่งมาเล่นด้วยแต่ผมไม่กล้าจับมัน เพราะมันสกปรกมาก อาจเป็นแหล่งเชื่อโรค อยู่ต่างแดนไม่เสี่ยงดีกว่าครับ
เดี๋ยวเราจะไปปิดท้ายการเดินทางของผม ด้วยการเดินตลาดชิวๆ กันครับ เวลาล่วงเลยมาถึงช่วงเย็นๆ แดดเริ่มออก ฟ้าเปิดเฉ๊ยยยยยย
ร้านขายกล้องยี่ห้อดัง ว่าจะเข้าไปชมราคาซะหน่อยดันปิดซะงั้น
ให้ชมบรรยากาศกันต่อยาวๆ เลยดีกว่าครับ ขี้เกียจพิมพ์ เอ้ย !! จะได้ไม่เสียอรรถรส
เอาหล่ะฮะ มาถึงช่วงสุดท้ายของทริปแล้วครับ เก็บบรรยากาศแสงเย็นๆ บอกเลยว่าฟินมากครับ หลังจากฟ้าปิดมาเกือบทั้งวัน ไม่คิดเลยครับว่าฟ้าจะเปิดส่งภาพสวยๆ มาให้ผมก่อนกลับ
เป็นช่วงเวลาที่น่าจดจำมากครับ ช่วงเวลานั้นผมแทบไม่อยากถ่ายรูปเลยนะ อยากวางกล้องไว้แล้วมอง...มองพระอาทิตย์ค่อยๆ ตกดิน ภาพที่เห็นมันเปลี่ยนไวมาก จากฟ้าสีครามเปลี่ยนเป็นสีเหลือง เปลี่ยนเป็นสีส้ม ยิ่งดูยิ่งสวยขึ้นเรื่อยๆ สักพักภาพนั้นก็มืดดับไป ไม่ต่างอะไรกับชีวิตคนเรา ต่อให้ประสบความสำเร็จมากแค่ไหน สุดท้ายก็ต้องถึงจุดดับ ทริปนี้ทำให้ได้เห็นอะไรหลายอย่าง แต่ที่ชัดเจนที่สุดคือความสุข ความสุขที่ได้เดินทาง ความสุขที่ได้พบเห็นอะไรใหม่ๆ ความสุขที่ได้ค้นหาอะไรใหม่ๆ หวังว่ากระทู้นี้จะช่วยเป็นแรงบันดาลใจให้ใครหลายๆ คนอยากออกไปค้นหา ออกไปเรียนรู้อะไรใหม่ๆ ออกไปหาความสุขของคุณ ออกไปใช้ชีวิตให้เหมือนมีชีวิต ขอลากันไปด้วยภาพสวยๆ ภาพสุดท้ายของทริปนี้ เจอกันใหม่ทริปหน้าครับ สวัสดีครับ (ใบ้หน่อยครับ ทริปหน้าเราจะพาไปดูยักษ์ใหญ่แห่งอ่าวไทยกัน)
ตัวอย่างตอนต่อไป..,
จบไปแล้วจะครับกับช่วงอวดรูป ฮ่าๆ ต่อไปเป็นเรื่องที่ใครๆ หลายคนรอคอยคือเรื่องค่าใช้จ่าย ผมขอแจกแจงเป็นคร่าวๆ ด้วยตัวเลขกลมๆ นะครับ ใครจะเตรียมเงินไปอยากให้บวกไปสัก 4,000 รูปี สำหรับค่าเงินที่ผมจะแสดงให้ดูเป็นหน่วยรูปีนะครับ ยกเว้นตั๋วเครื่องบินบางเที่ยวเป็นเงินบาทไทย ถ้าเราอยากรู้ราคาบาทไทยก็จับหารสองได้เลย ซึ่งค่าใช้จ่ายต่างๆ มีดังนี้
1. ค่าตัวเครื่องบินต่อคนแบบไม่ซื้อน้ำหนักกระเป๋าเพิ่ม (11,278 บาท)
ขาไป (ทางเลือกที่ดีที่สุดคือบินไปลงที่เดลีแล้วต่อไปเลห์ครับ)
- ดอนเมือง ==> บังกาลอร์ 3,110 บาท
- บังกาลอร์ ==> เดลี 2,427 บาท
- เดลี ==> เลห์ 2,352 รูปี
ขากลับ
- เลห์ ==> เดลี 5,857 รูปี
- เดลี ==> สุวรรณภูมิ 5,739 รูปี
2. ค่าเที่ยว+ค่ากิน (11,950 บาท)
Taxi จากสนามบินเข้าโรงแรม 400 รูปี
Taxi เที่ยววันแรก 1,000 รูปี
ข้าวเที่ยง 500 รูปี
ข้าวเย็น 0 รูปี ครับ ต้มมาม่าที่เตรียมไป ฮ่าๆ
ค่าโรงแรมคืนแรก 2,000 รูปี
Taxi ไปขี่อูฐ 8,000 รูปี
ขี่อูฐ 200 รูปี
ข้าวเที่ยงวันที่สอง 300 รูปี
ค่าโรงแรมคืนที่ 2 และ 3 พร้อมมื้อเย็นสองวัน 6,000 รูปี
ค่าใบ Permit ไปขี่อูฐ (โรงแรมเอาไปทำให้จะมีค่าทำบวกด้วยนะครับ) 1,000 รูปี
ค่าข้าวเที่ยงวันที่สาม 500 รูปี
Taxi เที่ยววันสุดท้าย 3,500 รูปี
Taxi ไปส่งสนามบินตอนกลับ 500 รูปี
ค่าวีซ่าแบบ E-Visa อีกประมาณ 2,000 บาท เป็น 25,000 เราก็จะได้เห็นอะไรสวยๆ แบบนี้แล้วครับ
สำหรับสิ่งของที่ผมเตรียมไปแล้วแต่ Style ของแต่ละคนนะครับ อย่างผมแบ่งเป็นสองกระเป๋า
กระเป๋ากล้อง เป็นกล้องเพียวๆ เลยครับ ในนั้นประกอบด้วยรายการตามด้านล่างนี้
- Body DSLR
- Lens 85 mm F1.8
- Lens 16-35 F4
- Lens 24-70 F2.8 (ใช้เยอะสุด จริงๆ ตัวนี้ตัวเดียวเอาอยู่ครับ)
- แบทเตอรี่กล้อง 2 ก้อน พร้อม Adaptor
- Power bank สายชาร์จ หูฟัง
- Go pro พร้อมไม้ 3 Way
- ขาตั้งกล้อง
- เอกสารทั้งหมด เพื่อให้หยิบออกง่ายๆ
ถ้าถามว่าจะไปทริปถ่ายรูปแล้วพกเลนส์ไปจำกัด แนะนำระยะ Normal ตัวนึงกับ Tele ตัวนึง ได้ภาพน่าสะพรึงแน่นอน
กระเป๋าเสื้อผ้า อันนี้ผมเลือกเป็นกระเป๋าเสื้อผ้าแบบหิ้วนะครับ เพราะกระเป๋ากล้องผมใหญ่ ถ้ามีกระเป๋าลากอีกคงลำบาก ส่วนเสื้อผ้าก็เตรียมไปให้พอกับวันที่เราจะไป แต่ที่สำคัญต้องมี หมวกไหมพรหมอุ่นๆ แบบที่มีป้าปิดจมูกด้วย ถุงมือกันหนาว เสื้อกันหนาวดีๆ สักตัว เราประมาทความหนาวที่นั่นไม่ได้ ถ้าเป็นภูมิแพ้อากาศเฉียบพลันจะเที่ยวไม่สนุกเอา นอกนั้นก็โฟมล้างหน้า แปรงสีฟันเหมือนไปเข้าค่ายลูกเสือหล่ะครับ ของกินถ้าใส่ไหวก็ดีเลย ซื้อบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปแบบห่อแล้วก็ชามกระดาษตามเซเว่นไปจะประหยัดพื้อนที่มากกว่าบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปแบบคัพ(อย่าลืมช้อนส้อมพลาสติคไปด้วยนะครับ)
ข้อควรรู้และข้อควรระวังจากประสบการณ์จริง มีหลายอย่างมาก ผมขอแบ่งเป็นข้อๆ นะครับ
1. แลกเงิน : มีสองทางเลือกคือแลกให้เรียบร้อยก่อนไปกับ ไปแลกที่เดลี แต่อย่าไปแลกที่สนามบินเลห์นะครับ จากค่าเงินที่หารสองจะกลายเป็นค่าเท่าๆ กันเลย
2. ติดต่อโรงแรมเอาไว้ก่อนไป : ผมจองผ่าน Application แล้วมันจะมี E-mail ให้เราติดต่อ ผมก็ใช้แมลล์นั้นคุย Plan ที่เราจะเที่นสแล้วถามว่าต้องเดินทางยังไง เราจะหารถได้ยังไง และถือว่าเป็นโชคดีอย่างนึงที่บริษัทเขาเป็นบริการนำเที่ยวด้วย เขาเลยประสานงานเรื่องรถให้เราตลอดทริปตั้งแต่ไปยันกลับ และที่สำคัญ ถามเขาด้วยว่าโรงแรมมี Heater ในห้องมั้ย ถึงแม้ในหน้าของ Application ที่เราจองจะเขียนว่ามี แต่ในความเป็นจริงโรงแรมส่วนมากที่นั่นจะไม่มี Heater
3. Map.me : โหลด Application นี้ โหลดแผนที่เลห์เก็บไว้ให้เรียบร้อย ตอนผมคุยกับพี่เข้มให้พาไปส่งที่โรงแรมคืนที่สอง พี่แกงงมากว่ามีชื่อนี้อยู่ในเลห์ด้วยหรอ ซึ่งเหมือนคนจะไม่ค่อยรู้จัก แต่ใน Map นำทางเราไปได้ถูกที่
4. ภาษาอังกฤษคุณต้องได้ : คำว่าต้องได้นี่ไม่ได้หมายถึงว่าต้องเทพนะครับ เอาแค่ว่าส่อสารกับเขาได้ เพราะบางครั้งต้องใช้นัดเวลาบ้าง เลื่อนเวลา เปลี่ยนที่เที่ยว ยกเลิกนู่น นี่ นั่น ก็เหมือนกับเที่ยวในเมืองไทยแหล่ะครับ ที่สำคัญ ตม. ตั้งแต่เราลงเหยีบยประเทศอินเดีย ถ้าเรางงๆ เอ๋อๆ น่าจะได้คุยนานหน่อย (ผมก็เอ๋อนะ ผมฟังไม่รู้เรื่อง ฮ่าๆ)
5. เตรียมเอกสารให้พร้อมเสมอ : Passport ติดต่อตลอด ถ่ายเอกสารเก็บไว้ด้วยครับ กรณีเกิดหายขึ้นมา, ตั๋วเครื่องบินทุกเที่ยว, Plan แบบรายวัน, E-Visa และไม้ตายอีกอย่างคือ หนังสือรับรองการทำงาน เพื่อเพิ่มราศีให้ตัวเรา จะได้ผ่าน ตม. ง่ายๆ ฮ่าๆ
6. หน้าดุใจดี : เจ้าหน้าที่ในสนามบินหน้าดุๆ ทั้งนั้น ไม่ค่อยเป็นมิตรเท่าไหร่ แต่ให้คำแนะนำได้ดีมาก
7. การจรารในเทืองเล็กๆ : ในเลห์ จะมีถนนสองเลน แบบที่รถวิ่งได้เรื่อยๆ ทีนี้พอรถข้างหน้าจอด เขาจะรอพักนึง (ไม่ถึง 10 วินาที) ถ้าไม่มีการขยับไม่ว่าจะเกิดอะไรก็ช่าง เขาจะบีบแตรใส่ด้วยความเกรี้ยวกราด แต่หลังจากที่อยู่นั่นได้วันเดียวเราก็รู้ว่ามันเป็นเรื่องปกติมากๆ
8. การตรวจสัมภาระขาออกที่แสนเข้มงวด : ไว้ว่าจะขาออกจาก เดลี หรือเลห์ เข้มงวดมากครับ เพราะฉนั้นเราต้องเผื่อเวลาเยอะๆ สัก 3 ชั่วโมง ในกรณีที่เราต้องต่อเครื่อง ระบบที่ใช้ตรวจก็เป็นแสกนปกตินี่แหล่ะครับ จะมีเจ้าหน้าที่ทหารหน้าดุๆ คอยคุมแล้วก็มีการค้นตัวอย่างละเอียด ระหว่างรอคิวจะมีจอทีวีใหญ่ๆ เปิดวีดีโอรายการสิ่งของที่ต้องนำออกจากกระเป๋าใส่ถาดแยกผ่านเครื่องแสกน ซึ่งรายการมีดังนี้ (ผมจำขึ้นใจเลย เพราะ เจ็บช้ำมาแล้ว ฮ่าๆ)
- พวงกุญแจต่างๆ
- Laptop พร้อม Adaptor
- กระเป๋าตังค์
- มือถือ
ซึ่ง!! พอถึงเวลากระเป๋าที่ผ่านเครื่องแสกนจะโดนถามหาเจ้าของใหญ่เลย แล้วเจ้าหน้าที่จะให้เอากล้องในกระเป๋าออกใส่ถาดแล้วรอคิววนเข้าไปแสกนใหม่
ให้ตายเถอะ เสียเวลาหนักมาก ฮ่าๆ แล้วถ้าเขาให้เราเอาออกเอง เราก็เอาแค่ตัว Body กล้อง กับเลนส์ทุกตัวออก (มันใหญ่มากเลยนะ ถ้าได้เลนส์เล็กๆ กล้องเล็กๆ คงสะดวกขึ้นมาหน่อย) แต่เราพลาดท่า พอดีงวันนั้นมีคนไทยข้างผมนี่แหล่ะเปิดกระเป๋าโชว์แล้วถามว่าต้องเอาอันไหนออกบ้าง นั่นหล่ะครับนรกมาเยือนแน่นอน กล้อง เลนส์ แบทสำรอง Power Bank สายชาร์จ หูฟัง อุปกรณ์ ที่คุณจัดไว้อย่างเป็นระเบียบต้องเอาออกไปแสกนแล้วมานั่งจัดใหม่หมด บันเทิงแน่นอนครับ ฮ่าๆ สำหรับใครที่พกขาตั้งไว้กับกระเป๋ากล้องแล้วมีพวกประแตตัว L ไว้ใช้ยากฉุกเฉิน ต้องทิ้งนะครับ ห้ามเอาขึ้น ไม่งั้นต้องเอาไปโหลดใต้เครื่อง
9. รสชาตอาหาร : ขณะที่ผมเขียนแค่นึกถึงยังเลี่ยนเลยครับ อาหารร้อยละ 90 คือมังสวิรัตจืดๆ อึนๆ เลี่ยนๆ ทุกข์เมนู ยกเว้นเครื่องดื่ม แนะนำเตรียมน้ำพริกกับบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปไปด้วยครับ ไม่งั้นอดตายแน่นอน อารมณ์แบบว่าหิวนะ แต่กินอะไรไม่ลงเลย
10. คนที่นี่เป็นกันเอง : ด้วยวิถีการดำเนินชีวอตของเขาจะออกมาพบปะผู้คนนอกบ้าน พบปะ นั่งจิบชาตากแดดอุ่นๆ คุยกันเฮฮา ได้เห็นภาพนั้นก็รู้สึกมีความสุขตามไปด้วย
11. ทหารเยอะ : ทหารเยอะมากครับ เนื่องจากระแวกนั้นอยู่ใกล้ประเทศสงคราม ตอนไปขี่อูฐก็จะมีเจ้าหน้าที่ๆ ขับสวนมาโบกให้จอดแล้วก็เข้ามาสอบถามว่าจะไปไหน
12. สถานที่อันตราย : ที่เราต้องระวังคือระวังตกเหว ตกเขา ตกไปไม่มีอะไรรองรับนอกจากพื้นกับหิน
13. แค่ในเมืองก็สวยจนไม่เบื่อแล้ว : จริงๆ ถ้ามีเวลามากกว่านี้คงถ่ายรูปเล่นๆ ในเมืองได้อีกหล่ยวันแหล่ะครับ แต่เราก็ดูมาตามรีวิวนะว่าต้องไปนู่นไปนี่ จะได้ไปให้ถึง เอาเข้าจริงๆ การซึมซับบรรยากาศในเมมืองนานๆ คือถึงที่สุดละ
14. คนไทยเยอะมาก : นักท่องเที่ยวชายไทยเยอะมากครับ หลายมิตรภาพที่เราได้จากที่นี่ ไม่ว่าจะแนะนำร้านอาหาร สถานที่ท่องเที่ยว ฯลฯ
15. ไม่อยากไป Pangong lake : ตอนแรกมี Plan จะไป Pangong lake จากเท่าที่อ่านมาว่ามันสวย ต้องไปให้ได้ แต่สภาะอากาศเลวร้ายมากนะ ถ้าผมป่วยที่นั่นโดยที่ต้องแบกร่างป่วยๆ เดินทางกลับมาทำงานประจำตั้งแต่เช้าจนตะวันตกดินหลังจบทริปคงไม่ใช่เรื่องสนุกนัก เราได้มีโอกาศคุยกับคนไทยที่นั่น เขาไป Pangong เป็นที่แรกจบด้วยการป่วย เขาเลยบอกว่าไม่ไปอ่ะดีแล้ว แค่ไปนั่งเฉยๆ อยู่ตรงนั้น นอกนั้นก็ไม่มีอะไร แต่ผมไม่ได้หมายความว่าอย่าไปเลยนะครับ ถ้าอยากเห็น ไปเลยครับ ไหนๆ เราก็ไปแล้ว ถ้าไม่มีห่วงเรื่องสุขภาพ เรื่องเมารถ มันก็คุ้มนะ จะได้ไม่มาเสียดายทีหลัง
16. ไปถึงตอนไหนก็ต้องนอนก่อน : เก็บของเข้าที่พักต้องเสร็จ นอนหลับเลยครับ 4-6 ชั่วโมงเพื่อให้ร่างกายปรับตัว จะได้ไม่เป็นภูมิแพ้อากาศเฉียบพลัน อย่าลืมเอายา Diamox ไปด้วยนะครับ กินตั้งแต่อยู่เดลีเลยครับ ส่วนตัวผมไม่เป็นครับ โชคดีไป เพราะผมแอบนอนแค่ 2 ชั่วโมง กลัวไม่ได้เที่ยว ฮ่าๆ
17. เหนื่อย หอบง่าย : เหนื่อยจริงๆ ครับ เดิน ถ่ายรูป ขึ้นบันได วางกระเป๋า ยกกระเป๋า ไม่ว่าจะทำอะไรก็เหนื่อย ด้วยสภาพอากาศที่เบาบางมากๆ หายใจไปนี่เจ็บหน้าอกเลยครับ ต้องให้ร่างกายค่อยๆ ปรับตัวเรื่อยๆ ต้องเดินบบ Slow life ชิวๆ ไป
18. ต้องกลับมาอีก : คือความคิดแรกผมจะไปเที่ยวแบบเปลี่ยนสถานที่ไปเรื่อยๆ เพราะงบและเวลาที่จำกัดตามประสายอดมนุษย์เงินเดือน แต่มันสวยจริงๆ ครับ ถ้ามีเวลาจะไปเก็บภาพหลายๆ มุมที่อยากถ่ายแต่ไม่มีเวลาถ่าย
19. หาข้อมูลไปแล้วจะอินไปกับมัน : ผมตั้งใจไปเก็บรูปเป็นหลัก ผมใช้พี่เข้มเป็นไกด์ แต่ก็นะครับ ถ้าภาษาอังกฤษงูๆ ปลาๆ แบบผมก็ฟังไม่รู้เรื่องอยู่ดี ยิ่งอ่านประวัติตามป้ายนี่ขอบายเลย แต่ถ้าเราศึกษาไปคร่าวๆ เวลาไปถ่ายรูปเราจะรู้สึกอินกับสภานที่นั้นๆ
Plan ที่ผมทำไว้ก่อนไปครับ มีที่เดียวที่ไม่ได้ไปคือ Shay palace ในวันสุดท้ายเพราะเหนื่อย ฮ่าๆๆ
จบแล้วนะครับสำหรับกระทู้ส่งท้ายปี 2018 ของผม ก่อนจากกันไปใครมีข้อแนะนำอะไรดีๆ สามารถคอมเม้นท์ไว้ได้เลย ถ้าชอบรบกวนฝากกดแชร์ด้วยนะคร๊าบบ จะได้มีกำลังใจไปถ่ายรูปมาแชร์ทุกๆ ท่านอีก และขอฝากผลงานเก่าๆ ตามกระทู้ด้านล่างนี้นะครับ
ติดตามผลงานเพิ่มเติมได้ทาง
Youtube
Facebook
www.facebook.com/AYFOTOGRAPHY/
Instagram
https://www.instagram.com/arnuphap_y/?hl=th
สำหรับกระทู้นี้ลาไปก่อน สวัสดีครับ..,
Arnuphap Yaiphimai
วันอาทิตย์ที่ 28 เมษายน พ.ศ. 2562 เวลา 08.33 น.